พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นสำรวจตรวจตราดูเกวียนที่มีล้อขนาดใหญ่..พลางคิดว่า..

    หากเป็นที่ท้องทุ่งเมืองชัยนาท..ใครนำม้ามาเทียมเกวียนคงถูกชาวนาหรือชาวบ้านเมืองชัยนาทหัวเราะ

    เยาะแน่ ๆ...เพราะเดี๋ยวนี้ใช้แต่รถไถนาพ่วงสาลี...แต่เมื่อก่อนก็มีใช้เกวียนอยู่บ้าง..แต่ไม่เคยปรากฏ

    มาก่อนว่ามีการใช้ม้าลากเกวียน..นอกจากวัวหรือควายเท่านั้น..........เหตที่เมืองนี้ใช้ม้าคงอาศัย

    ความเร็วจากฝีเท้าม้าที่วิ่งได้เร็วกว่าวัวหรือควาย...แต่ถ้าเป็นที่เมืองลำปางคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่

    นั่นมีรถม้าวิ่งได้รอบเมือง

    ....................กาเผือกได้ใช้หลักไม้ 6 หลัก..ตอกตีเพิ่มความสูงให้กับคอกเกวียน..แล้วใช้ผ้าใบ

    ผืนหนาคลุมพร้อมกับเอาเชือกผูกมัดผ้าใบไว้แน่น..เพื่อกันความร้อนจากแสงแดดและลมหนาว....และ

    บางทีอาจใช้เกวียนนี้เป็นที่อาศัยหลับนอน..แทนการกางเต็นท์..สัมภาระเสบียงถูกนำมาใส่ไว้ที่

    เกวียน..เผื่อว่าวันรุ่งขึ้นของการเดินทาง..จะไม่ต้องเหนื่อยในการขน..เพียงแต่ขึ้นไปนั่งบนเกวียนแล้ว

    บังคับม้าวิ่งออกไปได้ทันที.......

    ....................พอจัดเตรียมข้าวของเสร็จกาเผือกได้ถามพวงผกาทันที

    ............................"พวกเราเดินทางไปดอยกัน..มันผ่านสถานที่ที่ปลัดเมืองเขาดวลธนูกับเฮีย

    งคี้ตามภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ไหม"

    ....................กาเผือกหมายถึงสุดยอดการดวลธนู..ตอนที่ม้าสีนิลที่ปลัดเมืองถือคันธนูง้างอยู่และ

    นั่งอยู่บนหลังม้า...พร้อมกับเฮียงคี้นั่งเจ้าม้าขาวพันธุ์ดุจากมองโกลแล้วถือคันธนูง้างไว้....และทั้งฝ่าย

    ปลัดเมืองและเฮียงคี้ก็ควบม้าวิ่งเขาหากัน...โดยที่เจ้าขาวพันธุ์ดุตั้งใจจะวิ่งเข้าชนม้าสีนิลอย่างแรงให้

    กระเด็น...โดยมันได้วิ่งห้อเต็มกำลัง..พุ่งเข้าหาม้าสีนิล...ในขณะที่สีนิลก็พุ่งเข้าหามัน...แต่เมื่อจะชน

    กันม้าสีนิลได้กระโจนข้ามเหนือม้าและศีรษะของเฮียงคี้...พร้อมกับปลัดเมืองได้เล็งธนูเข้าหาเฮียงคี้..

    และยิงเข้าใส่เฮียงคี้..เป็นจังหวะกับม้าพันธุ์ดุเชิดหัวขึ้นและยกเท้ารับม้าสีนิล...เป็นจังหวะให้เฮียงคี้หัน

    ปลายธนูขึ้นฟ้าเป้าหมายคือร่างของปลัดเมืองที่อยู่เหนือหัวตนและปล่อยลูกธนูเข้าใส่ทันที....ลูกธนู

    ของทั้งสองฝ่ายกระทบกันเสียงดังสนั่น..และ...ม้าสีขาวกับม้าสีนิลได้ถีบส่งกันจนม้าสีนิลตีลังกาล้ม

    ลง..พร้อมกับเจ้าม้าสีขาวพันธุ์ดุ....รายละเอียดก็คงต้องเปิดไปที่ตอนที่ 61 ธนูสะท้านแผ่นดิน...และ

    ตอนที่ 62 สุดยอดการดวลธนูบนแผ่นดินสยาม..ในหน้าที่ 26....

    ............................."เส้นทางที่พวกเขาดวลธนูกันมันอยู่ชายแดนด้านทิศตะวันออกติดกับ

    พรมแดนประเทศลาว....แต่ดอยมันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ...พวกเราเดินทางไม่ผ่านเส้นทางนั้น

    หรอก" พวงผกาอธิบาย

    ............................."น่าเสียดาย..ที่มาแล้วไม่ได้ดูสถานที่นั้น...ดูตามภาพวาดแล้วตื่นเต้น

    ประทับใจจริง ๆ" กาเผือกบ่น

    ............................."ใช่..มันตื่นเต้นและประทับใจจริง ๆ...และยังมีอีกหลายเหตุการณ์..เช่น

    ตอนที่เขาควบม้ากระโจนข้ามเหวลึกแล้วเฮียงคี้ยิงลูกธนูไล่ตาม" ไก่ตุ๋นเอ่ยสนับสนุน

    ............................."นี่แสดงว่าพวกพี่ชาย..ไม่ได้คิดจะไปเอาลูกธนูอย่างเดียวบนดอยหรือ"

    พวงผกาถามลองเชิง

    ............................."ลูกธนูบนดอยเราต้องไปเอาอยู่แล้ว...แต่ถ้ามีเวลาเหลือ..ช่วยพาพี่ไปดู

    หน่อยได้ไหม" กาเผือกเอ่ยเงื่อนไขแกมขอร้องพวงผกา

    ....................สาวเจ้าถิ่น..เงยหน้ามองท้องฟ้า..แล้วหันมามองไก่ตุ๋น.ก็เห็นว่าเขามีความต้องการ

    เช่นเดียวกับกาเผือก...แต่เมื่อคิดถึงงานโรงแรมที่ต้องรีบกลับมาทำต่อตอนกลับมา...เธอก็ถอน

    หายใจ...แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ไปเรื่องบนดอยให้สำเร็จก่อนเถอะพี่ชาย..แล้วค่อยมาคิดกันใหม่อีก

    ที"

    ............................"ก็ดีเหมือนกัน" กาเผือกเอ่ยพร้อมกับมองหน้าน้องชาย..ก่อนจะขึ้น

    ไปเตรียมสิ่งของอื่น ๆบนบ้านต่อไป............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................วันรุ่งขึ้น..เกวียนที่บรรจงแต่งเติมสร้างสรรขึ้นมาให้เหมาะกับสภาพการเดินทาง..

    ได้นำพาสามชีวิตเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ....

    ....................ในสภาพของดอยอันเป็นแหล่งอาศัยของชุมชนเผ่าต่าง ๆเช่น มูเซอ เย้า กระเหรี่ยง

    อาข่า และอีกหลายชนเผ่าที่ได้แยกกันอยู่และตั้งเป็นหมู่บ้านตามวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละเผ่า...ซึ่ง

    แต่ละเผ่าก็จะมีหัวหน้าเผ่าอยู่.....แม้จะเป็นสมัยปัจจุบันในปี พ.ศ.2546..แต่ชาวเขาเผ่าต่าง ๆก็ยังคง

    ปฏิเสธความเจริญที่จะทำลายประเพณีและวัฒนธรรมของพวกเขา..พวกเขาจัดอยู่ในพวกอนุรักษ์

    วัฒนธรรมประเพณีของเขาอย่างเหนียวแน่น....มีบางคราวที่พวกเขาเดินทางเข้าสู่ตัวจังหวัดน่าน..เพื่อ

    ติดต่อทางราชการ..ด้วยทางราชการกำหนดให้พวกเขาต้องทำบัตรประชาชน..อันเป็นการใช้กฏหมาย

    คุ้มครองและออกกฎระเบียบให้พวกเขาปฏิบัติเพื่อง่ายต่อการปกครอง....ทางราชการพยายามเข้าไปมี

    อิทธิพลในวิถีชีวิตอันเรียบสงบของพวกเขาในชุมชนของพวกเขา...โรงเรียนที่ให้สรรพวิชาความรู้คือ

    สิ่งหนึ่งที่เมืองน่านมอบให้พวกเขา...เพื่อให้พวกเขาได้มีความรู้อ่านออกเขียนได้..คนเราเมื่อเข้าใจ

    ภาษากันก็จะพูดจากันง่ายขึ้น...ราชการมองเห็นจุดนี้และต้องการปกครองชาวเผ่าที่ดูแล้วน่าจะ

    ปกครองได้ดีมากกว่าคนเมือง.........

    ....................การเดินทางไปมาของแต่ละเผ่ายังคงเป็นเหมือนสมัยพ่อเฒ่าอองซอนหัวหน้าเผ่า

    มูเซอ..ในสมัยที่ปลัดเมือง..ขึ้นดอยไปเป็นสหายกับลีเจง นะจา และผูกมิตรกับชนเผ่าต่าง ๆ...พ่อเฒ่า

    อองซอนจะใช้เนื้อสัตว์ตากแดดแห้งจำนวนมากซึ่งใช้กินเป็นอาหารและเก็บได้นาน..และฝิ่นดิบที่

    สามารถใช้สูบและทำเป็นยาแก้ปวดต่าง ๆ พร้อมกับใช้ทาหัวริดสีดวงทวารที่โผล่ออกมาให้มันแห้งและ

    หลุดไป..แต่ปัจจุบันในปี พ.ศ.2546 จนถึงสมัยนี้...การปลูกฝิ่นของพวกชาวเขาต้องลักลอบกระทำ

    เพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายบ้านเมือง..

    ....................โดยพ่อเฒ่าจะนำไปยังเผ่าต่าง ๆและแลกเอาน้ำผึ้งและของใช้ต่าง ๆนำมายังเผ่า

    มูเซอ...แต่ปัจจุบันนี้..หัวหน้าเผ่ามูเซอไม่ใช่พ่อเฒ่าอองซอน..

    ....................หลังจากพ่อเฒ่าอองซอนตายไป..ลีเจงได้เป็นหัวหน้าเผ่า...........หลัง

    จากลีเจงตายไป....................."แจแม"ลูกชายของเขาได้เป็นหัวหน้าเผ่า..จนถึงสมัยปี

    พ.ศ.2546 ..................

    .................ในส่วนของ"นะจา"น้องสาวของลีเจงผู้ที่หลงรัก "เมือง มีสุข"อย่างจับใจ....

    นางครองความเป็นโสดเพื่อรอ "เมือง มีสุข" มาเยือนดอย..นางคิดว่า..แม้เขาจะเห็นนางเป็น

    เพียงน้องสาว...แต่การได้พบเห็นและได้พูดคุยกับเขา..ทำให้นางสุขใจ....บนดอยแห่งนี้มี

    เพียงรักที่สมหวังระหว่าง "สาย กับ จาโอ"เท่านั้น..

    ..................วิถีชีวิตของเผ่ามูเซอ..และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ กำลังรอการมาเยือนของ กา

    เผือกกับพวกที่กำลังเดินทางอย่างรีบเร่ง..ฝ่าอากาศหนาวและแสงแดดในฤดูหนาว........



    .....................ม้าเทียมเกวียนวิ่งไปตามป่าเขาลำเนาไพรและถนนขรุขระ..ทำให้คนบนเกวียนนั่ง

    ลุ้นกันจนเครียด...เมื่อเครียดแล้วก็ต้องหิวและกระหายเป็นธรรมดาของคนเดินทาง.............

    ............................"จอดกินข้าวกันก่อนเถอะ" เสียงไก่ตุ๋นที่นั่งอยู่กลางเกวียนเอ่ยบอกกับกา

    เผือกและพวงผกายามใกล้เที่ยง

    ............................"ไปอีกหน่อย..ตรงร่มไม้ใหญ่ ๆในป่าดีกว่า" เสียงพี่ชายบอกกับน้องชาย

    ............................"ใช่พี่ไก่ตุ๋น..ใต้ร่มไม้ใหญ่มีหญ้าเขียวนุ่ม ๆขึ้นอยู่นั่งสบาย" พวงผกาบอก

    สภาพ..เหตุเพราะใต้ไม้ใหญ่แสงแดดไม่แรงกล้า..ทำให้หญ้าขึ้นได้

    ............................"ร่มไม้ก็ร่มไม้...แต่เร็ว ๆหน่อยก็แล้วกัน" ไก่ตุ๋นจำนนเหตุผล..แต่สร้าง

    เงื่อนไขขึ้นใหม่

    .....................เกวียนวิ่งมาไกลอีกครู่หนึ่งก็ถึงที่หมายในการกินข้าว...การเดินทางที่คาดหมายว่า

    จะถึงดอยราวเที่ยงวัน..พวกเขาทั้งสามคิดผิดถนัด....เพราะเที่ยงวันผ่านมาแล้ว...พวกเขายังเร่ร่อนอยู่

    เลย......

    .....................กาเผือกนำเกวียนไปจอดใต้ร่มไม้.พร้อมกับพวงผกายกอาหารบนเกวียนมากับไก่ตุ๋น

    แล้วทั้งสามก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย.......

    .....................กาเผือกเอ่ยระหว่างนี้

    ............................"อีกไกลมากไหม...กว่าจะถึง"

    ............................"น่าจะอีกสักชั่วโมงกว่า ๆ" พวงผกาตอบด้วยตนเองเคยมาเยือนดอยแห่ง

    นี้..และจำระยะทางและเวลาได้ดี

    ............................"กูว่า..เราน่าจะนอนพักเอาแรงสักครู่หลังกินข้าวเสร็จ" ไก่ตุ๋นเสนอแนะ

    ....................กาเผือกมองหน้าพวงผกาเพื่อขอความเห็น....

    ............................"ดีเหมือนกันพี่ชาย...เราเดินทางไปถึงดอยเอาใกล้ ๆเย็นก็ได้...เดินทาง

    เหนื่อย ๆอย่างนี้...อย่าเพิ่งไปตามหาลูกธนูเลย" พวงผกาสนับสนุน..และเสนอแนะกับกาเผือก

    ............................"เอาอย่างงั้นหรือ" เขาหันมาทางน้องชาย

    ............................"เออ" เป็นคำตอบสั้น ๆจากน้องชาย..ที่หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน...

    เพราะเขารู้สึกทั้งอ่อนเพลียและง่วงนอน......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................พวกเขาทั้งสามหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่ใต้ร่มไม้ใหญ่..ราวบ่ายสองกว่าก็

    ตื่นขึ้นมาเดินทางต่อ...

    ....................ในแง่พฤติการณ์โดยทั่วไป..พ่อแม่ ยายหรือญาติพี่น้อง ไม่น่าจะอนุญาตให้ พวง

    ผกาที่เป็นหญิงเดินทางไปกับพวกกาเผือกและไก่ตุ๋น..แต่เพราะเหตุที่ผู้ใหญ่ซึ่งผ่านโลกมามากมาย..

    ย่อมอ่านและดูลักษณะนิสัยใจคอของเด็กรุ่นหลัง ๆออกเสมอเพียงแต่..พวกเขาจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

    เอง...การที่กาเผือกและไก่ตุ๋นได้ไปอยู่คลุกคลีอยู่ที่บ้านพวกเขา...พวกเขาย่อมดูกาเผือกและไก่ตุ๋น

    ออกว่า..แขกที่มาอยู่บ้านของพวกเขา เป็น"คนดีหรือคนร้าย".......ตามหลักทางพุทธศาสนาได้

    วางไว้ว่า "การที่จะตัดสินใจว่า...คนใดเป็นคนดีหรือคนร้าย..ไม่อาจตัดสินใจได้จากรูปร่าง

    หน้าตาหรือกริยามารยาทที่เขาแสดงออกให้เห็นในครั้งแรก...แต่การจะตัดสินใจว่าใครดีหรือ

    ร้าย..จะต้องเข้าไปคบหากับเขา..และอยู่ร่วมกับเขาเป็นเวลานาน..และตรวจดูอาการความ

    ประพฤติของพวกเขา...ก็จะตัดสินใจได้เองว่า..เขาคนนั้นเป็นคนดีหรือคนร้าย......เช่นเดียว

    กับคนในบ้านของพวงผกาเขาก็ได้ยึดหลักอันนี้และตัดสินได้ว่า "บุรุษทั้งสองจากเมือง

    ชัยนาทนั้น..คือคนดี"...ประกอบกับพวกเขาคือ "ญาติของเมือง มีสุข..ญาติของขุนทัพ มี

    สุข"..เมื่อมีผู้มาค้นหาและสืบเรื่องราวประวัติของ"เมือง มีสุข"..จึงเป็นประโยชน์แก่พวกเขา..

    และพวงผกาเองก็ต้องการค้นหาความจริง..เรื่องราวของเมืองมีสุขที่มีบางอย่างไม่กระจ่าง

    ชัด...เพื่อนำมาปะติดปะต่อเรื่องราว..เล่าถ่ายทอดให้และลูกหลานของพวกเขาสืบต่อไป...

    เพราะมันคือ"ประวัติของบรรพชนที่ยิ่งใหญ่เสมอสำหรับบุตรหลาน..แม้เขาคนนั้นอาจจะไม่ใช่

    วีรบุรุษของชาติ..แต่มันมีความหมายสำคัญต่อบุตรหลาน"....

    ....................เช่นนี้ญาติผู้ใหญ่ของพวงผกาจึงได้อนุญาตให้เธอติดตามเขาทั้งสองมา

    โดยไม่มีความหวาดระแวงใด ๆเลย......

    .....................เกวียนน้อยเริ่มออกเดินทาง..มีชาวเผ่าบางเผ่าก็เดินทางผ่านมาและสวนทางกับ

    พวกเขาทั้งสาม...พวงผกาก็จะไต่ถามเส้นทางในการไปดอยของเผ่ามูเซอที่เป็นทางลัดที่สุด..เนื่อง

    จากเธอรู้แต่เพียงทางตรง..ประกอบกับพวกเขาทั้งสามต้องเดินทางให้ถึงดอยนั้นก่อนมืดค่ำ.......

    .....................และแล้วในที่สุดเขาก็มาถึงเชิงดอยอันเป็นที่อยู่ของเผ่ามูเซอในตอนเย็น..แต่ดวง

    อาทิตย์ยังให้แสงสว่างอยู่...

    .....................หมู่นกกาเริ่มบินร้องกลับรัง..อากาศหนาวเย็นเริ่มทวียิ่งขึ้น...มีชาวเผ่าบางคนก็เดิน

    ทางมาทางเดียวกับเขา..จะมีเกวียนขับมาเยี่ยงพวกเขาเพียงคันเดียว..นอกนั้นจะใช้ม้าบ้าง..เดินบ้าง..

    พวกเขาทั้งสามจึงได้มีเพื่อนร่วมเดินทางขึ้นดอย...

    .....................ชาวเผ่ามูเซอที่เดินทางมาเคียงข้างกับเขา..ต่างจ้องมองดูพวกเขาด้วยความแปลก

    ใจ..ที่มีคนแปลกหน้า 3 คนนั่งอยู่บนเกวียน...เดินทางขึ้นดอยเผ่ามูเซอในยามเย็น.......มูเซอเด็ก

    หนุ่มคนหนึ่งเริ่มถามไถ่

    ............................"สูเจ้า..จะไปหาผู้ใดหรือ"

    ............................"เราจะมาหาหัวหน้าเผ่ามูเซอ..เพื่อถามไถ่บางเรื่อง" พวงผกาตอบแทนคน

    ในกลุ่ม

    ............................"พ่อเฒ่าแจแมนะหรือ" มูเซอหนุ่มเอ่ยชื่อพร้อมกับหันไปหามูเซอหนุ่มอีกคน

    หนึ่ง

    ............................"พ่อเฒ่าแจแม..ยังไม่กลับมาเผ่าของเราตั้ง 3 วันแล้ว" มูเซออีกคนเอ่ย

    ............................"ถ้าอย่างนั้น..มีใครอยู่บ้านของพ่อเฒ่าแจแมบ้าง" พวงผกาถามต่อ

    ............................."น่าจะเป็น..นอซันกับเซจีลูกชายและลูกสาวของหัวหน้าเผ่าอยู่นะ" มูเซอ

    ตอบ

    ............................."พวกท่านพาเราไปหาหน่อยได้ไหม" พวงผกาขอร้อง

    ............................."พวกท่านเดินทางตามเรามา..ก็ต้องผ่านบ้านหัวหน้าเผ่าอยู่แล้ว" มูเซอคน

    แรกตอบ

    ....................พวงผกาหันไปหากาเผือก..ก็เห็นเขาพยักหน้าคล้อยตามคำพูดของมูเซอคน

    แรก.....

    .....................ดังนั้น พวกเขาทั้งสามจึงเดินทางตามมูเซอหนุ่มทั้งสองไป..พร้อมกับชมทิวทัศน์

    ยามเย็นอัน..ชวนให้เบิกบานใจ....เกวียนค่อย ๆไต่ไปตามทางขึ้นดอย...กาเผือกหันมามองด้านซ้าย

    มือของตน...ก็เห็นป่าไม้ทิวเขาอยู่ลิบ ๆ...พร้อมกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ของเมืองน่านฝั่งตะวันออก..

    พื้นที่ที่ไม่เคยถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ามีกองกำลังพม่าบุกรุกเข้ามาในเมืองน่าน..หลังจากที่พม่า

    ได้ทำสัญญากับอังกฤษว่าจะไม่รุกราญแดนสยาม..ตอนที่ไทยช่วยอังกฤษรบกับพม่าในครั้งนั้น......

    .....................พวกเขาเดินทางมาจนพลบค่ำและก็ถึงหมู่บ้านที่ต่างก็จะมีรั้วต่ำ ๆล้อมรอบบริเวณ

    บ้าน...ชาวเผ่ามูเซอต่างจับกลุ่มมองดูเกวียนกับคนแปลกหน้า...เสียงมูเซอที่มากับพวกเขาเอ่ยทักบอก

    กับคนในหมู่บ้าน

    ............................"พวกเขามาหาหัวหน้าเผ่า...ข้าจะพาเขาไปพบนอซันกับเซจี"

    ......................เกวียนค่อย ๆเคลื่อนตัวช้าลง..ด้วยทางเข้าหมู่บ้านคับแคบ..คบไฟที่ประตูรั้วของ

    แต่ละบ้านเริ่มจุดติดให้แสงสว่าง............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2012
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หนุ่มมูเซอทั้งสองยังคงเดินทางร่วมไปกับกาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกา..หนุ่ม

    มูเซอคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    ..........................."เซจีนางเป็นลูกสาวคนโต..เป็นพี่ของนอซัน..นางเป็นคนที่มีอุปนิสัยเหมือน

    หัวหน้าเผ่า..เงียบขรึม...สำหรับข้าแล้วนางเป็นคนดุทีเดียว..พวกสูต้องระวังให้มาก...นางอาจไม่ต้อน

    รับพวกสู"

    ..........................."ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นที่นางจะไม่ต้อนรับพวกเรา" พวงผกาถามอย่างสงสัยใน

    ทันที

    ..........................."มันมีเรื่องแปลก..ที่หัวหน้าเผ่าและคนในบ้านนั้นไม่ยอมให้ผู้ใดขึ้นบ้านเด็ด

    ขาด..โดยเฉพาะเซจี...นางจะใช้หน้าไม้ยิงทุกคนที่เหยียบกระไดขึ้นมาบนบ้าน" มูเซออีกคนตอบ

    พร้อมเล่าเรื่อง

    ..........................."ดูท่าทางนางจะดุจริง ๆซะด้วย" กาเผือกพูดสรุป

    ..........................."แล้วเอาไงดี" ไก่ตุ๋นถามความเห็น

    ..........................."หมายความว่าอย่างไร" พวงผกาหันไปทางไก่ตุ๋น

    ..........................."ก็จะไปต่อดี..เพื่อให้นางยิงพวกเราหรือจะหยุดพักปรึกษาหารือกันก่อน" ไก่

    ตุ๋นแสดงความเห็น

    .....................กาเผือกหยุดเกวียนในทันทีที่ไก่ตุ๋นพูด..มูเซอทั้งสองจึงต้องหยุดหันไปมอง..

    พลางเอ่ยขึ้น

    ..........................."พวกสูคิดให้ดีก่อนก็ได้นะ"

    ..........................."นั่นนะสิ..ยิ่งค่ำมืดอย่างนี้เสี่ยงน่าดู"

    .....................กาเผือกใช้ความคิดแล้วเอ่ยถาม

    ..........................."แล้วนอซันน้องของเซจี..เป็นคนอย่างไร" กาเผือกพยายามถามหาช่องทาง

    ..........................."เป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดี..ต่างจากพี่สาว..แต่ก็เกรงกลัวพี่สาวไม่กล้าขัดนาง"

    มูเซออธิบาย

    ..........................."ถ้าอย่างนั้น..เราจะเข้าทางนอซันนี่แหละ..คนไหนพูดกับเรา..เราก็พูด...คน

    ไหนไม่พูดกับเรา...เราก็ไม่ต้องพูด" กาเผือกให้ความเห็น

    ..........................."ถ้าอย่างนั้น..เราก็ยังไม่ต้องไปบ้านของเซจีใช่ไหม" พวงผกาถามเหตุการณ์

    ..........................."ก็คงเป็นอย่างนั้น"

    ..........................."แล้วคืนนี้..เราจะพักกันที่ไหนหรือ" ไก่ตุ๋นกังวน

    ....................คำพูดของไก่ตุ๋น..ทำให้ทุกคนบนเกวียนหันไปมองหน้ามูเซอทั้งสอง..ทำให้มูเซอ

    ทั้งสองหันมาสบตากัน..หนึ่งในนั้นจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ไปที่บ้านข้าก็ได้..ถ้าพวกสูไม่รังเกลียด"

    ............................"เราจะไม่รบกวนพักในบ้านของท่านหรอก...แต่พวกเราขอบริเวณบ้านให้

    พวกเรากางเต็นท์พักหลับนอนก็พอแล้ว" พวงผกาเสนอความเห็น

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ไปที่บ้านข้าดีกว่า..บริเวณหน้าบ้านของข้าเป็นลานกว้าง"

    มูเซออีกผู้หนึ่งเอ่ยชวน

    ............................"เราเดินทางมาด้วยกัน..พวกเรายังไม่รู้จักชื่อของพวกท่านเลย" พวงผกา

    เอ่ยถาม

    ............................"ข้าชื่อ ซูโอ๊ะ...ส่วนสหายข้าชื่อ ทูเลย์" มูเซอที่ชื่อซูโอ๊ะเอ่ย

    ............................"ข้าชื่อ กาเผือก นั้นน้องข้าชื่อไก่ตุ๋น ส่วนสาวน้อยนี้ชื่อพวงผกา" กาเผือก

    เอ่ยตอบ

    ............................"ถ้าเช่นนั้นพวกสูตามข้ามาเถอะ" ซูโอ๊ะเอ่ย

    .....................กาเผือกกับพวกจึงต้องเปลี่ยนความตั้งใจเดิม...เดินทางไปบ้านซูโอ๊ะเพื่อเตรียม

    แผนการณ์ที่จะให้ซูโอ๊ะหรือทูเลย์......ชักชวนนอซันให้มาหาพวกเขาเพื่อถามไถ่ต่อไป....

    .....................หลังจากอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้น...กาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกาได้นั่งปรึกษากันหน้า

    กองไฟที่ก่อขึ้นเพื่อบรรเทาความหนาวบนดอย...

    ............................"มันต้องมีอะไร..ไม่ชอบมาพากลบนบ้านหลังนั้นแน่" ไก่ตุ๋นเอ่ย

    ............................"กูก็คิดเหมือนมึง...เรื่องนี้ไม่ง่ายแน่ ๆ" กาเผือกคล้อยตาม

    ............................"หนูว่าก่อนที่เราจะไปพบเซจี...เราถามนอซันถึงนิสัยที่แน่นอนของนางก่อน

    ดีกว่า...แล้วก็ถามมูเซอคนอื่น ๆด้วย" พวงผกาออกความเห็น

    ............................"เป็นความคิดที่ดี....แล้วมึงว่าอย่างไรไอ้อ้วน"

    ............................"บางทีกูคิดว่า..การแอบปีนเข้าไปในบ้าน..น่าจะรู้อะไรดีกว่านะ....เพราะ

    เห็นด้วยตาของเราเอง"

    ............................"เราเพียงมาหาลูกธนู...แต่เมื่อมีอะไรแปลก ๆมันก็ทำให้อยากรู้...ว่ามันมี

    อะไรที่บ้านหลังนั้น...ที่พวกเขาโดยเฉพาะมูเซอสาวที่ชื่อเซจีหวงนักหนา"

    ............................"พี่ชายจำที่แสงเดือนร้านกรอบรูปที่เอ่ยถึง..คนของพิพิธภัณฑ์ที่มาตามหา

    ลูกธนูบนนี้แล้วก็นำมาไม่ได้ไหม"

    ............................"ทำไมจะจำไม่ได้...นี่แสดงว่าพวงผกากำลังจะพูดว่าพวกเขามาเจอเข้ากับ

    เซจีหรือ"

    ............................"น่าจะมีส่วน..ที่เป็นอย่างนั้นนะพี่ชาย"

    ....................กาเผือกหยุดนั่งคิด..พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิด..แต่ยังมีประกาย

    แห่งดวงดาวที่ดูจากยอดดอยแล้วมันใกล้กับดวงตามากเลย...เขาจึงเอ่ยบอก

    ............................"โน้น..ดูดาวบนท้องฟ้าสวยไหม..."

    ....................ไก่ตุ๋นและพวงผกาหยุดคิดและแหงนมองตาม..พวกเขาต้องการเปลี่ยนเรื่องคิดโดย

    เฉพาะกาเผือก....เสน่ห์แห่งดวงดาวบนฟากฟ้า..ย่อมสะกดจิตใจที่ว้าวุ่นของทุกคนที่มองไป..

    ให้สุขใจยิ่งขึ้น...

    .....................ลมหนาวโชยมา..พร้อมกับเสียงหริ่งหรีดเรไร..ดังก้องดอย..ยามเงียบบน

    ดอยนี้...ทำให้เกิดอารมณ์ทั้งสุขใจและหวาดกลัวได้พอ ๆกัน......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เช้ารับอรุณวันใหม่หมอกปกคลุมทั่วดอย..หมอกได้บดบังทัศนียาภาพของ

    ทิวทัศน์บนดอยเต็มไปหมด...แต่มันก็ช่างเป็นหมอกที่งดงาม..ที่สร้างสรรบรรยากาศแบบใหม่...ให้

    สายตาได้เห็น...พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นบนดอยมิเคยจางหายไปในฤดูหนาวเช่นนี้...

    ....................กาเผือกได้เติมกองไฟที่ก่อไว้ยามเช้า..พวกเขาเอากาน้ำร้อนที่เตรียมมาตั้งไฟ..

    เพื่อชงกาแฟชนิดซองดื่มแก้หนาว...ทูเลย์มูเซอหนุ่มได้รีบเดินทางมาเยือนแขกที่บ้านของซูโอ๊ะ..แล้ว

    ก็เริ่มเล่าเรื่องบางอย่างถ่ายทอดให้ทั้งสามฟัง..

    ............................"เมียของพ่อเฒ่าแจแมหัวหน้าเผ่า..คือแม่เฒ่าไอยา..นางไปกับพ่อเฒ่าเพื่อ

    ไปเยือนตามเผ่าต่าง ๆ..แบบเดียวกับพ่อเฒ่าอองซอนตอนเป็นหัวหน้าเผ่า....นิสัยของพ่อเฒ่าแจแม

    ต่างจากพ่อเฒ่าอองซอนซึ่งเป็นปู่...แต่จะละม้ายกับลีเจงพ่อของเขาคือเงียบขรึมช่างคิด..ไม่ค่อย

    แสดงท่าทีออกมาง่าย ๆ...เซจีนางจึงเป็นแบบเดียวกับพ่อเฒ่าแจแม...ส่วนนอซันกลับเป็นแบบเดียว

    กับพ่อเฒ่าอองซอน..คือมีมิตรไมตรีต่อทุกคน"

    ....................ทั้งสามนั่งฟังและคิดตาม...กาเผือกจึงถามต่อ

    ............................"แล้วนอกจากพ่อเฒ่าลีเจงแล้ว..ใครเป็นคนช่วยเลี้ยงดูพ่อเฒ่าแจแม...เซจี

    และนอซัน" กาเผือกถามเพื่อประมวลอุปนิสัยอันมาจากผู้เลี้ยง

    ............................"แม่เฒ่านะจา..เป็นผู้ที่เลี้ยงดูลูกของพ่อเฒ่าลีเจงคือ..แจแม..และ

    หลานที่ชื่อเซจีและนอซัน"

    ............................."นะจา" ทั้งสามประสานเสียงพร้อมกัน

    ............................."นะจาที่เคยพบกับเมือง มีสุขมาสมัยเป็นเด็กวัยรุ่นนะหรือ" กาเผือกถาม

    ....................ทูเลย์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า"เมือง มีสุข"..เขาจึงตั้งคำถามกลับไป

    ............................."พวกสูรู้เรื่องราวของเมือง มีสุข หรือ"

    ............................."ใช่..เรารู้เรื่องราวของเขา..และรู้ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่ามูเซอนี้...

    โดยเฉพาะลีเจงกับนะจา" พวงผกาตอบพร้อมอธิบายเพิ่ม

    ....................ทูเลย์นั่งนิ่ง...พลางหันไปบนเรือนของซูโอ๊ะ..เพื่ออยากให้ซูโอ๊ะมาร่วมสนทนา

    ด้วย...แต่ซูโอ๊ะยังทำงานไม่เสร็จ...เขาจึงหันกลับมาคุยต่อ

    ............................."พวกเขาสามคน พ่อเฒ่าลีเจง แม่เฒ่านะจา และเมือง มีสุข..รักกันดุจพี่

    น้องตามที่ข้าได้ยินได้ฟังกันต่อ ๆมา.....โดยเฉพาะแม่เฒ่านะจานางหลงรักเมือง มีสุข"

    ............................."แม่เฒ่านะจา..นางเป็นคนเช่นไรหรือ" พวงผกาอยากรู้เพื่อเทียบเคียงใน

    สิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้

    ............................."นางเป็นคนสดใส ร่าเริง...แต่พอเมือง มีสุขจากไปโดยไม่กลับมา...จาก

    ความสดใสกลายเป็นเงียบขรึมไม่ร่าเริง...เอาแต่ร้องไห้" ทูเลย์อธิบาย

    ............................."นางเงียบขรึมเหมือนกับเซจีใช่ไหม" พวงผกาเน้นคำถามนำ

    ............................."ถูกต้องแล้ว..เซจีถอดแบบมาจากแม่เฒ่านะจาตอนที่เมือง มีสุขไม่

    กลับมา" เสียงตอบนี้มาจากด้านหลังเขาคือ ซูโอ๊ะที่กำลังเดินมาแล้วได้ยินเสียงคำถามของ

    พวงผกา..จึงตอบแทนทูเลย์

    ....................ทุกคนหันไปมองที่ซูโอ๊ะที่กำลังเดินมา..และฟังเขาพูดต่อ

    ............................."ที่พวกสูมาที่เผ่าเรา..เพื่อสืบหาอะไรหรือบอกมาตรง ๆก็ได้..เมื่อคืนข้านั่ง

    คิดอยู่เหมือนกัน..ว่าพวกสูน่าจะมีเรื่องสำคัญถึงต้องเดินทางไกลมาเยือนเผ่ามูเซอบนดอยนี้"

    ....................กาเผือกเห็นว่าทั้งซูโอ๊ะและทูเลย์น่าจะเป็นมิตรกับพวกเขา..และสามารถช่วยเหลือ

    เขาได้..กาเผือกจึงเอ่ยตอบ

    ............................"ความจริงพวกเราต้องการมาสืบเรื่องลูกธนูดอกหนึ่ง..ที่เมือง มีสุขเคยยิง

    เหยี่ยวตัวหนึ่งขณะกำลังบินโฉบจะจิกนกน้อย..และทราบว่าลีเจงสหายของเขาได้นำเหยี่ยวที่มีลูกธนูปัก

    อยู่สต๊าปเอาไว้ที่บนเรือนของหัวหน้าเผ่า...แต่พอพวกเรามาพบเรื่องแปลก ๆเกี่ยวกับเซจีที่นางมี

    พฤติกรรมไม่ให้ใครขึ้นบ้าน..เหมือนบนบ้านมีเรื่องลึกลับพวกเราจึงอยากรู้"

    ............................"เหยี่ยวกับลูกธนูนั้นไม่มีผู้ใดพบเห็นนานแล้ว..มันหายไปพร้อมกับ

    แม่เฒ่านะจา" ซูโอ๊ะตอบ..ทำให้คนในกลุ่มรู้สึกฉงน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขอบอกกล่าวกับท่านผู้มีเกียรติที่ติดตามอ่านนะครับ..พรุ่งนี้จนถึงวันที่ 25 พ.ค.นี้...ผมต้องขออนุญาตไปเฝ้าดูแลคุณแม่ที่จะต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลจุฬาฯ...จึงไม่อาจมาเขียนต่อไปได้ครับ.....
    ....................กลับมาเมื่อไร..จะมาเขียนให้อ่านต่อนะครับ...ขอบคุณที่ติดตามครับ......
     
  7. suntorn_ta

    suntorn_ta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +330
    ขอให้คุณแม่คุณหายป่วยและมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็วด้วยครับ
    เป็นกำลังใจให้ครับ @^_^@
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ขอบพระคุณอย่างสูงครับ...ขอให้ท่านเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ........
    ..................กลับมาทำหน้าที่ต่อแล้วครับ..การตามหาลูกธนูบนดอย..แต่กลับมาพบเหตุการณ์ประหลาด..ของเซจี..และเรื่อง..การหายไปของนะจากับลูกธนู...มีความเกี่ยวพันอย่างไรพรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังต่อไปนะครับ..เพราะดูตอนนี้จะยาวและเข้มข้นมาก.......เพิ่งกลับมาจากเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล..ขออนุญาตท่านผู้มีเกียรติที่ติดตามอีก 1 วันครับ......
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ลูกธนูหายไปพร้อมกับแม่เฒ่านะจาหรือ" พวงผกาทวนคำตามคำ

    พูดของซูโอ๊ะในขณะที่คนอื่นนั่งฟังและคิดตาม

    ............................"แม่เฒ่านะจานางหายไปจากดอยนี้นานแล้วหรือ" กาเผือกถามซูโอ๊ะต่อ

    ............................"หลายปีทีเดียว..ความจริงนางชรามากอายุนางกว่าร้อยปี...ไม่น่าจะไปไหน

    ได้ไกล" ซูโอ๊ะบอกพร้อมแสดงความเห็น

    ............................"นางได้มีโอกาส..เลี้ยงดูพวกเซจีและนอซัน..จนพวกเขารู้ความได้" ทูเล

    ย์เอ่ยเสริม

    ............................"เพราะนางเป็นผู้เลี้ยงดูเซจีนี่แหละ..หนูจึงคิดว่านางต้องถ่ายทอด

    อารมณ์และเรื่องราวของเมือง มีสุขให้เซจีรับรู้และซึมซาบไว้ในใจ" พวงผกาแสดงความเห็น

    ในประเด็นที่เคยเอ่ยไว้เดิมอีกครั้ง

    .....................ทุกคนคิดตามพวงผกา..ก็เห็นกับเค้าความจริงอันนี้..ไก่ตุ๋นจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    ............................"แล้วเราคิดว่า..แม่เฒ่านะจานางถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวของ

    เมือง มีสุขให้เซจีฟังอย่างไร"

    ............................"ในเมื่อนางเป็นผู้เลี้ยงดูเซจี..ด้วยอารมณ์ที่คิดถึงเมือง มีสุขและ

    อารมณ์ที่เศร้าโศก..นางก็ต้องพูดถึงความคับแค้นในใจของนางออกมาให้เซจีหลานของนาง

    ได้ยินได้ฟังทุกวันที่นางอยู่กับเซจี" พวงผกาเริ่มตั้งข้อสันนิษฐานตามที่ตนเองคิดว่าน่าจะ

    เป็น.......ด้วยอารมณ์แห่งผู้หญิงย่อมมีความละเอียดอ่อนในการคิดแตกต่างจากผู้ชาย...ใน

    ขณะที่ผู้ชายมุ่งเน้นแต่เรื่องใหญ่ ๆ..ดังนั้นพวงผกาจึงพยายามอ่านความรู้สึกของความเป็น

    หญิงให้แก่กลุ่มสนทนาได้รับรู้

    ....................ทุกคนคิดตามพวงผกา..และพิจารณา....กาเผือกจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"อารมณ์เศร้าโศกไม่เบิกบาน...ย่อมส่งถึงคนใกล้ชิดให้จดจำ..เซจีนางจึง

    เป็นคนเช่นนี้.....ผมคิดว่า...เราต้องวางแผนให้นอซันออกมาเพื่อถามไถ่ให้ได้ความจริง" กาเผือกพูด

    พร้อมหันไปมองซูโอ๊ะและทูเลย์ที่พร้อมจะช่วยพวกเขาตลอดเวลา


    ....................ยามสายนั้นดวงอาทิตย์ยังถูกหมอกบดบังอยู่..ทูเลย์เดินทางไปบ้านหัวหน้าเผ่าแจ

    แมเพื่อหา...นอซัน....

    ............................"นอซัน..นอซัน ข้าทูเลย์..สูออกมาหน่อย" เสียงทูเลย์ตะโกนเรียก

    ....................เสียงเรียกของทูเลย์...ทำให้ประตูบ้านของหัวหน้าเผ่าเปิด..แต่คนที่ออกมาไม่ใช่นอ

    ซัน

    ............................"สูมีเรื่องอะไรหรือทูเลย์" เสียงราบเรียบจากปากสาวที่เป็นประเด็นของเรื่อง

    เอ่ยขึ้น

    ......................"ข้าต้องการพบนอซันเพื่อขอความช่วยเหลือหน่อยเซจี" ทูเลย์ตอบ

    ............................"น้องข้า..ออกไปรอดูพ่อกับแม่ข้าเผื่อท่านกลับมาวันนี้" คำตอบของเซจี..

    ทำให้ทูเลย์ใจชื่นขึ้นมาที่เขาจะเดินตามหานอซันได้ไม่ยาก..โดยไม่ต้องบอกกับเซจีว่าเขามาขอให้นอ

    ซันช่วยเหลืออะไร...ดังนั้นทูเลย์จึงบอกกับเซจีและหันหลังกลับ

    ............................."ถ้าเช่นนั้น..ข้าไปตามหานอซันก่อน"

    ....................แต่แล้วที่ทูเลย์คิดกลับผิดคาด..พอเขาหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงตะคอกขึ้นทันที

    ............................."เดี๋ยวก่อน..ที่สูบอกว่ามาขอความช่วยเหลือนอซัน..สูต้องการให้

    เขาช่วยสิ่งใด"

    ....................ทูเลย์สะดุ้งและไม่ทันคิดว่าจะมาขอให้นอซันช่วยสิ่งใด..เพราะมาเพื่อทำอุบายพบ

    เจอนอซันเท่านั้น...เขาจึงกระอักกระอ่วนก่อนจะหันหลังกลับไปตอบเสียงตะคอกนั้น

    ............................"คือ...ข้า...ข้า..ข้าและซูโอ๊ะ..มีเรื่องปรึกษานอซัน..ซูโอ๊ะจึงให้ข้ามาเชิญ

    เขาไปที่บ้าน"

    ............................"ปรึกษาเรื่องอะไร" เสียงตะคอกยังคงดังอยู่

    ............................"เรื่องนัดแนะกันออกล่าสัตว์..หลังฤดูหนาว" ทูเลย์พูดเสียงดังและเดิน

    จากไปทันที..ด้วยกลัวสาวอารมณ์ดุจะซักไซ้สิ่งใดเพิ่ม..ทำให้เซจีรู้สึกสงสัย...แต่ก็นิ่งเฉยอารมณ์ดี

    ขึ้น..เมื่อทูเลย์เดินออกไปจากบริเวณบ้าน..เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องจะมีคนขึ้นบ้านหรือแอบดูภายใน

    บ้าน.....




    ....................ทูเลย์กลับออกมา..แต่ไม่ได้ไปตามหานอซัน...เขาเปลี่ยนใจเดินไปหาพวกกาเผือก

    ที่บ้านซูโอ๊ะเพื่อพากันไปพบนอซัน..ก่อนที่เขาจะไปเสียทีอื่น

    ....................พอทูเลย์เดินทางมาถึง กาเผือกได้เอ่ยถาม

    ............................"ท่านพบเจอนอซันไหม"

    ............................"พวกสูตามข้ามานี่เถอะ" ทูเลย์เอ่ยชวนแทนการตอบ

    ....................ทูเลย์พาพวกกาเผือกพร้อมด้วยซูโอ๊ะ..เดินไปทางด้านหน้าของหมู่บ้าน....แล้วลง

    จากดอยมาตามทาง..เพื่อตามหานอซัน....

    ....................เหตุที่นอซันต้องมาคอยรับหัวหน้าเผ่าแจแมพร้อมแม่เฒ่าไอยากับพวก..เพราะว่า

    การไปเยือนเผ่าต่าง ๆของพ่อเฒ่าและแม่เฒ่านั้น..เดินทางไปหลายเผ่า..ซึ่งแน่นอนจะต้องมีของฝาก

    หรือเสบียงต่าง ๆฝากมากับเกวียนที่บรรทุกเป็นจำนวนมาก..ดังนั้นก่อนขึ้นดอยนอซันจึงต้องเอา

    เกวียนมาช่วยถ่ายเสบียงต่าง ๆ ออกเพื่อให้เกวียนที่เดินทางมาไกลน้ำหนักเบาขึ้น......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................นอซันนั่งอยู่บนเกวียนรอดูบิดามารดาของตนกลับมา..เขาอยู่ห่างจากทางขึ้น

    ดอยราวครึ่งกิโล..ทูเลย์ ซูโอ๊ะ กาเผือก ไก่ตุ๋น และพวงผกา..เดินย่ำเท้าตามกันมา..และตรงหานอ

    ซัน...

    ....................นอซันสังเกตเห็นพวกเขามาแต่ไกล..เขาจึงกระโดดลงเกวียนเพื่อดักรอถามไถ่ ทู

    เลย์และซูโอ๊ะว่าจะพาคนแปลกหน้าไปที่ใด..และเมื่อพวกเขามาถึง..นอซันจึงได้เอ่ยขึ้น

    ............................"พวกสูจะพาแขกนี้ไปไหนหรือ"

    ............................"มาหาสูเจ้านั่นแหละ" ซูโอ๊ะเอ่ยตอบ

    ............................"มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ" นอซันถามกลับด้วยท่าทางสุภาพ

    ............................"มีบางสิ่งบางอย่างที่สูพวกนี้อยากรู้จากปากของสูเจ้า" ซูโอ๊ะบอกความ

    ประสงค์..ทำให้นอซันรู้สึกฉงน..พร้อมกับหันไปมองคนแปลกหน้าทั้งสาม

    ............................"ผมชื่อกาเผือก..และนี่น้องชายคือไก่ตุ๋น..ส่วนนั่นคือพวงผกา" กาเผือกเอ่ย

    แนะนำ...นอซันพยักหน้ารับรู้และคิดว่าพวกเขาคงรู้จักชื่อของตนจากหนุ่มดอยมูเซ่อทั้งสองแล้ว..จึง

    ไม่เอ่ยชื่อตนแก่คู่สนทนา..แต่ได้เอ่ยถามขึ้น

    ............................"พวกสู..คงมีเรื่องสำคัญมากจึงขึ้นดอยมาถึงเผ่ามูเซอ"

    ............................"ใช่พวกเราต้องการรู้บางสิ่งบางอย่าง..เกี่ยวกับเมือง มีสุขบนดอยแห่งนี้"

    พวงผกาเอ่ยถามตรงประเด็นด้วยอารามใจร้อน

    ............................"เมือง มีสุข อีกแล้วหรือ" นอซันทวนคำ...เหมือนเคยมีใครมากวนใจ

    เขาเรื่องนี้

    ............................"ใช่แล้วล่ะ..นอซัน..พวกเราอยากรู้ความเกี่ยวพันของเขาบนดอย

    มูเซอแห่งนี้...พวงผกาเป็นหลานของเมือง มีสุข" กาเผือกเอ่ยจุดสนใจให้นอซันทราบ...เผื่อ..

    เขาอาจเปิดเผยเมื่อมีญาติสนิทแท้จริงของเมือง มีสุขมาด้วย

    .....................นอซันมองหน้าพวงผกาแล้วถาม

    ............................."สูเป็นญาติกับเขาได้อย่างไร"

    ............................."ยายของหนู..เป็นลูกของอาเมือง มีสุข" พวงผกาตอบ

    .....................นอซันคิดพิจารณา..ด้วยเขารู้เรื่องราวเมือง มีสุขนี้จากแม่เฒ่านะจา..ซึ่งเป็นน้อง

    สาวของลีเจงปู่เขาพร้อมกันกับเซจี..ดังนั้นนะจาก็คือย่าของพวกเขาคนหนึ่ง

    .....................เรื่องราวของเมือง มีสุขตอนขึ้นดอยมานี้..รายละเอียดในเบื้องต้นอยู่ในตอนที่ 52

    ผู้ถูกล่ากับเผ่ามูเซอ ในหน้าที่ 21..ซึ่งท่านผู้มีเกียรติอาจกลับไปอ่านทบทวนเพื่อทำความเข้าใจกับ

    ตอนนี้ได้ครับ.....

    ............................"เอาเป็นว่า..พวกสูถามมาเลยดีกว่า..ก่อนที่เซจีหรือ..พ่อกับแม่ของข้าจะ

    กลับมา" นอซันกังวลเรื่องที่เขาไม่อยากเอ่ยปากกับผู้ใด..แต่ด้วยเห็นว่าพวงผกาเป็นหลานของเมือง มี

    สุข เขาจึงอยากบอกความจริงบางอย่าง

    ............................."ข้อแรกที่เป็นความประสงค์ของเรามากที่สุดคือ ตามหาลูกธนูดอก

    หนึ่งของเขาที่ยิงเหยี่ยวบนดอยแห่งนี้..ข้อสอง.เรื่องที่เมือง มีสุขมาทำอะไรบนดอยแห่งนี้..ข้อ

    สาม ข้าอยากรู้ว่าทำไมเซจีพี่ของท่านจึงไม่ยอมให้ใครขึ้นไปบนบ้าน..และข้อสี่ แม่เฒ่านะจา

    หายไปไหน" พวงผกาตั้งเป็นประเด็นข้อ ๆให้นอซันตอบ

    ....................นอซันนิ่งไปครู่หนึ่ง..ด้วยหลายคำถามที่เขาไม่อยากตอบ..เขาจึงเอ่ยความ

    บางอย่างบอกแก่พวกคู่สนทนาที่รอฟังอยู่....

    ............................"พวกสูที่เป็นคนแปลกหน้า...เคยไปพบกับเซจีพี่ข้าหรือยัง"

    ............................"พวกเรายังไม่กล้าไป..นางอาจยิงหน้าไม้ใส่พวกเรา" กาเผือกเอ่ย

    ............................"ถ้าสูบอกว่ามีหลานของเมือง มีสุขมา..เซจีต้องเปลี่ยนไป" นอซัน

    เอ่ย....ทำให้พวงผกาสงสัยจึงถามกลับ

    ............................"ทำไมเมื่อบอกว่าเป็นหลานของเมือง มีสุข เซจีต้องเปลี่ยนไป..แล้ว

    เปลี่ยนแปลงไปทางใด"

    ............................"เปลี่ยนแปลงไปในทางดีที่ต้อนรับพวกสูทีเดียว" นอซันอธิบาย

    .....................ไก่ตุ๋นฟังอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    ............................"ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"

    ........................"เพราะเซจีพี่ข้ารักเมือง มีสุขอย่างจับใจ..นางรอคอยเมือง มี

    สุขอยู่"

    ........................"ว่าไงนะ" ทั้งห้าอุทานขึ้นอย่างดังหลังจากฟังนอซัน




    .....................ท่านผู้มีเกียรติเริ่มเห็นความแปลกประหลาดขึ้นไหมครับเกี่ยวกับเซจี..นางเป็นเด็ก

    รุ่นหลังห่างจาก...เมือง มีสุขมาก...เมือง มีสุข จัดอยู่ในระดับคุณปู่ของนางแล้ว....และนางไม่เคยพบ

    เมือง มีสุขมาก่อนเลย...ทำไมเซจีจึงกลายเป็นผู้ที่รัก เมือง มีสุข อย่างจับใจ..และรอคอยเมือง

    มีสุขอยู่...เกิดอะไรขึ้นกับนาง.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......ตอนที่ 109 เซจี..หญิงผู้ซึมซาบอดีตของเมือง มีสุข.....




    ....................ทำไมเซจีจึงกลายเป็นผู้ที่..รัก..เมือง มีสุข อย่างจับใจ..และรอคอย..เมือง

    มีสุข อยู่....เกิดอะไรขึ้นกับนาง...มาฟังพวกเขาสนทนากันต่อไปครับ..


    ............................"หมายความว่าอย่างไรที่ท่านบอกว่า เซจีรักเมือง มีสุขอย่างจับใจ..นางรอ

    คอยเมือง มีสุขอยู่" พวงผกาถามเพื่อให้นอซันอธิบาย

    ............................"หมายความว่าพี่สาวข้า..รักคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว..แต่คนที่นาง

    รัก..อยู่ในความทรงจำและจินตนาการของนาง" นอซันบอกอาการของพี่สาว

    ............................"มันเป็นไปได้อย่างไร..ทำไมเซจีพี่ของท่านจึงเป็นเช่นนั้น" กาเผือกถาม

    สาเหตุที่นางเป็น

    ............................"เซจีนางซึมซับเรื่องราวและตัวตนของเมือง มีสุข..จากแม่เฒ่านะจา

    ย่าของข้า..แม่เฒ่าจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆเกี่ยวกับตัวของเขาให้เซจีและข้าฟัง..ทั้งรูปร่างความสง่างาม

    ของเขา..อารมณ์และตัวตนของเขาที่แม่เฒ่าจดจำเขาไม่เคยลืม..แม้กระทั่งความรักของแม่เฒ่าที่

    มีต่อเมือง มีสุข..นางก็ยังถ่ายทอดมาให้เซจีกับข้า....แต่เซจีพี่ข้า...เมื่อได้ฟังเรื่องราวของ

    เขาก็เกิดความรักขึ้นต่อเขา..เช่นเดียวกับแม่เฒ่านะจา...แม๋เฒ่าถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต

    ของเขา..เซจีก็จะซักถามและฟังด้วยความสุขใจอย่างไม่รู้เบื่อ..นางจะสุขใจทุกครั้งที่แม่เฒ่า

    นะจาเล่าเรื่องราวของเมือง มีสุขให้นางฟัง" นอซันอธิบาย..ซึ่งดูจะสอดคล้องกับความเห็นของ

    พวงผกาที่ให้ไว้.....นางมองตากาเผือก..แล้วหันกลับมาถามนอซัน

    ............................"แล้วที่เซจีเป็นเช่นปัจจุบันที่คนบนดอยพบเห็น..มันเป็นมาอย่างไร"

    ............................"แม่เฒ่านะจาร้องไห้เสียใจ..และคิดถึงเมือง มีสุขอย่างไร..นางก็รับอารมณ์

    เหล่านี้เก็บไว้ในใจ..และซึมเศร้าไปกับแม่เฒ่า...พวกนางคิดถึงเมือง มีสุข..โดยเฉพาะเซจี..นาง

    ไม่เคยพบเห็นเขา..และนางอยากพบเห็นเขามาก...นางจึงจิตนาการเกี่ยวกับตัวเขาไว้มาก

    มายภายในจิตใจ..เพราะนางรักเขา..ผู้ชายที่จมน้ำหายไปในแม่น้ำน่าน..เมื่อ 80 ปีที่แล้ว"

    ............................"แล้วแม่เฒ่านะจา...ไปอยู่ไหน" กาเผือกถามประเด็นสำคัญ..

    ....................นอซันนิ่งเงียบ..อย่างใช้ความคิดว่าควรบอกเรื่องราวของแม่เฒ่านะจาหรือ

    ไม่.....เขาหันไปที่ต้นไม้ใหญ่..แล้วชี้มือให้กลุ่มสนทนาดูพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าว่า..พวกสูไปคุยกันใต้ร่มไม่นั้นเถอะ"

    .....................ทุกคนมองตามที่นอซันชี้แล้วพากันเดินย้ำเท้าไปที่ต้นไม้ใหญ่...พอถึงที่นอซันได้

    เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปที่ซูโอ๊ะและทูเลย์

    ............................"ซูโอ๊ะ ทูเลย์..สูเจ้าจำไว้ว่าเรื่องราววันนี้ที่ข้าเราให้พวกสูฟัง...สูเจ้า

    ห้ามแพร่งพรายให้ผู้ใดในเผ่าเรารู้...รวมทั้งพวกสูที่มาเยือนด้วย..เพราะมันคือความลับของ

    บ้านข้า..ที่จะให้ใครรู้ไม่ได้"

    ............................"ข้ารับปาก" ซูโอ๊เอ่ยแล้วหันไปทางทูเลย์เพื่อรอคำตอบ

    ............................"ข้าก็รับปาก..สูเจ้าพูดมาเถอะ..ข้าสงสัยมานานแล้ว..ว่ามันมีความ

    ลับอะไรอยู่ในบ้าน..ทำไมพวกสูในบ้านจึงไม่ยอมให้ใครขึ้นไป" ทูเลย์เอ่ยและบอกความ

    รู้สึก...

    ............................"พวกเราก็รับปาก..ว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ..ลงจากดอยก็จะไม่

    เอ่ยวาจาบอกแก่ใคร" ไก่ตุ๋นเอ่ยแทนพรรคพวก..

    ....................แล้วทุกคนก็รอฟังคำของนอซัน

    ............................"ที่บ้านของข้า..มีศพของแม่เฒ่านะจาเก็บไว้อยู่"

    ............................"หา...สูเจ้าว่าอย่างไรนะ...สูเจ้าว่ามีศพของแม่เฒ่านะจาอยู่ใน

    บ้าน...แสดงว่าความจริงแม่เฒ่านะจาไม่ได้หายไปไหน...แต่นางเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน...

    แล้วพวกสูในบ้านกำลังทำผิดประเพณีของเผ่าเราที่ไม่ให้เก็บศพไว้ภายในบ้านหรือ" ซูโอ๊ะ

    เอ่ยและทบทวนถึงประเพณีชนเผ่า

    ............................"ถ้าคนบนดอยมูเซอนี้รู้..ถึงแม้พ่อสูจะเป็นหัวหน้าเผ่าก็ตาม....ชน

    มูเซอต้องตำหนิพวกสูเจ้า..และพ่อสูเจ้าอาจถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าเผ่า" ทูเล

    ย์บรรยาย

    ............................."พวกสูพูดถูกแล้ว...แต่พวกข้ามีความจำเป็น..เพราะคำสั่งเสีย

    ของแม่เฒ่านะจา..ที่เลี้ยงดูพ่อข้า..เซจีและตัวข้า..ได้สั่งเสียไว้ก่อนตายว่า...ให้เก็บศพของ

    นางไว้เพื่อรอ...เมือง มีสุข กลับมา.." นอซันให้เหตุผล

    ....................กาเผือกได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้ง..รวมทั้งทุกคนต่างคิดไปต่าง ๆนานา..ถึงสาเหตุที่พวก

    เขาไม่เปิดประตูบ้านรับแขกมาเป็นเวลานาน..เพราะมีศพคนตายเก็บไว้ในบ้าน..ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของ

    ชนเผ่ามูเซอ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"รอ..เมือง มีสุข กลับมา..หมายความว่าอย่างไรหรือ หนูไม่เข้าใจ"

    พวงผกาถามเป็นคนแรกหลังจากทุกคนนิ่งอึ้งไป

    ............................"หมายความว่า แม่เฒ่านะจาไม่เชื่อว่า เมือง มีสุขจะจมน้ำตายไป....

    รวมทั้งเซจีพี่สาวของข้าด้วย" นอซันอธิบาย

    ....................กาเผือกและผู้ฟังในกลุ่มต่างเริ่มสับสนในคำพูดของนอซัน..นอซันรู้ว่าพวกเขาอยาก

    รู้ความคิดของแม่เฒ่านะจาและเซจี...เขาจึงเริ่มเล่าสาเหตุของหญิงต่างวัยกันทั้งสองคน..ที่มีความ

    เชื่อเช่นนั้น

    ............................"หลังจากที่มีการสู้รบกันที่แม่น้ำน่านระหว่างกองกำลังพม่า กับเจ้าหน้าที่ของ

    เมืองน่านทั้งสองฝั่ง รวมทั้งพวกชาวเขาเผ่ามูเซอและเผ่าต่างๆ ก็ไปร่วมต่อสู้ด้วย....ชาวมูเซอที่ร่วม

    ต่อสู้เห็นเหตุการณ์...ตอนที่เมือง มีสุขจมน้ำไปในขณะ...ที่มีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงมา

    จากใต้น้ำ..และนกกาเผือกสีขาวที่ปากของมันจิกจับคอเสื้อของเขาอยู่..ได้บินโผล่มาจากใต้

    น้ำ...และบินตามขวดแก้วของเขาไป..เมืองมีสุขไม่เคยโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำน่านเลย....มูเซอ

    ผู้รอดชีวิตได้กลับมายังดอยของเผ่าเล่าและเล่าเรื่องที่พบเห็น..ให้ชาวเผ่ามูเซอฟัง..จนได้ยิน

    มาถึงแม่เฒ่านะจา...ขณะนั้นนางยังคงเป็นสาวอยู่..นางได้เดินทางไปที่จะที่เมือง มีสุขจมน้ำ

    ในแม่น้ำน่าน...และก็เที่ยวตามหาศพของเขา..ก็ไม่พบ....

    ...........................นางได้เที่ยวตามหาเมือง มีสุขอยู่ในเมืองหลายวัน..และนางก็พบว่า...

    มีหญิงสาวผู้สวยงามน่ารัก..นางชื่อสายพิณ..ก็เที่ยวออกตามหาเมือง มีสุขเช่นกัน....จนมา

    วันหนึ่ง..นางได้เห็นสายพิณเขียนวาดภาพรูปต่าง ๆขึ้นเกี่ยวกับเมือง มีสุข หลายภาพ..แสดง

    ไว้ที่จวนเจ้าเมืองน่าน...ก่อนที่จะย้ายมาที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่านไม่นาน...นางได้เห็นภาพ ๆ

    หนึ่ง..ที่เป็นเด็กทารกลอยอยู่บนผิวแม่น้ำ..และมีเกลียวน้ำวน..วนหมุนรอบเด็กทารกนั้น...

    นางได้อ่านคำอธิบายจนรู้ว่า..เด็กทารกนั้น คือ เมือง มีสุข....นางได้คิดขึ้นมาทันทีว่า"ทารก

    ที่ลอยน้ำได้ จะจมน้ำตายได้เช่นไร"...นางได้เห็นธนูดอกหนึ่งที่สายพิณนำมาประดับไว้..เป็น

    ลูกธนูที่มีดอกกุหลาบแห้งสีแดงติดอยู่ที่ปลายลูกธนู...นางได้อ่านคำอธิบายจึงได้รู้ว่า...เมือง

    มีสุขให้คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับธนูดอกกุหลาบแก่สายพิณว่า...หากสะพานข้ามแม่น้ำน่านถูก

    สร้างเสร็จเมื่อไร..เขาจะพานางขึ้นไปบนเขาสูงเพื่อสู้กับดวงอาทิตย์...ด้วยเหตุนี้เมื่อกลับมาที่

    ดอยมูเซอ...นางจึงได้ทำสิ่งต่าง ๆขึ้นตามที่นางคิดเพื่อรอการกลับมาของ เมือง มีสุข"

    ............................"นางทำอะไรขึ้นที่ดอยแห่งนี้หรือ" พวงผกาถามต่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ri.jpg
      ri.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"นางกลับมาวาดภาพของเมือง มีสุขเป็นเรื่องราวของเขาที่มายังดอย

    แห่งนี้ตั้งแต่ เมือง มีสุขมีอายุเพียง 13 ปี พ่อเฒ่าลีเจงอายุ 15 ปี และแม่เฒ่านะจาขณะนั้น

    นางมีอายุเพียง 9 ปี...นางวาดภาพเรื่องราวของนางกับเมือง มีสุข และลีเจง..หลายภาพ..

    เช่นเดียวกับที่ แม่นางสายพิณเขียนภาพเรื่องราวของเขาที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน" นอซัน

    บรรยาย

    ............................"แล้วลูกธนูที่ยิงเหยี่ยวตัวนั้น..แม่เฒ่านะจาทำอะไรกับลูกธนู..." กา

    เผือกถามบ้าง

    ............................"ลูกธนูดอกนั้นเป็นของเมือง มีสุข เป็นของสิ่งเดียวที่ดอยมูเซอแห่งนี้

    มีอยู่...มันอยู่ที่เดิมตลอดมา...แต่เมื่อแม่เฒ่านะจาตาย..เซจีพี่สาวของข้าเป็นคนย้ายมันไป

    อยู่ใกล้โลงศพของแม่เฒ่านะจา...บ้านได้ถูกต่อเติมเป็นห้องที่ติดภาพวาดเรื่องราวของเมือง

    มีสุขที่แม่เฒ่านะจาวาดขึ้น..และศพของแม่เฒ่าได้นำไปไว้ในห้องนี้...เซจีได้นำเหยี่ยวและลูก

    ธนูมาไว้ที่ข้างโลงศพ..ให้แม่เฒ่านะจาได้ใกล้ชิดกับ..ธนูของคนที่นางรักตลอดไป" นอซัน

    บรรยายต่อ

    ............................"ศพของแม่เฒ่าไม่มีกลิ่นหรือ" ไก่ตุ๋นถาม

    ............................"เราใช้ชาหอมของเผ่าเรา..ใส่ลงไปในโลงในจำนวนมาก หมกร่าง

    ของแม่เฒ่าไว้...ชาพวกนี้จะดูดซับกลิ่นศพเอาไว้..ประกอบกับร่างที่ชราของนาง..เหี่ยวแห้ง

    ไปตามวัยอยู่แล้ว..จึงไม่ได้ขึ้นอืดเหมือนศพหนุ่มสาว"

    ............................"นางเขียนภาพไว้ทำไม" พวงผกาถาม

    ............................"นางบอกว่าเป็นความทรงจำของนาง..กับเมือง มีสุขบนดอยแห่ง

    นี้....และเมื่อเขาขึ้นมาจากแม่น้ำน่าน..เขาจะต้องมาตามหาความทรงจำของเขาบนดอยแห่ง

    นี้...ไม่ว่าเขาจะขึ้นมาในฃ่วงเวลาใดของอนาคต..ภาพเหล่านี้จะช่วยเมือง มีสุขให้ทบทวน

    ความทรงจำของเขาได้" นอซันเน้นเรื่องราว

    ............................."ความทรงจำอีกแล้วหรือ" พวงผกาทวนคำอย่างเลื่อนลอย

    ............................."ใช่" นอซันยืนยัน

    ............................."ทำไม..นางจึงคิดว่าเมือง มีสุขจะขึ้นมาจากแม่น้ำน่านในอนาคต"

    พวงผกาสงสัยสาเหตุ

    ............................."เซจี..พี่สาวข้าเป็นคนซึมซาบเรื่องราวของเขา..จากแม่เฒ่านะจา

    และภาพวาดต่าง ๆ.......นางเคยเดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์เพื่อดูเรื่องราวต่าง ๆของเขา...และดู

    จุดที่เมือง มีสุขจมน้ำ...เซจีบอกว่า.."เมือง มีสุข..ไม่ได้หายไปในแม่น้ำน่าน...แต่หายเข้าไป

    ในแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาภายใต้แม่น้ำน่านนั้น..เมือง มีสุขยังคงมีชีวิตอยู่ในอีกมิติหนึ่ง....นาง

    รักเขาและนางจะรอเขาออกมาจากแสงนั้นและขึ้นมาจากแม่น้ำน่าน...และนางจะช่วยเหลือ

    เขาโดยการเล่าเรื่องต่าง ๆที่เขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวบนโลกขณะที่เขาหายไป...เซจีจึงปกป้อง

    ไม่ให้ใครเข้าไปรับรู้เรื่องราวภายในห้องที่เก็บศพแม่เฒ่านะจา"

    .....................ทุกคนรับรู้โดยอาการนิ่งอึ้งอีกครั้งหนึ่ง.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 16521_002.jpg
      16521_002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.2 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................กาเผือกเริ่มรู้สึกแปลก ๆกับคำพูดของนอซัน..เกี่ยวกับตัวของแม่เฒ่านะจาและ

    เซจีที่มีความเชื่อว่า.."เมือง มีสุขจะขึ้นมาจากแม่น้ำน่าน..ส่วนเซจีมีความเชื่อลึกลงไปที่..เมือง มีสุข

    หายเข้าไปในแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ที่ส่องมาจากใต้พื้นน้ำนั้น.......เซจีเชื่อว่า...เมือง มีสุข ยังคงมี

    ชีวิตอยู่ในอีกมิติหนึ่ง"

    .....................กาเผือกค้านอยู่ในใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้..ที่จะมีมิติอยู่ในแม่น้ำน่าน..แต่เมื่อเขา

    มาคิดทบทวน..เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับเขามา..ตั้งแต่..ขวดแก้วทรงมะม่วงที่จู่ ๆก็หมุนวน

    จากใต้น้ำลอยขึ้นมา..และหยุดนิ่งไม่ลอยล่องน้ำไป..แต่กลับลอยตรงเข้ามาหาเขา...อย่างหนึ่ง....กับ

    การที่ตอนเขาอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อใหญ่ที่ชัยนาท.ก่อนเปิดขวดแก้ว...ก็มีลมหมุนอย่างแรง..

    พร้อมกับคลื่นซัดตีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย..อย่างหนึ่ง...และสร้อยข้อมือลายดอกทานตะวัน..ที่เข้าไปอยู่ใน

    ขวดแก้วนี้ได้อย่างไร..โดยที่เขาไม่สามารถนำมันออกมาได้นอกจากทุบขวดแก้ว..ที่เป็นกุญแจเปิดประ

    ตู้ถ้ำสมบัติของราชวงศ์พม่าทิ้ง..เขาจึงจะได้สร้อยข้อมือลายดอกทานตะวันนั้นนำไปที่หลุมศพของโนรี

    นรา ในอนาคต อย่างหนึ่ง..และการที่เขาได้อธิษฐานกับแม่น้ำน่านก่อนที่จะไปหาโรงแรมที่พัก..เขาก็

    พบน้ำในแม่น้ำน่านทั้งสายได้หยุดไหลเป็นอัศจรรย์.และก็เกิดเกลียวหมุนของน้ำปรากฎเป็นวง

    ขึ้นต่อหน้าเขา..พร้อมกับสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำมายังร่างของเขาเหมือนจะพัดพาให้ลง

    ไปสู่เกลียวหมุนของน้ำนั้น.........และต่อมาก็ปรากฎภาพประหลาดให้เห็น..เป็นนกสีขาวตัว

    หนึ่งบินโฉบลงไปจับคอเสื้อของชายคนหนึ่งที่มีเลือดแดงฉานเต็มตัว...และนกพยายาม

    กระพือปีกบินขึ้น..เพื่อดึงร่างชายผู้นั้นขึ้นจากน้ำ......ซึ่งต่อมาเขาก็พบภาพนี้ถูกเขียนขึ้น

    โดยสายพิณที่พิพิธภัณฑ์..เขาจึงรู้ว่าภาพนั้นคือภาพของนกกาเผือกที่กำลังช่วยชีวิตเมือง มี

    สุข...และมีภาพที่แสดงให้เห็นถึงแสงประหลาดที่ส่องสว่างดุจดวงอาทิตย์อยู่ใต้น้ำ...ก่อนที่

    เขาจะจมน้ำหายไปและไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย....ภาพดังกล่าวเป็นพยานได้ดีว่ามี..แสง

    สว่างส่องมาจากใต้น้ำมายังร่างของเขาจริง..เพราะไม่เช่นนั้นสายพิณคงไม่เขียนภาพนี้เอา

    ไว้...และหากภาพนี้ไม่เป็นจริงคนจังหวัดน่านก็คงคัดค้านภาพนี้ขึ้นอย่างแน่นอน...........

    ....................เซจีนางได้เห็นภาพนี้..ประกอบกับพฤติการณ์ที่เมือง มีสุขไม่โผล่ขึ้นมาจาก

    น้ำ..นางจึงปักใจเชื่อว่า.."เมือง มีสุข หายเข้าไปในแสงสว่างนั้นและยังมีชีวิตอยู่อีกมิ

    ติหนึ่ง".....เช่นนี้นางจึงรอคอยที่จะพบเขา..เหมือนกับแม่เฒ่านะจาที่รอพบเมือง มีสุขจนสิ่น

    ลมหายใจจากไป...แต่ด้วยวิญญาณรักที่เต็มเปี่ยมอยู่ในจิตใจของนะจา...แม้จะแก่เฒ่าชรา..

    และสิ้นลมจากไป.."ศพของนางก็ยังคงรอคอยเมือง มีสุขอยู่"...พร้อมกับการรอคอยของเซ

    จี...

    .....................เหตุการณ์เหล่านี้ก็กลับมาค้านความคิดเดิมของกาเผือก..ที่ไม่อยากจะเชื่อ

    ว่า..เมือง มีสุขมีชีวิตอยู่อีกมิติหนึ่ง....เป็นว่า..เขายังไม่กล้าตัดสินใจใด ๆ...แต่ได้นึกถึง

    หนังสือฉบับแรกที่เมือง มีสุขเขียนที่ผ้าผืนนั้นที่โผล่มาจากขวดแก้ว...มีข้อความตอนหนึ่งว่า

    "....เวลานี้ลูกของแม่กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว(กล่าวถึงเมือง)....ฯลฯ.....แต่หากนางเกิด

    เป็นดั่งเม็ดทรายน้ำลึกที่นางปรารถนา(กล่าวถึงโนรี)..แม่ได้โปรดรับนางไว้เพื่ออยู่กับข้า

    ตลอดกาล"........

    .....................คำว่า"แม่ได้โปรดรับนางไว้เพื่ออยู่กับข้าตลอดกาล".........มันเหมือนเป็น

    ตัวหนังสือที่บ่งบอกว่า..."เมือง มีสุข เขายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ"

    .....................กาเผือกคิดว่า..ขนาดตัวหนังสือที่เขาเขียนก็ยังลึกลับซับซ้อนเยี่ยงนี้....ตัว

    หนังสือที่เขาเขียนไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ธรรมดาอย่างแน่นอน...เขาจึงคิดว่าต้องรู้เรื่องราวของ

    เมือง มีสุขขณะที่มีวิตอยู่ให้ได้มากที่สุด...แล้วเขาจึงจะเข้าใจความหมายในตัวหนังสือทั้งสอง

    ฉบับที่อยู่ในขวดแก้วทรงมะม่วงชัดเจนขึ้น....(สำหรับจดหมายรายละเอียดอยู่ตอนที่ 4 ผู้จากไป ,

    ตอนที่ 5 ผ้าขาวผืนที่สอง หน้า 39.......)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................การรอคอยของเซจี......ที่คิดว่า"เมือง มีสุข"จะต้องออก

    มาจากแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ภายใต้แม่น้ำน่านนั้น..และขึ้นจากแม่น้ำน่านมา

    ในอนาคตนั้น..นางเองก็คิดว่า"บางทีนางอาจจบชีวิตเหมือนแม่เฒ่านะจาผู้รอ

    คอย..ก่อนที่เมืองมีสุขจะปรากฎร่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง..เพราะไม่รู้ว่า..นานอีก

    เท่าไรที่เมือง มีสุขจะกลับมา"....ความคิดของนางนั้นเป็นความจริง...เพราะ

    เมือง มีสุขจะออกมาจากแสงว่างดุจดวงอาทิตย์ภายใต้แม่น้ำน่าน..และ

    ขึ้นมาจากแม่น้ำน่านในปี พ.ศ.2666 ..ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเวลาของปีพ.

    ศ.2546..ซึ่งเป็นเวลายาวนานอีกตั้ง 120 ปี..ที่เมือง มีสุขจะปราก

    ฎร่างขึ้นอีกครั้ง ณ จุดที่เขาจมน้ำและปรากฎแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์

    ขึ้น......ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ "โนรี นรา ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญก็จะฟื้นตื่นขึ้นมาจากความตาย..ด้วยอานุภาพของแสงจันทร์

    เพ็ญ"

    ....................ดังนั้น เซจีผู้เฝ้ารอที่น่าสงสาร.........นางคงไม่มี

    วาสนาได้พบกับ"เมือง มีสุข" ชายที่อยู่ในจินตนาการและความทรงจำ

    ของนาง..ที่นางหลงรักเขาโดยที่ไม่เคยพบเห็นรู้จักหรือสัมผัสกับเขามา

    ก่อนเลย...เป็นเพียงแต่คำบอกเล่าของแม่เฒ่านะจา..และการเข้าไปรู้

    เรื่องราวของเขา......ทำให้เกิดจินตนาการทางความรักกับคนที่นางไม่

    เคยพบเห็นมาก่อนเลย....

    .....................หลักคำสอนทางพุทธศาสนาและครูบาอาจารย์.."เคย

    กล่าวถึงเรื่อง"จิตวิจิตร"ไว้ว่า..จิตสามารถคิดอ่านและปรุงแต่งเรื่องราว

    ได้มากมาย..สร้างภาพและดึงเราเข้าไปหามัน...แต่กับเซจีนี้มันสามารถ

    ดึงนางเข้าไปสู้จินตนาการสร้างภาพ"ความรักระหว่างนางกับเมือง มีสุข

    ขึ้นมาภายในจิตใจ"...นางปรุงแต่งจินตนาการถึงขนาดว่า "นางคือคน

    ที่เมือง มีสุขรักเพียงคนเดียว..และนางก็รักเขาเพียงคนเดียวเช่นกัน....

    เขาจึงเป็นความรักและความหวังของนางที่ดึงนางสู่โลกแห่งการ

    จินตนาการ".......

    ....................กาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกา กำลังจะก้าวเข้าไปเผชิญหน้า

    กับเซจี..ที่พวกเขาเองก็คาดเดาอุปนิสัยของนางไม่ถูก...นอกจากหวังพึ่งพา

    การบอกเล่าของนอซันเท่านั้น...และนี่เป็นเพียงคำบอกเล่าเพียงเบื้องต้น..ที่

    พวกเขาจะต้องใช้ปัญญาขบคิด..ในการศึกษาทั้งเรื่องราวของเมือง มีสุขบน

    ดอยนี้และเรื่องราวของเซจี....อีกทั้งจุดประสงค์เดิมที่ขึ้นมาเพื่อตามหาลูกธนู

    บนดอยนี้...ซึ่งเพียงแค่การบอกเล่าของนอซัน..พวกเขาก็รู้สึกได้ทันที

    ว่า..."พวกเขาคงไม่ได้ลูกธนูดอกนั้นไป..เช่นเดียวกับคนของ

    พิพิธภัณฑ์..ตามที่แสงเดือนบอก"........แต่เขาควรจะทำอย่างไรเพื่อ

    เป็นการถ่ายทอดให้เห็นลูกธนูดอกนั้นที่ปักอยู่บนร่างเหยี่ยว...นอกจาก

    การวาดภาพมันกลับไป.....แต่เซจีนางจะยอมหรือ...เพราะสิ่งที่อยู่ใน

    ห้องเก็บศพของแม่เฒ่านะจาคือ"ความลับของบ้านหัวหน้าเผ่าแจแม..ที่

    ไม่เคยแพร่งพรายให้ผู้ใดรับรู้มาก่อนเลย........."......

    ....................กาเผือกคิดว่า..เขาจะอาศัยสิ่งที่เขามีอยู่..เพื่อมอบ

    เป็นความรู้แก่เซจี..เป็นการตอบแทนในการแลกเปลี่ยนกับการที่เขาจะ

    เข้าไปในห้องนั้น...สิ่งที่เขามีอยู่คือ ...หนึ่ง..พวงผกาคือหลานของเมือง

    มีสุข...สอง..ขวดแก้วทรงมะม่วงที่มีสร้อยข้อมือทองลายดอก

    ทานตะวัน..ซึ่งขวดแก้วอันนี้..นอกจากลีเจง นะจา และคนบนดอยสมัย

    นั้น...เซจีก็น่าจะรู้เรื่องราวของขวดแก้วนี้เป็นอย่างดี...สาม..หนังสือที่

    เมือง มีสุขเขียนขึ้นไว้ภายในขวดแก้วถึงสองฉบับที่อยู่ในมือของกา

    เผือก......แต่ตัวหนังสือบางข้อความช่างดูแล้วแสลงหัวใจของเซจียิ่ง

    นักกับข้อความว่า..."...ข้าขอฝากขวดแก้วใบนี้ไว้กับแม่เพื่อนำสู่..โนรี

    นรา หญิงอันเป็นที่รักแห่งข้า.."...................และ ..ในฉบับที่สอง

    "ภายในขวดแก้วมีความทรงจำของข้าที่มีต่อนาง...ขอท่านตามหาโนรี

    นรา หญิงอันเป็นที่รักแห่งข้า"

    ....................เซจีเมื่อรู้ว่า..พวงผกาและสิ่งที่กาเผือกมีอยู่เกี่ยวกับเมือง มี

    สุข..ความรักและความที่อยากพบเห็นใกล้ชิดกับเมือง มีสุข..ย่อมทำให้

    นางกระหายที่อยากจะพูดคุยกับพวงผกา..และอยากได้ชมสิ่งของประจำตัวของ

    เมือง มีสุข เช่น ขวดแก้วทรงมะม่วงใบนั้น....แต่การที่จะให้นางได้อ่าน

    หนังสือทั้งสองฉบับ...กาเผือกควรทำหรือไม่...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • jynovel-dgsd-04.jpg
      jynovel-dgsd-04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.5 KB
      เปิดดู:
      61
    • 10_2.jpg
      10_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      67
    • kiss.jpg
      kiss.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.6 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    .............ครับ...ขอให้ท่านมีความสุขและเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ.............
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ปกติทุกวันของเซจีที่อยู่ภายในบ้านหลังนั้น..นางจะเฝ้าดูภาพต่าง ๆที่นะจาวาด

    ขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของเมือง มีสุข..ตอนขึ้นมาบนดอยเผ่ามูเซอนี้ทุกภาพ..การได้เห็นความใกล้ชิด

    ระหว่าง นะจา..แม่เฒ่าซึ่งเป็นย่าของนางกับเมือง มีสุขตามภาพต่าง ๆ..เซจีจะดูอย่างดื่มด่ำด้วยความ

    สุขใจกับภาพเหล่านั้น...เสมือนเซจีคือนะจาในภาพวาดนั้น....

    ....................ต่อจากนั้น..นางก็จะมาดูที่ลูกธนูที่ปักอยู่บนร่างเหยี่ยวพร้อมกับโลงศพที่บรรจุร่าง

    ของแม่เฒ่านะจาเอาไว้.......

    ....................บุรุษผู้ขี่ม้าสีดำและสพายขวดแก้วทรงมะม่วงเป็นสัญลักษณ์ติดตัวผู้นั้น..คือ

    เมือง มีสุข..ผู้ที่ควบม้ามาทางทิศตะวันออก..มาพร้อมกับการส่องแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ไล่

    หลังมา..ขึ้นมาบนดอยแห่งนี้...คือ คนที่เซจีรอคอย..

    ....................นางจะเหม่อลอยยืนมองไปที่ไกลแสงไกลยังเส้นทางที่บุรุษผู้ขี่ม้าสีดำสะพาย

    ขวดแก้วทรงมะม่วงควบม้ามา..ในอดีตตามภาพ...บางครั้งนางก็ดูเศร้าสร้อยเมื่อเห็นความ

    ว่างเปล่าที่สายตาของนางมองไปยังเส้นทางนั้น...แต่บางครั้งนางก็แย้มยิ้มออกมา..เหมือน

    กับว่านางได้เห็นสิ่งที่นางรอคอยกำลังมา...แม้จะเป็นโลกแห่งจินตนาการ...ก็ดูโหดร้าย

    สำหรับนางเช่นกัน..มันสามารถทำให้นางยินดีมีความสุข..และทำให้นางเศร้าสร้อย..ได้อย่าง

    ฉับพลัน...เมือง มีสุข คือความทรงจำสิ่งเดียวของนาง...ที่อยู่ในจินตนาการของนางอย่างดื่ม

    ด่ำไม่เคยจางหายไปจากนางเลย....

    ....................เปรียบเทียบกับการที่คนได้มองเห็นนาง..แล้วบรรยายออกมาน่าจะเทียบ

    เคียงได้กับบทเพลง"ยิ้มเหงา ๆ"ของพงษ์เทพ..ซึ่งมีเนื้อร้องอยู่ว่า

    ............................"ยิ้มเหงา ๆ เศร้าพองาม ๆ มีคนถามว่า..เธอคือใคร

    .........................ทั้ง ๆโลกนี้..ก้าวไกลแสนไกล เธอยังสดใส..อยู่ในโลกเก่า

    ..........................ยิ้มเหงา ๆ ของคนงาม ๆ คนที่แบกหามโลก..ไว้ครึ่งหนึ่ง

    ...........................โลกวันนี้..แม้งามเพียงครึ่ง ก็ครึ่งของเธอ..ที่สร้างที่ทำ

    ............เศร้างาม ๆ โปรดอย่าถามถึงความทรงจำ..เรื่องความพลัดพรากจากคนที่เธอรัก

    ..........................ยิ้มเหงา ๆ เศร้าพองาม ๆ คือ นิยามของความทุกข์ยาก

    ........................ถ้าครึ่งโลกร้ายที่ฉันถางถาก เป็นครึ่งโลกสวยขอมอบให้เธอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............ตอนที่ 110 เฝ้ามองดูเซจี...........



    ....................กาเผือกกับพวกและนอซันนั่งคุยกันอีกพักใหญ่..พร้อมกับรอคอยพ่อเฒ่าแจ

    แมกลับมา...แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว..จึงได้แยกย้ายกันไป..โดยนอซันรับปากว่า"เขาไม่ขัดขวางในการที่

    พวกกาเผือกจะเฝ้ามองดูพฤติกรรมของเซจี..เพื่อศึกษาถึงจิตใจนางก่อนที่จะเข้าพบเซจี...และจะไม่

    บอกเซจีเรื่องนี้...ให้พวกของกาเผือกใช้ความเพียรพยายามเอง...ในเป้าหมายที่เขาตั้งใจมา"

    ....................กาเผือกกับพวกเดินทางย่ำเท้ากลับไปกับซูโอ๊ะและทูเลย์..ด้วยความรู้สึกที่เห็นความ

    หวังอยู่บ้าง..ถ้าเป็นการวินิจฉัยเซจีของคนในเมือง...ก็คงต้องลงความเห็นที่ว่า.."เซจีนางคือ

    ผู้หญิงที่เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง"..ซึ่งกาเผือกกับพวกจะเข้าถึงตัวนางหรือไม่..หรือจะถูกหน้าไม้

    ยิงใส่ไล่ออกจากบ้านก็เป็นเรื่องของอนาคตของพวกเขา....แต่นี่คือบททดสอบพวกเขาอย่าง

    หนึ่ง..ดังนั้นพวกเขาจะต้องทำดีที่สุด....โดยจะต้องศึกษาโจทย์ คือ เซจีให้เข้าใจโดยถ่อง

    แท้..ก่อนที่เขาจะตอบโจทย์ข้อนั้น...แล้วจึงมาวิเคราะห์กันว่า.."พวกเขาสอบผ่านหรือ

    ไม่".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามเย็นของวันนั้น..เซจีเดินออกจากบ้านมายังเนินดินบนดอยใกล้บ้านของ

    นาง...นางมองป่าไม้บนทิวเขาไปไกลแสนไกล..ทางด้านทิศตะวันตก..มองไล่ดวงตะวันแดงของฤดู

    หนาว...ดวงตะวันยามเย็นในฤดูหนาว..ที่สายตาหลายคู่เคยเฝ้ามองดูและลงความเห็น

    ว่า.."ดวงตะวันยามเย็นในฤดูหนาวนั้น..เป็นดวงตะวันที่สวยงามให้ความเยือกเย็นและอ่อน

    โยน..ยิ่งกว่าฤดูร้อน หรือ ฤดูฝน"........แต่คนกรุงเทพเมืองหลวงของไทย...จะมีผู้ใดบ้างที่โชคดี

    ได้เห็น "ดวงตะวันตกดินทั้งสามฤดู"..นอกจากจ้องมองดวงตะวันไล่ลงผ่านตึกสูงใหญ่ของเมืองหลวง

    ของไทย.....

    ....................เซจีมองดวงตะวันสีแดงที่กำลังตกดิน..นางเริ่มรำพึงรำพันอยู่ในใจอันสงบเยือก

    เย็น..ด้วยสายตานิ่งเฉยไปยังจุดศูนย์กลางของดวงตะวันสีแดงดวงใหญ่...

    ....................สายลมหนาวยังคงพัดพาความเย็น..ตามหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงด้วยความซื่อ

    สัตย์เฉพาะบนดอยแห่งนี้เท่านั้น...ที่ฤดูกาลมาได้ตรงเวลาเสมอ..ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูฝนหรือฤดู

    หนาว...บนดอยมูเซอมีฤดูกาลที่ตรงเสมอ

    ............................"เมื่อไร...คนที่ข้ารอคอยจะกลับมาบนดอยแห่งนี้"




    .....................สายลมหนาวกลุ่มใหญ่พัดกระโชกเข้าใส่นางจนผมปลิวไสวเมื่อต้องลม...เส้นผม

    สบัดไปปัดที่ขนตาของนางจนนางต้องกระพริบตาถึ่ ๆ แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงอาทิตย์

    สีแดง.....



    ..................สายลมหนาวพัดชายป่าทิวเขา ความทรงจำเก่าเก่าเริ่มผุดมา

    ...............สายตาสาวดอยแลจ้องมองหา พร้อมกับกาลเวลาที่เคลื่อนไป

    ..................ใยความจริง..สิ่งที่ใจไม่ปรากฏ ใจรันทดหม่นหมองใจสั่นไหว

    ...............เมือง มีสุข ผู้มาเยือนและจากไป เฝ้าอาลัยครวญหาข้ารอคอย

    ..................เรื่องราวเจ้าอยู่ในความทรงจำข้า ตลอดเวลา.ข้ายึดมั่นใจพร่ำเพ้อ

    ...............ทุกคืนวันเฝ้าคิดถึงอยากพบเจอ เฝ้าละเมอคอยเธออยู่ชั่วนิรันดร์

    ..................แสงสีทองใกล้ลับจากตาไป ดวงฤทัยเริ่มสิ้นแรงไร้สุขสันต์

    ...............สิ้นไปแล้ว..การรอคอยอีกหนึ่งวัน ได้แต่ฝัน..คิดไปอยู่เดียวดาย.....





    ....................นางจ้องมองดูดวงอาทิตย์ลูกใหญ่สีแดง..พลันสายตาของนาง..ก็เห็นปรากฏการณ์

    ประหลาด..นางเห็นเป็น "นกกาเผือกสีขาว..โบยบินมาจากดวงตะวันสีแดงที่กำลังจะลับขอบ

    ฟ้าไป..บินมาไกลลิบมุ่งตรงมายังนาง" เซจีเพ่งตาจ้องไม่กระพริบตา....ภาพนกกาเผือกสีขาวค่อย

    ๆบินมาสู่นาง...แต่แล้วนกนั้นก็อันตราธานหายไป..

    ............................"นกกาเผือก...." เซจีอุทานขึ้นเบา ๆ


    .....................แต่แล้วความคิดของนางก็ย้อนกลับไปที่..ตอนนางลงจากดอยไปสืบหา

    เรื่องราวของเมือง มีสุข.........และนางได้ไปดูภาพวาดของสายพิณที่พิพิธภัณฑ์จังหวัด

    น่าน...นางได้เห็นภาพ ๆหนึ่ง..ตอนที่ "เมือง มีสุข กำลังจะจมน้ำหายไปในแม่น้ำน่าน..และมี

    แสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องขึ้นมาที่ร่างของเขา..ได้มีนกกาเผือกสีขาวตัวหนึ่งที่บินโฉบลงไป

    จิกคาบที่คอเสื้อของเขา..และพยายามกระพือปีกบินขึ้น..เพื่อดึงร่างของเขาขึ้นจากแม่น้ำ..."

    ....................นกกาเผือกสีขาวที่นางเห็นโผบินมาจากดวงตะวันแดง..ช่างเหมือนกับนก

    กาเผือกในภาพวาดที่พิพิธภัณฑ์เหลือเกิน....

    ....................เซจีเริ่มคิดประมวลการเห็นของนาง..หรือว่า "เจ้านกกาเผือกตัวนั้น..กำลังบิน

    มาหานาง...เพื่อส่งข่าวของเมือง มีสุข...ให้นางได้รับรู้"

    ....................นางคิดได้เท่านี้..อาการแย้มยิ้มของนางก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการมองไปที่

    ดวงตะวันนั้น.........

    ....................เซจีนางคิดไม่ผิดหรอก...เพราะเจ้านกกาเผือกตัวนั้น..มันได้กลับมาเกิดเป็นคน...

    และกำลังมุ่งมั่นเพื่อมาหานาง....การได้เห็นภาพปริศนาเช่นนี้..ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะได้เห็น...เซจี

    นางช่างลึกลับเสียจริง...นางเพียงแค่เห็นภาพวาดตอนที่เมือง มีสุขจมน้ำและแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์

    สาดส่องขึ้นมา...แล้วเมืองจมน้ำหายไป...ทุกคนลงความเห็นว่า.."เขาจมน้ำหายไป...แต่นางกลับ

    บอกว่า..เมือง มีสุขหายเข้าไปในแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์นั้น..และไปมีชีวิตอยู่ในอีกมิติหนึ่ง

    ภายใต้แม่น้ำน่านนั้น"


    .....................และครั้งนี้กลับปรากฏภาพของนกกาเผือกบินมาลิบ ๆเพื่อมาสู่นาง.."นางก็คิดได้

    ทันทีว่า..นกกาเผือกตัวนั้นจะต้องมาส่งข่าวเรื่อง เมือง มีสุขแก่นาง"....ทำให้นางรู้สึกสุขใจ

    ....................พฤติการณ์ของนางไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของ กาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกา..ที่

    ซ่อนตัวเฝ้ามองดูอากัปกิริยาของนางอยู่ใกล้ ๆ....ทุกคนต่างสงสัยว่า..ทำไมนางจึงนิ่งเฉย..และดู

    เหมือนเศร้าสลด..ต่อมากลับแย้มยิ้มอย่างไม่น่าเชื่อ..มีอะไรอยู่ในดวงตะวันแดงที่กำลังจะตกดิน

    หรือ.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"น่ากลัวเสียจริง ๆ " กาเผือกเอ่ยขณะลอบมองดูเซจี

    ............................"น่ากลัวอะไรหรือ...พี่ชาย" พวงผกาถามไม่มองหน้าด้วยสาตายังจับจ้องดู

    อาการของเซจี

    ............................"เซจีไง....ปกติผู้หญิงสวยนั้นน่ากลัวอยู่แล้ว..แต่ผู้หญิงสวยที่

    สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ไว..และดูยากเช่นนาง..ดูน่ากลัวมากกว่า" กาเผือกตอบและออก

    ความเห็น

    ............................"อ้าว..ปกติพี่ชายกลัวพี่หญิงสวยหรอกหรือ..เห็นจ้องมองตาไม่กระ

    พริบ" พวงผกาแกล้งแย่เหน็บแนม

    ....................กาเผือกละสายตาจากเซจีหันมามองคนพูด..และเอ่ยขึ้น

    ............................"กลับผู้หญิงสวยบางคน..ไม่น่ากลัวหรอก"

    ............................"ใครหรือ" เธอขอคำตอบ

    ............................"ผู้หญิงที่พูดมาก..ที่อยู่บ้านคุณยายมั่น" เขาหมายถึงเธอ

    ....................พวงผกายิ้มแล้วหันกลับไปมองเซจี..ด้วยสุขใจที่ตนเองไม่ใช่ผู้หญิงน่ากลัว...และ

    เขายอมรับว่าเธอสวย

    ............................"ไม่รู้ว่า..เซจีจะนั่งอยู่ที่ตรงนั้นจนมืดค่ำหรือเปล่า" ไก่ตุ๋นคาดการณ์อย่าง

    สงสัย

    ............................"อาจเป็นไปได้..เพราะดูนางไม่ได้สนใจเรื่องเวลาสักเท่าไร..ดูนางมีอะไร

    อยู่ในใจต้องมากมาย" กาเผือกตอบแบบคาดคะเนด้วยเหตุผล

    ............................"แล้วพวกเราต้องดูนางจนกว่านางจะกลับเข้าบ้านหรือ" ไก่ตุ๋นถาม


    ............................"ถ้าลองเป็นอย่างนี้..อาการของนางยังออกมาไม่หมดหรอกพี่ไกตุ๋น...เรา

    ควรดูว่า กลางวันนางแสดงอาการอย่างไร..และกลางคืนนางแสดงอาการอย่างไร" พวงผกาตอบแทน

    และออกความเห็น

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นหันไปมองพวกผกา..ที่นางพูดถึงว่า..ความปกติของผู้หญิงที่

    อาการของกลางวัน..และอาการของกลางคืน..ไม่เหมือนกัน..ซึ่งเขาไม่เคยสังเกตหรือรับรู้มา

    ก่อนเลย...กาเผือกจึงเอ่ยถามอย่างสนใจด้วยเป็นความรู้ใหม่

    ............................"ปกติของผู้หญิงพฤติการณ์ตอนกลางวันกับตอนกลางคืนไม่เหมือน

    กันอย่างไรหรือ.."

    ....................พวงผกาหัวเราะแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ผู้หญิงตอนกลางวันจะกระวนกระวายเป็นส่วนใหญ่..ด้วยคิดถึงแต่

    เรื่องของตนกับคนที่จะพบปะมากมาย......ส่วนตอนกลางคืนจะค่อนข้างสงบลง..ด้วยคิดมอง

    แต่ตัวเองและอยู่ในโลกของตัวเอง"

    ............................"แล้วคนพูดนี่เป็นด้วยหรือเปล่า" กาเผือกถามย้อน

    ............................"มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุกคนนี่แหละ" เธอยืนยัน

    ............................"แต่..เซจีตอนกลางวัน..นางก็ไม่เห็นกระวนกระวายเลยนะ...ขนาด

    อากาศเริ่มหนาวขนาดนี้..นางยังไม่เห็นแสดงอาการหนาวออกมาเลย" ไก่ตุ๋นเห็นแย้ง

    ............................"แต่ที่นางแสดงอารมณ์หลากหลายออกมานี่แหละ..ใจของนางกำลัง

    กระวนกระวายนะ" พวงผกาก็ยืนยันอาการที่เห็นว่าเป็นแบบเดียวกับที่เธอคิด

    ............................"มันก็น่ามีส่วนถูกตามที่พวงผกาเอ่ยนะ" กาเผือกคล้อยตาม



    .....................อากาศหนาวทวีความแรงขึ้น......พร้อมกลับความมืดเริ่มปกคลุมบนดอย....ความ

    เงียบทำให้เซจีเหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาแว่ว ๆ..แต่นางไม่รู้ทิศทางด้วยไม่ได้สนใจ..

    .....................เซจีลุกขึ้นเดินกลับบ้าน..นางก้มหน้ามองพื้นดินตลอดทางที่กลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกล

    นัก...

    .....................ที่หน้าบ้านของนางยังไม่มีไฟจุด..พร้อมกับในบ้านยังมืดอยู่..แสดงว่านอซันที่ไป

    รอรับพ่อเฒ่าแจแมและแม่เฒ่าไอยาผู้เป็นบิดามารดา.ยังไม่กลับมา..นางจึงเร่งไปจุดไฟภายในบ้าน

    และนอกบ้านจนสว่าง......

    .....................ทั้งสามผู้เฝ้าดูยังคนจับตามองดูเซจีอยู่..และเมื่อเห็นนางเข้าไปในบ้านนานแล้ว...

    พวกเขาจึงสังเกตดูที่บ้านว่า ตำแหน่งไหนของบ้านที่เป็นห้องเก็บศพแม่เฒ่านะจาและภาพวาดของแม่

    เฒ่านะจา..รวมทั้งลูกธนูที่ปักอยู่บนร่างเหยี่ยวตัวนั้น...เพื่อบางทีการคิดลักลอบไปแอบดูอาจมีทางเป็น

    ไปได้...

    ......................ในคืนนั้นพ่อเฒ่าแจแมและแม่เฒ่าไอยา..ยังไม่กลับบ้าน..นอซันจึงกลับมาบ้าน

    เพียงคนเดียว...และเห็นเซจีนั่งมองเขาอยู่ด้วยอาการแย้มยิ้ม..เซจีได้เอ่ยกับนอซันทันทีที่มาใกล้ตัว...

    ..........................."นอซัน..จะมีนกกาเผือกโผบินจากดวงตะวันแดงมาบอกเรื่องราวของ

    เมือง มีสุขให้ข้ารู้"

    ....................นอซันสะดุ้งเล็กน้อย..ที่คำว่า"กาเผือก"..มันตรงกับชื่อของชายจากใน

    เมืองคนหนึ่งที่มาพบกับเขาเมื่อตอนกลางวัน...และเป็นคนที่มาบอกเล่าเรื่องราวของเมือง มี

    สุขแก่เขา...เขารู้สักแปลกใจ...แต่ที่พี่สาวของเขาเอ่ยมันคือ "นก" ..แต่พฤติการณ์ที่นำ

    ความมาบอกคล้ายกัน....

    ............................"เซจี..นกไม่สามารถพูดภาษาคนได้..มันบอกอะไรเราไม่ได้หรอก"

    นอซันพูดเตือนเพราะรู้ว่าพี่สาวของตนผิดปกติ

    ....................เซจียิ้มด้วยอารมณ์เบิกบาน..แล้วจึงพูดต่อ

    ............................"นกตัวนั้น..คือนกที่อยู่ในภาพวาดที่พิพิธภัณฑ์..มันสื่อภาษากับ

    เมือง มีสุขได้...มันบินตามขวดแก้วทรงมะม่วงไป..และมันจะนำมาให้ข้าดู"

    .....................เซจีคิดอะไรภายในใจ..นางพูดคาดเดาโดยประมวลเหตุการณ์ในภาพวาดที่

    พิพิธภัณฑ์..และเมื่อนางเห็นนกที่โบยบินมาจากดวงตะวัน...นางก็ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นใน

    ทันที....

    .....................เซจีถามนอซันต่อ

    ............................"เจ้าพบคนแปลกหน้า...มาที่เผ่าของเราบ้างไหม"

    .....................คำถามของเซจีทำให้นอซันกังวล..เขาจึงตอบปฏิเสธไป

    ............................"ไม่มีคนแปลกหน้ามาที่เผ่าของเราหรอกเซจี..ข้าเหนื่อยแล้ว..พ่อกับ

    แม่ยังไม่กลับมา....ข้าขอไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน"

    .....................นอซันบ่ายเบี่ยงและหลบไป..ด้วยเกรงว่าพี่สาวจะถามอะไรอีกจนตนตอบคำถาม

    ผิดพลาดไป..อันทำให้เดือดร้อนไปถึงกาเผือกกับพวก.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...