ใช้ปัญญาพิจารณาธรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย lionking2512, 18 กรกฎาคม 2012.

  1. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ผู้กำลังแสวงหาครูอยู่ในขณะนี้ก็มีไม่น้อย ขณะนี้อยู่ในขั้นศึกษาหาเหตุผลฟังเทปธรรมะ องค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง หรือฟังจากท่านสด ๆ ร้อน ๆ บ้าง อ่านหนังสือธรรมะของท่านบ้าง ขณะนี้ยังจับเอาเนื้อธรรมะจากท่านองค์ไหนไม่ได้เลย จึงเกิดความสับสนขึ้นแก่ตัวเอง ไปหาอาจารย์นั้นก็ว่าอย่างนั้น ไปหาอาจารย์นี้ก็ว่าอย่างนี้ ในที่สุดก็เป็นผู้ไม่มีหลักการที่มั่นใจเป็นของส่วนตัว จะรับเอาอุบายไหนมาปฏิบัติก็ยังไม่แน่นอน เดี๋ยววางอุบายนี้ไปเอาอุบายนั้น เดี๋ยววางอุบายนั้นมาปฏิบัติตามอุบายนี้ นี้กำลังอยู่ในขั้นทดสอบแบบจด ๆ จ้อง ๆ ยังไม่แน่ใจ ว่าจะเอาอุบายการปฏิบัติจากครูอาจารย์องค์ใด

    ในที่สุดก็เป็นผู้ไม่มีหลักการที่เป็นอุบายนำมาปฏิบัติที่แน่นอน มัวแต่คิดว่า อาจารย์นั้นว่าอย่างนั้นอาจารย์นี้ว่าอย่างนี้ เอาธรรมะของแต่ละท่าน เอาอุบายของแต่ละครูมาเทียบกันเมื่อเข้ากันไม่ได้ก็เกิดความสับสน อาจจะเป็นเพราะตัวเองจัดระบบธรรมะไม่ถูกกับขั้นตอนก็เป็นได้ เพราะอุบายธรรมมีหลายขั้นตอน มีทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด อาจจะเป็นเพราะเราจับต้นชนปลาย เอาธรรมะส่วนหยาบไปเทียบกับธรรมะส่วนละเอียด จึงทำให้ธรรมะไม่สอดคล้องกัน จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่าธรรมะของครูอาจารย์ไม่เหมือนกัน

    ฉะนั้นเราจงใช้ปัญญาพิจารณาเลือกเฟ้นธรรมให้เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของธรรมะหมวดนั้น ๆ อย่างถูกต้อง จึงจะนับได้ว่าเป็นผู้ฉลาดในการปฏิบัติธรรมนี้เพียงให้ข้อคิดแก่ท่าน เพื่อจะได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจนำเอาธรรมะมาปฏิบัติ ต้องรู้จักความหมายในธรรมบทนั้นอย่างถูกต้อง ให้มีความรอบคอบในเหตุผล เพราะนักปฏิบัติทุกคน ย่อมมีความตั้งใจไปในจุดเดียวกัน คือต้องการความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม และหวังมรรคผลนิพพานด้วยกัน

    แนวทางการปฏิบัติ ก็ให้เป็น สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นให้ตรงวางเป็นพื้นฐานให้ถูกต้องในเบื้องต้น ถ้าหากวางพื้นฐานไว้ผิด ถึงจะมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในการปฏิบัติธรรม ก็ไม่มีผลดีอะไรในการปฏิบัติอย่างนั้นเลย ในที่สุดก็คิดออกตัวว่า วาสนาบารมีไม่พอ ความคิดอย่างนี้ย่อมมีแก่ผู้สิ้นหวัง ไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติที่ตัวเองได้วางไว้ผิดนั้นเลย ขึ้นชื่อว่าผิดแล้ว ถึงจะเข้าใจว่าถูก แต่ก็ผิดอยู่นั่นเอง เหมือนกับสร้อยปลอมที่มีขายอยู่ที่ต่าง ๆ ผู้ตาไม่ถึงไม่รู้จักเนื้อทองของแท้ เพียงดูเป็นสีเหลืองก็เข้าใจว่าเป็นทองแท้ จึงได้ลงทุนซื้อเอาเต็มที่สุดท้ายก็เป็นผู้ได้สร้อยปลอมโดยไม่รู้ตัว ถึงมีผู้ตาดีมองเห็นก็รู้อยู่ว่าคนนั้นใส่สร้อยปลอม เห็นว่าไม่ควรบอก ถึงบอกไปก็ไม่เชื่อ แล้วก็ปล่อยไปตามเรื่อง

    นี้ฉันใด ธรรมที่เป็นของปลอม ย่อมเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติได้ง่าย ถ้าไม่มีปัญญาที่ฉลาดรู้รอบแล้ว ก็จะมีแต่กิเลสสังขารออกหลอกจิตตลอดไป จิตที่รู้เท่าไม่ถึงการก็จะปักใจเชื่อตามกิเลสสังขารนั้น ๆ อย่างตายใจ ในที่สุดก็โอ้อวดว่าตัวเองภาวนาดี รู้เห็นอย่างนั้น รู้เห็นอย่างนี้ เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องมรรคผลนิพพานรู้ทั้งหมด ทั้งที่ตัวเองยังมีกิเลสตัณหาเต็มหัวใจ คำพูดที่ประกาศว่าตัวเองรู้นั้น เป็นความรู้ที่จอมปลอม เป็นความรู้ของสังขารออกหลอกจิต เมื่อจิตไม่มีปัญญาเป็นเครื่องรู้รอบแล้วย่อมหลง มีความเข้าใจผิดในความรู้ของตัวเองอยู่มากทีเดียว ถึงท่านผู้รู้จริงมีอยู่ แต่เห็นว่าเขาไม่ยอมแก้ไข ก็จะปล่อยไปตามบุญกรรมของเขาเอง เหมือนโรคมะเร็งที่แสดงตัวเต็มที่แล้ว ถึงจะไปหาหมอให้การรักษา เมื่อหมอรู้อยู่ว่ารักษาไม่ได้ หมอก็จะพูดเอาใจคนป่วยว่าเอายานี้ไปกินที่บ้านเดี๋ยวก็หาย นี้ฉันใด คนที่เข้าใจผิดว่า ตัวเองภาวนาดีกว่าใคร ๆ ทั้งหมด เป็นอัตตาธิปไตย ถือว่าตัวเองใหญ่กว่าใคร ๆ แล้ว ครูอาจารย์ท่านก็ปล่อยไปตามยถากรรม ที่จริงแล้วท่านก็อยากจะสงเคราะห์ เมื่อไม่ยอมรับความเมตตาจากท่านแล้ว ก็จะแก้ไขความเห็นผิด ให้กลายเป็นผู้มีความเห็นถูกไม่ได้เลย เหมือนคนป่วยไม่ยอมกินยาจากหมอนั่นเอง


    ที่มา : หนังสือ พ้นกระแสโลก ของท่านพระอาจารย์ ทูล ขิปฺปปญฺโญ
     
  2. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    ท่านผู้ยังมีทิษฐิ มานะ อัตตาสัญญาทั้งหลาย...ควรพิจารณา

    อนุโมทนาสาธุครับท่าน

    ___________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2012
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณไลออนคิงส์2512
    อันนี้เป็นการบอกทั่วไป....
    ธรรม ของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นที่ปฏิบัติ....(เดินป่าภาวนา)แล้วจบลงที่ผล...คือ หลุดพ้นทุกข์ไม่เวียนว่ายตายเกิด...
    ...พุทธแยก ธรรมของฆาราวาส กับ ธรรมของผู้ปฏิบัติไว้ชัดเจน....
    ...ฆาราวาส ถ้าอยากหลุด ก็ต้องปฏิบัติเกินธรรมของตนไป แต่ก็ยาก เพราะเพศเป็นเครื่องร้อยรัด...
    ทางที่ดีต้องบวช และยึดธุดงควัตร13 ยึด ขันธวัตร14 และเลือกภาวนาในกรรมฐาน40กองแล้วแต่จริต...ใช้สมถะกรรมฐานเป็นเบื้องต้นก่อน...พอได้ฌานและได้ญานแล้วจึงใช้วิปัสสนาเพื่อให้หลุด...
    ...ปัญญาจากสมองคิด ไม่ใช่...
    ปัญญาในที่นี้เกิดจากการภาวนาล้วนๆและที่มีปัญญาภาวนา ก็เพราะได้"ญาน"จากการภาวนา
    เมื่อภาวนาไปได้ถึงฌาน4(รูปฌาน4)จะสามารถเกิดญานต่างๆ นำวิปัสสนาไปใช้ จะสามารถดับ วิตก วิจารณ์และปิติได้ จนถึง ดับ รูปได้(จากการภาวนา)
    และเมื่อไต่ขึ้นไปถึงอรูปฌาน4(ฌานสมาบัติ8)จะมีญานเกิดขึ้นอีกใช้วิปัสสนาพิจารณาจนสามารถดับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญา ได้....จนบรรลุเป็นอรหันต์ ไม่กลับมาเกิดอีก....
    ..."ญาน"จากการปฏิบัติภาวนา จะมีทั้งหมด 20 ญาน
    ญานที่21คือนิโรธสมาบัติ เป็นญานของพระอรหันต์(ถ้าใช้วิปัสสนาช่วย)
    ฤาษี โยคีต่างๆ จะได้สมาบัติ8(มีแค่20ญานเท่านั้น ไม่สามารถก้าวพ้นวัฏฏสงสารไปได้...)ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะส่วนใหญ่ใช้เฉพาะสมถะกรรมฐาน ไม่ใช้วิปัสนาเข้าช่วยดั่งพระพุทธองค์...
    ..ทั้งหมดนี่อยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น....เป็นการปฏิบัติ เพื่อ ปฏิเวท...มิใช่ยึดแต่ปฏิยัติ จนหลงทางไป
     
  4. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อนุโมทนากับคุณ lionking2512 และพระอาจารย์ทูลด้วยนะครับ

    ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักปฏิบัติธรรม นั่นคือ ความหลง

    ในบรรดา โลภ โกรธ หลง คำว่า "หลง" นี่แหละร้ายกาจที่สุด

    หลงเข้าใจ หลงนับถือ หลงปฏิบัติ หลงยึดมั่นถือมั่น

    ความหลงทำให้เข้าใจว่าตนเองเข้าใจถูกแล้ว นับถือถูกแล้ว ปฏิบัติถูกแล้ว ก็ยิ่งยึดติดกับความเข้าใจ ยิ่งนับถือ ยิ่งปฏิบัติแน่นแฟ้นเข้าไปอีก ยิ่งทำยิ่งผิด......

    นักปฏิบัติธรรม ไม่ได้วัดกันที่ใครรู้มากกว่ากัน ไม่ได้วัดกันที่ใครพูดแล้วน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ไม่ได้วัดกันที่ใครมีครูบาอาจารย์ที่น่านับถือมากกว่ากัน

    แต่อยู่ที่ว่า....ใครจะวางได้ก่อนกัน
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,732
    จดๆ....จำๆ..... จดๆ.....จำๆ.....:cool::cool:
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนาครับ พี่นาคา

    กระผมเห็นว่าสมถะและวิปัสนาต้องอาศัยพึ่งพิงกันครับ เช่นเดียวกับสมาธิและปัญญาต้องเกื้อหนุนกันดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

    หากจิตว่างจากสรรพกิเลส ไม่พินิจพิจารณาในธรรม ไหนเล่าปัญญาญาณจะบังเกิดได้
    หากพินิจพิจารณาในธรรมโดยปราศจากสมาธิ ไหนเลยเล่าจิตจึงจะว่างจากการต่อสู้สรรพกิเลส

    คนเรามาจากต่างที่ ต่างกรรม ต่างวาระกัน คงจะให้เสมอเหมือนกันนั้นคงมิได้ จึงอยู่ที่อุปนิสัย อัชฌาสัย ของแต่ละบุคคล

    กระผมเองคงจะเป็นคนง่ายๆ แบบสุกเอาเผากิน มิได้ชอบความโลดโผนโจนทะยาน ( สุกขวิปัสสโก ) จึงนำมาโพสท์ตามอุปนิสัยกระผม ด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อื่นบ้างไม่มากก็น้อย

    ผิดพลั้งประการใด กระผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  7. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    รบกวนท่านเถรใบลานเปล่า ไปตอบทำถามที่ค้างไว้ ที่กระทู้นี้ด้วยครับ
    http://palungjit.org/threads/อย่าเสียชาติเกิด.342581/
     
  8. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    อ่านแล้วรู้สึกดีจัง อนุโมทนาด้วยนะครับ .....
     
  9. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    เจ้ากรรมนายเวรมีจริง...สาธุ ๆ

    ___________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
  10. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    กล่าวเตือนนิดนึง คุณเนาวรัตน์ การเอาใจไปยินดีกับกรรมของผู้อื่น ก็ต้องได้รับผลด้วยนะครับ

    แค่นี้นะครับ ผมโพสต์ตอบคุณโพสต์เดียว ที่เหลือก็แล้วแต่คุณจะพิจารณา

    เอวัง
     
  11. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    กรรมที่ว่า ไม่ใช่กรรมของผมนะครับ
    ผมถามและตอบ โดยไม่มีอารมณ์ ไม่มีการพูดหยาบเหยียดหยามผู้อื่น ผมแค่ยกคำพูดของ khomeraya ที่เคยพูดไว้ กลับมาย้อนถาม khomeraya เองเท่านั้น
    กรรมนั้นเป็นของ khomeraya เอง ที่ยังไม่ได้แก้นะครับ :)
     
  12. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    ขอบคุณครับที่เตือน

    แต่ข้องอยู่ที่ เอาใจไปยินดีกับกรรมของผู้อื่น โดยส่วนตัวผมเคารพใน

    ความเห็นต่างที่แต่ละท่านแสดงออกมา การมองต่างมุมก็ให้แง่คิดที่ดีต่างกัน

    เป็นประโยชน์นำมาพิจารณาได้ ไม่ได้ให้ยินดี ยินร้าย แต่ให้ปัญญาครับ

    __________________
    ดูจิต.........ด้วยสติ
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอเสริมเรื่องปัญญาค่ะ

    ปัญญามีอยู่ 2 ทาง คือปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม

    ปัญญาทางโลก ได้แก่ ปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของมนุษย์
    จากรุ่นสู่รุ่นถ่ายทอดกันมา มีไว้เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตน ครอบครัวและช่วย
    เหลือผู้อื่น ต้องศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนให้เกิดความชำนาญทำให้ชีวิตได้ปัจจัย
    สี่ มาเกื้อกูลชีวิตโดยไม่ยาก

    ปัญญาทางธรรม คือ ปัญญาที่มองเห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริงว่า
    สัตว์โลกตกอยู่ในกระแสธรรมดา คือ ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่เที่ยง
    เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ซึ่งพอจะยึดมั่น ถือมั่นได้ มันเป็นไปตามเหตุ
    ปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ความรู้แจ้งอย่างนี้ทำให้ไม่หลง
    โลก ปล่อยวางโลกได้เมื่อถึงคราวจำเป็น ไม่แบกโลกไว้ อันเป็นเหตุให้หนัก
    อกหนักใจ หรือก็คือปัญญาในทางธรรมนี่เอง ปัญญาทางธรรมนี้จะช่วยให้
    คุณธรรมเหล่านั้นดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
     

แชร์หน้านี้

Loading...