คนที่ไม่เคยได้ของเดิมเลยในชาติก่อน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะนำสุข, 20 ตุลาคม 2012.

  1. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สิ่งที่เราได้จากการปฏิบัติธรรมคือการสร้างปัญญาเพื่อแก้ปัญหา
    ถามว่าปัญญานี้คือเรื่องทางโลกหรือไม่
    เพราะไม่มีรูปและหาไม่เจอและไม่รู้ว่าคืออะไร
    ถามว่าปัญญานี้เป็นธรรมอะไร
    กุศลหรืออกุศลหรืออัพยากต

    ถามว่าปัญหานี้แก้กันบนสวรรค์หรือไม่
    หรือไปลงนรกแล้วแก้ได้

    ถามอีกว่าเมื่อรู้ไม่รู้แล้วเป็นอย่างไรเราจะมีอินทรีย์ห้าและพละห้าต่อหรือไม่
    หรือพอเพียงแล้วได้สี่สามสองหนึ่งพอ
    หรือไม่เกิดอยากอะไรขึ้นมาแล้วไม่เอาต่อ
    ลมหายใจ

    ถามว่าเมื่อรู้แล้วได้แล้วเป็นแล้วรับไหวไหม
    หรือจะทนแบกของเก่าต่อไปอีก
    คือเคยมีและอยากได้อยากมีให้เท่าเก่าแล้วเริ่มตะเกียกตะกาย

    ปฏิบัติเพื่อเอา
    เพื่อละ
    เพื่อลืม
    เพื่อหลุด

    คนที่มีของเดิมอยู่แล้ว
    คือบาปบุญคุณโทษหรือไม่
    มีอยู่แล้วเป็นอยู่คืออยู่

    แล้วจะแก้หรือทำให้ดีขึ้นหรือจะทำให้เลวกว่าหรือไม่

    ทิศไหนดีที่สุดแล้วเราก็จะเจอกับทุกสิ่งที่ท่านจะเป็นอยู่คือ
    และจะต้องเจอจะต้องรู้แม้ไม่อยาก
    แล้วจะรู้เองหรือไม่อย่างไรขอรับ

    ถามว่ามีอภิญญาแล้วเศกสี่ขาไปทำนาได้ไหม

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาดูตัวอย่าง คนมี ของเดิม คือ ศีล 5 กัน


    ข้อสังเกต :

    แรกเริ่มนั้น แค่ สมาทานศีล ทำแค่ สมาทานศีล จนกระทั่งตายไปในชาติแรก

    หลังจากนั้นเป็นเรื่องของ การรับ อานิสงค์ เหตุเพราะความ เพลินในภพ ( เถระ
    ท่านจึงได้เตือนว่า เพลินอยู่ในภพด้วยอานิสงค์ต่อไปอย่างนี้จะมีผลเช่นไร ...
    บางคนอ่านแล้ว ก็เห็นว่าเป็นเรื่องได้ดิบได้ดีสารพัดจะได้ แต่ ที่ท่านต้องการ
    เน้นความ " กัลป์อันประมาณมิได้ " คือ มันไม่จบ ไม่ชื่อว่าพ้นทุกข์ )

    พอมาชาตินี้ กัลปนี้ พ่อแม่อุ้มเด็กน้อย5ขวบไป...แค่รับศีล เด็กน้อยอายุ5
    ขวบระลึกศีลได้ ผลิกจากมาทานศีล เป็น ศีลานุสติ ระลึกได้ในศีล และ ผล
    ของศีลที่มีต่อจิต ทำให้.....ทราบของเก่ามากมายตามมา ใช่ว่า จะต้องสะสม
    ของเก่าด้วย ญาณทัศนะชื่อนั้น กรรมฐานกองนี้ ก็หาได้กล่าวเอาไว้ไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2012
  3. ธรรมรังสี

    ธรรมรังสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +2,218

    ตอบสั้นๆ ว่า ได้ ถ้าทำได้ถึงขนาดนั้น (มีศีล 5 บริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร 4 ไร้ความกังวล) แค่มาต่อยอดด้วยสมถะกับวิปัสสนาอีกหน่อย ก็ได้ มรรค ผล นิพพาน แล้ว


    แต่ก็หายากนะสมัยนี้ คนที่จะมีศีล 5 บริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร 4 บริบูรณ์ และ ไร้ห่วง ไร้กังวล ยังไม่ต้องถึงกับระงับนิวรณ์ทั้ง 5 ได้หรอก เพราะถ้าจิตยังไม่ถึงอัปปนาฌาน ก็ยังระงับนิวรณ์ 5 ไม่ได้ หรือถ้าจะละนิวรณ์ทั้งหมดได้โดยเด็ดขาด จิตก็ต้องเข้าถึงพระอรหัตตผลเท่านั้น เพราะแม้แต่พระอนาคามีก็ยังมี ธัมมุจจะ ความฟุ้งซ่านในธรรม อยู่ อันจัดเป็น อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ทั้ง 5 อยู่ เพียงแต่มีความเบาบางสุดๆ เท่านั้น


    อธิบาย : คนที่รู้จักการให้ทาน การทำบุญในพระพุทธศาสนา รู้จักการไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนา (ถูกบ้าง ผิดบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ต่อเนื่องบ้าง ไม่ต่อเนื่องบ้าง) นับถือบูชาในคุณของพระรัตนตรัย แสดงว่า ชาติก่อนๆ ได้เคยทำมา ได้เคยศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก่อนในอดีตชาติ


    ให้ทานมาน้อย ฐานะก็ปานกลาง ให้ทานมามาก ฐานะก็ดี ประกอบกับในชาติปัจจุบันมีความขยันหมั่นเพียร ขยันทำมาหากิน ฐานะก็จะดียิ่งๆ ขึ้นไป


    ถ้าไม่ค่อยได้ให้ทานไว้ ฐานะก็ลำบากยากจน อัตคัตฝืดเคือง ยิ่งมีความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ขยันทำงาน ไม่แสวงหาความรู้เพิ่มเติม ไม่รู้จักขวนขวายประกอบการงานที่เป็นสัมมาอาชีวะ ยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ


    ไม่ต้องสนใจในอดีตชาติเลยก็ยังได้ ขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม มุ่งลดละปล่อยวางสรรพกิเลสทั้งหลายให้ได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่า กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และ สังโยชน์ทั้งหลาย จะหมดไปสิ้นไป เท่านั้น ก็พอ คือ ทำในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้


    ถ้ายังทำไม่ได้ในชาตินี้ ชาติหน้าทำต่ออีก เพราะจิตย่อมมีการสั่งสมอยู่ทุกขณะ ทั้งกุศลและอกุศล ทั้งธรรมะและอธรรม ถ้าจิตมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน ภพชาติย่อมเหลือน้อยลงทุกทีๆ ถ้าบารมีเต็ม โดยเฉพาะปัญญาบารมีเต็ม ก็ไม่ต้องรอชาติหน้า วันเดียวก็สำเร็จได้ 7 วันก็สำเร็จได้ 15 วันก็สำเร็จได้ 3 เดือนก็สำเร็จได้ 3 ปีก็สำเร็จได้ 7 ปี 10 ปี 20 ปี ก็สำเร็จได้ ถ้ายังไม่ตายเสียก่อน


    ถ้าชอบฤทธิ์ ชอบ วิชชา 3 อภิญญา 6 ก็ฝึกฝนทางสมถะหรือสมาธิให้มากๆ ให้ได้ถึง จตุตถฌาน หรือ รูปฌาน 4 เป็นอย่างน้อย แล้วต่อยอดด้วย วิปัสสนา หรือ ทำแบบควบคู่กันไป ก็ได้


    ถ้าชอบ ปฏิสัมภิทาญาณ 4 ที่ครอบคลุมทั้ง ฤทธิ์ และ ปัญญาแตกฉาน ในอรรถะ ในธรรมะ ในภาษา และ ในปฏิภาณ ก็ต้องบำเพ็ญให้มาก ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา ควบคู่กันไป แต่ต้องให้มากกว่าระดับของ วิชชา 3 และ อภิญญา 6 คือต้องได้ทั้ง รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ทั้งโดย อนุโลม และ ปฏิโลม ชำนิชำนาญคล่องแคล่ว กับทั้งมี ปัญญาแก่กล้า เป็นญาณสัมปยุตในทุกๆ ขณะจิต จิตจึงมีความรวดเร็วว่องไวมาก พิจารณาธรรมได้แตกฉานมากเป็นพิเศษ กับทั้งมีความลึกซึ้งพิสดารมากกว่า พระอรหันต์ทั้ง 3 ประเภท คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ


    ส่วน สุกขวิปัสสโก เจริญวิปัสสนา มีอุปจารสมาธิเป็นพื้น จึงไม่ประกอบด้วยฤทธิ์ เพราะฤทธิ์ย่อมเกิดจากจิตที่ประกอบด้วยกำลังของฌาน การบรรลุธรรมของพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก จิตย่อมถึงปฐมฌานในขณะก่อนที่จะสำเร็จ แต่สำเร็จนอกฌาน คือหลังจากที่จิตถอยออกจากปฐมฌานมาแล้ว จึงมาพิจารณาธรรมต่อ ละปีติ ละสุข เหลือแต่ เอกัคคตาจิต กับ วิตก วิจาร อาศัยกำลังแห่งปฐมฌานที่มีอยู่ในจิต ทำการตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพได้เช่นเดียวกัน



    คนเกียจคร้าน ย่อมไม่พาบพบวิชา

    ไร้วิชา ฤาจะหาทรัพย์ได้

    ไร้ทรัพย์ ใครจะนับเป็นสหาย

    ไร้มิตรสหาย ฤาจะหมายสุข

    ไร้สุข ฤาจะนึกถึงบุญกุศล

    ไร้บุญกุศล ฤาจะดล พระนิพพาน
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ศีล คือการไม่เบียดเบียนใครด้วย กาย วาจา ใจ สรุปคือ คุมใจให้ได้ วิธีทำในการคุมใจคือ สมาธิ
    การทำสมาธิด้วยความรู้สึกตัวที่เรียกว่า เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ระงับนิวรณ์ 5 ได้ดีที่สุด
    และเมื่อทำสมาธิ จนทรงตัวได้ถึงสมาบัติ พรหมวิหาร 4 จะเป็นผลลัพธ์ออกมาเอง
    ด้วยเหตุที่ตั้ง มหาสติจนเป็นสมาธิได้ มหาปัญญาย่อมเป็นผลลัพธ์ออกมาเอง
    หากมหาปัญญาแก่กล้า อภิปัญญาก็ไม่น่าจะอยู่ไกลจนเกินไป

    ตั้งเหตุให้ถูก ผลย่อมออกมาถูกทางเอง
    ควรอ่าน อานิสสงค์ของ มหาสติปัฏฐาน 4 ประกอบไปด้วยนะครับ
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาทิฎฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือ ประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ จะตั้งตนกระทำในใจอย่างไร จึงจะละทิฎฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฎฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า.....................จุนทะ บรรดาทิฎฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่ มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบ ตามที่เป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า นั้นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา ดังนี้ การละซึ่งทิฎฐิเหล่านั้น การสลัดคืนซึ่งทิฎฐิเหล่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี----มู.ม.12/72/100-101.:cool:
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้งไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น...ภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่า(กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขี้น(อภิสังขต) เป็นสิ่งที่ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น(อภิสญเจตยิด) เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้(เวทนีย).............ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีแห่งกายนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฎิจจสมุปบาท นั้นเทียว ดังนี้ว่า ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมี อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาน------(ต่อ ตามปฎิจสมุปบาท....จน)เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปยาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.............เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาน(ต่อไปจนถึง) เพราะมีความดับแห่ง ชาตินั้นแล ชรา มณะโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล---นิทาน.สํ.16/77/143:cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............ก้อ ก้อ ถ้าตั้งใจจะศึกษาจริงจริง แม้ สุตมยปัญญา หรือ ขั้น จินตามยปัญญา จากพระสูตร ในหัวข้อของสัมมาทิฎฐิคือ พวกเราท่าน น่าจะโชคดีพอควร ที่เกิดมาอ่าน เขียน ฟัง พูด รู้เรื่อง ศึกษาได้...และสามารถโยนิโสมนสิการพระสูตรที่ว่าด้วย " สัมมาทิฎฐิ" ให้ ยิ่ง ยิ่ง ขึ้นไป....ทีนี้พอ โยนิโสมนสิการ สัมมาทิฎฐิได้บ้าง..เรียนรู้เลาเลา ว่า...ขันธิ์ทั้งหลาย แม้ในอดีต หรือ อนาคต แม้ปัจจุบัน ก็คือ ปัจจัย รูป-นาม...ไม่ใช่ของของเรา(ความเข้าใจจากระดับ สุตมยปัญญา)...แท้จริงเรามีอวิชา จึงเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร และ ต่อต่อกันไป จนถึงทุกขโทมัสอุปายาส...หรือจากพระสูตรข้างบนนี้...พอเริ่มรู้รส สัมมาทิฎฐิได้ บ้าง การกล่าว ในระดับโลกโลก เป็นไปด้วยอาสวะ จะเริ่มหมดไป...และจะเริ่มเข้าใจ ความจริงแท้ (แท้) หรือ สัมมาทิฎฐิ ระดับเหนือโลก..ยิ่งยิ่งขึ้นไป ครับ:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    หรือ จะยังไงดีล่ะ...ถ้าเข้าใจเรื่อง ปฎิจสมุปบาท ในวันนี้(เดี๋ยวนี้) ความปรารภ เรื่องขันธิ์ ในอดีต หรือ อนาคต หรือปัจจุบัน อาจจะกระจ่างขึ้นทีละนิดทีละนิด..ความรู้ใน..อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั้นแหละทำลายอวิชชา...หรือผู้มีอวิชชาคือผู้ที่ไม่รู้ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค..นั้นเอง...สัมมาทิฎฐิอันเป็นหนึ่งในองค์แห่งอริยมรรคมีองค์แปด...ซึ่งควรเจริญหรือ อริยะมรรคทุกองค์..นั้นเองที่จะทำให้ มีความเข้าใจไป....จน ยิ่งยิ่ง ขึ้นไป:cool:
     
  9. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ถูกต้องเลยคับ ผมตอนแรกไม่มีญานอะไรเลย เจริญวิปัสนากรรมฐานไม่กี่เดือนก็ได้ญาน ฌานแล้วเหมือนกัน
     
  10. ToPiCaL

    ToPiCaL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,475
    ค่าพลัง:
    +4,585
    เหมือนเคยอ่านเจอที่คนเคยถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำคำถามทำนองนี้ไว้เหมือนกัน
    หลวงพ่อตอบทำนองว่า แค่เราหวังพระนิพพาน ก้แสดงว่า บารมีเราสามารถถึงนิพพานได้แล้ว
     
  11. Enjjoy

    Enjjoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +184
    <font color="DarkRed"><b>พระพุทธเจ้าตรัส ปฏิปทา ๔ แบบ</b></font><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว</b></font></div><br></div><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติลำบาก คือ ผู้ที่ปฏิบัติยังไม่ถึงฌาน ๔</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>ปฏิบัติสบาย คือ ผู้ที่ปฏิบัติถึงฌาน ๔ แล้ว</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>รู้ได้ช้า คือ <font color="red">อินทรีย์ ๕</font> อ่อน</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>รู้ได้เร็ว คือ <font color="red">อินทรีย์ ๕</font> แก่</b></font></div><div><font color="DarkRed"><b><br></b></font></div><div><font color="DarkRed"><b>ทั้ง ๔ ปฏิปทา กล่าวถึง <font color="red">อินทรีย์ ๕</font><br></b></font><font color="DarkRed"><b><font color="red">ศรัทธา</font> คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใส<br><font color="red">วิริยะ</font> คือ ความเพียร<br><font color="red">สติ</font> คือ การระลึกได้<br><font color="red">สมาธิ</font> คือ ความตั้งมั่นของจิต<br><font color="red">ปัญญา</font> คือ การรู้ตามความเป็นจริง<br><br><font color="red" size="5">เพราะฉนั้นฟันธงที่ อินทรีย์ ๕</font><br><br></b></font></div><div><font color="DarkRed"><b><font color="red">ของเดิม</font> ที่คุณกล่าวถึงนั้นคือ <font color="red">อินทรีย์ ๕</font> จะเข้าถึงนิพพานช้าหรือเร็วต้องทำ <font color="red">อินทรีย์ ๕</font> ให้แก่กว่า</b></font>
     
  12. Enjjoy

    Enjjoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +184
    <div>
    <div style="word-wrap: break-word; -webkit-nbsp-mode: space; -webkit-line-break: after-white-space;"><h2>ปฏิปทาของการสิ้นอาสวะ ๔ แบบ</h2><div>ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ปฏิปทา ๔ ประการ<br>
    เหล่านี้ มีอยู่ ; คือ :-<br><a href="http://buddhaoat.blogspot.com/2011/07/blog-post_5178.html">ปฏิบัติลำบาก รู้ได้ช้า ๑</a>,<br><a href="http://buddhaoat.blogspot.com/2011/07/blog-post_273.html">ปฏิบัติลำบาก รู้ได้เร็ว ๑</a>,<br><a href="http://buddhaoat.blogspot.com/2011/07/blog-post_1064.html">ปฏิบัติสบาย รู้ได้ช้า ๑</a>,<br><a href="http://buddhaoat.blogspot.com/2011/07/blog-post_4584.html">ปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว ๑</a>.</div></div>
    </div>
     
  13. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    เกิดเป็นคนได้ ก็ถือว่าพร้อมแล้วละ
    อยู่ที่ความตั้งใจแล้วละ เกิดมาก็ออกมาจากที่เดียวกัน
    แขนสองขาสองหัวหนึ่ง ศิล 5 มาเต็มภูมิ จะอารธนาหรือไม่อาราธนาก็มีอยู่ยังงั้น
    ทำผิดก็ไปนรกเต็มๆทำถูกก้ไปสวรรค์เต็มๆ เพิ่มภาวนาเข้าไปก็ได้ไปตามขั้นตามภูมิ
    บางท่านหวังแค่สวรรค์ บางท่านหวังพรหมโลก บางท่านหวังนิพพาน
    แต่สุดท้ายท้ายที่สุดก็อยู่ที่การปฏิบัติเมื่อเป็นมนุษย์นี่แล
     

แชร์หน้านี้

Loading...