คนที่เป็น "มิจฉาทิฐิ" เข้าเว็บนี้ จะสังเกตุพฤติกรรมได้อย่างไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 3 กันยายน 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เพื่อนๆ ที่มีความสามารถใช้ตาปัญญาจับตรวจ "มิจฉาทิฐิ" ได้
    เรามาเผยเคล็ดลับแชร์กันดีกว่าฮะ ให้ญาติโยมฝ่ายสัมมาทิฐิ
    แต่ฝ่ายเดียวได้แยกแยะออก เพราะมิจฉาทิฐินี่ พูดเก่ง พูดดี
    และแสดงธรรม ทำบุญเยอะด้วยสิฮะ


    มาแชร์เคล็ดลับกันนะฮะ
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ๑. มิจฉาทิฐิ "พูดธรรมะ เพื่ออวดตน แต่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม"

    พวกเขาจะเข้ามาโต้แย้งและเอาชนะในกระทู้ที่คนดีๆ เขียนไว้
    คนที่ไม่น่าสนใจเขาก็มองเมิน คนที่น่าสงสารกลับไม่เคยช่วย
    เหลือ บางคนมาโพสร้องขอให้ช่วย พวกเขาจะไม่เข้าไปดูดาย
    เลย จะเอาแต่คนดีๆ เก่งๆ เป็นคู่เปรียบ เพื่อแสดงตนโอ้อวดตน
    ว่าเหนือกว่าเท่านั้นเอง


    สิ่งที่เขาแสดง น้อยกว่าการปฏิบัติมาก เช่น แสดงเหตุผลว่าการ
    มี "กาม" นั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตนเองยังมี "เมีย" อยู่เลย


    คนพวกนี้ จะพูดมากกว่าทำ ในขณะที่ "สัมมาทิฐิ" จะหาวิธีทำ
    มากกว่าที่จะโต้เถียง อย่างคนที่ไปฝึกวิชชาในงาน อ. อาชวิน
    นี่ เขาเป็นนักปฏิบัติ และหาทาง "ปฏิบัติธรรม" กันอยู่


    ส่วน "มิจฉาทิฐิ" นี่จะไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ เห็นว่าตนเก่งดีแล้ว แต่
    จะคอยต่อต้านขวางทางคนดีที่จะไปปฏิบัติ โดยไม่ให้ทางเลือก
    อื่นใดที่ดีกว่า สำหรับคนที่เป็นสัมมาทิฐิด้วยกัน เสนอความเห็น
    ต่างกันได้ แต่หากเป็น "สัมมาทิฐิ" แล้ว เขาจะเสนอ "ทางออก"
    ให้คนไปปฏิบัติต่อได้ ไม่ใช่ "ขวางทาง" แล้วไม่เสนอทางออกใดๆ


    ขวางเขาไม่ให้เขาทำ ไม่เสนอทางที่ดีกว่า อย่างนั้นแหละ "มิจฉาทิฐิ"
     
  3. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ๒. มิจฉาทิฐิ "พูดธรรมะ เพื่อผลประโยชน์ และหลีกเลี่ยงการปะทะมาร"

    พวกมิจฉาทิฐิประเภทที่สองคือพวกที่มาแสดงธรรมะเพื่อหาผลประโยชน์ เช่น
    "ขายธูป" อ่ะ (เข้าตัวเอง) จริงๆ การขายก็ทำได้ เพราะเป็น "สัมมาอาชีวะ"
    แต่บางอย่างไม่ใช่ "สัมมาอาชีวะ" เช่น "การขายความเชื่อ" เช่น การทำน้ำ
    มนต์ ซึ่งไม่ได้ใช้เพื่อเลี้ยงชีพของคนปกติ แต่ขาย "ความเชื่อ" ให้คนมาเชื่อ
    สิ่งที่ตนทำว่ามีฤทธิ์มีเดชอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น และมักแอบอ้างว่ารายได้
    ไปทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้ บางที ไม่มี "ผู้ตรวจสอบบัญชี" ก็ไม่มีใครรู้นี่นาว่า
    เงินมันเข้าตรงไหน กี่เปอร์เซ็นต์กันบ้าง


    คนพวกนี้ จะหลีกเลี่ยงการปะทะมารด้วยกัน สังเกตุจะโพสๆๆ แล้วชวนคนมา
    ซื้อของของตน แต่ของของตนจะขาย "ความเชื่อ" ไม่ใช่ "ของใช้จำเป็น"
    หรือ "ของที่ต้องใช้ หรือมีประโยชน์ในตัวเอง" เช่น น้ำมนต์ อ้างว่ารักษาโรค
    นั้นนี้ เป็นต้น (แค่สมมุติเท่านั้น) คนพวกนี้ จะทำดีเพื่อหวังผลประโยชน์


    แต่ต่างจากคนที่ทำดีไปด้วย ประกอบ "สัมมาอาชีวะ" ไปด้วยนะครับ
    อย่างบางคนมีอาชีพดูพระ แต่เขาอาจไม่ขาย "พระธาตุ" ซึ่งเป็นร่าง
    กาย เป็น กระดูก ของพระพุทธเจ้า เขาคงไม่เอามาขายกิน แหมถ้า
    ขายกินได้แม้นกระทั่งกระดูกพ่อกระดูกแม่ กระดูกพระพุทธเจ้าแล้ว
    มันก็ "มิจฉาทิฐิ" ไม่ใช่ "สัมมาอาชีวะ" แน่นอนฮะ


    จำต้องแยกระหว่างคนที่ทำดีไปด้วยประกอบ "สัมมาอาชีวะ" ไปด้วย
    กับคนที่ "ทำดีเพื่อหวังผลประโยชน์แอบแฝง" ออกจากกันให้ได้นะฮะ
     
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    อ้าว รีบๆ มาอ่านก่อนกระทู้จะโดนย้ายไปฝังในหลุมดำ
    นี่ก็ถูกย้ายไปฝังหลุมดำเสียหมดแล้ว อีกหน่อยเว็บจะ
    สิ้นเชื้อ "สัมมาทิฐิ" เอานะคร้าบบบ หุๆๆๆ


    คุณเว็บมาสเตอร์ระวังตัวไว้ อย่าเชื่อคนรอบข้างมาก
    เดี๋ยวโดนลากเข้าทาง "มิจฉาทิฐิ" ไม่รู้ตัว หุๆๆ
     
  5. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    เพราะเหตุใดจึงจุติ "เป็นมาร"

    ๑. เพราะขวางทางคนดีไม่ให้เขาได้ปฏิบัติดี
    ๒. เพราะมีจิตริษยาคนดี อยากเด่นอยากดีกว่าเขา
    ๓. เพราะมีจิตอาฆาตตามรังควาญไม่สิ้น หยุดไม่เป็น อภัยไม่ได้


    การโลภมาก ยังไม่ใช่มารนะฮะ โกรธมาก ด่าเก่ง ก็ไม่ใช่มาร
    ที่มาด่าๆๆๆ ฉอดๆๆ น่ะ ยังไม่ใช่ "จิตมาร" และที่กามมาก
    ก็ไม่ใช่มาร เทวดาดีๆ ก็มีกามกันเยอะแยะ


    จิตมาร ดูยากนะฮะ บางทีมารก็ทำบุญมาก ทว่า เสียที
    "มีจิตมาร" ความริษยา อาจแสดงออกลึกๆ ด้วยแผนการ
    เฉกเช่นเดียวกับความ "อาฆาต" อาจกระทำโดยไม่มี "อารมณ์โกรธเลย"


    คิดลึกๆ พิจารณาโดย "แยบคาย" (โยนิโสมนสิการ) เถอะครับ
     
  6. oat_thai

    oat_thai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +106
    พวกขวางโลกทางธรรม ระวังจะกลายเป็นตะเข้ขวางคลอง
     
  7. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    อ้างอิง..
    คนพวกนี้ จะพูดมากกว่าทำ ในขณะที่ "สัมมาทิฐิ" จะหาวิธีทำ
    มากกว่าที่จะโต้เถียง อย่างคนที่ไปฝึกวิชชาในงาน อ. อาชวิน
    นี่ เขาเป็นนักปฏิบัติ และหาทาง "ปฏิบัติธรรม" กันอยู่



    คนที่คุณกล่าวหา เขาก็อยู่ในงานนั้นด้วยนะ




    (sing)
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก่อนจะรู้ว่าใคร เป็น มิจฉาทิฎฐิ หรือ ใครเป็นสัมมาทิฎฐิ ก็ต้อง รู้จักคำว่า มิจฉาทิฏฐิ และ สัมมาทิฎฐิ ในเบื้องต้นก่อน
    คำว่า มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นใดๆ ที่ไม่เป็นการเปลื้องออกจากตัวตน คือ ยึดไว้ซึ่งขันธ์ 5 ว่าเป็นของตนเป็นตัวเป็นตน

    คำว่า สัมมาทิฎฐิคือ ความเห็นหรือคำกล่าวใด ที่เป็นวิถีให้เปลื้องออกจาก ตัวตนคือ ขันธ์ 5


    ทีนี้ก็พิจารณาเอาสิ ว่า ความเห็นใด เป็นไปเพื่อสัมมา หรือ มิจฉา บางทีคนที่เราเห็นว่า สัมมาทิฎฐิ นั้น อาจจะมีมิจฉาทิฎฐิอยู่ก็ได้ แล้วทำอย่างไรจะไม่หลง ก็ คือ พิจารณาที่ปัจจุบันธรรม เนื่องจากว่า ปัจจบันธรรมนั้น ไม่ปรุง ไม่ได้เป็นไปเพื่อขันธ์ 5 แต่เห็นแต่ความเกิดดับ ยกตัวอย่างเช่น มองดูที่ความนึกความคิด ณ ปัจจุบัน แป๊บเดียวพอไม่นึกไม่คิดมันก็ดับไป ความรู้สึกอะไรก็ตาม เกิดขึ้นเดี๋ยวเดียวแล้วก็ดับไป ใครๆ ก็ตามที่บอกว่า เหนื่อย ท้อแท้ ก็ลองไปดูสิว่า พอหันความคิดไปด้านอื่น เดี๋ยวเดียวไอ้ความรู้สึกนั้นมันก็หายไป มันจะกลับมาใหม่ก็ต่อเมื่อคิด ทีนี้ก็มาดูว่า รูป เสียง รส อะไรก็ตามที่สัมผัส มันเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียวก็ดับไป ธรรมทั้งหลาย ที่พูดกันมา ไม่ว่าจะเห็นนั่นเห็นนี่ ไม่ว่าจะมีพลังจักรวาล เทพ พรหม เจ้าเข้าสิงอะไรก็ตาม มันเห็นเดี๋ยวเดียว มันคิดเดี๋ยวเดียว มันต้องมองอย่างนี้นะ จะได้ไม่ติด

    ก็ฝากไว้สำหรับ อะไรคือมิจฉาทิฎฐิ อะไรคือ สัมมาทิฎฐิ
     
  9. Kanate_Tatip

    Kanate_Tatip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +398
    ไม่เห็นด้วยที่ จะให้มีกระทู้แบบนี้ จริงๆๆ เวปนี้เป็นเวปธรรม
    อยากให้ ผู้ที่เข้ามาศึกษา ได้ใช้ ปัญญาไตรตรองเอาเอง
    ถ้าเขามี กรรม ร่วมกันมา ก็ คงยาก ที่จะไม่ให้เขาเชื่อ แต่ถ้า
    เขาไม่มีกรรม ร่วมกันมา ต่อให้เป็น พระอรหันตร์ พูด เขาก็คงไม่
    ฟัง และ ไม่เชื่อ

    ไม่อยากจะให้ตั้ง กระทู้แบบนี้ เพราะเหมือนเป็น การปรามาส ผู้ที่มีจริงๆๆ
    และได้จริงๆๆ บางสิ่งที่เขาทำ เขาอาจจำเป็นอะไรบางอย่าง ที่ คนธรรมดา
    ไม่ทราบ เช่น ผู้ที่ ได้ญาณสมาบัติจริงๆๆ แล้ว ทำเพื่อการค้า ตรงจุดนนี้
    ก็ต้อง ดูว่า เขา เอาเงินที่ได้จากการค้า มาเสริม บารมีตนเอง และ ผู้อื่นหรือเปล่า แต่ ละคน เขามี จุดประสงค์ ไม่เหมือนกัน จะเหมารวมหมด ผมว่าไม่ได้
    หรอก ไม่งัน ถ้าเหมารวมหมดแบบนี้ ก็เดินไป อเวจี กัน ยกขโยง แน่นอน เพราะ เหมือน สอนให้ คนที่เขาไม่ทราบ เข้ามาอ่านแล้ว ต่อต้าน พฤติกรรม
    แบบนี้

    อยากจะให้ คุณเจ้าของกระทู้ เข้าใจด้วย ไม่งัน คนที่ไม่ทราบ เกิดเจอใคร
    มี พฤติกรรม แบบนี้ แล้ว ไป ปรามาส เขาหมด เกิดคน คนนั้น เป็นผู้มี อภิญา
    คงได้ ลง อเวจี กัน ละ

    บางท่าน ที่มาทำงาน เขามี การบ้าน ที่ไม่เหมือนกัน บางราย มาเพื่อบำเพ็ญ
    เป็นพระ บางราย มาในรูป คนธรรมดา หาเงิน ช่วยการกุศล บางรายมาในรูป
    การ แบ่งภาค ขององค์เทพ บางรายมาในรูป เทศน์ อย่างเดียว แต่ไม่มีปัจจัย
    ในการสร้างกุศล บางราย ช่วยเหลือคน เทศน์ หาเงิน เพื่อสร้าง กุศล ให้ทั้ง2ฝ่ายดีๆๆ ไปพร้อมกัน สร้างวัตถุ เพื่อให้คนกราบไว้บูชา เป็นต้น

    จึงอยากจะเรียนว่า แต่ละคน ที่ มาทำงาน มีหน้าที่ไม่เหมือนกัน จึงไม่อยากให้
    เหมารวมไปหมด

    เช่นเรื่องของผม เคยมีคน ว่า ด่า ปรามาส ผม เพราะเขาไม่ทราบความจริง
    แต่ผมไม่เคย โกรธเขาเลย แต่ในใจแค่คิดว่า เขาไม่น่าพูดให้ผู้อื่นเสียใจเลย
    แต่ใน โลกทิพย์ คุณจะรู้ไหมว่า เขา อาจมี เทพคุ้มครองอยู่ ไม่ว่าจะ เทพ
    เทวดา ยักษ์ คนธรรพ์ คนที่ ปรามาส อาจถูก สิ่งที่คุ้มครองเขาอยู่ จัดการได้
    ตั้งแต่ เบา จน ไป ถึงหนักเลย ในส่วนตัว คุณ คนขายธูป อาจยังไม่เจอ แต่ถ้าคุณ
    เจอ เมื่อไหร่ จะรอไปกราบ ขอขมา ผู้มีอภิญา ดีไม่ดี อาจสาย ไปแล้วด้วยซ้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2007
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การด่า หรือ การปรามาส ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์ นะครับ ตรงนี้ต้องเข้าใจกัน ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจกันผิดเลยทำให้เกิดการกลัวที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน ก็กลายเป็นสีลพตรปรามาส
    การที่จะทำให้เกิดโทษต่อผู้ทรงศีลหรือ พระอริยะนั้นคือ ประทุษร้าย ซึ่งจะเข้าตัวผู้กระทำ แต่หากว่าเป็นการวิจารณ์ จะด่า จะว่าอะไรก็พูดไปเถอะ แม้พระอานนท์บรรลุพระอรหันต์ ท่านก็ยังกระทำการไม่ควร ยังโดนเหล่าพระอรหันต์ กล่าวโทษ อันนี้แสดงว่า หากไม่ใช่วิสัยพระพุทธองค์แล้วย่อมมีการทำผิด พลาดพลั้ง กระทำไม่ควรได้
    เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ควร ทุกคนย่อมมีสิทธฺที่จะพูดที่จะกล่าวได้ ไม่ใช่ว่ากลัวกันไปเสียหมด แบบนี้เรียกว่า เพราะกลัวจึงต้องถือเอาไว้ เป็นสีลพตรปรามาส
    สำคัญคือ ไม่ประทุษร้าย การประทุษร้าย เช่นว่า หากพระอริยท่านหนึ่ง กล่าวคำอะไรมา มีบุคคลเกลียดชังก็ไปยุแยงคนอื่นให้เกลียดชังด้วย คือ เรียกว่า ตั้งใจประทุษร้าย หรือไปยุแยงให้ เกิดการแตกแยก
    แต่หากว่า มาวิจารณ์ด้วยหลักเหตุและผล ไม่ถือว่า ไม่ดี เป็นเรื่องดี เพราะจะได้รู้ตัวกัน

    คนเราพอดีกัน ถ้าคนนั้นคนนี้ เป็น พระอริยะ พ่อแม่พี่น้อง ครูบาอาจารย์ไม่ต้องมาสอน เป็นการปรามาสไปเสียหมดแบบนี้ไม่ถูกต้องครับ
     
  11. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    เข้าใจว่าท่านเจ้าของกระทู้...อาจจะโดนคำสั่งย้ายฟ้าผ่า เหมือนกับโผแต่งตั้งนายตำรวจ - ทหารอยู่ในขณะนี้....ต้องยอมรับว่า กระทู้ของท่านนั้น น่าสนใจทีเดียว แต่บางกระทู้ก็ขวางโลก (ความเห็นส่วนตัว) จนท่านออกอาการลมออกหูอยู่ในตอนนี้....กระทู้ของท่านตอนนี้ เหมือนโกรธ หรือโมโห ไม่พอใจ คุณเว็บมาสเตอร์เขาอยู่นะ.....นี่หล่ะบทเรียนต่อไป ที่ท่านกำลังเจอ หลังจากรับครูบาอาจารย์มาแล้ว....

    อยากให้เข้าใจด้วยว่า บางครั้งทฤษฎี กับ ปฏิบัติ มันสวนกระแสกันอยู่ เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาว่า " คนที่พูดธรรมะ หาใช่เข้าใจธรรมะไม่
    คนที่เข้าใจธรรมะ หาใช่ผู้ที่บรรลุไม่
    และคนที่บรรลุหาใช่พระอรหันต์ไม่......"

    ไม่ต้องไปชี้ว่าใครมี มิจฉาฯ หรือใครมี สัมมาฯ ........
    ตนย่อมรู้ได้เฉพาะตนแล......สาธุ
     
  12. นาย Touru

    นาย Touru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ผมไม่ได้มีความสามารถในการแยกแยะว่าใครแสดงความเห็นแบบ "มิจฉาทิฐิ" นะครับ แต่อยากมาแบ่งปันง่าย ๆ ว่า

    เราควรแสดงความเห็นกันเชิงสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ครับ

    จะ Post ด้วยหลักการ เหตุผล หรือ ความเชื่อ ความศรัทธา ก็ไม่น่าจะผิดกฎเกณฑ์ เพียงแต่อย่าแสดงความเห็นที่มันไม่สร้างสรรค์ ก็น่าจะเพียงพอนะครับ ^_^
     
  13. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ถูกต้องครับผม บางครั้งคนเราชอบคิดเข้าข้างตัวเองหาว่าตัวเองทำถูกทั้ง ๆ ที่อาจจะผิดแปลกไปกับคนอื่น ๆ ก็ได้
     
  14. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +3,159
    โดยวิจารณญาณดีกว่าค่ะ
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,687
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** มองค้นหามาร ****

    ใครสังเกตเห็น ... "มารในตัวเอง" ได้
    ก็จะเห็น... "มารในตัวคนอื่น" ได้

    หาก...เราไม่ "หัดมองหามารในตัวเอง"
    มารในตัวเรา....ก็เที่ยวไล่ฟาดฟันชาวบ้านเขาไปทั่ว

    นำ "สัจจะ" สกัดกั้นมารในตนทุกวัน

    - "หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    อิๆๆ เกรงใจเขา ไม่กล้าระบุ เลยพูดรวมๆ นะฮะ
    ขอบคุณที่ช่วยให้ความชัดเจนละเอียดนะฮะ หุๆๆ
     
  17. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    เรียนถามครับ


    สมมุติคนรักของคุณหลงใครสักคน และเขากำลังจะถูกหลอก
    คุณจะหาวิธีใดในการเตือนคนรักของคุณครับ หรือว่าปล่อย
    ให้คนรักของคนตาบอดหลงต่อไป


    คุณยังมี "เมตตาธรรม" ที่จะให้เขาตาสว่างไหมครับ?


    บังเอิ้ญ ผมนับเอาคนอื่นๆ แถวนี้เป็นคนรักของผมด้วยซี


    เลยบังเอิ้ญเตือนนะฮะ
    (แหม ถ้าคนเราเตือนกันไม่ได้นี่ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ..)
     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964

    ขอถาม


    การที่ "สมเด็จพระนเรศวร" ลุกขึ้นมาจับดาบประกาศเอกราชให้ชาติไทย
    ท่านต้องผิดศีลข้อ "ปานาฯ" ทั้งๆ ที่ท่านไม่คิดอยากฆ่าใครเลย ผมขอถาม
    ว่า "แบบนั้น เป็นมารไหม? สมควรทำไหม? ที่ต้องหยิบดาบมาฆ่าคน?"


    หรือว่าคุณจะทำตัวเป็นคนดีไม่ผิดศีลเลยสักข้อ
    เป็นคนที่บริสุทธิ์ แล้วรอดูประเทศล่มสลายลงไป


    อะไรคือ "ความเสียสละ" ในใจคุณครับ คุณมีหรือไม่?



    ผมเห็นคนมากมายไปตายที่ชายแดนใต้ บ้างก็ตายเพื่อปกป้องใครสักคน
    คนที่จงรักภักดีเหล่านั้น ถวายหัว ถวายชีวิตไปแล้วมากมาย คุณเคยคิดแบบ
    สมเด็จพระนเรศวรบ้างไหมว่า "ข้าจะไปทำยุทธหัตถี ขอพลีชีพตายคนเดียว
    ไม่ขอให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้าน ไม่ขอให้ไพล่พลต้องล้มตาย"


    หรือว่าคุณ หนุมาน ผู้นำสาร "ยังขี้ขลาดตาขาว"
    มุดหัวกลัวตาย กลัวผิดศีล กลัวเป็นคนไม่ดี
    รอให้คนที่จงรักภักดี "หัวหายไปทีละคน"
    ค่อยเอาธงชาติห่มศพ ส่งดินไปกลบหน้า ส่งไฟไปเผา
    แล้วประเทศชาติต้องล่มจมย่อยยับกับตาละครับ?


    ตอบให้ชื่นใจหน่อยสิ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2007
  19. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +3,159


    ขอละเมิดสิทธิ์ตอบด้วยคนค่ะ
    เราคงอธิบายค่ะ แต่คงในฐานะกัลยาณมิตรแล้วล่ะค่ะ
    แต่ถ้าไม่ฟังก็สุดแล้วแต่ค่ะ
     
  20. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    คุณไปรู้ยังไงว่า พ่ออยู่หัวพระนเรศวร
    ท่านทำยุทธหัศถี เพราะท่านจะพลีชีพ
     

แชร์หน้านี้

Loading...