สำหรับทุกคน ที่แยกธรรมะไม่ออก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 31 สิงหาคม 2007.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    จากที่ผมได้ เข้ามาในห้อง ลึกลับนี้สักระยะหนึ่ง ก็สังเกตุได้ว่า มีปัญหาที่สับสนกันหลายๆ อย่างในเรื่องของธรรมะ ซึ่งผมเกรงว่า จะนำไปสู่การถอยหลังแห่งพระพุทธศาสนา และ จิตวิญญาณความเป็นพุทธ จึงขอเขียนเนื้อความสักนิดหนึ่ง

    ปัญหาคือ มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ อะไรที่จะช่วยเราได้ ?
    ตามหลักแห่ง พระพุทธศาสนา นั้นกล่าวไว้ว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ ในสมัยพุทธกาลได้มีสำนักที่พยายามคิดค้นหาหลักเกณฑ์ แห่งความเป็นจริงซึ่งอธิบายสรรพสิ่งได้ ทั้งหมด ก็ถือว่าเป็น องค์ปัญญา ได้เหมือนกัน แต่ไม่สรุปรวบยอด จนมีพระพุทธองค์

    คำว่า สิ่งหนึ่งซึ่งอธิบายสภาวะต่างๆ ได้รวบยอดนั้นแหละคือ ธรรม หรือ เป็นการกรั่นกรองความคิดจนตกผลึกแล้วสามารถใช้ได้ เอามาอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ ได้ เช่น นิวตันพบกฎแรงโน้มถ่วง แบบนี้ถือว่า เป็นธรรม คือ สามารถอธิบายสภาวะแรงของโลก ได้ทั่วทุกๆที่

    ทีนี้ ปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เราพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ หรือ ประสบการณ์ ประหลาดๆ อะไรก็ตาม เราพยายามหา ธรรม เพื่ออธิบายสภาวะการณ์นั้น เช่น เมื่อไม่สบาย แสดงว่า เทพบันดาล หรือ เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้ แบบนี้ถ้าหากว่าเป็นนักปราชญ์หรือ ลูกศิษย์ตถาคตแล้ว เราจะไม่ถือว่าเป็นธรรม เพราะว่า มันอธิบายอะไรไม่ได้ครอบคลุม เพราะใครๆ ก็ไม่สบาย เช่นนี้ ก็หมายความว่า คนทุกคนก็ต้องถูก เทพบันดาลเหมือนกันหมด

    พระพุทธองค์ สอนให้รู้จักพิจารณา ก่อน สรุป และจะต้องไม่เชื่อ ตามหลักกาลมสูตร หลักกาลมสูตรนี้ ฝรั่งได้เอาไปใช้ ซึ่งเขาใช้โดยไม่ต้องอ่าน เพราะว่ามันเป็น ธรรมะแห่งปัญญา ใครๆ ก็ควรจะรู้ได้หากพิจารณาด้วยปัญญา จนทำให้เกิด เทคโนโลยีต่างๆ มากมาย และหลักวิทยาศาสตร์ต่างๆ คือ สมมติฐานได้ แต่หากพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่สรุป

    ทีนี้เรื่องของ เทวดา ผีสาง พระนาราย พระศิวะ หรือ อะไรต่างๆ ล้วนแล้วแต่ผุดขึ้นมาจาก การพยายามหา ธรรมะ แต่หากว่า ขาดองค์ปัญญาคือ การสรุปพิสูจน์ คือ ตั้งแต่สมมติฐาน
    ถ้าเรามองดูดีๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากอำนาจความกลัว ถ้าเราไม่กลัว เราจะต้องไปแสวงหาธรรมหรือ เครื่องยึดเหนี่ยวอย่างอื่นทำไม ในเมื่อ พระพุทธองค์ ตรัสไว้ชอบทั้งหมดแล้ว เราควรเดินหน้าปฏิบัติ ไม่ควรหยุดอยู่กับสิ่ง เหลวไหล เช่น หาเครื่องรางมาผูก หานั่นหานี่มาคุ้มครอง

    จากการเรียนรู้สะสม ว่า เทวดา พระนาราย พระพรหม มีจริง การฟังเขาเล่ามา ใครๆ ก็พูดเช่นนั้นว่ามีจริง เราก็จะสรุปไปว่ามีจริง ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง มีคนๆ หนึ่ง ปวดหัวบ่อยมาก เขาก็คิดว่า โดนเจ้าจะเข้าทรงบ้าง เจ้ามาบีบให้ยอมทำตามบ้าง พอกินพาราเซตามอลเม็ดเดียวหาย แบบนี้ทำไมถึงไม่ฉุกคิดกันว่า ท่าทางเจ้าหรือ เทวดาท่านนั้นจะกลัวพาราเซตามอล

    สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ห้องพลังจิตลึกลับนี้แหละ จะเป็นหนทางไปสู่ การดองของสีลพตรปรามาสที่มากที่สุด จริงอยู่ว่าพลังจิตนั้นมีจริง แต่หลายๆ ท่านแยกไม่ออก ระหว่าง ความมีอยู่เช่นนั้น ตามธรรมชาติ กับ รูปหรือสังขารที่ปรุงขึ้นมาเพื่อ อธิบายสภาวะธรรมชาตินั้น ซึ่งการปรุงรูปหรือสังขารขึ้นมานี้จะอธิบายว่า ก็คือ การที่มนุษย์จินตนาการ กฎเกณฑ์เรื่องราวใหม่ เพื่อมาอธิบายสภาวะเช่นนั้นเอง

    ฝากสุดท้ายว่า ธรรมะ คือ องค์ปัญญา ที่จะต้องเป็น การสรุปรวบยอด และอธิบายได้ทุกๆ สรรพสิ่ง ดังที่ ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น อกาลิโก ไม่เลือกผู้ปฏิบัติ เราท่องสวดมนต์กันอยู่แต่เราไม่ยักกะ คิดตาม

    การเอาพลังจิต ที่มีอยู่เป็นอยู่ตามสภาวะธรรม มาอธิบาย พระพุทธศาสนา หรือ เชื่อมโยงกับศาสนาจึงเป็นเรื่องที่ต้องมี สติให้มากที่สุด ด้วยความหวังดี
     
  2. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    กล่าวไว้ชอบแล้วครับ รับรู้ด้วยสติ พิจารณาด้วยปัญญา ไม่ออกนอกคำสอนของพระพุทธองค์ สาธุ
     
  3. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    ก็ผมกลัวนี่นา...
    กินยาอะไรก็ไม่หาย...

    อย่าบอกนะ ว่ามีปัญญาแล้วไม่กลัว...
    ก็ผมไม่มีปัญญานี่นา...
    กินยาอะไรก็ไม่หาย...

    สงสัยผมจะเยียวยา บ่ได้เลี้ยว...
     
  4. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ.
     
  5. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    คนมี สัมมาทิฏฐิ จะมีปัญญาหรือฤทธิ์ ย่อมไม่หลงทาง

    คนพึ่งเทพ ยังสนุกกับวัฏฏะ และกฏโลกสาม

    กฎกรรม เรามีสิทธิ์เลือก แล้วแต่ปัญญา จะเลือกโลกหรือปล่อยโลก การเข้าใจกรรม จะอยู่เหนือกรรมนั้น หมายถึงยังต้องตกอยู่ภายใต้กฏกรรม แต่ใจเป็นอิสระ

    กฏธรรม มีแต่ผู้ปล่อยวาง จึงจะเข้าใจ


    (sing)
     
  6. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    อิสลามคืออะไร?
    โดยทางภาษา คำว่า "อิสลาม" มาจากรากคำภาษาอาหรับว่า "สะลิมะ" ซึ่งแปลว่า "เขานอบน้อมยอมจำนน,
    เขา เข้าสู่สันติ, เขาปลอดภัย" ดังนั้น อิสลามจึงมีความหมายว่า
    "การเข้าสู่ความสงบหรือความสันติ" ซึ่งจะ เป็นไป
    ได้ก็โดย การยอมจำนน ต่อเจตนารมณ์ของอัลลอฮ
    ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว อันที่จริงแล้ว
    อิสลามมีได้เป็นแค่เพียง ศาสนาในความหมายที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน
    หากแต่อิสลามเป็นแนวทางการดำเนิน
    ชีวิตของมนุษย์ในทุกๆด้าน ซึ่งแนวทางนี้อัลลอฮทรงประทานมาให้แก่มนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะนำมนุษย์
    ไปสู่ความสันติในโลกนี้และได้รับ ความรอดพ้นในโลกหน้า
    แนวทางที่ว่านี้เราจะได้ พบจากคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็น
    วจนะของอัลลอฮและจากคำสอนของศาสดามุฮัมมัด
    ในการประทานอิสลามมา ให้แก่มนุษย์นั้นอัลลอฮได้ทรงทยอย
    ประทานผ่านศาสดาต่างๆ เป็นเวลาหลาย ยุคหลายสมัยจน
    กระทั่งมาสมบูรณ์ ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด และ
    ในการประทานอิสลามนี้ อัลลอฮ์มิได้ทรงบังคับให้มนุษย์ยอมรับ
    เพราะพระองค์ได้ทรงประทานสติปัญญาและ
    เจตนารมณ์เสรีอันเป็น ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษย์แล้ว
    มนุษย์จึงมีสิทธิ์เสรี ในการคิดและตัดสินใจว่าจะยอมรับ
    หรือปฏิเสธ อิสลาม ใครก็ตามที่ยอมรับและปฏิบัติตามอิสลามก็ได้ชื่อว่าเป็น "มุสลิม" (ผู้นอบน้อมยอมจำนน) ส่วน
    ใครที่ปฏิเสธอิสลามก็ได้ชื่อว่า "กาฟิร" (ผู้ปฏิเสธ)
    มีอะไรในอิสลาม? ในอิสลาม
    มนุษย์จะได้พบคำตอบอย่างสมบูรณ์ว่าตัวของเขาคือใคร
    เขามาจากไหน เขามีฐานะอย่างไร
    ในโลกนี้ ใครเป็นคนสร้างเขามา และเขามายังโลกนี้ทำไม
    เมื่อตายแล้วเขาจะไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่าง
    ไรและเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างไรในสิ่งที่เขาทำไว้หลังจากที่เขาได้ตายลง
    ซึ่งเรื่องเหล่านี้วิทยาศาสตร์
    และลัทธิความเชื่อต่างๆไม่อาจที่จะให้คำตอบได้ชัดเจน
    ในอิสลาม มนุษย์จะได้รู้ว่าขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้
    เขาควรจะมีความเชื่ออย่างไร เขาควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
    จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง คน
    ไข้ เพื่อนบ้าน เด็ก และผู้ใหญ่ สัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา
    ทั้งในยามสงบและยามสงครามในอิสลามมนุษย์จะ
    ได้พบวัฒนธรรม ศีลธรรม จรรยามารยาทที่เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน
    ไม่ว่าคนมุสลิมผู้นั้นจะมาจากเผ่าพันธุ์สีผิว
    หรือพูดภาษาใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น การกล่าวสล่ามในการทักทาย
    การกล่าวนามของอัลลอฮ์ ก่อนกินอาหาร และ
    การทำกิจกรรมต่างๆ การห้ามดื่มสุราก็เป็นข้อห้ามที่เด็ดขาด
    โดยไม่มีการยกเว้นอนุญาตให้ดื่มในบางโอกาสเป็น
    ต้น ในอิสลาม มนุษย์จะรู้ว่าควรจะแต่งงานกับใคร
    และใครบ้างที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงาน ด้วยการแต่ง
    งานของเขาควรจะเป็นอย่างไร
    เมื่อมีปัญหาที่จะต้องหย่าร้างเขาควรจะทำอย่างไร
    จึงจะเกิดความเป็นธรรมแก่
    ทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการตาย
    เขาควรจะจัดการกับศพและทรัพย์สินของคนตายอย่างไร
    และอื่นๆในอิสลาม มนุษย์จะเห็นอย่างชัดเจนว่า
    เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้ว มุสลิมทุกคนมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาเหล่า
    นั้นจะมาจากชนชั้นหรือสีผิวใด
    เขาจะได้พบว่ามุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต่อพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกันและหน้าที่
    ดังกล่าวนี้ก็มิได้เป็นของชนชั้นหนึ่งชนชั้นใด และหากเขาต้องการที่จะมีความใกล้ชิดหรือติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า เขาก็สามารถติดต่อกับพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยนักบวชทำหน้าที่เป็นนายหน้าติดต่อให้ และที่สำคัญที่สุด
    คือในอิสลาม มนุษย์จะได้พบกับอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า
    ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และผู้ทรงสร้างเขา ผู้ทรงประทาน
    ปัจจัยยังชีพอันมากมายมหาศาลให้แก่เขา
    ผู้ทรงให้ความกรุณาปราณีและความเมตตาแก่เขา
    ผู้ทรงให้กำลังใจ
    แก่เขาในยามที่เขาต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก
    ผู้ทรงให้หลักประกันในการตอบแทนความดีที่เขาปฏิบัติ
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตาม
    และทำให้เขาไม่รู้สึกท้อแท้ในการที่จะทำความดีต่อไป

    ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบวิทยาการแขนงต่างๆ
    ซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน เมื่อประมาณ 1400 ปี
    ก่อน แต่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อ
    มนุษยชาติมาเมื่อไม่ถึง 100 ปีนี่เอง และถึงแม้ปัจจุบัน
    วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากแค่ไหนก็ตาม
    ในคัมภีร์กุรอานก็ยังมีสิ่งที่ท้าทายสติปัญญาให้
    มนุษย์ได้ขบคิดและค้นคว้าต่อไปอย่างไม่จบสิ้น
    หลักศรัทธาในอิสลาม เริ่มแรกของอิสลามคือการรู้จักพระเจ้า
    และศรัทธาในพระองค์ เมื่อท่านเริ่มต้นเรียนภาษาใดก็ตาม
    สิ่งแรกที่ท่านจะต้องเรียนรู้และยอมรับก่อนก็คือ
    พยัญชนะของภาษานั้น หรือเมื่อท่านจะเริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    สิ่งแรกที่ท่านจะต้องรู้จักก่อนก็คือตัวเลข ฉันใด
    ก็ฉันนั้น เมื่อท่านต้องการจะเรียนรู้อิสลาม
    สิ่งแรกที่ท่านจะเรียนรู้และความรู้จักก่อนก็คือ "อัลลอฮ์" ผู้ทรงเป็นพระ
    เจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว
    และที่เราต้องทำความรู้จักก่อนก็เพราะว่าพระองค์ทรงประทานอิสลามมาให้
    แก่มนุษยชาติ การรู้จักอัลลอฮ์
    คือการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์ซึ่งมีกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกรุอ่านถึง99ประการ
    ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงมีอยู่ดั้งเดิม
    ทรงเป็นผู้สร้าง ผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงไม่
    เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนผู้ทรงยุติธรรม ผู้ทรงเห็น
    ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
    ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา และอื่นๆ อีกมากมาย
    ซึ่งจะไม่ขอนำมากล่าวในที่นี้ทั้งหมด แต่ขอย้ำไว้ตรงนี้ว่าคนที่จะรู้จักอัลลอฮ์
    และเข้าถึงพระองค์ได้นั้นจะต้องใช้สติปัญญาใคร่ครวญอย่างถ้วน
    ถี่ถึงลักษณะของพระองค์เพราะการมีความเชื่อ
    หรือศรัทธาในพระเจ้านั้นมิใช่เป็นการเชื่ออย่างมืดบอด
    แต่มันเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาอย่างมีเหตุผล และ
    เป็นเรื่องที่ไม่เกินสติปัญญาของมนุษย์

    http://www.geocities.com/islamthaith/
     
  7. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    มีพุทธบริษัทอีกมากมายที่กำลังหลงอยู่กับเรื่องลึกลับ
    อันเป็นช่องทางที่เพิ่มความลึกลับเข้าไปเรื่อยๆ
    หลายๆคนกำลังสับสน...
    ขณะที่พวกที่อ้างว่าเป็นเรื่องของปัญญา..พลอยผสมโรงเข้าไปอีก
     
  8. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญ มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสังวระ คือ ความสำรวม เพื่อปหานะ คือความละ เพื่อวิราคะ คือ คลายความกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ คือความดับทุกข์"
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! จงดูกายอันนี้เถิด ฟันหัก ผมหงอก หนั่งเหี่ยว ๆ ยาน ๆ มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด เหมือนเกวียนที่ชำรุดและชำรุดอีก ได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ ผูกกระหนาบคาบค่ำไว้ จะยืนนานไปได้สักเท่าไร การแตกสบายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น"
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก โดย อาจารย์วศิน อินทสระ
     
  9. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763

    คุณเข้าใจอิสลามเพียงแค่นี้
    ด้วยการโจมตีศาสนาอื่น ??
    แล้วคุณจะเอาพวกที่คุณโจมตี ไปนับถืออิสลามทำไม

    คุณหาช่องเข้ามา โดยคิดว่าเป็นจุดอ่อน เพื่อที่จะหาคนเปลี่ยนศาสนา??
    แบบนั้นไม่ใช่ปราชญ์
    กระทู้นี้ ไม่ได้มีจุดอ่อนตามที่คุณคิด

    ทำไมไม่ทำตามคำสอนให้ได้ก่อน แล้วออกเผยสัจธรรม
    ไม่ใช่อ้างแต่พระเจ้า พูดจาไม่มีเหตุผล
    คำสอนใครก็ไม่รู้


    การเข้าสู่ สันติ โดยการฆ่าคนอื่นหมดโลกหนะ

    พวกคุณทำอย่างนั้น แล้วจะไปอ้างอัลเลาะห์ทำไม
    ทำตามที่ท่านสอนได้หรือยัง
    ถ้าทำได้ คุณไม่ต้องชวนเชื่อ คนบนโลก เขาเห้นเอง

    กระทู้จะถูกลบเปล่าๆ คุณควรไปอยู่ในที่ที่คุณควรอยู่
    อย่าหาช่องทางเข้ามายุแยง มันน่าเกลียด

    :love:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2007
  10. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    ตัวศาสนาแท้นั้นมีเพียงศาสนาเดียวในโลก
     
  11. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    :love:
     
  12. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763

    แน่นอน
    แต่ใครอธิบายได้ถ่องแท้ล่ะ


    ถ้าคุณเข้าใจผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คุณก็จะเข้าใจเรื่องพวกนี้โดยอัตโนมัตื

    เพราะเขาเหล่านั้น ไม่หลงสมมุติ และไม่ตีความผิด

    ศาสนาที่จริง ไม่มีด้วยซ้ำ คุณถึงจุดนั้นหรือยัง


    :love:

    พุทธแท้ ไม่ติดยึดพุทธ

    ถ้าคุณติดยึดอิสลาม
    คุณอยู่แค่เปลือก ความตายเพื่อพระเจ้าแบบนั้น พระเจ้าไม่ยินดี

    :love:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2007
  13. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    โลกกำลังเสียเวลาไปเปล่าๆกับเรื่องส่งเสริมเหตุแห่งทุกข์
    มีเรื่องปลุกเสกให้เห็นกันทุกวัน....
    เอาศรัทธามาหาผลประโยชน์อย่างนี้ก็มี
    เอาศาสนามาอ้างเพื่อการใดดารหนึงอย่างนี้ก็ยังมี
    แม้กระทั่งเอาพระมาเป็นเครื่องมือหาทรัพย์ก็มี
    สารพัดจะมี...

    แก่นแท้ไม่ต้องพูดถึงกัน
     
  14. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ทุกศาสนาล้วนมีผู้งมงาย บ้างอ่อนแอ บ้างรุนแรง

    คนจริง อยู่ศาสนาไหนก็เข้าถึงสัจจะสูงสุดได้ เพราะปัญญา

    คนบ้า ก็อ้างศาสนากันไป
    อย่างน้อย ใครก็อ้างพุทธฆ่าคนตายไม่ได้ เพราะศาสนาของพระสัพพัญญูเจ้า มีบทบัญญัติกว้างขวางครอบคลุม ยังมีพระอริยะ เข้าสู่กระแสแห่งความจริง ยืนยันในหลักคำสอน

    ความน่ากลัว คือกลัวว่า ศาสนานี้ จะหายไปจากโลก เพราะพุทธบริษัท อ่อนแอในเรื่องไม่ควรอ่อนแอ กล้าในเรื่องที่ไม่ควรกล้า

    จึงเจอคนบ้าในศาสนาอื่น ทำลาย

    ที่จริง คนบ้าพวกนั้น ก็ไม่ได้เข้าใจศาสนาตน มีความคิดความเชื่อไปตามความโง่หลงของตนเองเท่านั้น


    คนไม่บ้า ฟังธรรมในยุคไหน จากศาสนาใด เขาย่อมไม่หลงทาง
    รู้ว่าอะไรใช่ทาง อะไรไม่ใช่ทาง

    รู้ว่าอะไรถ่ายทอดมาผิดหรือถูก ควรพิสูจน์อย่างไร


    (n)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2007
  15. กังขา ณ ปลาย

    กังขา ณ ปลาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +1,763
    อืม เข้ามาก็ดี นะ

    จะได้กลับไปฝึกสติกันทุกคน ทุกศาสนา



    (sing)
     
  16. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    สร้างเหตุปัจจัยใหม่ๆ อยู่เรื่อยไป
     
  17. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    ผมบอกว่าพวกคุณหลายๆคนที่นี้กำลัง
    สร้างเหตุปัจจัยใหม่ๆ ในการที่จะนำพา
    หลักการไปสู่ทางแห่งความเนิ่นช้า


    ผู้อ่อนแอถูกกระทำอยู่ร่ำไปไม่ว่าทางไหน(ดูดีๆ)

    โอกาสที่เขาเหล่านั้นจะได้พบทางของเหตุกับผลก็สวนทางอยู่อย่างนี้
    คุณจะกล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ ดูจะง่ายเกินไปหรือไม่

    สมาชิกหลายๆท่านหายไปเพราะห้องวิทยาศาสตร์ทางจิตนี้กระมั่ง(ผมประเมินเอาเอง)

    คุณกำลังสร้างกระแสให้ชาวสมาชิกในทางที่ผิดๆ
     
  18. กิเลศเยอะ

    กิเลศเยอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +676
    สนุกดีครับ
    เถียงกันเข้าไป
    รออ่านอยู๋
     
  19. HYRAL

    HYRAL Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +49
    ศาสนาคืออะไร และทำไมต้องมีศาสนา

    คำข้างต้นเป็นคำถามที่คนยุคใหม่มักจะสงสัยและย้อนถามด้วยความเย้ยหยันแทบจะทุกครั้ง เมื่อมีการ
    พูดคุยกันถึงเรื่องศาสนาทั้งๆที่ความจริงแล้วศาสนาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่และความอยู่รอดของ
    มนุษย์ เป็นอย่างมาก เพราะตราบที่มนุษย์ยังคงดำรงอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียว หรืออยู่รวมกันเป็น สังคม มันก็เป็นความจำเป็นของมนุษย์เองที่ต้องมีศาสนา

    ทำไม ?

    คำตอบคือ
    1. ในการดำเนินชีวิตประจำวันมนุษย์มีความจำเป็นต้องมีเกณฑ์ตัดสินที่จะวัดหรือจำแนกแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร เช่นเดียวกับการที่มนุษย์จำเป็นต้องมีมาตราชั่ง ตวงวัด ในการดำเนินชีวิต ซึ่งมาตราฐานดังกล่าวนี้จะถูกกำหนดขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นมาตรฐานสากลที่ถูกยอมรับกัน โดย ทั่วไป ในเรื่องของคุณธรรมความดีความชั่วก็เช่นกัน มนุษย์ก็จำเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานสากลที่ทุกคนสามารถ ที่จะใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินคุณธรรม หรือจำแนกความดีความชั่วนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่ามาตรฐานทางศาสนา

    2. มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มิได้มีความต้องการทางด้านวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว แต่มนุษย์ยังมีความคิดและจิตใจที่ จำเป็นจะต้องได้รับการสนองตอบความต้องการอีกด้วย ดังนั้นนอกจากปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว มนุษย์ยังมี ปัญหาบางประการที่เขาต้องการจะรู้อีกมากมายหลายอย่าง เช่น ชีวิตคืออะไร ตัวเขามาจากไหน เขาเกิดมาทำไม
    ตายแล้วจะไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร ใครเป็นคนสร้างโลก และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ วิทยาศาสตร์ ยังไม่อาจหาคำตอบให้เป็นที่น่าพอใจแก่เขาได้ แต่คำตอบต่อคำถามเหล่านี้จะสามารถหาได้ในคำ
    สอนของศาสนาที่เป็นสัจจธรรม

    3. ยิ่งมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่ใหญ่เท่าใด มนุษย์ก็ยิ่งมีความต้องการศาสนา มากขึ้นเท่านั้น เพราะการอยู่ร่วม
    กัน ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีกฎระเบียบของสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับประเทศไปจนถึงระดับระหว่าง ประ
    เทศ ดังนั้นการจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มนุษย์ก็จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกันในทุกระดับ และสิ่ง
    หนึ่งที่จะสอนให้มนุษย์รู้จักความสัมพันธ์เหล่านี้ก็คือหลักคำสอนของศาสนานั่นเอง

    4. มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการที่พึ่งพิงทางใจ และต้องการหลักประกันในการกระทำของตนเอง เช่นเดียวกับที่ มนุษย์ต้องการสิ่งตอบแทนในการทำงานของตนในเรื่องคุณธรรมและศีลธรรมก็เช่นกัน หากไม่มีสิ่งตอบแทน ให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติความดีแล้ว แน่นอน คงไม่มีใครอยากที่จะทำความดี แต่ในทุกวันนี้ยังมีคนที่ทำดีอยู่ก็เพราะ
    ศาสนาได้ให้หลักประกันในการทำความดีแก่มนุษย์นั่นเอง

    5. ที่สำคัญที่สุดก็คือ ศาสนาเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์เพราะคำสอนของศาสนาสอนให้มนุษย์ มีความเมตตา กรุณา มีความอดทน เสียสละ มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในสัตว์ อันที่
    จริงหากมนุษย์ไม่มีศาสนา มนุษย์อาจจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าสัตว์เสียด้วยซ้ำ หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ดูเราจะ
    พบว่านับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ศาสนาจะมีบทบาทอย่างสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ ศาสนา ได้มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดความคิด ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และบรรทัดฐานทาง สังคม ถึงแม้ใน
    ปัจจุบัน สังคมมนุษย์จะพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมใหญ่ ที่มีลักษณะสลับ ซับซ้อนก็ ตาม ศาสนาก็ยังคงเป็น สถาบันที่
    มีบทบาทต่อมนุษย์อยู่ เพราะศาสนาเป็นสิ่งที่มีคู่กับมนุษย์และ ธาตุแท้ของมนุษย์ในปัจจุบันก็มิได้มีอะไรที่ผิด
    แผกแตกต่างไปจากมนุษย์ในอดีต ตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราจะเห็นว่าคราใดที่มนุษย์
    มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและปลีกตัวออกจากศาสนามนุษย์ก็จะประสบกับความวิบัติหายนะ และเมื่อมนุษย์
    อยู่ในสภาพที่ตกต่ำเมื่อใด ศาสนาก็จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกอบกู้มนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ทรมาน
    แทบทุกครั้ง

    จากความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนานี่เองที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีอิสลาม เพราะอิสลามสามารถที่
    จะตอบสนองความต้องการของชีวิตมนุษย์ได้ในทุกๆด้าน และสามารถตอบปัญหาชีวิตที่มนุษย์ไม่อาจหาคำตอบ
    ได้จากที่ใดจากความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนานี่เองที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีอิสลาม เพราะอิสลามสามารถ
    ที่จะตอบสนองความต้องการของชีวิตมนุษย์ได้ในทุกๆด้าน และสามารถตอบปัญหาชีวิตที่มนุษย์ไม่อาจหาคำตอบ
    ได้จากที่ใด


    http://www.geocities.com/islamthaith/
     
  20. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ในหลักสำคัญของศาสนาพุทธ ได้เน้นถึง การตระหนัก การรับรู้ และความเข้าใจ ในหลักสัจธรรม คำสอนของพุทธศาสนาเป็นการ "เข้ามาและตระหนัก" ไม่ใช่ "เข้ามาและเชื่อ" พุทธศาสนายึดถือหลักเหตุและผล และต้องใช้ความอุตสาหะส่วนตัว ถือหลักว่าด้วยความเพียรของตนเองเท่านั้นที่จะบรรลุถึงปัญญาได้ บุคคลแต่ละคนจะรับผิดชอบ การเป็นอิสระจากความทุกข์ของตนเอง

    พระพุทธเจ้าทรงอ้างถึงคำสั่งสอนของพระองค์เป็นทางสายกลาง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเป็นคำสอนท่ีหลีกเลี่ยงการสุดกู่ระหว่าง การตามใจตัวเองในทางโลก และ การเอาชนะตนเองโดยการทรมานร่างกาย หนทางที่พระองค์สอนเป็นการรวมเข้าด้วยกัน ทั้งการพัฒนาทางสติปัญญาและจิตใจ ด้วยการปฏิบัติที่แสดงถึงความเมตตา ศีลธรรม ปัญญา และการรู้สำนึกอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็ตระหนักและเข้าใจปรากฏการณ์อย่างที่มันเป็นจริงๆ

    พุทธศาสนาเป็นหนทางของการหลุดพ้นของคนที่ต้องการหาดับความทุกข์อย่างถาวร อะไรคือความทุกข์ ความทุกข์คือการเกิด การทนทุกข์ การเจ็บปวด การเสียใจ การเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ ความผุพัง ความตาย ความเศร้าโศก ความหมดหวัง ความยากจน ความชั่วร้าย การร้องไห้คร่ำครวญ ความทุกข์ร้อน ความทุกข์ทรมาน ความโชคร้าย สงคราม ความบ้าคลั่ง ความหิวโหย ความไม่สมหวังในสิ่งที่ต้องการ ความไม่สมหวังในสิ่งจำเป็นพื้นฐาน การได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ การไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่ไม่คงทน และสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ศาสนาพุทธสำหรับผู้ที่เห็นว่าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งที่ไม่คงทนและสิ่งอะไรที่ไม่คงทนตามธรรมชาติแล้วเป็นทุกข์ ในความไม่คงทนทั้งหลายจะไม่มีความสุขที่ถาวร จะมีก็แต่ความเจ็บปวดและอันตราย

    วัตถุประสงค์ของคำสอนของศาสนาพุทธคือการสู่นิพพาน นิพพานเป็นจุดมุ่งหมาย นิพพานเป็นจุดสุดท้าย การรู้แจ้ง ความสุขที่คงทนของนิพพาน คือการไม่ถููกสร้าง การไม่เวียนว่ายตายเกิด อริยมรรค ๘ เป็นหนทางสู่ความสิ้นสุดนี้ ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ ๘ ประการที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย นั่นคือ นิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...