สอบถามสภาวะ ตอนปฏิบัติค่ะ ด่วนมาก!

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย นารีมีธรรม, 11 สิงหาคม 2012.

  1. นารีมีธรรม

    นารีมีธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +98
    คือหนูนั่งสมาธิก็ กำหนดตามตามกาย ยุบหนอ พองหนอ ปกติค่ะ หนูมักนั่งสมาธิเป็นแบบนี้บ่อยๆ
    เนื่องจากการนั่งสมาธิทุกครั้งของหนู ก่อนที่จะตัดความรับรู้ของสิ่งภายนอกได้ คือไม่ได้ยินเสียงไม่รู้สึกไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนั้น เวลาหนูนั่งสมาธิ จะ เปิดพัดลมส่ายหัวเอาไว้เบา ไกลๆ เบอ 1 เพื่อจะได้มีอากาศถ่ายเท นั้น ก่อนจะตัดการรับรู้ได้ มันจะนิ่งแล้วมีความรู้สึกเหมือนกับ ตัวเรานี้เหมือนกิ่งไม้บนต้นไม้ จิตเราเหมือนใบไม้ที่อยู่ในกิ่ง พอลมพัดผ่านมา รู้สึกสัมผัสว่าจะส่าย หรือขยับเบาๆ ตามแรงลม เมื่อไม่มีลม ก็ไม่ส่ายหรือขยับ แต่พอพัดลมพัดกลับมาอีก ก็ เหมือนปลิวเบาๆ เหมือนใบไม้ที่กิ่งไม้เวลาโดนลมอ่ะค่ะอ่ะค่ะ รู้ว่าแม้จะมีลมใบไม้ก้ไม่ได้ปลิวออกไปจากกิ่ง เหมือนเราไม่ได้ปลิวออกจากร่าง เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก พอ ละไว้เสียก็เข้าสู่สมาธิที่ตัดการรับรู้ได้ แต่ในบางครั้ง ก็รู้สึกสัมผัส เหมือนได้ยินเสียง มด แมลง พูด บางครั้งก็จับใจความได้ บางครั้งก็จับไม่ได้ อย่างนี้ คืออะไรคะ
    และการตัดการรับรู้ของหนู ส่วนใหญ่ มัก มี นิมิตหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อยมาก คือ อาการตัดความรับรู้นั้นคือ เราไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกใดๆทางกาย ไม่มีลมหายใจใดๆ แต่มีนิมิตคือ ไปอยู่ที่แห่งหนึ่ง ขาวโพลนทั่วไป ไม่มีทางเดิน ไม่มีถนน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวเอง แต่จิตมีอยุ่ตรงนั้น ไม่มีลมหายใจ ยุบหนอ พองหนอ เปนสีขาวล้วนทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่สิ้นสุด แต่รู้ว่า มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พอคงอย่างนั้นไว้ เรื่อยๆ มันก็จะออกจากนิมิตมาเอง และ จิตก็กลับมา กำหนด ยุบหนอพองหนอ ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่หายใจเร็วขึ้น ปกติ และ กำหนด ยุบหนอพองหนอ นั้นเสมือนหนึ่งว่า หนูไม่ได้กำหนดเอง เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นกำหนดให้ เรา หายใจปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลย อย่างนี้คืออะไรคะ
    และสุดท้ายคือหนูต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ ฝึกเหมือนเดิมต่อไปหรือต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไหม เพราะเป็นอยู่อย่างนี้มาหลายปีแล้ว ไม่มีการขัยเพิ่มเติมใดๆ รู้เพียงว่า สามารถสื่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้ เห็นกรรมผู้อื่น และสภาพจิตใจนั้น ไม่ค่อยมีสิ่งใดมากระทบอารมณ์ให้รู้สึกมากจนเกินไปได้ เพราะจะรุ้จิตตนเองเสมอ เป็นความรู้สึกวางเฉย หากหลับฝันก็รู้ว่าอยู่ในฝัน เลือกจะตื่นหรือไปต่อก็ได้ เวลาตื่นก็ตั้งจิตได้เหมือนตั้งนาฬิกาปลุก แต่หากไม่ได้ตั้งไว้ มักตื่นเองไม่เกิน 6 ชม หรือ 6 ชมเป๊ะ แต่ยังมีสิ่งสงสัยดังข้างต้น และต้องการทราบว่า สิ่งที่เป็นนั้นเรียกว่าอย่างไร สิ่งสุดท้ายก็คือต้องละ เพื่อมุ่งสู่นิพพาน รบกวนขอคำชี้แนะด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2012
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เข้าฌานครับ
    ไอ้ที่รู้สึกว่าไม่มีร่างกาย ไม่มีอะไรแล้ว เหลือแค่จิต อันนั้นคือ เข้าฌานลึก ไม่รับรู้ถึงผัสสะภายนอกแล้ว แม้กระทั่งสัญญาขันธ์ก็ไม่เกิด ความนึกคิดไม่เกิด อันนั้นคือ สภาวะ เห็นปัจจุบันอย่างเดียว ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีแค่รับรู้อารมณ์นั้นอยู่ในปัจจุบัน
    ทำได้คล่องดีนะครับ สงสัยจะฝึกมานาน
    เจริญสติให้เกิดในชีวิตประจำวันตลอดทั้งวัน แล้วก็ดู จิตตานุปัสสนา กับ ธรรมานุปัสสนาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เห็นผลเองครับ
     
  3. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    อนุโมทนาด้วยครับ
       ทำอย่างที่เคยปฏิบัติ ครับอย่าสงสัยครับและอย่ามีความอยากมุ่งเพื่อสู่นิพานมากจนเกินไป และอย่าส่งจิตออกไปข้างนอกสื่อกับสิ่งที่มองไม่เห็น 
    ใช้สติรับรู้เท่าทันอารมฌ์ ของเราอยู่ทุกในขณะจิต ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
       เจริญธรรมมาด้วยเมตตาจิต
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ขออนุญาตนำไปที่นี่ และจะนำวิธีเดินหน้าต่อให้

    สมาธิลึกพอควร


    เบื้องต้นขอสาธุในวิริยะอุสาหะ
     
  6. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ยินดีด้วยครับ ขออธิบายการเจริญกรรมฐานของคุณดังนี้
    1 คุณเข้าสู่ฌาณ สมาธิ ได้แล้วครับ เป็นสมาธิขั้นอานาปา เจริญถึงแล้ว
    2 จิตตั้งอยู่ในกสิน ที่เรียกว่า วาโย กสิน คือกำหนดรู้จากการสัมผัส ลม กระทบกาย และเปลี่ยนเป็นเวทนาวิญญาญาณ กำหนดรู้ เป็นนิมิต ใบไม้สั่นไหวหรือนิ่งสงบ
    3 คุณได้หูทิพย์อภิญญา ซึ่งส่วนมากคนที่ฝึกมาด้านนี้จะได้ทิพย์โสต เป็นเช่นนี้ แต่จะได้เจโตปริญาณต้องฝึกต่อครับ
    4 เมื่อทรงนิมิตแต่จิตไม่วิ่งตาม ให้กลับมาทรงสติอุเบกขาญาณคือปล่อยวาง การทรงอุเบกขาญาณนี้ให้ทำให้มากเพื่อเป็นฐานของการวิปัสสนาเข้าญาณ4 อันเป็นตัวสำคัญ
    ให้ฝึก มหาสติปัฏฐาน4 ให้เปลี่ยนจากกรรมฐานมาเป็นวิปัสนาครับ ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมให้มากครับ คือเอาจิตที่สงบนิ่งเป็นสมาธินำไปดูกาย รูปกายเป็นอย่างไร ประกอบด้วยอะไร มาประกอบกันได้อย่างไร ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของกายเป็นอย่างไร พิจารณา กาย จนเกิดปัญญา เอาให้จิตรู้ทันกาย
    5 ต่อไปก็เอาจิตไปดูเวทนาต่างๆให้แจ้ง ต่อไปก็ดูอารมณ์ของจิตเรา สันดานจริตของจิตเรา เอาให้แจ้ง สุดท้ายสภาวะทั้งหลายที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปทั้งหลายเป็น สภาวะธรรม เป็นธรรมดา เป็นเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสยังไงอย่างไร พิจารณาให้มากถึงจุดนี้จิตจะละปล่อยว่าได้เอง และจะปรับเปลี่ยนสันดานจริตไปเอง จิตก้าวสู่พระสกิทา พระอนาคา และจะให้หลุดพ้น ต้องรักษสติรู้ทันและตามทันจิตควบคุมรักษาจิตไม่ให้ไหลหรือติดอยู่ในกิเลสได่้สำเร็จก็นั่นแหละ คือหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ได้แล้วครับ

    สุดท้ายนี้คุณมาถูกทางแล้วครับ ทำต่อไปตามที่ผมแนะนำนะครับ แล้วจิตของคุณจะสะอาดบริสุทธิ์ห่างไกลจากกิเลสมากขึ้นดียิ่งขึ้นตามลำดับครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2012
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ก่อนจะตัดการรับรู้ได้ มันจะนิ่งแล้วมีความรู้สึกเหมือนกับ ตัวเรานี้เหมือนกิ่งไม้บนต้นไม้ จิตเราเหมือนใบไม้ที่อยู่ในกิ่ง พอลมพัดผ่านมา รู้สึกสัมผัสว่าจะส่าย หรือขยับเบาๆ ตามแรงลม เมื่อไม่มีลม ก็ไม่ส่ายหรือขยับ แต่พอพัดลมพัดกลับมาอีก ก็ เหมือนปลิวเบาๆ เหมือนใบไม้ที่กิ่งไม้เวลาโดนลมอ่ะค่ะอ่ะค่ะ รู้ว่าแม้จะมีลมใบไม้ก้ไม่ได้ปลิวออกไปจากกิ่ง เหมือนเราไม่ได้ปลิวออกจากร่าง เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก พอ ละไว้เสียก็เข้าสู่สมาธิที่ตัดการรับรู้ได้

    +++ อาการเป็นเช่นนั้นละครับ เป็นจิตที่จับอยู่กับลมที่พัดผ่านร่าง แล้วจิตเริ่มผนึกเข้ากับสภาวะลมนั้น ๆ ในระดับอ่อน ๆ หากสังเกตุให้ดี ๆ ก็จะรู้ได้ว่า ส่วนใดที่ลมสัมผัส และส่วนที่ลมไม่สัมผัส รวมทั้งลมหมุนเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณบางส่วนของร่างกายด้วย หากจิตยังไม่เข้าใจก็จะแวะมายังปรากฏการณ์นี้ได้อีก แต่หากจิตเข้าใจแล้วก็จะวางผ่านเลยไปเอง แล้วไปอยู่ที่ความ โล่ง โปร่ง เบา สบาย แทน

    แต่ในบางครั้ง ก็รู้สึกสัมผัส เหมือนได้ยินเสียง มด แมลง พูด บางครั้งก็จับใจความได้ บางครั้งก็จับไม่ได้ อย่างนี้ คืออะไรคะ

    +++ ให้ทดสอบโดยการทำความรู้สึกที่หูทั้งสองข้างดู หากเป็นเสียงคล้าย ๆ หรีด หริ่ง เรไร หรือ คลื่นความถี่สูง ก็ขอให้ทราบว่า เสียงเหล่านี้มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน หากรู้สึกเหมือนเป็นการพูด ที่จับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง ให้ค่อย ๆ เพิ่ม หรือ ลด ความรู้สึกตัวแบบปรับระดับความละเอียด (fine tune) ของจิตตนเองดู โดยปล่อยให้คลื่นความถี่สูงมีอยู่อย่างนั้น อย่าได้ดู หรือ ใส่ความคิดลงไปเป็นอันขาด มิฉะนั้นสภาวะธรรมนี้จะถูกการปนเปื้อนจากจินตนาการของเราเอง เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะวางได้เองตามธรรมชาติของจิต

    ส่วนใหญ่ มัก มี นิมิตหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อยมาก คือ อาการตัดความรับรู้นั้นคือ เราไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกใดๆทางกาย ไม่มีลมหายใจใดๆ

    +++ อันนี้ไม่ใช่นิมิต แต่เป็นการทรงอารมณ์ใน อรูปฌาณสมาบัติ ในระดับที่ 4

    แต่มีนิมิตคือ ไปอยู่ที่แห่งหนึ่ง ขาวโพลนทั่วไป ไม่มีทางเดิน ไม่มีถนน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวเอง แต่จิตมีอยุ่ตรงนั้น ไม่มีลมหายใจ ยุบหนอ พองหนอ เปนสีขาวล้วนทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่สิ้นสุด แต่รู้ว่า มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

    +++ ไม่ใช่นิมิตอีกนั่นแหละ แต่เป็นความสุขใน อรูปฌาณ (อรูปราคะ คือ ความสุขและความพึงพอใจใน อรูปฌาณ)

    พอคงอย่างนั้นไว้ เรื่อยๆ มันก็จะออกจากนิมิตมาเอง

    +++ จิตถอนออกมาจาก อรูปฌาณ ไม่ใช่ออกจากนิมิต

    และ จิตก็กลับมา กำหนด ยุบหนอพองหนอ ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่หายใจเร็วขึ้น ปกติ และ กำหนด ยุบหนอพองหนอ นั้นเสมือนหนึ่งว่า หนูไม่ได้กำหนดเอง

    +++ เมื่อจิตได้พักตัวจนพอแล้ว (ถอนออกจากอรูปสมาบัติ) ถอยตัวออกสู่ อุปจาระสมาธิ ซึ่งมีสัมปัญชัญญะอันบริบูรณ์ สภาวะสติอันสมบูรณ์นี้ สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวของมันเอง เป็นเอกเทศอยู่ต่างหากตามธรรมชาติที่แท้จริงของมัน และแยกออกมาอยู่ต่างหากจากการกำหนดทั้งปวง แต่การกำหนดยุบหนอพองหนอ นั้น ๆ ยังคงมีอยู่

    +++ สภาวะปรากฏการณ์ในขณะนั้น คือ การกำหนดยุบหนอพองหนอไม่ใช่เรา และ เรา ไม่ใช่ยุบหนอพองหนอ เราเป็นเรา ส่วนมันเป็นมัน จากสภาวะรู้เริ่มคล้ายกลั่นตัวเป็นสภาวะเห็น แต่เป็นการเห็นแบบฝ่ามิติ มิใช่ตาเห็น และ มิใช่จิตเห็น

    เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นกำหนดให้ เรา หายใจปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลย อย่างนี้คืออะไรคะ

    +++ ไม่ใช่เสียงคนอื่น แต่เป็นเสียงที่ออกมาจากจิตเราเอง หลวงปู่สิม พุทธจาโร ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ท่านใช้คำศัพท์ว่า วจีจิตตะสังขาร (ผมขอยืมคำศัพท์ของท่านมาใช้)

    และสุดท้ายคือหนูต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ ฝึกเหมือนเดิมต่อไปหรือต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไหม

    +++ ให้ฝึกเหมือนเดิมทุกประการ อย่าเปลี่ยนเป็นอื่น เพียงแต่เพิ่มจุดแห่งการสังเกตุอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นก็จะต่อยอดได้เอง
    +++ จุดแรกที่สำคัญมากคือ ในขณะที่ ออกจากอรูปสมาบัติถอยตัวลงสู่ อุปจาระสมาธิ และในขณะที่ยุบหนอพองหนอนั้น เสมือนหนึ่งว่า ไม่ได้กำหนดเอง
    +++ ให้สังเกตุถึง ขอบเขตอันจำกัด ของอาการทั้งหมดที่เรียกว่า ยุบหนอพองหนอ นั้น หากกำหนดการสังเกตุได้ถูกส่วนแล้ว สภาวะที่ถูกรู้ทั้งหมด จะแยกออกจากสภาวะแห่งความเป็นเรา และสภาวะแห่งความเป็นมัน จะไม่ใช่สภาวะแห่งความเป็น เรา อีกต่อไป (คำศัพท์ รู้ และ ถูกรู้นี้ ผมยืมการใช้ภาษามาจาก หลวงพ่อ พุทธ ฐานิโย)

    +++ จุดที่สอง มีความสำคัญทัดเทียมกันกับจุดแรก จุดไหนเกิดก่อน ก็ดวลกับจุดนั้นก่อน ยามใดที่ วจีจิตตะสังขาร (เหมือนเสียงคนอื่นกำหนดให้ เรา ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นเสียงเราเอง) เกิดขึ้น ให้สังเกตุให้ดีว่า จะมีอาการ ยิบ ๆ คล้าย ๆ กับเป็นการ กระพริบ กระเพื่อม ทางจิตนิด ๆ เกิดขึ้นมาในขณะ พูด อยู่ด้วย อาการนี้เรียกว่า กิริยาจิต ให้สังเกตุที่ กิริยาจิต ที่กระพริบนิด ๆ นี้ ให้ดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่ ถูกรู้ ไปโดยปริยาย มันเข้าใจว่า มันเป็น เรา มาหลายอสงขัยแล้ว และเราหล่อหลอมรวมตัวกับ มัน จนกระทั่ง เรา กลายเป็น มัน จนกระทั่งแทบแยกไม่ออก (คำว่า กิริยาจิต ผมยืมมาจาก มุตโตทัย ของ หลวงปู่ มั่น ภูริฑัตโต)

    สิ่งสุดท้ายก็คือต้องละ เพื่อมุ่งสู่นิพพาน รบกวนขอคำชี้แนะด้วยค่ะ

    +++ สำหรับคุณ หรือผู้ที่สามารถมาถึงได้ในบริเวณนี้ ผมขอแนะนำ ให้สังเกตุดูว่า ก่อนกิริยาจิตจะเกิด มีสภาวะใดเกิดก่อน และการเกิดของสภาวะนั้น ๆ เมื่อแรกเกิด สามารถทำให้สภาวะรู้ จางคลายลงได้หรือไม่ หากใช่ สภาวะนั้นสามารถทำให้สภาาวะรู้กลายเป็นสภาวะที่ไม่รู้ได้ (การเกิดของอวิชชา ที่เริ่มแทรกแซงและครอบงำ วิชชา)

    +++ เมื่อสามารถสังเกตุและเข้าใจต้นสายปลายเหตุได้แล้ว ก็จะสามารถวางไปได้เอง สิ่งที่เหลืออยู่คือ การรู้ให้ เท่า และ ทัน จนเป็นนิสัยเท่านั้น และกลับกลายเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนเดิม เพียงแต่ต่างกันตรงที่ รู้แล้ว กับ ยังไม่รู้ เท่านั้นเอง

    สภาวะธรรมทุกประการ มีอยู่เช่นนั้นตั้งนานแล้ว เพียงแต่เรายังไม่รู้จักมัน เท่านั้นเอง
     
  8. อริยะบุคคล

    อริยะบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +476
    ขออนุญาติท่านทั้งหลายครับการจะเข้าสู่นิพพานก็ไม่ควรจะเข้าห้องนี้แล้ว การรับรู้ สัมผัส ทั้งหลายที่รู้สึกได้เป็นการรับรู้ด้วยวิญญาณ ที่ในศาสนาเราพูดอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกที่แต่ละคนจะมีประสพการณ์ไม่เหมือนกันเพราะกรรมที่ทำ บารมีที่สร้างก็ต่างกัน พระอรหันต์ยังมีความเป็นเอกบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ทุกอย่างที่ได้รู้สัมผัสทำให้เราได้พิสูจน์ธรรมของพระพุทธเจ้า ที่รู้ได้เฉพาะตน แต่สุดทางที่ดับกิเลสทั้งหมด คุณอยากนิพพานต้องรู้จักปล่อยวาง ตามพุทธวจนะ ว่าได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เห็นสักแต่ว่าเห็น ลิ้มรสก็สักแต่ว่ารส ไม่ยินดียินร้าย ไม่ปรุงแต่งที่เรียกว่าสังขาร ศึกษาว่าพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์นั้นต้องทำอย่างไร ที่ทำอยู่นั้นเป็นสมถะมิใช่วิปัสสนา แต่ก็ดีกว่าไม่ทำแต่จุดหมายไม่ตรงกับการปฏิบัติครับ ขอโทษที่ชี้แนะ​
     
  9. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ไม่ใช่นิมิต น่าจะเป็นว่ากายทิพย์นั่งสมาธิก็อยู่ในกลางท้องของตัวคุณที่เป็นกายมนุษย์นั่นล่ะค่ะ ที่เห็นเป็นขาวๆโพลน น่าจะเป็นเนื้อหนังมนุษย์+เสื้อผ้าที่สวมอยู่ ห่อล้อมกายทิพย์ไว้ ถ้าทิพจักขุญาณคุณแจ่มใสมากแล้วคุณมองออกมาตรงๆ คุณจะเห็นว่าคุณอยู่ในท้องคุณจริงๆ

    ถ้านั่งแล้วเป็นแบบนี้อีก ก็ลองแหงนหน้าขึ้นไปข้างบน จะเห็นเป็นช่องทางทางออกจากในท้องมนุษย์ (คือช่องรูจมูกค่ะ) ให้ออกไปตามช่องนั้น คุณที่เป็นกายทิพย์ก็จะออกจากกายมนุษย์นั้นได้ค่ะ

    ถ้าอยากไปไหน เช่นไปดูสวรรค์ พรหม นิพพาน ก่อนนั่งก็ให้อธิษฐานก่อนแล้วนั่ง แล้วเอากายทิพย์ออกไปตามช่องทางนั้นล่ะค่ะ

    หลังๆชำนาญเข้า กายทิพย์ก็ไปได้เอง โดยเราแค่กำหนดก่อนนั่งว่าจะไปไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2012
  10. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    จนท.ที่วัดเคยบอกว่า ถ้าปฏิบัติดีแล้ว ให้เริ่มเพิ่มบัลลังก์การนั่ง เช่นเคยนั่ง 1 ชม ให้ขยับเป็น2 ชม ถ้านั่ง2 ก้ขยับมาเป็น3 ชม. แล้วเดินจงกรมนำก่อน แล้วค่อยมานั่งกำหนดท้องพองยุบที่ทอ้ง

    อาการแบบนี้รุ่นน้องที่ทำงานผม ก้เคยทำไ้ด้สมัย ม ปลาย ที่เปนบรรยกาศขาวโพลนรอบๆตัว หัวจะเบาและปลอดโปร่งมาก เหนทุกทุอย่างว่างไปหมด สมาธิและความจำจากที่นั่งจะดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ถ้ามาอ่านหนังสือจะจำได้ดีกว่า และทำข้อสอบได้มากขึ้น อาการเช่นคล้ายๆจิตว่างเต็มที่ ลองกำหนดรู้หนอๆ ๆ ๆ ขณะที่จิตเจอความร้สึกขาวโพลนแบบนี้ จึงสมควรแก่เวลา ค่อยถอนสมาธิออกมา แล้วกำหนดรู้หนอ ๆๆ ๆ อีกนิด แล้วค่อยลืมตา
    คุณทำได้ดีทีเดียว และอย่าทิ้งสติ กับคำภาวนา
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่ใช่กายทิพย์ครับ สภาวะนั้นจะไม่เห็นตัวเองแล้วครับ จะนึกอะไรไม่ออกด้วยครับ
     
  12. ตัวเล็กจัง

    ตัวเล็กจัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +22
    ทำเพื่อนิพพานหรือ

    ต้องลองถามตัวเองว่า

    ทำเพื่อมี หรือ ทำเพื่อหมด

    เรายังพยายามอยู่เหมือนกัน
     
  13. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ความสุขของคุณอาจจะอยู่ในตติยฌานคับ ส่วนหูดับนั้นอยู่ใน อรูปฌาน เนวสัญญานาสัญญายตะฌาน ผมก็เคยเป็นเหมือนที่คุณกล่าวมาคับ ในฌานสมาบัติต้องพบสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว วิตก ปีติ สุข อุเบกขา หนัก เย็น ร้อน เบาหูดับ ตามที่ในพระไตรปิฏกมีบอกเรื่องฌาน มันให้อารมณ์ตามนั้นจิงๆถ้าสำเนียกดีๆ ให้กำหนดรู้แล้วยกไตรลักษณ์มาปลงจะผ่านไปคับ หมุนฌานให้คล่องแล้วจะได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ด้วยตัวคุณเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้โอกาสแก้ตัว 1 ครั้ง...

    ถ้าไม่แก้ จะยกคำสอนพระอรหันต์มาแสดง ที่มันไม่ตรงกับ Tamjugg
     
  15. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    จะยกคำสอนพระอรหันต์มาแสดงหรือยกหัวเราะมาอีกหละ เค้ารู้กันทั้งเวปแล้วว่าอินทรบุตรดีแต่หัวเราะ
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [​IMG]
     
  17. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    น่าเวทนาจิงๆอินทรบุตรทำตัวเป็นเด็กไปได้ทั้งที่อายุมากแล้ว ศึกษาธรรมมากเยอะแต่ไม่สามารถยกระดับจิตใจและการกระทำได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2012
  18. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ความจิงคือทุกคนล้วนมีความตายอยู่เบื้องหน้าสักวัน อายุก็เยอะแล้วอินทรบุตรแต่ยังประมาทเที่ยวหัวเราะอยู่ ศาสนาก็สอนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแท้ๆ เมื่อนึกถึงการหัวเราะเยาะเย้ยผู้อื่นยิ่งในเวบอร์ดธรรมมะด้วย เมื่อลาโลกจะหัวเราะไม่ออกเอานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2012
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [​IMG] ดีมากลูกรัก
     
  20. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ภาวนาจนแก่ ยังได้แต่หัวเราะอยู่ อย่าให้คนอื่นต้องสมเพชไปมากกว่านี้เลยอินทรบุตร เมื่อเข้ามาในพระธรรมวินัยแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...