ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย manforlove, 6 สิงหาคม 2012.

  1. manmut01

    manmut01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +273
    จขกท ตั้งกระทู้ขึ้นมา เพราะคิดมากเกินไปหรือเปล่า
    ถ้าจะให้เลือกระหว่าง เททองหล่อพระ กับ ปลูกป่า ปลูกต้นไม้
    ทำไมไม่เลืือกทำทั้งสองอย่าง ในเมื่อมีประโยชน์ทั้งคู่
    อยากทำแบบไหนก็แล้วแต่จริต ของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  2. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    รูปตัวแทนแห่งพระหรือสิ่งศักดิ์ทั้งหลายนั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ถึงเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของสิ่งเหล่านั้น
    การที่จะสร้างหรือเททองหล่อพระนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ อีกทั้งยังเป็นการรวมพลังศรัทธาเพื่อสร้างอนุสรณ์หรือรูปเคารพไว้เทิดทูนบูชาอีกด้วย
    จึงไม่ผิดเลยที่จะเททองหล่อพระ หากผิดก็คงผิดที่คนไปยิดติดวัตถุนั่นหละครับ...
    (จิตใจศรัทธาย่อมพลังแรงกล้า ที่จะสร้างความดี) ​
     
  3. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    ตั้งใจ ชี้ให้เห็นว่า เททองหล่อพระกันมากไป

    แรก ๆ เห็นบอกว่า ทดสอบ ดูเชิงมาก็เยอะแล้ว
    พอใครแย้งเข้าหน่อยก็ตะหลบกลับ
    เรื่องที่คุณจะแจงว่า ทุกสิ่งอย่างเป็นเพียง สิ่งสมมติ
    ท่านทรงตรัสว่าไม่ให้ยึด เข้าใจครับ เพราะไอ้ที่มาพิมพ์อยู่นี่ก็
    ไม่ใช่ผมหรอก ธาตุ ขันธ์ ทั้งนั้น คุณเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
    และก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ผลมันจะออกมายังไง
    คำว่า ปรามาส น่ะเตือนตนเอง นิดนึง สิ่งที่มองไม่เห็น มันอันตรายนัก
    จริตใครก็จริตมัน สุดท้ายก็หนี ผลกรรม ตนเองไม่พ้นอยู่ดี จริงไหม

    หากคุณมีความตั้งใจที่จะปลูกป่าไม้ ใช้เวลาปลูกมันตั้งแต่เป็นต้นกล้าเล็ก ๆ
    จนกระทั่งเติบโตมาเป็นผืนป่า แล้วจู่ ๆ เกิดมีใครมาจุดไฟ เผาป่าที่คุณปลูกไว้ล่ะ
    ขอถามหน่อย รู้สึกยังไงหรอครับ หรือจะ อุเบกขา ดีครับ ?


    <!-- google_ad_section_end --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    ใครทำก็ทำไป อย่ายึดมั่นนัก อย่าถือสากันรักกันไว้ มนุษย์คือต้นทุนต่ำอย่าคิดว่ามนุษย์ประเสริฐสุดเลย จะเปลี่ยนภพภูมิก็มาที่มนุษย์นี่แหละ นิพพานก็ได้เป็นสัตว์ก็ได้เป็นเทพก็ได้หากมาเกิดแล้วมาเททองหล่อพระกันตลอดชีวิต เพื่อต่ำหรือสูง กว่าเดิมเกิดมาทำไมมาให้สูงขึ้นสถานเดียว การเททองหล่อพระจะดีชั่วผมไใ่ได้ตัดสินแต่หลังจากละขันไปทุกคนจะได้ทราบว่าขาดทุนหรือกำไร เป็นการปฏิบัติให้เสวยสวรรค์อยู่ การหล่อพระสร้างวัดก่อศาลาเป็นเมื่อพ้นแล้วจากบุญอามิสก็มาเป็นบุญปฏิบัติบูชา เป็นการอัพเกรด แต่หากจะถอยไปทำเกี่ยวกับวัตถุก็ไม่มีใครตำหนิหรอก ทำวันนี้ให้ดี เททองหล่อพระกับบำรุงบิดามารดาครูอาจารย์ภิกษุสงฆ์อันใหนเป็นสิ่งดี ให้เลือกระหว่างเททองหล่อพระกับดูแลบิดามารดาภิกษุสงฆ์ขอเลือกประการหลัง แล้วหากถามว่าทำไมไม่ทำสองอย่าง เมื่อถึงเวลาหนึ่งพวกท่านที่กำลังไม่รู้จะรู้เอง ศึกษากันต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 สิงหาคม 2012
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๗๗/๒๘๙
    โรหิตัสสสูตรที่ ๖
    [๒๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
    ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว โรหิตัสสเทวบุตรมีวรรณงามยิ่งนัก ยังพระวิหาร
    เชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว จึงถวายอภิวาทพระผู้มี
    พระภาคแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    โรหิตัสสเทพบุตรยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลสถิตอยู่ ณ ที่ใดหนอ จึงจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ
    ไม่อุปบัติ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันบุคคลจะอาจบ้างหรือไม่ เพื่อที่จะรู้ เพื่อที่จะเห็น หรือ
    เพื่อที่จะบรรลุที่สุดโลกได้ด้วยการเดินทาง ฯ
    [๒๙๖] พ. อาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่พูด
    ถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลกว่า ควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุด้วยการเดินทาง ฯ
    ร. น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า พระดำรัสนี้พระผู้มีพระภาคตรัส
    แจ่มแจ้ง ดังปรากฏว่า อาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่
    พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลกว่า ควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุด้วยการเดินทาง ฯ
    [๒๙๗] ร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่ปางก่อน ข้าพระองค์เป็นฤาษี ชื่อโรหิตัสสะ
    เป็นบุตรของอิสสรชน มีฤทธิ์ เหาะไปในอากาศได้ มีความเร็ว ประดุจอาจารย์สอนศิลปธนู
    จับธนูมั่น ชาญศึกษา ชำนาญมือ เคยประกวดยิงธนูมาแล้ว ยิงผ่านเงาตาลตามขวางได้ด้วย
    ลูกศรขนาดเบาโดยสะดวกดาย ย่างเท้าของ ข้าพระองค์เห็นปานนี้ ประดุจจากมหาสมุทรด้านทิศ
    บูรพา ก้าวถึงมหาสมุทรด้านทิศประจิม ข้าพระองค์มาประสงค์อยู่แต่เพียงว่า เราจักบรรลุ
    ถึงที่สุดของโลกด้วยการเดินทาง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ประกอบด้วยความเร็วขนาดนี้
    ด้วย ย่างเท้าขนาดนี้ เว้นจากการกิน การขบเคี้ยว และการลิ้มรสอาหาร เว้นจากการ ถ่ายอุจจาระ
    ปัสสาวะ เว้นจากระงับความเหน็ดเหนื่อย ด้วยการหลับนอน มีอายุ ถึงร้อยปี ดำรงชีพอยู่ถึง
    ร้อยปี เดินทางตลอดร้อยปี ก็ยังไม่ถึงที่สุดของโลกได้ แต่มาทำกาลกิริยาเสียในระวาง
    น่าอัศจรรย์นัก พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า พระดำรัสนี้ พระผู้มีพระภาคตรัส
    แจ่มแจ้งแล้ว ดังปรากฏว่า อาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่พูดถึง
    ที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลก ว่าควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุ ด้วยการเดินทาง ฯ
    [๒๙๘] พ. ดูกรอาวุโส ที่ใดเป็นที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุปบัติ
    เราไม่พูดถึงที่นั้นอันเป็นที่สุดของโลก ว่าควรรู้ ควรเห็น ควรบรรลุด้วยการเดินทาง
    ก็ถ้าหากเรายังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่ว่าเรา
    บัญญัติเรียกว่าโลก เหตุให้เกิดโลก การดับของโลกและทางให้ถึงความดับโลก ในสรีระร่าง
    มีประมาณวาหนึ่งนี้ และพร้อมทั้งสัญญาพร้อมทั้งใจครอง ฯ
    แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะ ที่ยังบรรลุ
    ถึงที่สุดโลกไม่ได้ จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ ฯ
    เหตุนั้นแหละ คนมีปัญญาดี ตระหนักชัดเรื่องโลก ถึงที่สุดโลกได้อยู่จบพรหมจรรย์
    แล้ว รู้จักที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้ระงับแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า ฯ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผู้ยินดีในพระพุทธรูป ผู้นั้นเป็นชนพาล

    "ครั้งนั้นพระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียด ซึ่งชนพาลชอบเล่า

    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย เราอันสมเด็จพระโลกนายกผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์
    นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา
    พระพิชิตมารผู้มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เมื่อจะทรงปลอบโยน
    เรา ได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน
    ครั้งนั้น เราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขาสูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่ถึงแผ่นดิน
    ได้โดยสะดวกทีเดียว ด้วยพุทธานุภาพ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
    พระธรรมเทศนา คือ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์
    ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต"

    ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สติหลงไปเพราะเห็นรูป บุคคลเมื่อใส่ใจถึงรูปฯ เรากล่าวว่าไกลนิพพาน ฯลฯ

    [๑๓๖] พ. ดูกรมาลุกยบุตร สาธุๆ เธอรู้ทั่งถึงเนื้อความแห่งธรรม
    ที่เรากล่าวโดยย่อ ได้โดยพิสดารดีอยู่แล ว่า
    [๑๓๗] สติหลงไปเพราะเห็นรูป บุคคลเมื่อใส่ใจถึงรูป เป็นนิมิตที่รัก
    ก็มีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น ทั้งมีความติดใจอารมณ์นั้นตั้งอยู่
    มีเวทนาอันมีรูปเป็นแดนเกิดเป็นอเนกทวีขึ้น และมีจิตอันอภิชฌา
    และวิหิงสาเข้าไปกระทบ เมื่อบุคคลสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้
    [๑๓๖] พ. ดูกรมาลุกยบุตร สาธุๆ เธอรู้ทั่งถึงเนื้อความแห่งธรรม
    ที่เรากล่าวโดยย่อ ได้โดยพิสดารดีอยู่แล ว่า
    [๑๓๗] สติหลงไปเพราะเห็นรูป บุคคลเมื่อใส่ใจถึงรูป เป็นนิมิตที่รัก
    ก็มีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น ทั้งมีความติดใจอารมณ์นั้นตั้งอยู่
    มีเวทนาอันมีรูปเป็นแดนเกิดเป็นอเนกทวีขึ้น และมีจิตอันอภิชฌา
    และวิหิงสาเข้าไปกระทบ เมื่อบุคคลสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้
    เรากล่าวว่าไกลนิพพาน ฯลฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘ หน้าที่ ๗๗/๔๐๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  8. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    ผมรู้ดี ว่าต้องถูกปรามาสแน่ทีตั้งกระทู้นี้ แต่ผมไม่ได้เป็นกระทู้ปิด ไม่ได้ห้ามเด็ดขาดแต่ให้เทให้เป็น สมมุติก็คือสมมุติทำให้ติด อยากแจ้งแถลงไขเรื่องการยึดติดพอมีคนเข้าใจบ้างก็ยังดี ส่วนหากจะมีใครมาจุดไฟเผาป่าที่ผมปลูก ผมคงไม่ว่า เพราะผมคงไม่อยู่ในป่าที่ถูกเผา และคนเผาป่าหรือคิดเผาจะซวยเพราะป่าเป็นอาหารของพวกที่ไม่ได้เผาและเป็นแหล่งอาหารของคนที่เผาด้วยทำไมเขาช่างคิดว่าจะเผาป่านะ ทั้งๆที่ป่าไม่ได้มีความผิดอะไร อุเบกขามานานแล้วจึงไม่ได้แสดงความเห็นที่พวกท่านคิดว่าโง่งมงายแล้วสอนธรรมะผมต่างๆนานา ไอ้ที่พิมอยู่นี้ก็ธาตุขันครับ ไม่ได้วิเศษเกินกันหรอก แต่ชี้ให้เห็นพอได้ ตรึก สักนิดเท่านัน แค่ สกิดใจ
     
  9. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ใจร่มๆค่ะพี่ 5555 ใครไม่เข้าใจ แต่หนูคนนึงล่ะ ที่เข้าใจ.. โมทนา ท่านอุรุเวลาด้วยนะคะ กระจ่างแจ้งเลยล่ะค่ะ แต่ทุกอย่างก็ไม่มีใครผิด ใครถูกหรอกกนะ หนูว่าทุกคนต่างมีต้นทุนเดิม ที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น จะมารู้และคิด เหมือนกัน ย่อมเป็นไปได้ยาก แต่หากถึงเวลา ทุกคนก็ต้องเป็นไปในทิศทางที่ตรงธรรม ตอนนี้ก็สะสม กระต้วมกระเตี้ยมกันไป อิอิ ถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น.. เอเมนจร๊า
     
  10. mikycar offroad

    mikycar offroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +255
    สวัสดีครับ ท่านอุรุเวลา
    สมเด็จฯโตท่านก็สร้างพระและปลุกเสกพระมากมาย หลวงพ่อ หลวงปู่อีกตั้งหลายองค์ สมเด็จฯโตท่านก็ศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฏก สมเด็จฯโตท่านก็แตกฉานในพระไตรปิฏกไม่ใช่หรือครับ ทำไมสมเด็จฯโตท่านถึงไม่ปฎิบัติตาม หรือว่าในพระไตรปิฏกที่มีอยู่ในปัจจุบันถูกบิดเบือนไปครับ เช่นพระสงฆ์ในสมัยสุโขไทย-อยุธยา ก็มีการปลุกเสกพระ ปลุกเสกเครื่องรางของขลังโดยไม่กลัวอาบัติ ผมก็สงสัยว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนพระสงฆ์-คนโบราณเขาอยู่ใก้ลชิดพระธรรมคำสอนมากกว่าเรา-ท่านทั้งหลาย แล้วทำไมพระสงฆ์ในอดีตทั้งหลายถึงกล้าฝืนพระไตรปิฏก หรือว่าพระไตรปิฏกฉบับที่ศึกษากันอยู่นี่ถูกบิดเบือนไปโดยหลวงพ่อหลวงตาทั้งหลายที่แปลแบบตกแต่งต่อเติม โดยส่วนตัวผมขอยึดอย่างโบราณไว้ก่อนเพราะข้อห้ามน้อย ส่วนท่านก็ยึดแบบฉบับที่แปลนี้ก็แล้วกันต่างคนต่างเชื่อน่ะ
     
  11. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    คำตอบชัดเจนแล้วครับ

    การสร้างพระนั้น ก็เพื่อให้เป็นพุทธานุสสติ เพื่อนึกถึงพระธรรม
    ส่วนใครจะยึดติดในวัตถุ หรือไม่ ใครจะงมงายหรือไม่ ก็แล้วปัญญา บุญวาสนา ตามกรรม่ของผู้นั้นแล้ว
    ผู้ที่เคยเททองหล่อสร้างพระ มีตั้งแต่ ผู้อยู่เหนือสุด จนถึงบุคคลธรรมดา
    ถ้าไม่ยึดติดก็ไม่ต้องยึดติด ก็ดีอยู่แล้ว แต่จะห้ามผู้อื่นเพื่ออะไร

    ถ้าบุคคลที่เห็นด้วยกับคุณ คือไม่ต้องการหรือไม่ควรให้มีการเททอง เพราะกลัวว่าจะยึดติด กลัวว่าจะงมงาย ผู้นั้นคือรู้ธรรม
    แล้วผู้ที่เคยเททองสร้าง หรือกำลังจะเททองสร้าง คือผู้ไม่รู้ธรรม หลงธรรมอย่างงั้นหรือ
     
  12. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117

    อันนี้ต้องระวังหน่อยนึงค่ะ ไม่ได้มาแย้งอะไรถือว่ามา เพิ่มเติมให้สมบรูณ์ยิ่งขึ้นและกันนะค่ะ คือบ้านเรานี่พระอะไรก็ หลวงปู่โตท่านสร้างเพราะท่านมีชื่อเสียงมันดูขลังกว่าบอกว่าพระทั่วๆๆไปสร้างใช่ไหม? แต่ประเด็นคือจริงเท็จเราไม่รู้เราแค่เชื่อตามๆๆกัน เหมือนงานเขียนทางพุทธศาสนาดีๆๆ สูตรดีๆ เขาก็จะเชื่อมโยงว่าท่านนาครชุนเขียนเพราะท่านเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาเรา นี่คือประเด็นที่เราควรจะระลึกไว้ด้วย เกี่ยวกับสมเด็จท่าน งานเทศน์ดีๆๆ ท่านมีแต่ไม่มีการจดจำกันเอาไว้ไม่มีการบันทึก แต่สิ่งที่เด่นกับเป็นการที่คนส่วนใหญ่ไปชี้ประเด็นจิ๊บๆๆทางไสย์เวทย์ของท่านแทน ไม่ใช่ธรรมคุณธรรม จริยธรรมของท่าน การไม่ยึดติดในสมมุติในโลกธรรมถึงกับหนีไปเพราะไม่อยากได้สมณศักดิ์

    อีกอย่างประเด็นนี่ก็เป็น เรื่องของคนที่มีปัญญามากพอแล้วไม่จำเป็นต้องพึ่ง
    พิงอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีก (หมายถึงที่ทำได้จริงๆ)
    กับคนที่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพิงอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกอย่างเราๆๆท่านๆ ก็ถือว่าเป็นกุศโลบาย ดีกว่าไปพึ่งพิงอะไรๆๆที่มันต่ำๆๆอย่างอบายมุข
    มันก็แค่นี้แหละค่ะ เป็นธรรมดาของคน ใครใคร่สร้างก็สร้างไปเถิดเพียงแต่ต้องรู้เท่าทันไม่ใช่ปล่อยให้ศรัทธาที่ตนเองมี แทนที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนา กับไปส่ง
    เสริมพุทธพาณิชย์และกดให้ศาสนาตนต่ำลงโดยไม่รู้ตัว

    อย่างบางคนนึกว่าตนทำบุญกับพระที่ตนเชื่อว่าเป็นอรหันต์นั้นจะได้บุญมากกว่าอะไรอื่น เป็นการทำบุญหวังผลประโยชน์ตอบแทน มิได้ทำบุญเพื่อขจัดความตระหนี่ ขจัดความยึดมั่นในทรัพย์ หรือเพื่อโปรดสัตว์ สนับสนุนพุทธศาสนาแต่ทำโดยหวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนว่าทำบุญแล้วต้องได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ใครจะไปทำ คิดแบบนี้ เป็นการซื้อ ขายแลกเปลี่ยนเป็นการพาณิชย์ซึ่งแฝงเข้ามาบิดเบือนหลักการในพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นพุทธพาณิชย์ นอกจากจะไม่ได้บุญแล้วยังเป็นการปลูกเอาเมล็ดพันธ์แห่ง มิจฉาทิฐิ อันคำว่า มิจฉาทิฐิ นั้นมีมากมายหลายแบบ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลก็ได้บันทึกไว้ส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบัน โลกเต็มไปด้วยกระแสทุนนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยม ทำให้พระพุทธศาสนาถูกบิดเบือนด้วยกระแสความคิด อันเป็นมิจฉาทิฐิที่เกิดขึ้นด้วยระบอบทุนนิยมนี้ คือ พุทธพาณิชย์ ค้าบุญค้าบาปค้าชาติหน้าโลกหน้าภพภูมิที่ดีกว่า ในสมัยพุทธกาล ได้มีบันทึกถึงอานิสงค์ของการทำบุญไว้มากมาย แต่พระพุทธเจ้ามักเทศนาสอนเรื่องอานิสงค์ของการทำบุญ เมื่อหลังที่ผู้ทำได้กระทำเสร็จสิ้นแล้ว จิตของผู้กระทำก็กระทำด้วยใจที่ศรัทธาอยากให้ ไม่ได้อยากได้รับผลคืนกลับอันใดเลย เมื่อพระสาวกสงสัยและถามถึงอานิสงค์ต่าง ๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบไว้ แต่ในปัจจุบันเรา
    มักไม่ได้มีศรัทธาอย่างแท้จริง เราต้องการรู้ก่อน ว่าทำแล้วจะได้อะไรเป็นผล และผลที่เราอยากได้ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่ความหลุดพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ซึ่งถือว่าไปผิดทางยิ่ง เรามองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไกลตัว เป็นของมนุษย์วิเศษพวกหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นสำหรับเรา เราจึ่งมุ่งแต่จะทำบุญ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นเจริญขึ้นทางลาภยศ สรรเสริญ
    เป็นผลเชิง โลกียะสุข ทำบุญเลี้ยงกิเลส ทำบุญต่อยอดกิเลสให้มากยิ่งขึ้น

    ดั้งนั้นมันถึงเวลาแล้วที่เราควรจะโตกันเสียที ไปสู่การไม่หวังผล หรือหวังผลเป็น ศูนย์ จิตก็น้อมเข้าสู่ภาวะสุญตา ความไม่ใช่อย่างใดเลย อันนำไปสู่การมอดไหม้หมดเชื้อกิเลสไปฉะนั้น ด้วยผลจากการกระทำกรรมอันมีสภาวะเป็นศูนย์ เป็นกลาง เป็นอัพยากตธรรม ทำจนหมดเชื้อที่จะทำ ทำอย่างนี้จิตจึงตรงต่อนิพพาน อุปมมดั่งเผาฟืน หากไม่ใส่เชื้อไฟเข้าไปอีกย่อมดับลงได้ในที่สุด แต่หากไม่เผาฟืนนั้น ฟืนก็ยังอยู่ กิเลสก็ยังมี รอแต่จะ แสดงอาการเมื่อถูกกระตุ้น ผัสสะ แต่หากบุคคลหวังผล จิตของเขาย่อมยึดมั่น และพุ่งไปสู่การแสวงหา การเกิดของชาติภพก็ย่อมมีขึ้นตามมาเป็นลำดับ อุปมาเหมือนผู้คอยป้อนเชื้อไฟไม่หยุดหย่อน ไฟย่อมไม่มีวันดับลงได้ฉันนั้น จิตที่หวังผลอย่างนี้ จึงไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เลยจำต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น และไม่อาจเข้าถึงสภาวะนิพพานได้เลย

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  13. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เรียน จขกท.ครับ
    คุณรู้ได้อย่างไรครับ ว่าคลองที่กำลังขวางนั้น เป็นคลองที่พาไปสู่ที่ต่ำ เป็นที่ไปของอบาย

    เอาง่ายๆสั้นๆนะครับ แบบเข้าประเด็น
    1.การสร้างพระ ถ้าสร้างแล้วทำให้หลงยึดติดในรูปนาม ไม่เข้าถึงแก่นแห่งพุทธ ก็เป็นอันตราย แล้วแต่ปัญญา บุญ กรรม ของผู้นั้น
    2.การสร้างพระ ถ้าสร้างแล้ว เพื่อเป็นพุทธานุสติ เพื่อเข้าถึงกรรมฐานเพื่อวิปัสณา เพื่อเป็นผู้เข้าถึงกระแส(โสดาบัน) ก็เป็นกุศล
    ด้วยเหตุแห่งการสร้างพระ เป็นเหตุให้เกิดผลลัพธ์2อย่างที่แตกต่างกัน ถึงคุณและโทษ
    คุณจขกท.จึงห้ามไม่ให้มีการปฏิบัติเททอง แต่ผู้ที่มองแตกต่าง มองประการที่2คือ คุณประโยชน์ คุณกลับกล่าวว่า เป็นผู้ไม่รู้ธรรม เป็นผู้ยึดติด ใช่หรือไม่ครับ

    คุณ จขกท.คิดเห็นอย่างไร กรุณาอ้างอิงกระทู้นี้ และตอบด้วยครับ ขอบคุณ
     
  14. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    อนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ
    แต่ถามหน่อยว่า แล้วคนเททองหล่อพระ เค้าผิดอะไรหรอครับ เข้าใจว่ากระทู้คุณจะสื่อถึงเรื่องอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ เจตนาแท้ ๆของคุณเอง คุณคิดเองรู้เอง ไม่มีใครเข้าใจได้ดีกว่าตัวคุณเอง ถ้าเจตนาคุณดีจริง แต่หากว่าเป็นเพียงการสื่อสารออกมาไม่แจ่มแจ้ง ถึงเหตุถึงผล ทำให้คนอ่าน ตีความผิด ๆ ไป (อันนี้ผมต้องขอโทษด้วย)แต่ถ้าหากมาจากเจตนาอย่างอื่น?
    (อันนี้ก็ตัวใครตัวมันนะ ชี้ให้เห็นพอได้ ตรึก สักนิดเท่านั้น แค่สกิดใจ)
     
  15. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    ผมอยากทราบเจตนาที่แท้ของ จขกท.ครับ
    คือเป็นเจตนาที่ดี ไม่อยากให้พุทธศาสนิกชนหลงยึดติดในรูปนามใช่มั้ยครับ ถ้าใช่ผมขออนุโมทนาด้วยครับ เพียงแต่ว่าการสื่อของคุณ มันไม่ตรงประเด็นกับการเททองสร้างพระนะครับ เพราะมันก็ทำให้เกิดกุศลมหาศาลด้วยเช่นกัน
    แต่หากเพราะเจตนาอื่น ... จบข่าว
    แล้วอย่าลืมตอบ คห.ของผมด้านบนด้วยนะครับ
    ^
    ^
    ^
    ^
    ^
     
  16. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    คือเป็นเจตนาที่ดี ไม่อยากให้พุทธศาสนิกชนหลงยึดติดในรูปครับ
     
  17. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 สิงหาคม 2012
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สวัสดีครับ ท่าน mikycar offroad
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คนที่มองเห็นเขาก็ไม่ยึด คนที่มองไม่เห็น ทำยังไงเขาก็มองไม่เห็น เขาก็ยังยึดของเขาอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ครับ สร้างพระพุทธรูป ปลุกเสกพระพุทธรูป พระขายพระ ไม่มีในพระไตรปิฏกครับ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า สมเด็จท่านสร้างท่านก็คงมีเหตุผลของท่าน หลวงพ่อท่านสร้างท่านก็มีเหตุผลของท่าน ท่านมีเมตตาต้องการโปรดสัตว์ให้คนเห็นธรรม ท่านสร้างเพื่อให้คนเข้าวัด ทำบุญจะได้เห็นธรรม จะเรียกว่า "พุทธานุสติ" ก็ได้ แต่คนไม่เห็นก็ไม่เห็นอยู่อย่างนั่นเอง เมื่อไม่เห็น ใส่ความงมงายเข้าไปอีก ลงเหวเลยทีนี้ จาก "พุทธานุสติ" เลยกลายเป็น "พุทธพาณิชย์" ไป พระสงฆ์ท่านไม่สอนสร้างพระพุทธรูปก็มีครับ ลองฟังธรรมจากท่านดู มีทางเก่าให้เดินแต่ไม่เดิน อยากลองเดินทางใหม่ก็เอาครับ ท่านเชื่อแบบของท่านไป ผมไม่ยึด เมื่อผมไม่ยึด ผมก็ไม่เอา อะไรๆ ผมก็ไม่เอา ต่างคนต่างเชื่อดีแล้ว ชอบแล้วครับ
     
  19. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    แล้วผู้ที่เคยเททองสร้าง หรือกำลังจะเททองสร้าง คือผู้ไม่รู้ธรรม หลงติดบ่วง แต่ถ้าจิตบริสุทธิ์ก็ถือว่าทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการ เหมือนเด็กที่ทำตามกันโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่แนวทางพุทธศาสนาที่เน้นการหลุดพ้นจากการเวียนไหว้ตายเกิด แต่ยังมีข้อแย้งได้คือ ไม่ได้ห้ามทำโดยเด็ดขาด ใครเลิกไม่ได้ ก็ทำต่อ ใครรู้ธรรมแท้ก็เลิกหรือทำๆเลิกๆก็ได้ แล้วแต่ศรัทธา ไม่ห้ามครับ ทำก็ทำให้ดี ทำให้ถึงเท่านั้นเอง สร้างรูปเพื่อพ้นรูป
     
  20. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    คนบรรลุโสดาบัน ต้องรู้แจ้งธรรมชั้นนี้แน่ ไม่ต้องสอน กัน เพราะเขามีดวงตาเห็นธรรมแน่นอน ภายในไม่กี่วันหลังโสดาบัน ปัญหาคือ โสดาบัน คิดเอง ไม่ใช่โสดาบันจริง โสดาบัน ไม่ยึดวัตถุใดๆแล้วดังนั้นพระพุทธองค์จึงห้ามภิกษุบิณฑบาตรบ้านผู้บรรลุโสดาบัน ท่านไม่รู้สภาวะโสดาบันแน่ เพราะกระแสธรรมแท้จะชี้นำผู้บรรลุธรรมทุกระดับด้วยตัวเอง ไม่ต้องห่วงใครห่วงตัวท่านเองเถอะครับ อีกอย่างไม่ได้ห้าม แต่ ไม่ควร ความหมายไม่ใช่ห้าม
     

แชร์หน้านี้

Loading...