** ฉันทะ ** วัตถุมงคล หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา **

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ตุ้ย ฉันทะ, 16 พฤษภาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อิฐมอญ

    อิฐมอญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,385
    ค่าพลัง:
    +1,444
    พี่โจ จัดเต็มอีกแล้ว.......นะจ๊ะ ^^
     
  2. นพคุณ

    นพคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +3,815
    ชอบบทความนี้มากครับ ขนวัว เขาวัว
    สงสัยพี่โจต้องหางานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือแล้วละครับ
    จะได้มีแฟนคลับนักเขียนบ้าง
     
  3. ยุทธhotline

    ยุทธhotline Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +94
    เห็นข่าวน้ำจะท่วมอีกรอบเลยนำภาพนี้มาฝากครับ

    [​IMG]
     
  4. ebankky

    ebankky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +62
    เศร้าใจจริง:'(เห็นแล้วสลดเลยพี่:'(
     
  5. Chart 123

    Chart 123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    959
    ค่าพลัง:
    +6,310
    "เอาให้ได้ถึงที่สุด..ได้เท่าไร เอาเท่านั้น..แต่ต้องทำให้ถึงที่สุด

    จดจำไว้ในจิต ปวารณาจิตให้มิให้เสื่อมคลาย แม้จะชาติไหนๆ..

    ปฏิบัติต่อไป..เอาให้ถึงที่สุด..ที่สุดแห่งทุกข์.."


    *******************************************

    ประโยคนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับป๋า
    โดนใจสุดสุด :cool::cool::cool:
     
  6. max_thonglor

    max_thonglor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    317
    ค่าพลัง:
    +704
    [​IMG]
    ของแท้ หรือ ของเทียม ก็เป็นสภาวะธรรมที่เป็นคู่ๆ เราเรียนสิ่งซึ่งเป็นคู่ๆ ก็เพื่อให้เห็นว่าแต่ละสิ่งๆนั้นไม่เที่ยง แต่ละสิ่งๆทนอยู่ไม่ได้นาน แต่ละสิ่งๆบังคับไม่ได้ มันก็พลิกกลับไปกลับมาระหว่างด้านตรงข้ามเสมอๆ ก็เรียนเพื่อให้เห็นตรงนี้.....จำเขามาบอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2012
  7. hydroxy

    hydroxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +443
    ดังคำที่หลวงปู่ท่านว่าครับ "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง"
     
  8. phumiput

    phumiput เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,765
    ค่าพลัง:
    +16,580
    ผมเห็นภาพเณรน่ารักดีครับ แต่ผมดูอายุแล้วยังน้อยอยู่มากครับ ซึ่งตามหลักพระวินัยบวชไม่ได้ครับ เพราะยังเล็กเกินที่จะบวชด้วยนิสัยยังเด็กอยู่ถ้าอะไรพลาดขึ้นมาก็ลงนรกได้ เพราะเณรเป็นเชื้อสายสมณะครับ ผมว่าได้บุญไม่คุ้มกับนรกด้วยครับถ้าพลาดผิดพระวินัยขึ้นมา เพราะเณรมีศีลทั้งหมด 85 ข้อโดยเฉพาะศีล 10 หลัก ผมว่าให้ได้อายุอีกหน่อยบวชก็ไม่เสียหายครับผมขอยกตัวอย่างข้อความถึงอายุที่จะบวชเณรครับจากเว็บต่าง ๆ

    สามเณรและ สามเณรี แปลว่า เหล่ากอของสมณะ, หน่อเนื้อของ สมณะ หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนาที่มีอายุน้อย ยังมิได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ถ้าเป็นนักบวชหญิงอายุน้อยเรียกว่า สามเณรี
    คำว่า สามเณร สามเณรี เป็นศัพท์เฉพาะในพระพุทธศาสนา เป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่สาธารณะทั่วไป
    ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรสามเณรีได้นั้นทางพระวินัยกำหนดอายุอย่างต่ำไว้ ประมาณ 7 ขวบซึ่งพอช่วยเหลือตัวเองได้ พระวินัยระบุว่าพอจะไล่กาไล่ไก่ได้ ส่วนสูงไม่มีกำหนดไว้ ผู้มีอายุไม่เกิน 20 ปีจะบวชเป็นสามเณรตลอดไป ไม่บวชเป็นภิกษุก็ได้


    [๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค. ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก. คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน. ครั้นเมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็ได้วิ่งเข้าไปพูดว่าพ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง.
    ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเกิดแต่ภิกษุณี. ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
     
  9. nakorn99

    nakorn99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +27
    ผมได้ภาพที่ชัดมาแล้ว รบกวนช่วยพิจารณาให้ด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_9567.JPG
      IMG_9567.JPG
      ขนาดไฟล์:
      350.2 KB
      เปิดดู:
      63
    • IMG_9570.JPG
      IMG_9570.JPG
      ขนาดไฟล์:
      733.1 KB
      เปิดดู:
      41
    • IMG_9571.JPG
      IMG_9571.JPG
      ขนาดไฟล์:
      562.5 KB
      เปิดดู:
      35
    • IMG_9572.JPG
      IMG_9572.JPG
      ขนาดไฟล์:
      681.5 KB
      เปิดดู:
      31
    • IMG_9573.JPG
      IMG_9573.JPG
      ขนาดไฟล์:
      749.5 KB
      เปิดดู:
      45
    • IMG_9574.JPG
      IMG_9574.JPG
      ขนาดไฟล์:
      789.8 KB
      เปิดดู:
      47
    • IMG_9576.JPG
      IMG_9576.JPG
      ขนาดไฟล์:
      737.8 KB
      เปิดดู:
      38
  10. Jopaa

    Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +4,867
    คราวนี้ถ่ายซูมได้ชัดเจนมากเลยครับ..คุณ Nakorn 99

    ไปจ้างเค้าถ่ายมาหรือปล่าวครับเนี่ย..

    ถ้าจะถามเรื่องพระเก๊/แท้ ไม่ต้องจ้างเค้าถ่ายน่ะครับ..เสียดายเงิน

    เราก็ถ่ายกันเองได้ แต่ควรจะใช้กล้องทั่วไป กล้องจากมือถือจะไม่ค่อยเวิอร์ค

    เมื่อเห็นภาพชัดๆ..เช่นนี้..ก็ตอบได้ทันทีเลยครับ

    เก๊..สนิท..ศิษย์ส่ายหน้าเลยครับ

    ถามว่า " เก๊ " ตรงไหน เดี่ยวพี่จะถ่ายรูปเปรียบเทียบให้ดู จะได้เห็นเป็นตัวอย่าง..รอสักครู่น่ะครับ.


    อธิบายได้ดังนี้ครับ ..

    1. ที่เห็นชัดที่สุด คือ บริเวณฐานพระด้านหลัง องค์จริงจะเรียบ ไม่มีคำว่าหลวงปู่ดู่

    2. ด้านก้นองค์พระ ที่แน่นอนที่สุด จะต้องเป็นเนื้อพระปูนขาวธรรมดาๆ จะไม่มีออฟชั่นใดๆเพิ่มเติม อย่างที่ได้เคยอธิบายไปหลายครั้งแล้วสำหรับในหมวดพระบูชาทุกรุ่น สำหรับในองค์ของคุณ nakron นี้ ยังถือว่ามีน้อย มีเพียงเฉพาะตรายาง ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า พระหลวงปู่ไม่ว่าจะพระบูชา หรือพระเครื่องเนื้อผง องค์ที่มีตรายางรูปกงจักร ก็คือ พระที่กรรมการวัดทำขึ้นใหม่ ใช้ปั้มพระทีตกค้าง หลังจากหลวงปู่ละสังขารแล้ว คือ หลังจากปี 33 ดังนั้นพระรุ่นนี้ออกปี 25 ซึ่งหมดตั้งแต่แรกแล้วไม่มีตกค้าง จึงไม่มีการเอาตรายางมาปั้ม อีกทั้งตรายางก็ผิดแบบ โดยเฉพาะตัวหนังสือคำว่า หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ตรายางเช่นนี้จะไม่มีแน่นอนนอกจากในพระเก๊ ที่นักทำพระเค้าเจตนาจะทำให้รู้ว่าเป็นพระของหลวงปู่ดู่ท่านชัดๆ จะได้ขายได้

    3. เนื้อหาพระผิดกัน องค์จริงเนื้อปูนขาวจะละเอียด หนึก แน่น ส่วนของเก๊จะฟ่ามๆ พิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นชุดเดียวกับที่ทำพระเหนือพรหมเก๊ ที่เห็นโดยทั่วไป เนื้อหาก็จะเป็นในลักษณะนี้เช่นกัน

    4. ความคมชัด ลึก ต่างกันมาก สันนิฐานว่าองค์นี้น่าจะเป็นการถอดพิมพ์มาอีกครั้งหนึ่ง โดยเพิ่มออฟชั่นตัวหนังสือด้านหลัง ตามที่กล่าวในข้อ 1 จึงทำให้ขาดความคมชัด ออกเบลอๆ

    5. พระบูชาที่เป็นเนื้อปูนขาวล้วน ความจริงสามารถพิจารณาได้ง่ายกว่าองค์ที่ปิดทองมาก เพราะนอกจากดูได้ถึงเนื้อหาโดยละเอียดแล้ว ส่วนคมสันต่างๆ ก็ไม่ถูกปิดทองโดยแผ่นทอง หรือสีทอง จึงทำให้ง่ายต่อการพิจารณา

    6. ผมเองจะได้แต่พระทันยุคหลวงปู่ คือ ไม่เกินปี 33 แต่จะไม่ถนัดพระยุคหลัง เพราะไม่ค่อยได้ศึกษา สำหรับองค์นี้เพื่อความแน่นอนเพิ่มขึ้นอีก จึงได้ให้เซียนนิวส์ช่วยดูแล้ว ว่าเป็นพระยุคหลังของวัดหรือของศิษย์คนใดทำเลียนแบบขึ้นหรือไม่ เป็นที่แน่นอนว่าไม่เคยปรากฏการทำพระรุ่นนี้ย้อนยุคครับ

    7. ในการเล่นหาพระ ไม่ว่าจะพระบูชาหรือพระเครื่อง สิ่งหนึ่งที่ต้องศึกษาและต้องจดจำให้แม่นยำที่สุดก็คือ เรื่องของ "ความคมชัด" กล่าวคือ พระปลอมไม่ว่าจะเป็นพระเนื้อผง หรือพระเนื้อโลหะ ขั้นตอนของผู้ทำพระปลอม ก็จะต้องเริ่มต้นด้วยการหาพระแท้ คัดองค์ที่คมชัดที่สุดเท่าที่จะหาได้ หากเป็นพระเนื้อโลหะ ก็จะเอาเครื่องคอมฯรุ่นใหม่ 3 มิติสแกนจากเหรียญนั้นๆ ซึ่งหากเป็นโรงงานใหญ่ในวงการโลหะ แต่มิได้เป็นเครื่องสำหรับวงการพระปลอม เป็นเครื่องโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เหมือนของเพื่อนผม ต้องการความละเอียดคมชัดเป็นพิเศษที่ จุดทศนิยมมิลลิเมตรที่ 3 หลัก มูลค่าเครื่องกว่า 20 ล้านบาท เครื่องอย่างนั้นนอกจากคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพแล้ว เข็มแกะก็จะคมเล็กเป็นพิเศษ จึงสามารถถอดพิมพ์ได้ใกล้เคียงมากกว่า 99 % ดีว่าวงการพระปลอมยังไม่มีทุนรอน หรือลงทุนกันถึงขนาดนั้น จึงทำได้ใกล้เคียงน้อยกว่า แต่ก็ไม่ต่ำกว่า 90 % สำหรับเครื่องมือในปัจจุบัน ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ผู้ทำพระเก๊นั้นหาเหรียญต้นแบบได้คมชัดที่สุดเท่าไหน แต่จะให้เหมือนกับต้นฉบับแท้เลย ก็ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ นี่จึงมูลเหตุแห่งการแบ่งแยกพระเก๊/แท้ได้ส่วนหนึ่ง นอกจากองค์ประกอบด้านอื่นๆอีก (ไว้วันหลังว่างๆ จะไปโรงงานเพื่อนสนิทผม ถ่ายภาพเครื่องมือมาให้ดู ให้ศึกษากัน)

    ส่วนพระเนื้อผงก็เช่นกัน พระปลอมทั้งหมดส่วนใหญ่ก็จะมาจากการถอดพิมพ์ ซึ่งขั้นตอนก็เช่นเดียวกัน ต้องหาองค์ต้นแบบชัดๆให้ได้ก่อน ซึ่งการถอดพิมพ์ในพระเนื้อผงจะทำให้ยากกว่า วัสดุแม่พิมพ์ที่ทำใหม่ย่อมมีการหดตัว ดังนั้นพระถอดพิมพ์ในเนื้อผงจึงมักขาดความคมชัด หรือไม่ก็มักจะมีขนาดเล็กลงกว่าปกติ และถึงแม้ว่าวัสดุปัจจุบันจะมีวัตถุดิบๆดีสำหรับทำบล๊อกเพื่อไม่ให้หดตัว หรือหดตัวน้อยลงที่สุด แต่อย่างไรก็เป็นการถอดพิมพ์มา จึงย่อมต้องขนาดย่อมลง และขาดความคมชัดอยู่ดี

    8. ประเด็นว่า..พระบูชาก้นพระต้องไม่มีออฟชั่นใดๆเพิ่มเติม เช่น ตรายาง, ตระกรุด, จีวร, พระธาตุ, เส้นเกศา, พระปรกใบมะขาม ฯลฯ คำถามจึงมีอยู่ว่า ถ้าวงการพระปลอมมาเห็นคมลัมม์เราล่ะ และอีกหน่อยเขาก็ไม่ใส่สิ่งต่างๆเหล่านั้นลงแล้วจะทำอย่างไร ดูอย่างไร ? คำตอบก็คือ พระที่ใส่ๆนั้น เป็นการทำเก๊รุ่นเก่า จนถึงปัจจุบันถึงเนื้อพระจะแตกต่างจากของจริง แต่ก็มีอายุความเก่าอยู่พอสมควร แต่หากเป็นพระรุ่นใหม่ ทันยุค ไม่ใส่อะไรแล้วเป็นต้น ก็ต้องย้อนกลับไปที่ทฤษฏีเดิม คือ ต้องคมชัด องค์ต้องมีขนาดเท่าของจริง ( ผู้ที่เคยเห็นของจริงก็จะได้เปรียบ) อีกทั้งเนื้อพระคราวนี้ก็จะแตกต่างไปอีกมาก เนื่องจากเป็นพระใหม่ ทำเก๊ใหม่ ความสดของเนื้อปูนขาว ย่อมสังเกตดูได้ง่าย ที่สุดก็ย่อมไม่พ้นจากการพิจารณาโดยละเอียดไปได้

    หมายเหตุ : ให้ลองดูจากภาพด้านล่างองค์แรก ดูตัวหนังสือต้นแบบ โดยเฉพาะคำว่า อ.อุทัย จ.อยุธยา ท่านคิดว่าหากเป็นพระเก๊ ถอดพิมพ์มาอีกที จะทำได้คมชัดเช่นนี้หรือไม่ ลองพิจารณาจากหลักความเป็นจริงเอา

    สรุป..ก็อธิบายไว้ละเอียดหน่อย สำหรับข้อมูลการศึกษาการทำพระปลอม รู้ที่ไปที่มา จะได้เข้าใจพื้นฐานเบสิคการทำพระปลอมไปด้วยในตัว

    คำตอบคร่าวๆ.. ก็ประมาณๆนี้ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    คม..ชัด...ลึก..


    [​IMG]


    ฐานด้านหลังเรียบ..ไม่มีตัวหนังสือใดๆ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2012
  11. อิฐมอญ

    อิฐมอญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,385
    ค่าพลัง:
    +1,444
    เห็นด้วยกับที่พี่โจตอบครับ :'(

    ถ้าดูที่ตรายางก็ไม่ชอบครับ อีกอย่างจากที่เคยพบมาใต้ฐาน จะไม่ค่อยมีการปั้มอะไรไว้นะครับไม่ว่าจะเป็นชื่อวัดก็ตามครับผม
     
  12. nakorn99

    nakorn99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอบคุณคุณโจและคุณอิฐมอญมากครับที่ให้ความรู้
    ก่อนหน้านี้ที่ทราบจากทุกท่านว่า ใต้ฐานไม่ควรมีออฟชั่นใดๆ ก็เสียวๆอยู่แล้วเหมือนกัน แต่ในเมื่อได้ภาพมาแล้ว ก็อยากนำเสนอมาเพื่อปิดประเด็นให้สมบูรณ์
    ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  13. Jopaa

    Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +4,867
    ดีครับ..เห็นภาพชัดๆ..จะได้เป็นวัคซีนภูมิคุ้มกันให้เพื่อนเราท่านอื่นๆด้วย :cool:
     
  14. Alas

    Alas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +130
    ขออนุญาตินำบทความพี่สิทธิ์จากเว็บหลวงปู่ดู่ มาลงให้อ่านนะครับ "หัดขี่จักรยานทางจิต"

    ใครที่ยังสงสัยถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างสมถะและวิปัสสนา รวมทั้งแนวทางการวางตัวต่อการปฏิบัติธรรมในระยะยาวควรเป็นอย่างไร เชิญศึกษาจากโอวาทของท่านพุทธทาสภิกขุเรื่อง "การดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง" ซึ่งมีความไพเราะในอรรถะและอุปมาธรรมมากที่สุดตอนหนึ่งทีเดียวครับ
    "...เราจะเรียนรู้เรื่องอะไร เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอริยสัจ เรื่องอะไรทั้งหมด ทุกเรื่องมันก็สรุปรวมอยู่ที่ว่าเพื่อการ "ดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง" จะดำรงจิตอย่างไร รายละเอียดก็มีมาก ...ทีนี้ก็จะเปรียบด้วยอุปมาให้จำง่ายและเข้าใจง่ายได้อีกสักคำหนึ่งว่าเหมือนกับ "ขี่จักรยานจิต"
    ขอให้ทุก ๆ คนเข้าใจ ทำในใจให้เหมือนกับขี่รถจักรยานจิต ทำไมจึงเปรียบกับการขี่รถจักรยาน เพราะมันคล้ายกันมาก เกือบจะทุกอย่างทุกประการ นับตั้งแต่ว่าการขี่รถจักรยานนั้นมันก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง คือความหมดทุกข์ ดับทุกข์สิ้นเชิง ที่เรียกว่าพระนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง
    รถจักรยานจะขี่ได้ ขี่ไปได้นั้น มันมีความหมายสองความหมายซ้อนกันอยู่ คือ (๑) ควบคุมรถจักรยานได้ ไม่ให้ล้ม นี่ตอนหนึ่ง แล้วก็ (๒) ออกแรงทำให้มันวิ่งไป แล่นไป เคลื่อนที่ไป นี่อีกตอนหนึ่ง
    ถ้ามันล้มก็ไปไม่ได้ ถ้าไปได้ก็คือไม่ล้ม และที่ไม่ล้มและไปได้ มันเนื่องกันอย่างจะแยกกันไม่ออก ...ไอ้การที่มันไม่ล้มและไอ้การที่มันจะพุ่งไปข้างนั้นมันแฝดกันอยู่
    เรื่องขี่จักรยานจิตก็เหมือนกัน ต้องทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่เหมือนลักษณะที่เป็นสมาธิ และให้มันพุ่งไปข้างหน้า คือรู้แจ่มแจ้งในอะไรได้ไกลออกไป จึงเป็นลักษณะของวิปัสสนาหรือปัญญา
    เรื่องจิตแบ่งเป็น ๒ ตอน ตอนสมาธิหรือสมถะ คุมจิตให้อยู่ในอำนาจและตั้งมั่นอยู่ได้ พร้อมที่จะทำงานของมัน แล้วก็เป็นขั้นต่อไปคือ วิปัสสนาหรือปัญญา ที่มันจะแล่นไปด้วยกระแสความรู้ รู้ ๆ ๆ ๆ จนถึงที่สุด มันก็หลุดพ้นและปล่อยวาง นี่มันเหมือนกันอย่างนี้
    ...ลำพังสองล้อมันตั้งอยู่ไม่ได้ มันล้มล่าย มันล้มเก่ง แล้วก็ต้องบังคับ บังคับยาก จิตนี่ก็เหมือนกัน มันล้มง่าย คือมันฟุ้งซ่าน ออกนอกลู่นอกทางง่าย คือมันบังคับยาก จึงเปรียบกับรถจักรยานมันล้มง่ายอย่างไร จิตก็ล้มง่ายอย่างนั้น เราต้องฝึกฝนบังคับมันจนกว่าจะบังคับมันได้และขี่มันได้
    และที่เหมือนกันอีกข้อหนึ่งเป็นข้อสุดท้ายซึ่งสำคัญมากก็คือข้อที่ว่า มันสอนกันไม่ได้ ให้คนอื่นสอนไม่ได้ ต้องสอนด้วยตนเอง ด้วยตัวมันเอง นี่คนอื่นไม่ค่อยเชื่อ หาว่าคนพูดนี่โง่ หลับตาพูด
    คือเราบอกเขาว่า การขี่รถจักรยานนั้นมันสอนกันไม่ได้ ไอ้คนโง่นั้นมันก็เถียงว่า อ้าว ก็มีคนช่วยจับ ช่วยยึด ช่วยแนะ ช่วยอธิบายตอนแรกก่อนมิใช่หรือ เราก็บอกว่านั่นมันก็จริง แต่มันไม่สำเร็จประโยชน์ การสอนนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าทำอย่างไร ก็สอนให้เสร็จ อธิบายให้เสร็จ ก็ให้ขึ้นขี่ มันก็ล้มเท่านั้น ...นี่จะสอนกันอย่างไรก็สอนกันไม่ได้ จะให้มีใครสอนให้เราจับมือของรถแล้วทำให้เกิดบาลานซ์ถูกต้องไม่ล้ม นี่ทำไม่ได้
    ขอให้เข้าใจตอนนี้ให้มาก ๆ อย่าไปโง่เหมือนคนบางคนหรือคนแทบทั้งหมด มันหวังจะให้คนอื่นสอนเรื่อยไป จะฟังจะเรียนไปเสียตะพึด ไม่พยายามที่จะสอนตัวเองให้รู้ตัวเอง
    ถ้าถามว่าการจะขี่รถจักรยานเป็น ใครจะสอนให้ เราก็ต้องบอกว่ารถจักรยานนั่นแหละสอนให้ การล้มของรถจักยานนั่นแหละเป็นสิ่งที่สอนให้ ถ้าล้มไปทีหนึ่ง มันก็สอนให้ทีหนึ่ง ถ้าล้มอีกทีหนึ่ง ก็สอนอีกทีหนึ่ง จนรู้จักทำความสมดุล ไม่ล้ม ทีนี้ก็ไปได้งอกแงกๆ เหมือนคนเมา
    ทีนี้ใครจะสอนได้อีก การที่จะขี่เรียบไปมันไม่มีใครสอนได้นอกจากรถจักรยานนั่นเอง การที่มันไปงอกแงก ๆ มันสอนให้ทุกทีจนกระทั่งเรารู้จักทำให้มันสมดุล มันก็ไม่งอกแงก มันก็ไปเรียบ รู้จักใช้กำลังผลักดัน ถีบให้มันพอดีกันกับการที่จะบังคับมือสองข้างให้มันสัมพันธ์กันดี เหมาะสมกันดี แล้วมันก็ขี่ไปได้เรียบตามต้องการ
    ...เรื่องฝึกจิตก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าใครมันจะสอนกันได้ มานั่ง จับ จูง อะไรกันอยู่อย่างนี้ ก็ได้แต่บอกเรื่องว่าจะต้องทำอย่างไร เหมือนกับแนะนำให้จับรถจักรยานอย่างไร ถีบอย่างไร อะไรอย่างนั้น แนะได้บ้าง ไม่ใช่แนะไม่ได้เสียเลย แต่มันไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลยเพียงการแนะนั้น

    ที่มาบทความ: พี่สิทธิ์ www.luangpordu.com
     
  15. purn05

    purn05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +406
    _/\_พี่ตุ้ยคร๊าบได้รับรางวัลเรียบร้อยแล้วคร๊าบ(deejai) วันนี้หาดใหญ่ฝนตกหนักมาครับ คุณลุงไปรษณีย์ขี่มอเตอร์ไซด์ลุยฝนมาส่งของให้เลยครับผม พอรับของปุ๊บ จากตอนแรกง่วงเหงาเศร้าซึม(บรรยากาศน่านอนมากครับ) กลายเป็นยิ้มหน้าบานเดินถือกล่องไปมาทั้งวันเลยครับ 555+
    ขอบคุณพี่ๆอีกครั้งนะคร๊าบ
    _/\_ (deejai)(deejai)(deejai)
    ปล.ไม่กล้าแกะกล่องเลยครับพี่ ขอนอนกอดก่อน1คืนเป็นอย่างน้อยคร๊าบ อิอิ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2012
  16. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    กล่องใหญ่เวอร์ๆอ่ะ
     
  17. purn05

    purn05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +406
    _/\_กล่องใหญ่ๆแบบนี้คืนนี้เอาไปนอนกอดคงอุ่นน่าดูเลยคร๊าบพี่โพธิ์แก้ว อิอิ :boo::boo::boo:
     
  18. Jopaa

    Jopaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +4,867
    หนักป่ะ..ปืน..

    พี่เองยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้าง..

    รู้แต่รวมเวอร์ชั่นพี่ๆ..ฉลองความสำเร็จให้น้อง..

    เอาไปกอดก็ได้ หรือจะนุ่นหัวก็ได้น่ะ..หลวงปู่ฯทั้งน้าน..นน
     
  19. hmg

    hmg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,504
    ค่าพลัง:
    +4,322
    กราบหลวงปู่ดู่ครับ คุณตุ้ยครับ ผมได้รับพระแล้วครับ ขอบคุณุคณแม๊กซ์ครับสำหรับสายสินท์
    หลวงพ่อเกษมครับ
     
  20. purn05

    purn05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +406
    หนักอยู่เหมือนกันคร๊าบพี่โจ^^ วันนี้เดินถือไปถือมา ตั้งแต่เที่ยงแล้วครับ ถือจนแม่บอก"ตาลาย"ให้เอาไปตั้งสักที่เถอะ555+ คืนนี้เดียวจะถือไปนอนกอดด้วยคร๊าบ อิอิ:cool:
    _/\_
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...