พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิต ไม่ใช่เป็นเจตสิก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 กันยายน 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นิพพาน
    จุดหมายปลายทางของชีวิต

    คำนำ

    เรื่องพระนิพพาน มิใช่เป็นเรื่องที่พูดให้จบหรือให้เข้าใจกันได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ, เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาจะต้องอ่านทบทวนไปมา และทำการศึกษาคิดค้น ตีความและเทียบเคียง หยั่งให้ถึงความหมายของศัพท์ และประโยคไปโดยลำดับจริงๆ ไม่อ่านอย่างสะเพร่าลวกๆ หรือข้ามไปทั้งที่ไม่เข้าใจ, จึงจะมีความรู้จักตัวพระนิพพานชัดเจนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆ จนกว่าจะลุถึงได้จริงๆ ด้วยการ ปฏิบัติธรรม ทางใจ, ต่อไปนี้เป็นแนวการคิดค้นหาความเข้าใจ หรือคุณค่าของพระนิพพาน เพื่อก่อให้เกิดฉันทะในการบรรลุพระนิพพานแรงกล้ายิ่งขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย.

    พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิต, ไม่ใช่เป็นเจตสิกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยอาศัยจิตนั้น, ไม่ใช่มีรูปร่าง, เป็นก้อน เป็นตัว อันเป็นประเภทรูปธรรม, ไม่ใช่บ้านเมือง ไม่ใช่ดวงดาว หรือดวงโลกในโลกใดโลกหนึ่ง, และยิ่งกว่านั้น พระนิพพานไม่ใช่สิ่งที่มีความเกิดขึ้นมา, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, แต่พระนิพพานเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่ต้องตั้งต้นการมีของตนขึ้นเหมือนสิ่งอื่นๆ แต่ก็มีอยู่ได้ตลอดไป และไม่รู้จักดับสูญ เพราะไม่มีเวลาดับหรือแม้แต่แปรปรวน.

    สิ่งทั้งหลายอื่นซึ่งมีอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว; แรกที่สุด มันต้องมีการเกิดขึ้น มันจึงจะมีอยู่ได้ และต้องดับไปในที่สุด แม้จะช้านานสักเพียงไรก็ตาม และยังต้องแปรไปๆ ในท่ามกลางด้วย, เพราะสิ่งนั้นมันมีการเกิดขึ้น. แม้ที่สุดแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีอยู่นานก่อนสิ่งใดในสากลจักรวาล มันจะต้องกลายเป็นไม่มีสักวันหนึ่ง และเราจะไม่ได้เห็นมันในเวลาเช้า และลับหายจากสายตาไปในเวลาเย็น เช่น เดี๋ยวนี้, แม้ ดิน น้ำ ไฟ หรือความร้อน ลม หรืออากาศ ก็เช่นกัน จักต้องถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งมันจะไม่มีอยู่, เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการเกิดขึ้นมา และเกิดขึ้นได้เป็นขึ้นได้โดยต้องอาศัยสิ่งอื่น.

    ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พระนิพพาน ไม่เป็นเช่นนั้น; ไม่มีการเกิดขึ้น ทำไมจะต้องมีการอาศัยสิ่งอื่น, เมื่อตัวเองมีของตัวเองได้ มันจึงไม่รู้จักดับ, และจะมีอยู่ตลอดไปโดยไม่มีที่สุดหรือเบื้องต้น และเหตุนี้เอง พระนิพพานจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกล่าวได้อย่างมีเหตุผลเลยว่า พระนิพพานนั้นเป็นอดีต, อนาคต หรือเป็นปัจจุบัน ได้เลย, ทั้งนี้เพราะความมีอยู่แห่งพระนิพพานนั้น แปลกกับความมีอยู่ของสิ่งอื่น อย่างสุดที่จะกำหนดมากล่าวได้. พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล อันไม่มีที่สุด, มีเป็นของคู่เคียงกับกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด, แต่หากว่ากาลหรือเวลาจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดลงในวันหนึ่งได้ พระนิพพานก็ยังหาเป็นเช่นนั้นไม่.

    พระนิพพาน เป็นสิ่งที่เปิดโอกาสเตรียมพร้อมอยู่เสมอ สำหรับที่จะพบกันเข้ากับดวงจิตของคนเราทุกๆ คน. หากแต่ว่า ดวงจิตของเราตามธรรมดา มีอะไรบางอย่างเข้าเคลือบหุ้มเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้พบกันได้กับพระนิพพานเท่านั้น, พระนิพพานจึงไม่ปรากฏแก่เราว่ามีอยู่ที่ไหน ทั้งที่พระนิพพานอาจเข้าไปมีได้ในที่ทั่วไป ยิ่งเสียกว่าอากาศ ซึ่งเรากล่าวกันว่ามีทั่วไปเสียอีก. เมื่อเราไม่อาจกำหนด หรือเคยพบกับพระนิพพาน ก็เลยคิดไปว่า พระนิพพานไม่ได้มีอยู่ดังที่ท่านกล่าว เข้าใจว่าเป็นการกล่าวอย่างเล่นสำนวนสนุกๆ ไป. คนตาบอดมาแต่กำเนิดย่อมไม่รู้เรื่องแสงสว่าง หรือสีขาว แดง ทั้งที่มันมีอยู่รอบตัว หรือถึงตัวฉันใด, ผู้บอดด้วยอวิชชาซึ่งห่อหุ้มดวงจิต ก็ไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่อาจคาดคะเน พระนิพพานฉันนั้น, จนกว่าเขาจะหายบอด.

    เราเกิดโผล่ออกมาจากท้องแม่สู่โลกนี้ บอดเหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่อาจรู้เรื่องพระนิพพานได้ตั้งแต่แรกเกิด. ยิ่งผู้ที่มีตาเนื้อ ตาเนื้อก็บอดเสียอีกด้วยแล้ว ไม่อาจรู้จักแสง หรือสี ก็ยิ่งร้ายไปกว่านั้น. บอดตาไม่อาจรักษาได้ แต่บอดใจหรือบอดต่อพระนิพพานนั้นรักษาได้. ผู้ที่ตาบอด แต่ถ้าเขาหายบอดใจ เขาก็ประเสริฐกว่าผู้ที่แม้ไม่บอดตา แต่บอดใจ. นี่เราจะเห็นได้ชัดๆ ว่าแสงแห่งพระนิพพานส่องเข้าไปถึงได้ในที่ที่แสงสว่างในโลกส่องเข้าไปไม่ถึง. ดวงจิตของคนตาบอดอาจพบกับพระนิพพานได้ไม่ยากไปกว่าของคนตาดีๆ. แต่ว่าทุกๆ คนที่ตาของเขายังเห็นแสงและสีได้ ก็ไม่ยอมเชื่อหรือสำนึกว่า ตาของตนบอด, ตาข้างนอกของเขาแย่งเวลาทำงานเสียหมด ตาข้างในจึงไม่มีโอกาสทำงาน แม้ที่สุดแต่จะรู้สึกว่าตาข้างในของฉันยังบอดอยู่ก็ทั้งยาก, และยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่ามีตาข้างในอยู่อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นดวงสำคัญที่สุดด้วย.

    เมื่อเขาแก้ปัญหาชีวิตอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นวิสัยส่วนของตานอกได้หมดจนสิ้นเชิง เขาก็ยังต้องพบกับความยุ่งยากอยู่อีก และเขาไม่ทราบว่า นั่นมันเป็นวิสัยส่วนของตาใน, ก็แก้ไขมันไม่ได้, ทำให้ว้าวุ่นไป โทษนั่น โทษนี่ เดาอย่างนั้น เดาอย่างนี้ ก็ไม่อาจพบกับความสุขอันแท้จริงเข้าได้เลย. นี่ ! จะเห็นได้แล้วว่า เพราะแก้มันไม่ถูก คือไม่ได้ใช้ตาในแก้, ที่ไม่ใช้เพราะตาในยังบอด, ที่ยังบอดเพราะยังไม่ได้รักษา. ที่ยังไม่ได้รักษา ก็เพราะตนยังไม่รู้เลยว่า ตาในมีอีกดวงหนึ่ง, เป็นตาสำหรับพระนิพพาน คือความสุขอันเยือกเย็นแท้จริงของชีวิต.

    ใจของเราบอดเพราะอวิชชา คือความโง่หลงยิ่งกว่าโง่หลงของเราเอง นั่นเอง. เปรียบเหมือนเปลือกฟองไข่ที่หุ้มตัวลูกไก่ในไข่ไว้, เหมือนกะลามะพร้าวที่ครอบสัตว์ตัวน้อยๆ ซึ่งเกิดภายใต้กะลานั้นไว้, ฯลฯ, เหมือนเปลือกแข็งของเมล็ดพืช ซึ่งหุ้มเยื่อสารในสำหรับงอกของเมล็ดไว้, แม้แสงสว่างมีอยู่ทั่วไป มันก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึงสิ่งนั้น, จิตที่ถูกอวิชชาเป็นฝ้าห่อหุ้ม ก็ไม่อาจสัมผัสกับพระนิพพานอันมีแทรกอยู่อย่างละเอียดยิ่งกว่าละเอียดในที่ทั่วไป ตลอดถึงที่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง ฉันใดก็ฉันนั้น.

    เมื่อใดเปลือกฟองไข่ กะลามะพร้าว เปลือกแข็งนั้นๆ ได้ถูกเพิกออก หรือทำลายลง. แสงสว่างก็เข้าถึงทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้อง อ้อนวอน หรือขู่เข็ญบังคับมันเลย, นี่ฉันใด. เมื่อฝ้าของใจกล่าวคือ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ถูกลอกออกแล้วด้วย "การปฏิบัติธรรม" แสงและรสแห่งพระนิพพานก็เข้าสัมผัสกันได้กับจิตนั่น เมื่อนั้น ฉะนั้น. เราจึงเห็นได้ชัดเจน, เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีว่า พระนิพพานไม่ใช่จิต, ไม่ใช่เจตสิกอันเกิดอยู่กับจิต, ไม่ใช่รูปธรรม, ไม่ใช่โลกบ้านเมือง, ไม่ใช่ดวงดาว. ไม่ใช่อยู่ในเรา, ไม่ใช่เกิดจากเรา, ไม่ใช่อะไรปรุงขึ้น ทำขึ้น. มันเป็นเพียงสิ่งที่เข้าสัมผัสดวงใจเรา ในเมื่อเราได้ดำเนินการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุด เป็นการเปิดโอกาสให้แก่พระนิพพานได้เท่านั้น.

    คัดลอกมาจาก นิพพาน จุดหมายปลายทางของชีวิต
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    นิพพาน คือ ชื่อชั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรม ในชั้นที่ ๕.
    ผู้จะบรรลุนิพพานได้ ก็ต้องมี ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต คือ เจตสิก นั่นหมายความว่า จิตของบุคคลนั้นๆ ต้องประกอบไปด้วยธรรมทั้งปวง อันจักนำให้บรรลุนิพพาน
    นิพพาน ไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปถึงหรือบรรลุได้
    แต่ การจะบรรลุนิพพาน ต้องมีความเพียร ต้องมีสมองสติปัญญา มีความรู้ความเข้าใจ ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่าง หลักธรรม หรือการสอนธรรม เพื่อให้บุคคลบรรลุนิพพานเป็นตัวอย่างให้นำไปพิจารณาดังนี้

    มนุษย์ทั้งหลาย ล้วนมี พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ล้วนมีอาชีพ ล้วนมีฐานะที่แตกต่างกันไป บ้างยากจน บ้างร่ำรวย บ้าง พอมีอยู่พอกิน แต่ พฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ อาชีพ ฐานะ ที่พวกเขามีอยู่ มันเป็นเพียง อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความระลึกนึกถึง เท่านั้น พวกเขาไม่ได้อะไรเลย จากสิ่งที่เขามีอยู่ ฉะนี้
     
  3. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ถ้าฌานสมาบัติอะไรก็ยังไม่ได้
    อย่าเพิ่งคุยเรื่องพระนิพพานเลยครับ
    เพราะว่า แค่เรื่องฌาน คนที่ได้กับคนที่ไม่ได้ คุยกันให้รู้เรื่อง ยังคุยกันลำบาก
    ต่อเมื่อคนที่ไม่ได้ ปฏิบัติตนจนได้ฌานแล้ว จึงเข้าใจกันได้

    เรื่องพระนิพพาน เป็นเรื่องของการปฏิบัติ เริ่มต้นก็ต้องมีศีล
    เพราะศีลทำให้จิตสงบ สงบจากปัญจเวร
    ทีนี้คนที่มีศีลเป็นปกติ กับคนไม่มีศีล มาคุยกัน บางทีก็ยังไม่รู้เรื่องอีก
    คนมีศีลเขาบอกว่าเขาสุขที่มีศีล ส่วนคนที่ไม่มีศีลก็ไม่เข้าใจว่ามีศีลแล้วมีความสุขได้อย่างไร

    แล้วเรื่องพระนิพพาน ที่คุยๆกันนะ
    มันจะไหวหรือ...
    ถ้าคุยจากตำรา
    ลองนึกตามอย่างนี้ดูสิ
    ดอกไม้อยู่กลางสี่เหลี่ยม ล้อมรอบไปด้วยวงกลม มีสามเหลี่ยมอยู่ข้างๆ
    ตรงปลายสามเหลี่ยมมีดาวอยู่ สี่ดวง อ้อ ดอกไม้สีเหลืองนะ แต่ดาวนะสีขาว
    ส่วน สามเหลี่ยมมีสีเป็นประกาย...
    เอาแค่นี้ แล้วต่างคนต่างไปวาด... ออกมาดูว่าเหมือนกันมั้ย
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ลองอ่านนิยามของ จิต กับ เจตสิก ตามความหมายที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์บัญญัติไว้ ก่อนจะยกคำมาใช้ จะดีไหมครับ?
     
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ใกล.......มากๆๆๆๆๆๆ เลยเจ้าคะ
    เอาแบบระงับ อารมณ์ ให้ได้ ก่อนดีกว่า ว่า ทำยังไง มัน จะเหมือน เบรค ABS ได้ 55+
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใก้ลก็ใก้ลแค่ลมหายใจครับ เบรค ABS ก่อนที่จะหยุด มันจับๆ ปล่อยๆ
    เหมือนกัน เพียงแต่ มันเกิด-ดับเร็วมาก เร็วจนตามองไม่เห็น จิตก็ต้องฝึกบ่อยๆ ครับ
     
  7. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ตอนนี้ ฝึกไม่จับ มาประมาณ เกือบปีเลยคะ คือ จับแล้วมันได้เรื่องทันที ก็เลย ปรับ ระดับอารมณ์ ให้เป็น ธรรมชาติที่สุด สนุก อยู่ ตรงกลาง คะ
    และ รัก ABS มาก เพราะ ช่วย ชีวิต จาก กรุงเทพ สระบุรี ตอนที่ มัน ดัง กึก กึก กึก 3 ครั้ง เลยอยากให้ อารมณ์ ตัวเอง มีเบรค อย่างนั้นมั๊ง คงดี
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เอ...ไม่รู้เป็นอะไร เจ้าอินทรบุตร ชื่อสวยดีนะ แต่สมองไม่ค่อยสวย เขียนเพ้อเจ้อ เจ้าก็ไปอ่านดูซิว่าข้าพเจ้าเขียนถูกหรือเขียนผิด มั่ว...ทำเป็นอวดรู้อยุ่นั่นแหละ...ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อ่านแล้วครับ คุณ telwada แสดงไว้อย่างนี้ครับ

    ธาตุ 4 มันก็เป็นธาตุ 4 ของมันเช่นนั้นแหละ เราไม่ได้เป็นเจ้าของธาตุเหล่านั้น ไม่มีธาตุเหล่านั้นในเราเลย... การสอนคนอื่นต่อว่า ธาตุ 4 เป็นเรา เป็นจิตของเรานั้น เป็นสัมมา หรือ มิจฉา โปรดพิจารณาดูอีกครั้งนึงครับ
     
  10. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...อพิโธ่..อพิโธ่ เจ้าอินทรบุตร เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของจิต แถมยังอวดรู้อวดฉลาด (อย่าคิดว่าข้าพเจ้าเยาะเย้ยหรือดูหมิ่นนะขอรับ)

    จิต..ในทางพุทธศาสนา มีความหมาย ทั้งเป็นเรื่องของกายหยาบ และเป็นเรื่องของส่วนที่ละเอียด เจ้าลองไปศึกษาเรื่อง จิตในพระไตรปิฎกให้ดีซิ เช่น" ชวนะจิต" จิตฝ่ายดีมีกี่ดวง จิตฝ่ายไม่ดีมีกี่ดวง (ข้าพเจ้ารู้แค่นี้แหละเพราะเคยเห็นเขาเอามาเขียนในเวบฯ) เจ้ามีความรู้เพียงนิดน้อย (ข้าพเจ้าเองก็มีความรู้ในทางพระไตรปิฎกเพียงน้อยนิด) ไปศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจในพระไตรปิฎกให้ถี่ถ้วน สมองมีไว้คิด มีไว้จำ มีไว้ปรุงแต่ง

    เจ้าคิดว่า ร่างกายของเจ้าเป็นธาตุทั้งสี่ เจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของธาตุเหล่านั้นที่มีอยู่ในตัวเจ้า แสดงว่า เจ้ามีอาการทางจิตแล้ว เพราะอะไรเจ้าไปคิดดู คิดให้เป็นไปตามหลักธรรมชาติ และอย่าอ้างถึงไตรลักษณ์
    เอาที่เป็นอยู่ปัจจุบันเห็นๆนั่นแหละ เพราะสิ่งที่เป็นปัจจุบัน คือ หลักการทางพุทธศาสนา ที่แท้จริง


    แถมให้อีกนิด เจ้าลองบอกซิว่า ส่วนไหนของร่างกายของเจ้าบ้าง ที่เป็นธาตุทั้งสี่ หมายความว่า ส่วนไหนเป็นธาตุอะไร เจ้าลองอธิบายมาซิ ทำเป็นอวดรู้อวดฉลาดไม่เข้าทีจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2012
  11. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    เฮเฮ ระวังจิตพี่ท่านจะเทาดำดับหมดนะ ก้ากๆๆๆๆๆๆๆๆcatt3

    เดี๋ยวจะเหลือไม่ถึงพันดวงนะท่านศาสดาจ่าสิบตรี แว้กๆๆๆๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2012
  12. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    อีกทีคับพี่น้องคับตอนนี้จิตวิญญาณของท่านศาสดาหลุดแยกออกไปเกิดไปยุงหมดแล้วคับ ตอนนี้ท่านศาสดาเหลือไม่ถึง500ดวงแล้วคับ
    และอีกไม่นานจะถูกแรงดึงดูดทำลายไปคร้าบ

    ก้ากๆๆๆๆๆๆๆๆcatt3
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    ผู้ที่มีปัญญาระลึกได้รู้ว่าตนรู้น้อย จะสำรวจกลับเข้าไปในตัวเอง หาความผิดพลาดของตนเอง

    บุคคลประเภทตรงกันข้าม จะปัดความผิดใส่ผู้อื่น

    ใครกันแน่หรือ ที่อวดฉลาด?

    ผู้พยายามอธิบาย จิต และ เจตสิก โดยที่ตัวเองมีความรู้พระไตรปิฏกเพียงน้อยนิด?
    หรือ ผู้ที่มาแก้ข้อผิดของบุคคลแรก?
     
  14. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    โถะ..โถ...เจ้า อินทรบุตร เจ้าเหมือนผู้หญิงไม่มีผิด แถไปได้ตลอด ขออภัยนะที่ใช้คำว่าแถ พอข้าพเจ้าถามว่า ข้าพเจ้าเขียนอะไรผิดเกี่ยวกับ จิตและเจตสิก เจ้าก็แถไปเรื่อง จิต ไปเรื่อง มหาภูตรูป พอข้าพเจ้าถามว่า ส่วนไหนในร่างกายของมนุษย์เป็นมหาภูตรูปบ้าง เข้าก็แถไปอ้างว่าข้าพเจ้ารู้พระไตรปิฏกเพียงน้อยนิด แล้วปัดความผิดใส่ผู้อืน ส่วนนคำถามที่คุณถามว่าใครกันแน่ที่่อวดฉลาด ก็เจ้านั่นแหละเจ้าอินทรบุตร ที่อวดฉลาด ที่เจ้าเขียนมาข้างต้นนั้น ก็แสดงว่าเจ้าอวดฉลาดแล้วละนะ แทนที่เจ้าจะคิดพิจารณาแล้วตอบคำถามที่ข้าพเจ้าถาม เจ้ากับแถไปเรื่องที่ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้ารุ้ในพระไตรปิฎกเพียงน้อยนิด
    ข้าพเจ้ารู้พระไตรปิฎกเพียงน้อยนิด ก็เพราะข้าพเจ้าไม่อ่าน แต่ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรู้ในพระไตรปิฏกเพียงน้อยนิด ข้าพเจ้าก็แตกฉานในพระไตรปิฎก และเป็นการแตกฉานชนิดที่เรียกว่า สามารถปฏิบัติได้จริงและลึกซึ้งกว้างขวางกว่าในพระไตรปิฏกด้วยซ้ำไป เพราะหลักวิชชาที่มีอยู่เป็นหลักวิชชาที่ทันสมัยกว่า นะจะบอกให้ (อย่าใช้สมองอันน้อยนิดคิดว่าข้าพเจ้า ปรามาสพระไตรปิฎกอีกละ พิจารณาให้ดี)
     
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อะหา..เจ้านกปีกหัก ..เจ้าก็เที่ยวไปหลายเวบฯเหมือนกันนี่ ข้าพเจ้าจะบอกเจ้าเพื่อให้เจ้าได้หูตาสว่างขึ้นว่า
    จิตวิญญาณ ที่หลุดแยกออกจากร่างกาย ของข้าพเจ้า ย่อมต้องกลับมาอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าตามเดิม หรือ จิตวิญญาณ ที่แยกจากร่างของข้าพเจ้า ก็จะสูญสลายไป และจิตวิญญาณ ดวงใหม่ก็จะเกิดขึ้นแทนที่ จิตวิญญาณเดิมที่แยกออกไป ถ้าจะเรียกเป็นศัพท์ภาษาทางพุทธศาสนา ก็เรียกว่า "รู้จักกำหนดจุติดับและเกิด "ก็ได้ หรือจะเรียกว่า "มีฤทธิ์ทางใจ" ก็ได้เช่นกัน
    อนึ่ง จิตวิญญาณของข้าพเจ้าไม่มีแรงดึงดูดไหนมาทำลายได้
    มีแต่ จิตวิญญาณ ของเอ็งนั้นแหละที่จะถูกแรงดึงดูดทำลาย จะยกตัวอย่างให้เจ้าได้รู้ก็ยังได้ อย่างที่เจ้ามานั่งเขียนล้อเลียน นั่นแหละ คือ แรงดึงดูด จิตวิญญาณของเจ้าทำให้ จิตวิญญาณของเจ้าบางส่วน ในความเป็นมนุษย์ของเจ้าต่ำลง หรือ ถูกทำลาย ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  16. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318

    555แสงผมแรงมากหลุดไปไหนก็ตามกลับมาได้หมดแหละลุงcatt3 และผมไม่ได้ล้อเลียนนะลุงแต่บอกจากใจจริงนะลุง อย่าชะล่าใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษนะลุง5555555ลุงลุงศาสดาว่าแต่งวดนี้ออกไรลุงอิอิอิอย่าโกรธนะลุงเดียวจิตวิญญาณลุงจะเทาดำดับนะลุงนกน้อยเป็นห่วง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2012
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ(ฉันทะ)ก็ดี ความกำหนัด(ราคะ)ก็ดี ความเพลิน(นันทิ) ก็ดี ตัณหาก้ดี มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย ในวิญญานใดใด พวกเธอทั้งหลาย จงละกิเลสนั้นเสีย ด้วยการทำอย่างนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย วิญญานนั้นนั้น จักเป็นสิ่งที่พวกเธอละได้แล้ว เป็นสิ่งที่มีมูลรากตัดเสียแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า ทำให้มีอยู่ไม่ได้ ทำให้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป--ขนธ.สํ.17/236/75,,,,,,(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ราธะ ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความเพลินก็ดี ตัณหาก็ดี อุปายะ(กิเลสทำให้เป็นเหตุเข้าสู่ภพ)ก็ดี และอุปาทานก็ดี อันเป็นเครื่องตั้งทับ เครื่องเข้าไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแห่งจิต มีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาน ใดใด พวกเธอทั้งหลาย จงละกิเลสนั้นเสีย ด้วยการทำอย่างนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ทั้งหลาย วิญญาน นั้นนั้น จักเป็นสิ่งที่พวกเธอละได้แล้ว เป็นสิ่งที่มีมูลรากอันตัดขาดเสียแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า ทำให้มีอยู่ไม่ได้ ทำให้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป----ขนธ.สํ17/237/376--------------(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ อริยสัจสี่ มีสามรอบ มีสิบสองอาการ พระวจนะ" 1----ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาน ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า1นี่เป็นความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์....2 ความจริงอันประเสริฐ คือทุกข์นี้ควรกำหนดรอบรู้ 3 ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์นี้ เราได้กำหนดรอบรู้แล้ว......................2ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาน ปัญญา วิชชา และแสงสว่างของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1 นี้เป็นความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์ 2 ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์นี้ ควรละเสีย3 ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์นี้เราละได้เสียแล้ว.............................................3 ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาน ปัญญา วิชชาและแสงสว่าง ของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1นี้เป็นความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือ ของทุกข์ 2 ความจริงอันประเสริฐความดับไม่เหลือของทุกข์ ควรทำให้แจ้ง3ความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เราได้ทำให้แจ้งแล้ว.............................4ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาน ปัญญา วิชชาและแสงสว่างของเราได้เกิดขึ้นแล้ว ในธรรมที่เรา ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่า 1นี้เป็นความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงควาดับไม่เหลือของทุกข์2ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้ควรทำให้เจริญ3ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ เราได้ทำให้เจริญแล้ว....................ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามเป็นจริง ในอริยสัจสี่อันมีรอบสาม มีอาการสิบสองเช่นนี้ ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เราก็ยังไม่ปฎิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน อยู่เพียงนั้น เมื่อใดบริสุทธิ์สะอาดด้วยดี เมื่อนั้น เราปฎิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาน-----------------------------(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...