ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนาด้วยครับพี่Wisdom ขอบคุณครับ
    ขอเชิญพี่Wisdom มาเผยเเพร่ พูดคุยนะครับ...จริงผมไม่ค่อยว่างซักเท่าไหร่ในการเข้ามาครับ ตอนใหม่มีเวลาตอนนี้เวลารัดตัวครับ...ผมทำงานอยู่3จว.ใต้ครับเรื่องความปลอดภัย
    บางทีก็ไม่มีเวลาเข้ามาครับ ขอเชิญพี่Wisdom และพี่ๆทั้งหลายทุกๆท่านที่มีความเคารพศรัทธาในหลวงปู่หลวงตามาเเผยเเพร่หรือพูดคุยกันได้ตลอดเวลา...นะครับตามสะดวกครับ...หากผมว่างผมจะเข้ามาเก็บเกี่ยวข้อมูลด้วยครับขอบพระคุณครับ;););)
     
  2. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พิธีปลุกเสกเหรียญเปิดโลก
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    จากหนังสือกายสิทธิ์ 2

    คณะของ คุณ วรวิทย์ ด่านชัยวิจิตร มีศรัทธาสร้างรูปของหลวงปู่ แต่ท่านให้สร้างเป็นรูปของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดแทน โดยให้ออกแบบตามรูปถ่ายที่หลวงปู่ลอยในอากาศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้เขียนได้สรุปมาจากคุณชนะ ศรีชฎา ขณะท่านทำงานเป็นผู้จัดการเขต ธนาคารกรุงไทย จังหวัดภูเก็ต โดยท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของรูปนี้ว่า ได้มาจากพระอาจารย์ชัย ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งอาจารย์ได้มีโอกาสไปร่วมในพิธีที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการบวงสรวงและอธิษฐานจิตของคณาจารย์หลายองค์ โดยมีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานที่วัดพระบรมธาตุ เมืองนครฯ เพื่อต้องการรูปของหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ไว้เคารพสักการะ และนำไปเป็นแบบในการสร้างหุ่นขี้ผึ้ง เมื่อทำพิธีบวงสรวงเรียบร้อยแล้ว จึงใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายขึ้นไปบนท้องฟ้า

    และได้เกิดปรากฎการณ์พิเศษเหนือธรรมชาติ เพราะมีรูปพระองค์แก่ๆ เกิดขึ้น หลังจากได้นำฟิล์มมาล้าง พระอาจารย์จำเนียร แห่งวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ ได้เข้าสมาธิถาม ได้รับคำตอบว่า ท่านคือ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด นั่นเอง

    [​IMG]

    จึงได้มีการสร้างและออกแบบโดยให้เพิ่มเติมลูกแก้วไว้บนมือ และให้หลวงปู่นั่งบนดอกบัว เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ทั้งของวัดช้างไห้และวัดพะโคะ เนื่องจากลูกแก้วคู่บารมีหลวงปู่ยังคงต้องเก็บรักษาไว้ที่วัดพะโคะ จังหวัดสงขลา ส่วนการนั่งบนดอกบัวนั้น มีแรงบันดาลใจจากคุณอนันต์ คหบดี จังหวัดปัตตานี ที่เห็นหลวงปู่นั่งบนดอกบัว ในคราวที่ท่านจัดสร้างเพื่อถวายอาจารย์ทิม แห่งวัดช้างไห้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ และวัดพะโคะ คือองค์เดียวกัน สำหรับการนั่งบนดอกบัวนั้น เป็นนิมิตที่ท่านแสดงถึงความปรารถนาพุทธภูมิ และบารมีเต็มเรียบร้อย มิใช่การบังอาจที่แสดงถึงการไม่เคารพพระพุทธเจ้า เพราะมีการวิจารณ์ว่า พระสงฆ์ไม่ควรนั่งบนดอกบัว แต่ในเรื่องนามธรรม ความลึกลับแล้ว เป็นการแสดงถึงบารมีของการปรารถนา ที่ท่านเมตตาแสดงไว้ให้แก่ผู้ที่เคารพศรัทธา สำหรับจำนวนของวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ประกอบด้วย

    ๑.เหรียญทองคำ ๒๔๐ เหรียญ
    ๒.เหรียญเงิน ๑,๐๓๖ เหรียญ
    ๓.เหรียญทองแดง ๑๐,๕๐๐ เหรียญ
    ๔.พระผง ๕,๐๐๐ องค์
    (ในจำนวนนี้มีพระผงที่ฝังพระธาตุเอาไว้ด้วย จำนวน ๓๖๐ องค์)
    ๕.ตะกั่วผสมพลวง ๑,๐๐๐ เหรียญ
    ๖.โปสเตอร์รูปหลวงปู่ดู่ ๑๐,๐๐๐ แผ่น
    ๗.ลูกแก้วสารพัดนึก ๕,๐๐๐ ลูก

    สำหรับเหรียญทองคำ เงิน และทองแดง ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกับเหรียญ หลวงพ่อหวล ภูริทัตโต วัดพุทไธศวรรย์ ในวาระอายุครบ ๕ รอบ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๒....

    ในพิธีพุทธาภิเษกนี้ นอกจากหลวงพ่อหวล เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชแล้ว ยังได้กราบอาราธนาพระผู้ทรงวิทยาคุณองค์อื่นๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หลวงพ่อทิม วัดพระขาว, หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา และ อาจารย์แม้น วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ, พระอาจารย์สุทิน วัดสะแก ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุง ฯลฯ

    หลวงพ่อหวล ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของผู้เขียน (อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์) ได้ให้ผู้เขียนกราบนิมนต์หลวงปู่ดู่ ซึ่งท่านรับจะร่วมอธิษฐานจิตตั้งแต่ ๑๘.๐๐ นาฬิกาของวันพิธี หลวงพ่อหวลได้เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังจุดเทียนที่ขันน้ำสาครและราวเทียนอยู่นั้น ท่านเห็นพระองค์หนึ่งมายืนข้างๆ ซึ่งท่านไม่รู้จัก ในแวบหนึ่งท่านฉุกคิดถึงหลวงปู่ดู่ เมื่อผู้เขียนนำภาพหลวงปู่ดู่ไปถวาย ท่านจึงบอกว่า "ฉันไม่ได้เพี้ยนแน่ เพราะคือองค์นี้เองที่เห็น" เมื่อผู้เขียนนำเรื่องราวไปเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟัง ท่านตอบว่า

    "เดี๋ยวจะหาว่าฉันโกหก ใครตาดีก็ดูกันเอาเอง"

    [​IMG]

    ในวันพิธีเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด ฝนตกลงมาอย่างหนัก ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจ เพราะเมื่อไปถึงวัด ผู้คนวันนั้นมีมากเกินกว่าที่คิดไว้ ของที่นำมาปลุกเสก ทั้งจากผู้สร้างและผู้นำมาเข้าร่วมพิธี สูงจนท่วมตัวหลวงปู่ ทุกคนที่มาในพิธีอาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่า นี่เป็นวาระสุดท้ายที่หลวงปู่จะโปรดพวกลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งหลวงปู่ได้เป็นผู้กำหนดวันพิธีไว้ล่วงหน้าคือ วันอังคารที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒

    ก่อนจะเริ่มพิธีเมื่อกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย และขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยแล้ว ผู้เขียนได้กล่าวอาราธนาหลวงปู่ว่า

    "ขออาราธนาพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้โปรดเมตตาอธิษฐานจิต ปลุกเสกรูปเหมือนหลวงปู่ทวด และวัตถุมงคลในพิธีที่คณะลูกศิษย์ได้ร่วมใจกันสร้างขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องระลึกถึงพระไตรสรณคมน์และการนำไปปฏิบัติธรรมของเหล่าคณะศิษย์ของวัดสะแก ซึ่งมีหลวงปู่ทวดเป็นประธาน สืบต่อไป"

    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้ให้ผู้เขียนกล่าว ชุมนุมเทวดา เพื่อให้มาโมทนาและร่วมในพิธี ต่อไปนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่ ที่กล่าวไว้เสมือนกับเป็นอมตะวาจา ที่ทิ้งไว้ให้ระลึกถึง เพื่อให้ลุกศิษย์เกิดศรัทธาปสาทะ มีกำลังใจที่จะสร้างคุณงามความดี จนในที่สุดกลายเป็น อจลศรัทธา สามารถพึ่งตนเองได้ วาจาของหลวงปู่มีดังนี้


    "ตั้งใจกันทุกคน ภาวนาไตรสรณคมน์ นิมนต์ท่านด้วยทั้ง ๔ องค์"
    (ในวันนั้นมีพระสงฆ์อยู่ด้วย ๔ รูป)

    หลวงปู่ "เชิญพระมาทั้งหมดแสนโกฏจักรวาฬ เทวดาด้วย ขอให้ท่านมาช่วยกัน หลวงพ่อทวดมาหรือยัง"

    ผู้เขียน "มาแล้วครับ"

    หลวงปู่ "หลวงพ่อเกษม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่แปลพระไตรปิฎกฉบับลังกา หลวงพ่อบุดดามาแล้วใช่ไหม"

    ผู้เขียน "ครับ"

    หลวงปู่ "ตั้งจิตยกของทั้งหมดตามหลวงพ่อทวด ไปพุทธาภิเษกที่วิมานแก้วพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้ารับ ท่านรับแล้วหรือยัง"

    ผู้เขียน "ครับ รับแล้ว"


    หลวงปู่ยกมือขวา ลูบพระทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ๒-๓ ครั้งอย่างช้าๆ

    หลวงปู่

    "ตั้งจิตไว้ไปวิมานพระธรรม วิมานพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอให้ท่านช่วยเสร็จแล้วใช่ไหม ตอนนี้สว่างไปหมด พรหมโลก เทวโลก มนุษโลก

    ดูพุทธนิมิตของหลวงพ่อทวดเต็มท้องฟ้าไปหมด ตั้งจิตนำของทั้งหมดไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่ดอยสุเทพ ที่ดอยสุเทพมีพระธาตุพระพุทธเจ้าอยู่ ขอพระพุทธเจ้าให้ท่านประสิทธิ ดูซิของทั้งหมดสว่างหมดหรือยัง"

    ผู้เขียน "สว่างหมดแล้ว"

    หลวงปู่


    "ยกของทั้งหมดมาที่วัดสะแก อย่าเพิ่งลง ทำทักษิณาวัตรรอบภูเขาบุญกว้าง ๑ เส้น สูง ๑ เส้นก่อน ๓ รอบ ตอนนี้หลวงพ่อทวดอยู่ที่ไหน ลอยอยู่ในอากาศเห็นหรือยัง อัญเชิญพุทธนิมิตหลวงพ่อทวดมาปฏิสนธิสถิตในของทั้งหมด

    ดูซิของทั้งหมดสว่างไสวไปหมด แสงแตกกระจายออกไปเหมือนไฟพะเนียงแตก ขอหลวงพ่อทวดคุ้มครองรักษา ฝากเทวดาช่วยปกป้องรักษาของทั้งหมดนี้ตลอดไป ปิดอันตรายทุกอย่าง ของสว่างใช้ได้แล้วหรือยัง ตั้งใจให้ดี อุทิศกุศลไปให้โดยรอบสุดขอบจักรวาฬ อนันตจักรวาฬ ฉันจะให้พรแทน"

    หลวงปู่ให้พรและกรวดน้ำแทนคณะศิษย์ทั้งหลาย เนื่องจากในวันนั้นเสียงหลวงปู่เบามาก จึงได้ยินกันไม่ค่อยทั่วถึง หลังจาดพิธีเสร็จแล้วในวันต่อมา ได้กราบเรียถามหลวงปู่ ท่านบอกว่า


    "เกือบจะปลุกเสกไม่ได้ เนื่องจากมีคนจัดยาให้ท่านฉันผิด จึงทำให้ท้องเสีย ถ่ายท้องหลายครั้ง แต่เมื่อถึงพิธีกลับทำได้"

    นับว่าหลวงปู่มีขันติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นความเมตตาอนุเคราะห์แก่คณะศิษย์อย่างมาก

    วัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ คณะของคุณวรวิทย์ได้แจกจ่ายให้กับศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นเหรียญชนิดเงินและทอง ซึ่งคิดเท่ากับต้นทุนตามที่มีผู้สั่งจอง เนื่องจากมีผู้ได้รับแจกมาก จึงทำให้บางคนที่ไม่รู้จักคุณค่านำไปแลกเปลี่ยนจำหน่ายในสนามพระ

    ปัจจุบันวัตถุมงคลดังกล่าว ยังมีเหลืออยู่บ้างในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งต้องแล้วแต่กาลเวลา เพราะต้องดูโอกาสที่ควรจะเปิด ท่านที่อยากได้ก็จงอธิษฐาน ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ถ้าวาสนาของท่านดี คงมีโอกาสได้รับวัตถุมงคลรุ่นนี้ ที่เรียกกันว่า "รุ่นเปิดสามโลก" หรือที่เซียนพระเรียกว่า "รุ่นดัง" นั่นเอง

    มีเพื่อนของลูกศิษย์ผู้เขียนเคยนำหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ ซึ่งพิมพ์ครั้งพระราชทานเพลิงศพของพ่อผู้เขียน ไปถวายเพื่อนของเขาซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อเขาเห็นหนังสือ เขาได้บอกว่า


    "เพิ่งจะรู้ว่าหลวงพ่อดู่ที่หลวงพ่อเกษมกล่าวถึงคือองค์นี้เอง"

    [​IMG]

    จึงได้เกิดการซักถามกันขึ้น พระจึงเล่าให้ฟังว่า เคยไปนมัสการ หลวงพ่อเกษม กับโยมมารดาของท่าน ตั้งแต่ยังไม่ได้บวช มารดาได้พาไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เพื่อจะขอบารมีให้ลูกชายบวช หลวงพ่อเกษมท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่ ได้เอ่ยถามมารดาของท่านว่า

    "รู้จักหลวงพ่อดู่ วัดสะแกไหม"

    ซึ่งมารดาเรียนตอบท่านว่า ไม่เคยรู้จัก หลวงพ่อเกษมท่านจึงพูดต่ออีกว่า

    "เคยได้ยิน เหรียญเปิดโลกไหม"

    เธอก็ตอบอีกว่า "ไม่เคยได้ยิน"

    หลวงพ่อเกษมจึงพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า...

    "ให้ไปหามาบูชา เหรียญนี้ดี กันนิวเคลียร์ได้"

    พระองค์นี้ก็ได้แต่สงสัยว่า หลวงพ่อดู่อยู่ที่ไหน และจะหาเหรียญได้ที่ใด เป็นเวลาเกือบปี จึงเกิดความกระจ่างจากหนังสือที่ได้รับ แสดงว่าหลวงพ่อเกษมท่านใช้ อนาคตังสญาณ คือ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องอนาคต ที่ท่านและมารดาของท่าน จะต้องมาเกี่ยวข้องกับหลวงปู่อย่างแน่นอน<!-- google_ad_section_end --> ..

    ......................................................................................

    คัดลอกมาจาก ประสบการณ์ ธรรมะ พระเครื่อง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  3. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ


    [​IMG]


    กล่าวโดยย่อคือ :
    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงสฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมา รวมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังพระโพธิญาณโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บุญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อน หรือระหว่างนั่งกรรมฐาน จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุม และคุมการปฏิบัติของเรา คลุมกายและจิตใจเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

    หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆ ที่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิดกำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวดพระคาถาครอบจักรวาล

    ปล.สำหรับนักปฏิบัติเบื้องต้นให้ใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว


    ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ

    พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้ามีพุทธคุณอย่างไร?

    พระผงจักรพรรดิมีประโยชน์มากโดยเป็นพระที่นำมาช่วยในการทำกรรมฐานและบูชาติดตัวเพื่อคุ้มครอง เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญ แก่ภพภูมิโดยรอบ

    หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่าพระรุ่นนี้ ที่มีผงจักรพรรดิของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้..

    พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐาน ให้ก้าวหน้าได้โดยไว โดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสารผงจจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ ที่ท่านหลวงตาม้าได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนตร์นั่งสมาธิสวดมนตร์ แผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้น

    ทั้งพระธาตุที่องค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์) หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุดนี้ เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณ และกำลังบารมี 10 เข้มข้น นำไปใช้ประโยชน์ด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า

    หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไปผ่านมา รับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย
    (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป)

    นอกจากนั้นยังมีพุทธคุณสูง สำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิ แล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระจะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้น เพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่องค์จิตด้วย จากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัด โดยเป้นวิการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้า ในปัจจุบัน และ

    หากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนตร์รักษาโรค หรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ โดยอธิษฐานเอาด้วยคาถาจักรพรรดิ

    อย่างไรก็ตามผู้ปฏิบัติตนก็ต้องตั้งตนให้อยู่ในความดีไว้ด้วย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และมีศีล 5 เป็นฐานจะช่วยให้เราทรงในความดี และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่


    กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่ท่านสอน

    หลักในการนั่งสมาธิ ให้ขาขวาทับขาซ่าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ผ่อนลมหายใจยาวๆ ลึกๆสัก 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ให้ภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 2 ภาวนาว่า ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 3 ภาวนาว่า สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยังไม่ต้องนึกคิดสิ่งใด ทำใจให้ว่างๆ วางอารมณ์ทั้งที่เป็นอดีต และอนาคต

    เมื่อลมหายใจเริ่มละเอียดและจิตใจเริ่มโปร่งเบาขึ้นบ้างแล้ว จึงค่อยเริ่มบริกรรมภาวนา โดยกำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก (เอาสติมาแตะรู้เบาๆ)แล้วตั้งใจภาวนาคาถาไตรสรณาคมณ์ดังนี้พุท ธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เมื่อภาวนาบริกรรมจบแล้ว ก็ให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่เช่นนี้เรื่อยไป

    มีสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมาก็คือ ขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่นั้น ให้มีสติระลึกอยู่กับคำภาวนา โดยไม่ต้องสนใจกับลมหายใจ คงปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกเป้นไปตามธรรมชาติ ปราศจากการควบคุมบังคับ ภาวนาด้วยใจที่สบายๆ และให้ยินดีกับองค์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในจิต เมื่อจิตมีความสงบสว่าง ก็น้อมแผ่เมตตาออกไป โดยว่า พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ แล้วตั้งใจภาวนาต่อไป เมื่อจิตถอนขึ้นจากความสงบ ให้ยกเอากายหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นพิจารณา โดยน้อมไปสู่พระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความทนได้ยาก) และอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนอันเที่ยงแท้)

    เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มซัดส่าย หรือขาดกำลังในการพิจารณา ก็ให้วกกลับมาภาวนาคาถาไตรสรณาคมน์อีก เพื่อดึงจิตให้เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทำสลับเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเลิก ก่อนจะเลิกให้อาราธนาพระเข้าตัวว่า สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ แล้วจึงแผ่เมตตาอีกครั้ง โดยว่าเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในตอนต้น อนึ่งการภาวนานั้น ท่านให้ทำได้ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า และชื่อว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท


    คำอธิษฐานฝึกจิตเร่งสมาธิเร่งนิมิต

    'ข้าพเจ้า...(นาม) ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ขอนอบน้อม และน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระบรมมหาจักรพรรดิ์ ทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐาน 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวารของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวะการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิตแต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด'

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    คำอธิษฐานรวมบุญ

    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดรวมกองบุญของข้าพเจ้า....(นาม) เพื่อเบิกมาใช้ให้มีความคล่องตัวในทุกๆเรื่อง อันใดติดขัดขอให้คล่องดังน้ำที่ไหลออกจากคนโทที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป โดยขึ้นชื่อว่า ความอด ความอยาก ความยาก ความไม่มี จงอย่าได้บังเกิดมีในข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้แห่งพระพุทธศาสนานับตั้งแต่กาลบัดเดี๋ยวนี้ตราบจนข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และโดยเฉพาะกาลนี้ขอให้คล่องตัวในเรื่อง'...(อธิษฐานพิเศษเอา)

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    คำอธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ

    'ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดส่งวิญญาณปรับภพปรับภูมิของ...ชื่อ นามสกุลหรือกลุ่มก็ได้ (หรือโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน ทุกคนทุกท่านก็ได้) ให้สู่สุคติด้วยเถิด' แล้วอัญเชิญพระเข้าตัว

    ให้หมั่นส่งวิญญาณแผ่ทั่วทั้ง 3 โลก พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่นรกโลก และทุกอบายภูมิ ผู้มีพระคุณ ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับข้าพเจ้า ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวาร เทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า เวลาทำบุญก็ให้เรียกกายทิพย์เข้ามารับบุญ

    ก่อนทานอาหารให้ส่งวิญญาณ กวาดมือเหนืออาหารมีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ กระแสบุญจะส่งถึงวิญญาณเอง

    อธิษฐานให้บุตร คนรัก หรือคนในปกครอง แม้กระทั่งเจ้านายละมิจฉาทิฐิอยู่ในโอวาทเป็นคนดีขึ้น จิตใจเยือกเย็นขึ้น

    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดกล่อมเกลาปรับสภาพร่างกายของ (ชื่อ...นาม....หรือกลุ่ม) ให้ดีขึ้น ขอให้ร่างกายแข็งแรงจิตใจเยือกเย็นเบิกบานมีหิริโอตตัปปะ มีจิตใจฝักไฝ่แต่ความดีเกลียดกลัวความชั่วทั้งปวงให้ว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท'

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    ใช้อธิษฐานทำน้ำมนตร์รักษาโรค

    ให้นำพระ (เลี่ยมก็ได้ไม่เลี่ยมก็ได้) มากำสวดคาถามหาจักรพรรดิ์ 7 จบ แล้วอธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด (อันนี้จำเป็นต้องขอบารมีท่านโดยตรง) ขอได้โปรดให้น้ำใดๆก็ตามไม่ว่าเล็กว่าน้อย หรือมากมายดังมหาสมุทรที่ถูกแช่ในพระผงกำลังพระจักรพรรดิ์นี้ จงมีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพเฉกเช่นเดียวกับหัวเชื้อน้ำมนตร์จักรพรรดิ์ทุกประการ เพื่อใช้ในการมงคลทั้งปวง เพื่อใช้ในการปรับธาตุทั้ง 4 และรักษาโรคภัยทุกประเภท ขอบารมีอันหาที่สุดมิได้ของหลวงปู่จงโปรดให้เป็นไปตามคำอธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด' จึงค่อยๆจุ่มพระลงในภาชนะใส่น้ำ แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    ใช้ทำน้ำมนตร์แก้และกันคุณไสย

    คำกล่าวอาราธนาบารมีว่าข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นับตั้งแต่ อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้, พระศรีอริยะเมตรัย ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการรักษาดรคอันเกิดแต่คุณไสยอวิชชานี้ด้วยเถิด....แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    การอธิษฐานครอบดวงแก้วให้แก่บ้านเพื่อป้องกันรังสีทั้งบ้านในกรณีที่เกิดภาวะสงครามที่มีการใช้กัมมันตรังสี ( เวลาที่เหมาะสม 20.30 น.)

    ตั้งจิตนน้อมถึงหลวงปู่ดู่ 'ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าขอถวายแล้วซึ่งร่างกายดวงวิญญาณถวายแล้วซึ่งขันธ์ทั้ง 5 กอง เพื่อบูชาคุณแห่งองค์พระตถาคตทศพล ขอบารมีแห่งพระองค์นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต จงสถิตยย์อยู่เหนือศรีษะของข้าพเจ้าทุกวันคืน ทั้งยามหลับยามตื่น ยามยืน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว ขอเดชะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดีด้วยใจก็ดี กรรมอันใดอันข้าพเจ้าล่วงเกินกระทำแล้วในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งรู้ตัวก็ดีมิรู้ตัวก็ดี โดยเจตนาก็ดี มิเจตนาก็ดี ทั้งชาตินี้ก็ดี ทั้งอดีตชาตินับสงไขยมิถ้วนก็ดี กรรมอันใดเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งไป ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงโปรดละซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการปราศจากเวรภัยแก่ตัวข้า และเพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป

    ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตโดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการป้องขจัดทำลายรังสี และพลังงานอันไม่ดีทั้งปวงที่เข้ามาในอาณาบริเวณเขตน้ำมนตร์แห่งนี้ ให้เกิดปรากฏเป็นปราการแก้วคุ้มครองเจ็ดชั้น ทั้ง 6 ทิศ คือเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน เบื้องล่าง ให้กระแสเย็นแห่งน้ำมนตร์นี้ จะเปล่งออกไปเป็นรัศมีเรืองรองคุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุมบ้านทั้งหลังของข้าพเจ้านี้ ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนี้ จงร่มเย็นปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด' จากนั้นจึงกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    การนำองค์พระมาช่วยในการภาวนา ในการฝึกวิชาเปิดโลก
    (วิชาภูมิของพระพุทธเจ้าของหลวงปู้ดู่ และการปรับภพปรับภูมิ)

    เมื่อมีองค์พระแล้ว ให้อาราธนามาไว้ในมือ แล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐาน ด้วยบทสรรเสริญพระพุทธคุณ บทอาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และบทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ์ จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบทที่เราถนัด กำพระไว้ในกำมือน้อมนึกอาราธนากำลังจากองค์พระมาที่จิตเป็นการเพิ่มพลังจิตในการภาวนาของเรา การบริกรรมใช้คำบริกรรมพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือภาวนาไตรสรณะคมน์ไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิ์ มาใช้แทนคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะได้ผลเร็วที่สุด

    นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้หัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนหน้าตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น กำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก เอาสติมาแตะรู้เบาๆ น้อมจิตเข้าหาพระ (นึกถึงหลวงปู่) แล้วตั้งใจภาวนาคาถา กำพระเบาๆ วางจิตเบาสบายๆ กายสบายๆ ขณะภาวนาให้หายใจเหมือนปกติ ไม่ต้องคำนึงถึงลมหายใจ เมื่อภาวนาจบแล้วให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนี้เรื่อยไป ระหว่างวันสวดคาถาจักรพรรดิ์ในจิตไว้ เป็นบุญใหญ่เป็นวิมานแก้วครอบเรา

    ให้ทุกคนอธิษฐานตั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เหนือหัว โดยมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ อยู่ด้านซ้ายขวา ของพระพุทธเจ้า เวลาไปฝึกกายวิเวกก็นั่งภาวนาหลับตาไปเรื่อยๆไม่ต้องกลัว เพราะเราตั้งพระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ไว้แล้ว ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้

    ให้คอยรู้กาย คอยรู้อย่างที่มันเป็น เพราะเราต้องการรู้ความจริงของกายของใจ เกิดปัญญาปล่อยวางการยึดถือกายใจได้ ทุกก้าวเดินถ้ามีความรู้สึกตัวเรียกว่าเดินจงกรมภาวนาไปรู้กายรู้ใจไป ละความเห็นผิดว่ากายใจนี้คือตัวเรา ปล่อยวางความยึดถือ รู้สบายๆกาบเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก ใจเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก รู้สึกไปตามธรรมชาติธรรมดาให้มีสติรู้สึกตัวสบายๆว่าเราสวดมนตร์

    'อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไป จนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ว่า สุทินนัง วะตะ เมทานัง อาสะวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ต้องพบกับความดี มีความสุข ไม่จำเป็นต้อง อธิษฐานยืดยาวหรอก'

    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า 'ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า' แล้วอธิษฐานบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ เวลามีพิธีอะไร เช่นเวลามีการปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆก็ได้ทั้งนั้น การสำรวม กาย วาจาใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อมีพิธีการทางสงฆ์ เพราะบ่อยครั้งขณะที่พระให้ศีล หรือให้พร ญาติโยมบางคนก็เริ่มคุยแข่งกับพระ เสียงโยมเมื่อรวมกันดังกว่าเสียงพระเสียอีก ตนเองไม่ได้บุญยังไม่พอแต่กลับไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นการขัดบุญที่ผู้อื่นจะพึงได้รับ หลวงปู่ดู่เคยพูดว่า 'ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเกิดเป็นตะเข้ขวางคลอง'


    คำอธิษฐานเพื่อตัดกระแสกรรมที่เกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรวิญญาณเกาะติดกาย

    ให้ผู้อธิษฐานนั่งต่อหน้ารูปปั้น หรือรูปภาพหลวงปู่ดู่ แล้วจับภาพหลวงปู่ดู่ไว้บนเหนือศรีษะของผู้อธิษฐาน ตั้งจิตนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษมเขมะโก พุทธังอาราธะนัง กะโรมิ ธัมมังอาราธะนัง กะโรมิ สังฆัง อาราธะนัง กะโรมิ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ (3ครั้ง) น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต พุทธะ พรหมะ ปัญโญ (3ครั้ง) ระลึกถึงหลวงพ่อเกษมเขมะโก แล้วว่าคาถา นโม เขมมะโกภิกขุ (3ครั้ง) แล้วนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก มาคลุมกายเรา

    แล้วตั้งจิต อธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม อดีตปัจจุบันอนาคต ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอตัดกระแสกรรมเกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่ อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวรที่ยึดครองร่างกายข้าพเจ้านี้ ให้ละจากบุพกรรมทั้งปวงเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตราบจากนี้ไป ข้าพเจ้าสร้างบุญกุศลที่ใด อย่างไรทั้งหมดทั้งมวล ขอให้ท่านอนุโมทนาร่วมกับข้าพเจ้าได้ ตั้งแต่บัดนี้ตราบชั่วชีวิตข้าพเจ้า สาธุฯ'

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก ขอหลวงปู่ หลวงพ่อ ได้แผ่บุญกุศลทั้งหมดให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ครองกายข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรที่เล่นงานข้าพเจ้า ขอหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม ได้เมตตาอาราธนาบุญกุศลบารมีรวมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์สาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลายทั้งปวงทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันอนาคต

    รวมทั้งบุญกุศลของข้าพเจ้าทุกภพชาติ ขอได้โปรดรวมบุญทั้งหมดเหล่านี้เป็นกองบุญรวม ส่งให้ถึงญาติ และที่ไม่ใช่ญาติข้าพเจ้าก็ดี เทวดาเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ที่คุ้มครองรักษา เชื้อโรค นายเวร โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ (หรือเจ้ากรรมนายเวรของใครก็ตามที่ต้องการอธิษฐานให้) ให้ได้รับบุญเสวยผลบุญตลอดวันตลอดคืน ตลอดจนเราทั้งหลายเข้าสู่นิพพานก็ยังได้รับบุญเสวยบุญตลอดไป

    เมื่อท่านทั้งหลายโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าได้รับบุญแล้ว เมื่อท่านได้รับบุญแล้ว ขอให้ท่านตามไปอยู่กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ที่เทวโลก ไปเสวยสุขเรียนธรรมกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และขอนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ได้โปรดเมตตามารับตัวรับดวงวิญญาณท่านทั้งหลาย วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงวิญญาณทุกชาติ ทุกภพ โดยเฉพาะที่ดวงจิตนี้ ที่กำลังเล่นงานข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้ ให้ได้อยู่ในอุปการะคุณของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ให้ได้รับบุญ เรียนธรรม เสวยสุขที่เทวโลก และได้รับการส่งวิญญาณปรับภพภูมิดวงวิญญาณกายทิพย์ให้ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไปตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดไปเทอญ สาธุ


    การอธิษฐานขอบารมีพระช่วยเหลือในกรณีพิเศษในเวลา 20.30 น. ของทุกวัน

    เตรียมตัวให้พร้อมพร้อมใจดีกว่าพร้อมกาย หรือสถานที่ 20.15 น. ควรพร้อมแล้วอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในห้องพระก็ได้

    กำพระในมือพร้อมทั้งอธิษฐานขอท่านตามปรารถนา

    สวดมนตร์ตามตำรับหลวงปู่ดู่ อธิษฐานซ้ำอีกครั้งหลังสวดมนตร์เสร็จ หากทำทุกวันจะย่งทำให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

    คาถารวมจิต
    </O[​IMG]
    เวลาภาวนาจิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ให้นึกขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาสงเคราะห์รวบรวมกำลังใจของเรา ให้ทรงตัวเร็ว แล้วภาวนาว่า 'อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง' จนกำลังใจสงบจนทรงตัวแล้ว ค่อยใช้คำภาวนาตามเดิม

    กำหนดจิตถามพระในเรื่องการปฏิบัติ และในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก

    ทำใจให้สบายๆ กำพระ กำหนดให้เห็นรูปหลวงปู่ แล้วก็ถามเอาดื้อๆเลยเช่น 'หลวงปู่ทำอย่างไรดี ผมจะทำสัญญาฉบับนี้ ทำแล้วลูกจะเสียเปรียบไหม' จากนั้นทำใจสบาย ไม่ต้องเงื่ยหูฟังว่าหลวงปู่จะตอบ บางทีหลวงปู่ไม่ตอบเป้นคำพูด ท่านจะตอบเป็นจิตรู้เลย หรือจะให้เห็นภาพเลย บางทีก็จะมีเหตุการณ์บางอยางให้รู้เอง คือท่านจะดลทั้งใจ ทั้งรูปการณ์ให้พร้อมเสร็จ


    การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่

    ให้นึกถึงหลวงปู่ (ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลก และทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่นับตั้งแต่นี้ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน


    คำแปลคาถาบูชาพระ (มหาจักรพรรดิ์)

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาต่อพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้ง 3 อันหมายถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ , อาสวักขยะญาณ มีมือถึงพันมือ หมายถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแจกแจงหลักธรรม คือพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระธรรมของพระพุทธเจ้า พระสาวกผู้ปฏิบัติตาม

    ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มากพร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ธูปเทียน ไฟ หรือแสงสว่างของหอมทั้งมวล

    ขอนมัสการพระสีวลเถระเจ้าผู้เป็นเลิศทางลาภสัการะ ขอนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนียสถาน เป้นต้น ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยเทอญ


    คำแปลบท อัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)

    ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหาล ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์เจ้ารักษา (พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์) ทั้งหมดทั้งมวลขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระธรรม ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์.....บทนี้ใช้ได้ทั้ง 2 อย่างแล้วแต่เราตั้งเป้า


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article351.html</O[​IMG]>

    http://www.watthummuangna.com/home/<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิธีปฏิบัติสืบเนื่องจากบทสวดมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่

    เป็นบทสวดที่เรียบเรียงมาจาก'ชมพูปติสูตร' ในตอนที่พระพุทธเจ้า ทรงเนรมิตรพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์เพื่อกำราบทิฐิมานะ ของพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์


    <O[​IMG][​IMG]


    โดยผู้ที่แต่งพระคาถาบทนี้คือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ คาถาจักรพรรดิ์ บทนี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ ใช้ในการรวมบารมีแผ่ช่วยเหลือภพภูมิ และใช้ในการอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน

    การสวดครั้งหนึ่ง มีอานิสงค์แผ่ไป ทั้งสามแดนโลกธาตุแผ่บุญไปทั่วถึงสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูง ครอบครัวเจ้ากรรมนายเวร

    บทสวดพระมหาจักรพรรดินี้ เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งหมด ตลอดจนถึงพระธรรมและพระโพธิสัตว์เจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งมวล รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยะเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ์ทุกพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต มาอาราธนารวมเข้าที่กาย วาจา ใจ อัญเชิญเข้าตัวป้องกันภัย

    มีการกล่าวถึงพระสีวลี เป็นมหาโชคมหาลาภ และบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่ง ในการเจริญกรรมฐาน หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวที่ขัดข้อง ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง (เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ 20.15 น.)



    [​IMG]


    ทุกๆวัน ในเวลา ๒๐.๓๐ น.หลวงตาม้า (ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่) และศิษย์ทั้งหมดจะร่วมสวดมนต์บทนี้ เพราะเป็นช่วงที่เปิดทั้งสามโลกธาตุให้สื่อถึงกันได้หมดเทพพรหมทั่วแสนโกฏิจักรวาล จะร่วมกันสวดบทนี้ ในช่วงนี้ แม้แต่ไฟนรกก็ดับชั่วคราว คำอัญเชิญภพภูมิ

    ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐานกราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวม หลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตา อาราธนาบารมีรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมเด็จพระบรมธรรมบิดา สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระมหาสาละพุทธเจ้า จนถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น

    ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดยทั่วทั้งหมื่นแสนโกฎิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่สหัมบดีพรหม ท่านปู่พระอินทร์ พระยายมราช เจ้าฟ้าท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง4 พร้อมด้วยบริวารทั้งหมด พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์วีรบุรุษ และวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม

    โอปะปาติกะทั้งหลายพระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคาพระเพลิง พระพาย พระพิรุณพระยายมราชพร้อมบริวารพญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบท มหาจักรพรรดิ์ พร้อมกันกับพวกข้าพเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

    บทบูชาพระ

    พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ

    กราบพระ ๖ครั้ง

    พุทธัง วันทามิ(กราบ) ธัมมัง วันทามิ(กราบ) สังฆัง วันทามิ(กราบ)

    ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ(กราบ) มาตาปิตุคุณังวันทามิ(กราบ) พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ(กราบ)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ

    ปาณาติปาตา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อทินนาทา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อพรัมจริยา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    มุสาวาทา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    สุราเมระยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ(๓ครั้ง)

    สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปทา

    สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย

    บทอาราธนาพระ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
    ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
    สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ

    คาถาหลวงปู่ทวด

    น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถาดังนี้
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ครั้ง)

    คาถาหลวงปู่ดู่

    น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วว่าคาถาดังนี้
    นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ครั้ง)

    บทขอขมาพระรัตนตรัย

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    บทสวดมหาจักรพรรดิ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)

    (สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐)

    นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

    อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิสัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะปูเชมิ

    </O[​IMG]
    บทอัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส(สวด ๕ จบ)

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ

    (ให้อธิษฐานจิตแผ่บุญไปทั้งสามโลกธาตุ ภพภูมิทั้งหมดทั้งมวลบิดามารดา ญาติ เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ และส่งวิญญาณทั้งหลาย และขอเรื่องต่างๆที่เราต้องการความช่วยเหลือจากพระและหลวงปู่)

    คำอธิษฐาน ฝึกจิต เร่งสมาธิเร่งนิมิต

    ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิพระโพธิสัตว์และพระบรมมหาจักรพรรดิ ตั่งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุดขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง40 ทัศ พระปิติทั้ง5 และวิปัสสนาญาณทั้ง9 ขอพระกรรมฐานทั้ง40 ทัศ พระปิติทั้ง5 และวิปัสสนาญาณทั้ง9 จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวารในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ....ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    วิสัชนาจากหลวงปู่ดู่ สมมุติและวิมุติ

    ต้องอาศัยสมมุติขึ้นก่อนจึงจะเป็นวิมุติได้ เช่น การทำอสุภะหรือกสิณนั้น ต้องอาศัยสัญญาและสังขารน้อมนึกเป็นนิมิตรขึ้น ในขั้นนี้ไม่ควรสงสัยว่านิมิตนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม มาจากภายนอกหรือมาจากจิต เพราะเราจะอาศัยสมมุติตัวนี้ไปทำประโยชน์ต่อ คือยังจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ขึ้น แต่ก็อย่าสำคัญมั่นหมายว่าตนรู้เห็นแล้วหรือดีวิเศษแล้ว

    การน้อมจิตตั้งนิมิตเป็นองค์พระ เป็นสิ่งที่ดี ไม่ผิด เป็นศุภนิมิตคือนิมิตที่ดี เมื่อเห็นองค์พระ ให้ตั้งสติคุมเข้าไปตรงๆ (ไม่ปรุงแต่งหรืออยากโน้นนี่) ไม่ออกซ้าย ไม่ออกขวา ทำความเลื่อมใสเข้า เดินจิตให้แน่วแน่ สติละเอียดเข้า ต่อไปก็จะสามารถแยกแยะ หรือพิจารณานิมิตให้เป็นไตรลักษณ์จนเกิดปัญญา สามารถจะก้าวเข้าสู่วิมุติได้

    อานิสงส์การภาวนา

    'อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ' หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า

    อธิษฐานก่อนการถวายของที่หลวงปู่แนะนำ "การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น มีความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงพ่อตอบว่า "อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็ว่า สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ ต้องพบกับความดี มีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานยืดยาวหรอก"

    เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันวุ่นวาย หลวงพ่อบอกว่า"ใช้ น้ำใจ น้ำจิต ของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียก เขาเริ่มมาจากสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรต ญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือ หัวใจเปรตนั่นแหละ"หลวงพ่อท่านตอบเพื่อให้คลายกังวล สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น

    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า" แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เวลาเขามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้น

    ความรู้ที่ Joeyman เก็บมาเล่า : ทุกครั้งที่ท่าน พ.ธรรมรังสี ทำพิธีเสร็จท่านจะเดินทางไปที่วัดสะแก จ.อยุธยา ทุกครั้ง วัดสะแก..เป็นวัดที่หลวงปู่ดู่เคยจำพรรษาที่นั่นจนมรณะภาพ ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ที่นั่งรถกลับมาด้วยกันกับผมว่า ท่านจะไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่นั่นทุกครั้ง เพื่อขอบารมีหลวงปู่ดู่ เพราะที่นั่นหลวงปู่ดู่สร้างภูเขาบุญเอาไว้ หรือเรียกว่าเจดีย์ก็ได้ครับ ท่านเนรมิตรไว้สำหรับให้เทพยาดาทั้งหลายได้มาสักการะ

    ส่วนคนที่ใจบุญก็จะได้มาทำบุญเพิ่มบุญบารมีกันที่นั่น ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อท่านเดินเข้าไปที่วัดสะแกครั้งแรก พอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ท่านเห็นเจดีย์ใหญ่โตด้วยทองคำ ... สูงมหึมา...ปลายยอดแทงเสียดฟ้าขึ้นไปถึงบนสวรรค์ ...คนปกติที่ไม่ได้ญาณมองไม่เห็นครับ แต่ระลึกถึงได้

    ท่าน พ. เล่าให้ลูกศิษย์ว่าบนสวรรค์น่ะ เขาห่วงโลกมนุษย์ ประเทศไทยและพระศาสนามาก โดยเฉพาะยุคที่ศีลธรรมตกต่ำ จึงมีการประชุมกัน บ่อยๆเพื่อหาทางแก้ไข เพราะถ้าบ้านเมืองเป็นอะไรไปศาสนาพุทธก็จะอยู่ไม่ได้ บางทีเขาก็ส่งคนลงมาเกิดเพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนา มาเกิดเป็นพระบ้าง เป็นฆราวาสบ้าง แต่มีหน้าที่เหมือนกันคือช่วยเหลือพระศาสนาให้อยู่ครบ 5 พันปี

    ตามตำราที่ผมเคยอ่านบอกว่า...เมื่อถึง 5 พันปีครบแล้ว พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าจากทั่วโลกจะมารวมกันแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงปรากฏกาย ขึ้น จากนั้นจะทรงเทศนาสั่งสอนชาวโลกอยู 7 วัน 7 คืน เมื่อครบ 7 วันแล้ว กายนั้นก็จะสลายไป เป็นอันสิ้นสุดพระศาสนาของท่าน ครบ 5 พันปี

    บนสวรรค์นั้นเหล่าเทพทั้งหลายล้วนแต่เปลี่ยนมานับถือพระพุทธเจ้ากัน โดยเฉพาะเทพที่เรารู้จักกันดี ท่านนับถือพุทธกันหมดแล้ว อันนี้ผมก็อ่านมานะครับ เพราะลำพังผมคงขึ้นไปไม่ไหวล่ะ และในบรรดาคุรุผู้เป็นใหญ่คอยสั่งสอนเหล่าเทพและคอยแผ่บารมีช่วยเหลือสัตว์โลก ทั้งบนโลกเรารวมไปถึงในนรกจนสวรรค์ทุกชั้น ท่านนับถือให้หลวงปู่ทวดเป็นครูใหญ่แห่งโลกวิญญาณครับ

    หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว รอการมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อศาสนาของพระสมณะโคตมครบ 5 พันปี นั่นก็คือการมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตไตรนั่นเอง

    การที่ใครปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานนับอสงไขย ยากกว่าการเป็นพระอรหันต์มากมายนัก ท่านที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเรียกอย่างหนึ่งว่า ท่านเหล่านี้ปรารถนาพุทธภูมิ...ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า แต่ทนรอไม่ไหวก็ขอลาพุทธภูมิ จบกิจเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานเลย เพราะการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า พระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือใคร....

    อย่างพระอชิตะในครั้งพุทธกาล ก็ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป..ส่วนพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ก็รอต่อคิวกันไปเรื่อยๆ บำเพ็ญบารมีกันต่อไป มีมากมายตามตำราครับที่ขอลาพุทธภูมิ อย่างท่านพ่อฤษี(ลิงดำ) วัดท่าซุง ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ขอลาพุทธภูมิ เพราะไม่อยากรอแล้ว ก็เสร็จกิจในชาตินี้ เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป

    ระหว่างทางกลับกรุงเทพฯผมได้รับคำตอบจากลูกศิษย์ของท่าน พ. มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องบอกไม่ได้เพราะบางคนไม่เชื่อแล้วคิดมากไปจะกลายเป็นบาปเปล่าๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับทราบวันนั้นก็คือ เขาบอกว่า หลวงปู่ดู่ก็คือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดนั่นเอง....บทสวดมหาจักรพรรดิ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    (สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐)

    นะ โมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะปูเชมิ ......

    หลวงปู่ดู่บอกว่า นี่คือสุดยอดของบทสวด มีคุณมหาศาล แนะนำให้ท่องและสวดให้ได้ครับ หลวงปู่เคยบอกว่า เมื่อก่อนท่านขัดสนเวลามีแขกมาหาไม่มีน้ำชาเลี้ยงแขก แต่พอท่านสวดบทนี้แล้ว ไม่ต้องหาซื้อน้ำชาเลย มีมาให้ท่านตลอด แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเชื่อก่อนนะครับ เชื่อในหลวงปู่ เชื่อในหลวงปู่ทวด สวดแล้วขอท่าน ระลึกถึงท่าน จะเป็นหลวงปู่ดู่ หรือหลวงปู่ทวดก็ได้ครับ

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม " ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น "

    คำแนะนำสวดพระคาถาจักรพรรดิ ..วัดถ้ำเมืองนะ วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ): หนังสือธรรมะปฎิบัติ


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article347.html


    http://www.watthummuangna.com/home/<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิธีดูกายทิพย์ ในวิชชาของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก




    [​IMG]


    เป็นข้อมูลจากเว็บเก่าของวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้นำมาลงในเว็บไซท์ปัจจุบัน ให้ผู้สนใจศึกษากัน

    ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจาก หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ

    ร่างกายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้ ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด

    กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ

    ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร


    กำหนดดูกายทิพย์

    หากกำหนดดู ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังหลวงปู่ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล

    นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ

    หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล อีกประมาณล้านปี มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด

    คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต จนกว่าลมหายใจจะหมดไป

    ประเภทของกายทิพย์

    ๑. กายสัตว์นรก

    เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไปตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถน้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมานให้ เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้ หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด

    ๒. กายในของสัตว์

    เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัยทำ ให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว จะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม

    ๓. กายมนุษย์

    มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป

    ๔. กายเทวดา

    คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ

    ๕. กายพรหม

    มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว

    ๖. จิตพรหมลูกฝัก

    ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    </O[​IMG]
    ๗. กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า

    มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่ ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่

    ๘. กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน

    เครื่องทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น<O[​IMG]></O[​IMG]>
    ก็เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ



    วิธีการทรงกายจักรพรรดิ


    [​IMG]

    ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปรกติ

    การบวชจิต-บวชใน

    หลวงปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช

    ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว " กายทิพย์ของเรานั้นหาก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะมีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก

    ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิบัติ

    การทรงกายจักรพรรดิ
    </O[​IMG]
    เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์ คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์

    ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลย เวลาไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง

    การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจนเป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปุ่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง


    คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ

    เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิ หลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว

    เราปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ

    ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

    จะอ่านไว้เป็นความรู้ หรือจะอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้ ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใดจุดสุดท้ายก็เหมือนกัน ทุกคนมีหลวงปู่ สุดท้ายสำคัญที่สุด อยู่ที่ความสบายของใจนั้นและธรรมรักษา


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article528.html<O[​IMG]>

    http://www.watthummuangna.com/home/<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    เหรียญ "ดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน"



    [​IMG]




    [FONT=&quot]ที่มาของเหรียญ[/FONT]

    [FONT=&quot]“วันนี้เป็นวันดี วันเสาร์ห้า ขึ้นห้าค่ำ เดือนห้า ข้าเสกเต็มที่ [/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าอัญเชิญบุญบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาลมารวมเป็น พลังเหนือพลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]และอันเชิญดวงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาลมารวมเป็นดวงเดียวกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นดวงเหนือดวง พระผงดวงนี้ รวมทั้งเหรียญดวงนี้จะมีพุทธานุภาพมากผู้ใดนำไปบูชา [/FONT]
    [FONT=&quot]ถึงเขาผู้นั้นจะดวงตก แต่พุทธานุภาพ โดยไม่มีประมาณของดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะคุ้มครองให้รอดปลอดภัย จากสิ่งอัปมงคล ผี ปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น-[/FONT]
    [FONT=&quot]ให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย แม้ผู้ใดถูกผี ปีศาจเข้าสิง ให้นำพระมาทำน้ำมนต์ ดื่มกัน -[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะหายจากคุณไสย ภูติผี ปีศาจ และสิ่งอัปมงคลทั้งปวง แม้แต่คนที่ดวงดีนำไปบูชา [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะเกิดโชคดี เป็นมงคล มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ต่อคนทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมดทั้งมวล”[/FONT]

    [FONT=&quot]ประโยคดังกล่าวข้างต้นเป็นประโยคที่[/FONT][FONT=&quot]พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ [/FONT][FONT=&quot]ได้ กล่าวไว้เมื่อคราวอธิษฐานจิตปลุกเสก[/FONT]
    [FONT=&quot]เหรียญยันต์ดวง นับเป็นอมตวาจาที่ท่านได้บอกกล่าวไว้ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทราบถึงความหมาย อันลึกล้ำ[/FONT][FONT=&quot]สุดพรรณนาว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]ดวงที่สถิตย์หลังเหรียญดวงอันเป็นดวงชะตากำเนิดของหลวงปู่ว่ามีคุณวิเศษมากมายเพียงไร[/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาม้าท่านเองก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์และได้รับรู้ถึงการจัดสร้างเหรียญดวงของหลวงปู่ดู่[/FONT]
    [FONT=&quot]มาโดยตลอด ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการจัดสร้างอย่างทุ่มเทและตั้งใจอย่างยิ่งของหลวงตาที่ต้องการ[/FONT]
    [FONT=&quot]จะจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ขึ้นเพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่ดู่ [/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาท่านได้ดำริเรื่องนี้มากว่า [/FONT][FONT=&quot]5 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับแต่หลวงตาท่านมีดำริเกิดขึ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านได้ใช้ความเพียรพยายามรวบรวมชนวนมวลสารของพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ [/FONT]
    [FONT=&quot]และมวลสารอันศักดิ์สิทธิ์จากทั่วประเทศทุกจังหวัด โดยตั้งใจจะให้เป็นเหรียญที่รวมพลังของ[/FONT]
    [FONT=&quot]แผ่นดินเข้าไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยเจตนาเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและเจริญศรัทธาแก่ผู้ที่มีความเคารพ[/FONT]
    [FONT=&quot]เลื่อมใสแห่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ให้ขจรขจายกว้างขวางออกไปในทิศานุทิศ [/FONT]
    [FONT=&quot]จนกระทั่งวันนี้เจตนารมณ์กว่า 5 ปีของหลวงตาได้สัมฤทธิผลบังเกิดขึ้นเป็น [/FONT][FONT=&quot]“เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน”[/FONT]

    [FONT=&quot]นอกเหนือไปจากมูลเหตุที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น หลวงตาท่านยังมีปณิธานแห่งความตั้งใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่จะจัดตั้ง “กองทุนพุทธพรหมปัญโญ” เพื่อน้อมถวายบูชาแด่พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านจึงได้นำ “เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” ที่ท่านใช้เวลากว่า 5 ปีในการจัดสร้าง [/FONT]
    [FONT=&quot]มอบให้แก่ผู้ร่วมทำบุญในการจัดตั้งกองทุนพุทธพรหมปัญโญ เหมือนเราได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่ดู่โดยตรง [/FONT]
    [FONT=&quot]หากจะว่าไปแล้วพลังแห่งความตั้งใจมั่นของหลวงตากว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่ท่านตั้งใจบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]พระคุณของหลวงปู่ดู่นั้นจะมีพลังงานมหาศาลไม่มีประมาณสักเพียงไรก็สุดจะคาดคะแนได้ [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ความตั้งใจของครูบาอาจารย์ผู้ทรงศีลอันวิสุทธิ์ย่อมกระเทือนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งแสน-[/FONT]
    [FONT=&quot]โกฏิจักรวาลร่วมอนุโมทนากับท่านอย่างแน่นอน จึงมั่นใจได้เลยว่า[/FONT][FONT=&quot]“เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” [/FONT]

    [FONT=&quot]ที่หลวงตาม้าท่านจัดสร้างในครั้งนี้จะทรงมหิทธานุภาพด้วยอำนาจแห่งพระพุทธบารมี [/FONT]
    [FONT=&quot]พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้า [/FONT]
    [FONT=&quot]พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล และกำลังโพธิญาณของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด[/FONT]
    [FONT=&quot]และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ไว้มากมายเพียงไร นับได้ว่า “เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นวัตถุมงคลที่กำเนิดเกิดจากดำริและความเพียรอันวิสุทธิ์ของหลวงตาม้าโดยแท้[/FONT]

    [FONT=&quot](คุณหมู ผู้ออกแบบเหรียญดวงโพธิญาณ เวปวัดถ้ำฯ)[/FONT]

    [FONT=&quot]...............................................................................[/FONT]


    [FONT=&quot]ประสบการณ์เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน เหรียญที่สมบูรณ์ที่สุดในวัดถ้ำเมืองนะ<!-- google_ad_section_end -->[/FONT]

    [FONT=&quot][FONT=&quot]หลายๆคนอาจจะงงว่าเหรียญยังไม่ได้ออกมา ให้บูชา แต่เหตุใดจึงมีประสบการณ์เสียแล้ว ประสบการณ์นี้ผมเจอมากับตัวครับ เป็นสิ่งดีๆจึงอยากจะนำมาบอกเล่าให้กับพี่น้องญาติธรรมทุกท่านได้ฟังกัน ครับ.....[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot][FONT=&quot]ณ วัดพุทธพรหมปัญโญนี้ จะมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ซึ่งหลวงตาม้าท่านเรียกถ้ำนี้ว่า"ถ้ำใหญ่" เป็นสถานที่ๆหลวงตาท่านสวดมนต์กำลังพระมหาจักรพรรดิตอนสองทุ่มครึ่งของทุก วัน ภายในถ้ำใหญ่หลวงตาม้าท่านสร้างพระพุทธรูปสำคัญๆจากทั่วประเทศไทยรวมอยู่ใน ที่แห่งนี้ เป็นที่เย็นตาเย็นใจแก่ผู้พบเห็น บรรยากาศตอนกลางคืนอากาศเย็นสบาย มีแสงเทียนส่องประกายมอบแสงสว่างให้ผู้ที่อยู่ภายในถ้ำ ผู้ใดที่ได้เข้ามานั่งหรือสวดมนต์ภาวนาในที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับความ สบายกายสบายใจ [/FONT]

    [FONT=&quot]วันหนึ่ง เวลาประมาณหกโมงเย็นช่วงหน้าร้อนของปีนี้(52) แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศภายในวัดกลับสดชื่นเย็นสบาย เรียกได้ว่าอากาศเย็นตลอดทั้งปีเลยทีเดียว ในวันนั้นตัวผมเอง พี่ชาย(ท่านมหาโช) และพี่สาว(พี่ส้ม แม่ฟ้าหลวง)นั่งรับคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมจากหลวงตาม้า ณ ถ้ำใหญ่แห่งวัดพุทธพรหมปัญโญ [/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาท่านเมตตายื่นเหรียญๆหนึ่งมาให้ผมดู พร้อมบอกว่า ขอพรจากท่านสิ ผม ก็รับมาซึ่งเหรียญนี้เป็นเหรียญทองคำแท้ ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปลักษณ์หลวงปู่ดู่ ด้านหลังเป็นยันต์ดวง ผมรับมาพร้อมกับอุปทานในใจว่า อ้อ! เหรียญดวงนี้นี่เองที่หลวงตาท่านพูดถึงอยู่บ่อยๆ [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อรับมาแล้วแทนที่จะปฏิบัติ ตามที่หลวงตาท่านสั่งคือให้ขอพรจากท่าน แต่ผมกลับขอชมบารมีในองค์พระท่านก่อนที่จะขอพร ด้วยความที่ติดเป็นนิสัยดังนั้นไม่ว่าจะเจอพระเครื่ององค์ใดก็มักตรวจเช็คขอ ชมบารมีในองค์พระท่าน วิธีที่ผมใช้เช็คพุทธคุณขอชมบารมีพระนี้ ศิษย์หลวงปู่ดู่หลวงตาม้าทำกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเหนือวิสัยมนุษย์แต่อย่างใด เพราะว่าพุทธคุณหรือบารมีพระนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อผมขอชมบารมีในองค์พระเหรียญดวงโพธิญาณองค์นี้ ผมพูดได้เพียงว่าเหมือนพระองค์หนึ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยเสกเอาไว้ พออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะเริ่มงง ผมต้องขอเล่าเรื่องๆหนึ่งให้ทุกคนได้ฟังก่อน ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ ข้อมูลที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ หาอ่านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว....[/FONT]

    [FONT=&quot]ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยอธิษฐานจิตพระไว้หนึ่งองค์ พระองค์นี้จะมีเพียงองค์เดียวหรือไม่นั้น ผมเองก็ไม่ทราบ(แต่มั่นใจว่ามีเพียงองค์เดียว และตั้งแต่เกิดมาก็เคยพบเพียงองค์เดียว) หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวถึงพระองค์นี้ไว้ได้ใจความว่าถ้า ใครเอามือไปแตะพระองค์นี้ จะขออะไรก็ขอได้ ได้หมดทุกอย่าง อย่าเอาไปบอกใครนะ เดี๋ยวคนเขาแห่ไปในที่ตรงนั้น ต่อแถวแตะกันยาวเหยียด มันจะยุ่ง นั่นแหละครับ ที่ผมสัมผัสได้ก็คือ เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน เหมือนพระองค์นั้นจริงๆ!!!![/FONT]

    [FONT=&quot]พระองค์นั้นที่หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐานไว้ ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ เป็นสถานที่ที่ยากต่อการเข้าถึง แต่หากมีผู้ใดที่รู้และนำไปกระจายข่าวต่อ จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน ทั้งผู้ที่ต้องลำบากเดินทางดั้นด้นเข้าไปค้นหาและผู้ที่มีพระองค์นั้นเอาไว้ บูชาจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน [/FONT]

    [FONT=&quot]ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดินที่หลวงตาม้าท่านได้จัดสร้างขึ้นนี้ เหมือนกับพระองค์นั้นจริงๆ ใครที่สามารถเช็คพุทธคุณขอชมบารมีพระได้ก็ขอเชิญนะครับ จะได้ทราบว่าที่ผมพูดนั้นจริงเท็จเพียงใด หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่าพระของท่านไม่ได้ทำมาเพื่อหลอกคนอื่น ท่านทำจริง ใช้ได้จริง ใครที่ปฏิบัติจนได้ตาในแล้วก็มาดูได้ บารมีกำลังพระรัตนไตรพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นหาประมาณมิได้ สมดังคำที่หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวไว้ว่า พลังเหนือพลังจริงๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]หลังจากที่ผมได้ขอชมพุทธบารมีจากเหรียญดวงโพธิญาณนี้แล้ว ผมได้ประจักษ์แก่ใจตนเอง จึงอธิษฐานขอพรจากองค์พระท่านแล้วท่องบทสัพเพน้อมนำบารมีพระเข้าตัว ผมไม่ขอเล่าต่อว่าหลังจากที่ขอพรจากองค์พระท่านและสัพเพเข้าตัวแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมนั้นเป็นอย่างไร ผมไม่สามารถที่จะเล่าได้เนื่องเพราะเวปแห่งนี้เป็นสื่อสาธารณะ ผู้ใดที่อ่านแล้วอาจจะมีความคิดปรามาสครูบาอาจารย์ได้ ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อยาก จะให้ทุกท่านได้ลองนำไปกำปฏิบัติหรือกำแล้วอธิษฐานก็ได้ แล้วจะรู้ว่าเหตุไฉนทำไมผมไม่กล้าเล่าต่อ เหตุไฉนเหรียญนี้จึงชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดของวัดถ้ำเมืองนะ เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน ขอท่านลองมาดูด้วยตนเองเถิด ..[/FONT]

    (เรื่องเล่าจากศิษย์ท่านหนึ่ง เมื่อปี 2552)

    ***************************************************[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ตุลาคม 2012
  7. jacky57

    jacky57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,863
    ขอบคุณข้อมูลดีๆที่ให้ครับ ผมจะได้น้อมนำไปใช้ปฏิบัติต่อไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2012
  8. Arrowhead

    Arrowhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +638
    วันนี้ (21 ต.ค.) มีถ่ายทอดสดภาพและเสียงตอบปัญหาธรรมและสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์กับหลวงตาม้าครับ

    วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) : สมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้า<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนาสาธุครับ....ที่พี่Survival ลงไว้ข้างต้นเรื่องวิธีดูกายทิพย์ มีประโยชน์มากๆครับ...ขอบคุณครับ ที่ให้อะไรดีๆครับ
     
  10. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,464
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ท่านนี้ก็เป็นศิษย์ตัวจริงอีกท่านหนึ่ง ในหลายๆท่าน ที่เคยพบประสบการณ์ หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ด้วยตนเองอย่างน่าอัศจรรย์ ลองให้ wisdom เล่าดูครับ ไม่รู้ว่าแกจะมีเวลามาเล่าให้ฟังหรือเปล่า 555 คนไม่มีประสบการณ์ ก็จะหาว่า over ทั้งๆที่ยังไม่เคยไปพูดคุยเจรจากับหลวงตาด้วยซ้ำไป ใช่ปะ น้อง wisdom
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  11. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,464
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ท่านใดที่สงสัยเรื่องการสวดมนต์แล้วดีอย่างไร ก็ลองอ่านซะครับ จะได้มีปัญญา ของการสวดมนต์ บางท่านไม่เข้าใจการสวดมนต์ บอกว่าเป็นของพราหมณ์ พุทธกับพราหมณ์ แยกกันไม่ออกหรอกครับ เพียงแต่เราจะเอาข้อดีของพราหมณ์ มาทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ได้ปัญญา ^__^
     
  12. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    จะพยายามหาอะไรดีๆมาโพสแบ่งปันนะครับ
    ผมเองก็แค่ศิษย์หลังฉาก :cool:

    โมทนาครับ
     
  13. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    ความเมตตาผูกพันของครูบาอาจารย์ต่อเหล่าลูกศิษย์

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญนั้น
    เป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์
    เป็นอย่าง มาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

    "พระ สงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง
    ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำ
    จนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

    "เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง
    ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

    คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่
    ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

    ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

    "...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า
    ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้
    ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

    หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

    "อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย
    อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป
    ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

    และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัว
    กับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

    "ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

    การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง
    เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับ
    ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

    ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

    "กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ
    กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

    หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า
    "รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน นี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่"
     
  14. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    หลวงตาม้าพูดถึงพุทธภูมิบารมีครึ่งหรือเกินครึ่ง

    [​IMG]

    ณ คืนหนึ่งในวัดถ้ำเมืองนะ หลวงตาม้าท่านเคยพูดถึงพุทธภูมิผู้ทำบารมีมาแล้วครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง ได้ใจความว่า

    "บารมีเกินครึ่งนี่ยังไม่ถือว่าเยอะนะ ถือว่ายังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จะรู้เรื่องรู้ราวจริงๆก็ตอนนู๊นล่ะ ตอนบารมีใกล้จะเต็ม"

    มีน้องคนหนึ่งฝากผมกราบเรียนถามหลวงตาม้าว่า จะเป็นพุทธภูมิ ยากไหม?
    หลวงตาท่านก็เมตตาตอบให้ว่า

    "ไม่ยาก แต่ส่วนมากมักจะมาลา(พุทธภูมิ)กันตอนบารมีครึ่งหนึ่งเนี่ยแหละ"

    หลวงตาม้าท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณที่เอาใจใส่ในการฝึกฝนลูกศิษย์เป็นอย่างมาก และท่านไม่เคยพูดให้ใครเสียกำลังใจแม้แต่น้อยนิด โดยปกติแล้วหลวงตาท่านจะไม่ค่อยพูดจนกว่าจะมีลูกศิษย์กราบเรียนถาม

    แต่ถ้าขณะที่นั่งรวมๆกันหลายๆคน หากผู้ใดที่เจอปัญหาอันใหญ่หลวง หรือ กำลังหลงระเริงไปกับโลกธรรมทั้ง8 ท่านก็จะเมตตาพูดเตือนสติขึ้นมาแต่ท่านจะไม่เอ่ยชื่อคนผู้นั้น เพราะถ้าเอ่ยขึ้นมาแล้วล่ะก็...ศิษย์ผู้นั้นจะต้องเกิดความรู้สึกอับอายอย่างแน่นอน เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งรวมกันอยู่หลายคน อยู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า

    "...เอ้อ..คนเรานี่มันชิงดีชิงเด่นกันนะ พอมีกำลังเข้าหน่อยก็แย่งลูกแย่งเมียเขา..."

    ศิษย์ผู้ที่ถูกหลวงตาพูดถึงนี้ ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาในทันใด เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นเดียวกัน ณ ตอนนั้นมีลูกศิษย์นั่งรวมกันอยู่มาก ท่านก็พูดขึ้นมาได้ใจความว่า

    "...สภาพแวดล้อมก็มีส่วนนะ พระโพธิสัตว์บางองค์ติดสุข ทำให้เสียเวลาไปเลย ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก แต่จะเอาแค่นั้นจริงๆหรือ? ทั้งๆที่บารมีตัวเองก็มีอยู่แท้ๆ... "

    [​IMG]

    "พุทธภูมิ"

    พุทธภูมิ หรือ พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ปรารถนาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

    ผมเคยกราบเรียนถามหลวงตาม้าถึงความหมายของคำว่าพระโพธิญาณ หลวงตาม้าท่านเมตตาตอบมาได้ใจความว่า

    "โพธิญาณแปลว่าความรู้ใหญ่ ปรารถนาโพธิญาณก็แปลว่าปรารถนาความรู้ใหญ่ไง"

    ผมจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า แล้วพุทธภูมินั้นควรทำอย่างไรจึงจะได้เป็น
    หลวงตาท่านตอบมาง่ายๆสั้นๆเพียงแค่ว่า
    "หากเป็นพุทธภูมิ ทำบุญทุกอย่างจะต้องอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ แม้กระทั่งให้ขนมแก่มด"


    "เวียนว่ายใน3ภพ"

    เป็นที่รู้กันดีว่าพุทธภูมิจะต้องสั่งสมบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้มาซึ่งพระโพธิญาณ หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า

    "ไม่ใช่ปรารถนาแล้วจะเป็นกันได้เลยนะ มันต้องทำนะ"

    การ สร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ไม่ได้จบเพียงชาติเดียว หากแต่จะต้องอาศัยช่วงระยะเวลาในการสร้างบารมีอันยาวนาน เวียนเกิด เวียนตายมากมายไม่สามารถนับได้ ทั้งลงนรก ทั้งขึ้นสวรรค์ ทั้งมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน



    "มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามหลวงตาเกี่ยวกับการที่พุทธภูมิต้องลงนรก"

    หลวงตาท่านเมตตาตอบมาว่า

    "ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ(พระโพธิสัตว์)
    หากเข้าถึงไตรสรณคมณ์แล้ว จะสามารถปิดอบายภูมิได้"

    ศิษย์: แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์ครับ

    หลวงตา: เรามองพระพุทธรูปหรือพระ แล้วรู้สึกยังไงล่ะ

    ศิษย์: ขนลุกครับ ปิติ ชอบครับ

    หลวงตา: นั่นแหละ เขาเรียกว่าเข้าถึงไตรสรณคมณ์

    วันต่อมาผมนึกสงสัยในเรื่องนี้อีก จึงไปถามหลวงตาอีกครั้ง

    ศิษย์: หากผู้ที่เพิ่งเริ่มปรารถนาพุทธภูมิ แต่สามารถเข้าถึงไตรสรณคมณ์ได้ จะปิดอบายภูมิเลยหรือ

    หลวงตาม้าท่านก็เมตตาสั่งสอนว่า

    "ถ้าเพิ่งปรารถนา มันต้องลงไปชิมดูก่อนนะ ถ้าเรียนจบทั้ง3ภพก็เป็นพระพุทธเจ้าได้เลย การสร้างบารมี เราต้องทำให้ครบ10อย่าง แต่ต้องเลือกเด่นๆสักอย่างหนึ่งในชาตินี้"


    "พุทธภูมิจะต้องพยายามเป็นที่ ๑ ในทุกๆเรื่อง แม้เรื่องเรียนหนังสือก็เช่นกัน"

    ความเป็น ๑ ของพุทธภูมิไม่ได้มีไว้แข่งขันชิงดีชิงเด่นกับใคร หากแต่เป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ ดังเช่นที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า


    "กำลังของพุทธภูมิ
    มีหน้าที่จะทำให้มหาชนมีความสุข
    ถ้าคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ

    ก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง
    นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ"

    การเรียนรู้ของพุทธภูมิ



    หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวถึงการเรียนรู้แนวทางของพุทธภูมิไว้ ได้ใจความว่า

    "ถ้าปรารถนาจะเป็นพุทธภูมิ เราก็ต้องไปเรียนกับพุทธภูมิที่บารมีสูงๆท่านถึงจะสอนให้ได้ ถ้าเราไปเรียนกับพระอรหันต์ ท่านก็สอนแนวทางการสร้างบารมีของโพธิสัตว์ไม่ได้ ท่านสอนเพียงทางไปพระนิพพานเท่านั้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีสูงๆนั้นอยู่ที่ไหน ปัญหามันอยู่ตรงนี้"(หลวงตาม้าท่านพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี)

    หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ได้ใจความว่า

    "ในยุคนี้เนี่ยนะ ยุคที่เกิดกลียุคเนี่ยแหละ สร้างบารมีได้เยอะนะ แต่ต้องดูที่ความจำเป็นด้วย ฝึกกสิณนั้นก็ดีอยู่ แต่ในยุคสมัยเช่นนี้ฤทธิ์ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์เท่าใด ยุคนี้บุญฤทธิ์มีประโยชน์มากที่สุด"

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านพูดถึงครูบาอาจารย์หลายๆท่าน โดยที่ท่านยกมาเป็นตัวอย่างให้ฟังเพื่อให้เห็นถึงความยากลำบากในการสร้างบารมีของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณและในบางครั้งที่พุทธภูมิจะต้องลงมาเกิดเป็นนักรบหรือต้องฆ่าเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาและแผ่นดินจากผู้รุกรานดังเช่นบูรพกษัตริย์ไทยหลายๆพระองค์ทรงกระทำมาแล้ว

    ท่านกล่าวไว้ได้ใจความว่า

    "หลวงพ่อดู่ท่านโดนกรรมหนักนะ ครูบาศรีวิชัยท่านก็โดนหนักเหมือนกัน หลวงปู่ศุข(วัดปากคลองมะขามเฒ่า) สมเด็จโตก็โดนเหมือนกัน คิดดูให้ดีๆ ไม่ใช่ของง่ายๆนะ(หัวเราะ)"

    หลวงตาม้าท่านเคยถามลูกศิษย์คนหนึ่งได้ใจความว่า

    "ปรารถนาพุทธภูมิเนี่ย วางแผนเอาไว้หรือยังว่าชาตินี้จะทำอะไร วันนี้จะทำอะไร วันพรุ่งนี้จะทำอะไร ลองคิดดู"

    "จะทำอะไรก็ต้องให้มันเกิดประโยชน์ ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็อย่าไปทำ"

    สิ่งที่หลวงตาม้าท่านเมตตาสอนนั้น ตรงกับหนึ่งใน พุทธภูมิธรรม ซึ่งมีเขียนเอาไว้ในบทสนทนาธรรมระหว่างพระมาลัยและพระศรีอารยเมตไตรโพธิสัตว์ดังนี้

    ดูกรมหาบพิตร นิยตโพธิสัตว์ ที่ว่าต้องประกอบด้วย "พุทธภูมิ" นั้น อยาก ทราบว่า คำว่า "พุทธภูมิ" แปลและหมายความว่าอย่างไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ขอถวายพระพร"

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นักปราชญ์นิยมเรียกกันว่า "พุทธภูมิธรรม" คำว่า "พุทธภูมิธรรม" แปลว่าธรรมอันเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ธรรมซึ่งจัดเป็นชั้นของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นต้องมีภูมิชั้นเชิงดีกว่า คนอื่นๆ มาก เพื่อเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า แปลกจากคนอื่นๆ อย่างไร และธรรมซึ่งเป็นภูมิ หรือ เป็นชั้นเชิงของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พุทธภูมิธรรม มีอยู่ ๔ ประการ คือ

    ๑. อุสสาโห
    ความองอาจกล้าหาญในการทำดี ไม่ยอ่ท้อต่อสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นต้นว่า การงานที่ทำ ความเมื่อยล้า หิวกระหาย ใกล้ ไกล

    ๒. อุมมัคโค
    มีปัญญาแก่กล้าเชี่ยวชาญ ความรู้อันแก่กล้า ได้แก่ความรู้ใน เหตุผลของการกระทำ นิยตโพธิสัตว์ต้องมีความรู้ในเหตุผลต้นปลายของ การกระทำต่างๆ ว่าอย่างไหนจะมีเหตุผลดีชั่วอย่างไร แล้วเลือกไม่ทำสิ่งที่ มีผลชั่ว เลือกทำแต่สิ่งที่มีผลดี

    ๓. วะวัตถานัง
    มีอธิษฐานมั่นคง คือมีใจคอหนักแน่นมั่นคง มีความมั่นใจ นิยตโพธิสัตว์ย่อมมีใจคอมั่นคง หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล เมื่อทำ สิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เป็นอันไม่ทอดทิ้ง

    ๔. หิตจริยา
    ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นิยตโพธิสัตว์ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น

    ในคุณธรรม ๔ ข้อนี้ ถ้าลำดับตามวิธีใช้ ต้องลำดับอย่างนี้ คือ
    อุมมัคคะ- หิตจริยา-อวัตถานะ-อุสสาหะ

    อธิบายว่า ก่อนจะทำสิ่งใดลงไป ต้องใช้อุมมัคคะ คือ ปัญญาพิจารณาดู เสียก่อน แล้วจึงใช้หิตจริยา คือทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใช้วัตถานะ คือ ความมั่นใจเป็นที่ ๓ ใช้อุตสาหะคือความไม่ย่อท้อเป็นที่ ๔ ส่วนพวกเราที่ไม่ใช่โพธิสัตว์ประเภทนิยตโพธิสัตว์ หรือสักว่าโพธิสัตว์ ก็ควรพยายามทำตนให้ตั้งอยู่ในภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เมื่อสามารถ เลื่อนตนไปถึงภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว จึงจะเรียกว่า "ปณีตบุคคล" คือ บุคคลชั้นดี และได้ชื่อว่า เป็นผู้มีภูมิดี
     
  15. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ . . .

    [​IMG]
     
  16. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    หากว่าใครเคยไปกราบหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หรือว่าเคยเห็นรูปท่าน สิ่งที่ทุกคนจะเห็นแบบเดียวกัน คือ หลวงตาท่านยิ้มแย้ม แจ่มใส อยู่ตลอดเวลา และสิ่งที่ท่านสอนเราอยู่เสมอก็คือการทรงอารมณ์ให้ดี เพราะใจที่สบายนั้นจะเป็นใจที่มีกระแสบุญ หากจิตเศร้าหมองกระแสบุญจะไม่เกิด หมั่นระลึกถึง พระรัตนไตรยไว้เป็นอารมณ์ ครูบาอาจารย์ ดูท่านเป็นตัวอย่าง และให้จิตมีเมตตาอยู่เสมอ

    ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นการฝึกตายก่อนตายนั้นเอง เตรียมตัวตาย เพราะจิตสุดท้ายก่อนจะตายนั้นสำคัญ และเป็นตัวชี้ว่าเราจะไปไหนหลังจากที่ตายแล้ว . . .

    บางคนบอกว่าทำยาก ที่ยากเพราะว่าท่านอยู่กับกระแสสังคมรอบตัวที่วุ่นวาย วิธีง่ายๆที่หลวงตาแนะนำ ให้ทำทุกวันคือ "ตื่นเช้าขึ้นมา ให้ไปส่องกระจก แล้วยิ้มให้ตัวเอง" บอกกับตัวเองไปเลยว่า “ถ้าเรายิ้ม เราก็จะเป็นผู้น่ารัก” วันนี้ท่านเป็นผู้น่ารักแล้วหรือยัง . . .
     
  17. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงตาม้าท่านเมตตาแนะนำสอนว่า

    "หลวงตาเพียงแต่แนะนำให้ได้เท่านั้น ครูบาอาจารย์อื่นๆ ก็เหมือนกัน ท่านทำได้เพียงแต่แนะนำ และชี้แนะทางที่ถูกให้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้น อยู่ที่ตัวของผู้ปฏิบัติเองที่จะทำได้แค่ไหน ต้องทำจริงๆ ไม่ใช่พอครูบาอาจารย์แนะนำทีก็ทำที พอนานๆ ไปก็เลิกทำ ถ้าเป็นอย่างนี้จะก้าวหน้าได้อย่างไร ช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะปฏิบัติธรรม เพราะตอนนี้พวกเราก็ได้พบทั้งหลวงปู่ดู่ และพระอริยสงฆ์ต่างๆ มากมาย ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี พบหมู่คณะที่ดี สถานที่ปฏิบัติธรรมก็มีแล้วตั้งหลายที่ การปฏิบัติสายหลวงปู่ดู่ก็ไม่ลำบาก ไม่เคร่งจนเกินไป ปฏิบัติไปอย่างสบายๆ จะหาได้ที่ไหนอีก ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปทำตอนไหนแล้ว เดี๋ยวเกิดต้องตายก่อนจะตามพวกไม่ทัน เพราะเมื่อชาติก่อนเขาทำบุญกันมา เรามัวแต่รบจนไม่มีเวลาปฏิบัติ มาชาตินี้เวลามี สถานที่ก็เหมาะ แล้วช้าอยู่ทำไม...."

    " . . . ภพชาติมันเหมาะแล้วนะ การปฏิบัติ การบวช มันตัดภพตัดชาติได้เลยนะ อย่างจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เกิดแค่ ๕๐ ชาติ มันจะลดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าปฏิบัติจนถึงขั้นโสดาบันก็แค่ ๗ ชาติเท่านั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องเกิดเลยไม่ดีหรือ"

    พระธุดงค์เวลาจะออกธุดงค์ ท่านอธิษฐานจิตตายเลย การปฏิบัติควรทำให้จริงจัง นับวันคนเราก็อายุมากขึ้น จะมัวรอช้าอยู่ทำไม เวลาไม่คอยใคร ควรเริ่มทำได้แล้ว"

    หลวงตายังเตือนอีกว่า "เริ่มปฏิบัติซะ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะไปเมื่อไหร่ อย่างน้อยๆ เราก็ ๑ ใน ๕๐ หรือ ๑๐๐ ก็ยังดี จะรอครูบาอาจารย์มาคอยชี้ คอยเตือนคงไม่ไหว มาหาหลวงตาลองคิดดู ถ้าหลวงตาเข้ากุฏิ ปิดประตูไปก็เรียบร้อย เราต้องไล่ของเราเองแล้ว ใครก็ไล่ให้เราไม่ได้ เวลาเราไปไหนกับเขา เราได้รู้ได้ฟังอะไรมา เราก็ต้องนำเอากลับมาพิจารณาเองทุกครั้ง ต้องทำนะ"

    การปฏิบัติหลวงปู่ดู่ ท่านเคยเมตตาสอนว่า

    "ต้องแลกด้วยความตาย ตายเป็นตาย
    ถ้ากลัวตายก็ไปไม่ได้ นักปฏิบัติถ้า
    กลัวตายเสียแล้วก็จะไม่ก้าวหน้า"
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ....................สาธุครับ..............
     
  19. Arrowhead

    Arrowhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +638
    กำหนดการณ์ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมของหลวงตาม้า ประจำเดือน พ.ย. 2555

    เรียนเชิญทุกท่านมารับชมรับฟังการบรรยาย ถามตอบปัญหาธรรมในแนวทางปู่ดู่
    ประจำเดือน พฤศจิกายน 2555 โดยหลวงตาม้า ได้ตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวด้านล่าง

    วันที่ 1 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่.......

    วันที่ 2 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่.......

    วันที่ 3 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่
    บ้านเฮียฐาฯ อ.เมือง จ.นครราชสีมา สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0817315303

    วันที่ 4 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่
    หอประชุมใหญ่ ชั้น 2 ม.เอเชียฯ ถนนเพชรเกษม สอบถามได้ที่ แม่ชีหนูนา 0817315303

    วันที่ 5 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่.......

    วันที่ 6 พฤศจิกายน 55 เวลา 19:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่.......

    วันที่ 7 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่
    สถานธรรมพุทธพรหมปัญโญ 9 สาขาสันกำแพง ติดต่อ 0817315303

    วันที่ 9 พฤศจิกายน 55 เวลา 18:00 น. ถ่ายทอดสดการตอบปัญหาธรรมที่
    สถานธรรมฯ สาขาเชียงดาว จ.เชียงใหม่ สอบถามรายละเอียดได้ที่ แม่ชีหนูนา 0817315303

    วันที่ 10 พฤศจิกายน 55 เวลา 09:00 น. ถ่ายทอดสดพิธีวางศิลาศิลาฤกษ์
    ศาลาพรหมปัญโญ โดยหลวงตาม้า ณ วัดป่าธาราภิรมย์ ริมปิง ติดต่อ 0844804499

    วันที่ 11 พฤศจิกายน 55 งานกฐินวัดถ้ำเมืองนะ

    วันที่ 23 พฤศจิกายน 55 เวลา 09:00 น.ถ่ายทอดสดพิธีเททองหล่อพระมหาจักรพรรดิ
    เนื่องในวันเกิดหลวงตาม้า หน้าตัก 69 นิ้ว ที่หน้าถ้ำใหญ่ วัดถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะเหนือ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     
  20. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    ความโกรธนั้นทุกคนต้องมีเป็นธรรมดาตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เราก็ต้องระวังระงับให้ได้โดยใช้สติควบคุม การมาปฏิบัติธรรมก็สามารถช่วยให้ความโกรธน้อยลงได้บ้าง คือ ระงับได้เร็วขึ้น

    หลวงตาแนะวิธีการแก้อารมณ์โกรธว่า ให้หาภาพพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพนับถือ อัดขยายภาพให้ใหญ่แล้วใส่กรอบตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม และเราสามารถมองเห็นได้บ่อยๆ แล้วนั่งมองดูทุกวันๆ

    พอเวลาโกรธใครก็ให้นึกถึงหน้าท่าน แล้วอารมณ์โกรธก็จะหายไปเอง ให้ทำเช่นนี้เรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชินพอเกิดอารมณ์โกรธปั๊บก็ให้เห็นหน้าท่านปุ๊บ กลายเป็นสมาธิเลย

    เวลาคนโกรธนั้นจะแสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางกายก็ออกมาทางสีหน้าและแววตา การกระทำบ้าง ทางวาจาก็ด่าบ้าง ทางใจก็คิดมุ่งร้ายต่อเขาบ้าง

    รู้หรือเปล่าว่า เวลาโกรธ ร่างกายต้องทำงานมากขนาดไหน ธาตุทั้งสี่นั้นทำงานป่วนไปหมด คือ ทำงานไม่เป็นระบบ กระทบถึงหัวใจด้วย เป็นแบบนี้บ่อยๆเข้า โกรธบ่อยๆ อายุจะสั้น เพราะมันกระทบร่างกายโดยตรง เพราะจิตควบคุมธาตุอยู่ จิตเป็นอย่างไร ก็กระทบธาตุด้วย

    บางคนโกรธมาก มีอาวุธอยู่กับตัวก็ถึงขั้นทำร้ายกัน ฆ่าเขาติดคุกติดตาราง ต้องเดือดร้อนไปทั่วเพราะอารมณ์โกรธเพียงแค่นี้

    เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีสติคอยควบคุม สิ่งเหล่านี้อยู่ที่การฝึกจิต ฝึกสมาธิ ให้สังเกตจากพอตาเห็นภาพปั๊บ หูก็ได้ยิน การสัมผัส อารมณ์จะเริ่มปรุงแต่งเสริมทันที ถ้าไม่มีตัวสติคอยควบคุมก็จะไปเรื่อย

    เหมือนกับการภาวนา เรากำลังภาวนาอะไรอยู่ก็ตาม เผลอแป๊บเดียว จิตก็ไปคิดเรื่องอื่นแล้ว นี่เป็นเพราะเราไม่มีสติเข้าไปควบคุม พอนึกได้ก็กลับมาภาวนาใหม่

    ฉะนั้น เวลาทำอะไร ต้องใช้สติเป็นตัวควบคุมตลอด
    ทำด้วยความมี "สติสัมปชัญญะ"

    คติธรรมคำสอนโดย... พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...