ขอทราบวิธีบําเพ็ญปัญญบารมี เอาทางโลกและทางธรรมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 29 เมษายน 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมฟังทศชาติ พระมโหสถ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเทศน์สอน พระมโหสถ ตอนแรกอายุ7ขวบ ฉลาดมาก มีปัญญามาก แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แล้วพอตอนเป็นหนุ่มจะหาภรรยา แล้วภรรยา ใช้ปัญญา มีแต่ปัญญา ฉลาดจริงๆ ผมอยากจะฉลาดแบบนั้นบ้าง แต่คงยาก เพราะชาตพระมโหสถ คือชาติที่ใกล้จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บารมีอาจจะ30ทัศเลยก็ได้ ใกล้จะเต็มแล้ว
    ผมฟังไปฟังมา ผมเชื่อนะ เพราะว่า ในโลกนี้ยังมีคนจีนอายุไม่ถึง 15 เรียนถึงมหาลัยแล้ว พูดได้หลายภาษา

    ผมเลยอยากถามว่า วิธีบําเพ็ญปัญญาบารมีทําไงครับ

    เอาด้านโลกก่อนคือ ความจํา สัญญานั่นแหละ และอีกอันใช้สมอง ใช้ปัญญา คิดหาอุบายไรพวกนี้ หาเหตุหาผล ไรพวกนี้ ทําไงให้เก่งๆๆ

    แล้วปัญญาทางธรรม ทําไงครับที่ผมรู้คือ ต้องเห็นว่าในโลกนี้มีแต่อนินจัง ทุกขัง อนัตตา
     
  2. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    เดี๋ยวคงมี หลายท่าน เข้ามาตอบ
    ล้วนเป็นประโยชน์ ทั้งสิ้น
    หากเรา มีจุดยืน ชัดเจน
    และ พึ่งตนเอง
    จ้า

    จากประสบการณ์ตน
    การเจริญปัญญา
    ไม่ว่าทางโลก
    หรือทางธรรม
    มีความจำเป็น
    ต้องอาศัย อินทรีย์อื่น
    เป็นฐาน ด้วย

    ในที่นี้ ขอกล่าวถึง
    ในลักษณะของ "ศีล และ "สมาธิ"
    ว่าเป็นพื้นฐาน ของ "ปัญญา"

    "ศีล" ในที่นี้
    คือความสามารถ
    ในการดำรงอยู่
    ท่ามกลางปัญหา
    ที่ตนกำลังพิจารณา
    ด้วยตนเอง
    อย่างปกติ
    จนได้รับคำตอบ
    ที่ตนยอมรับ
    ไม่วอกแวก
    ไปเรื่องอื่น
    จนกว่าจะพิจารณาเสร็จ

    "สมาธิ" ในที่นี้
    คือความหนักแน่น
    ไม่หวั่นไหว
    ต่อความระคายเคือง
    ที่เกิดขึ้นในใจ
    ตลอดระยะเวลา
    ที่กำลังพิจารณาปัญหานั้นๆ

    สองอย่างนี้
    เป็น ฐาน
    ของปัญญาบารมี

    ส่วนสิ่งที่ใช้ปั้น ฐาน
    มีมากมาย
    ในที่นี้ ขอกล่าวถึง "สติ"
    ว่าเป็นช่างปั้นฐานฝีมือดี

    ปัญญา
    ไม่ว่าจะเป็น
    ทางโลก
    หรือ ทางธรรม
    เมื่อเจริญมากแล้ว
    ย่อมเข้าถึง
    อริยสัจสี่ได้

    สำหรับ sun dog แล้ว
    ปัญญา
    ก็คือ ปัญญา
    ตนแบ่งแยกไม่เป็น
    ว่าอันไหน ทางโลก
    อันไหน ทางธรรม
    จ้า
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ทำไมไม่ไปหาฟังเรื่องพระธรรมเทศนาหมวด บารมี ๑๐ โดยหลวงพ่อท่านหละครับ....ท่านมีเบ็ดเสร็จละเอียดแล้ว.....
     
  4. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับ

    เคยฟังครับ ตอนปัญญาบารมีที่จําได้ปัญญานี่เวลาให้ทาน จะเห็นว่าให้เพื่อละความโลภ กับอีกหลายอย่าง ผมจําไม่ได้
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647

    [​IMG]


    ปัญญาบารมี

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาปรารภกับท่านพุทธบริษัทถึงบารมีที่ ๔ ความจริงบารมี ๑๐ นี้ อาตมาจะไม่พูดเป็นตอนถึง ๑๐ ตอน เพราะว่าเสียเวลาเปล่า เพราะบารมีแต่ละบารมีเมื่อปฏิบัติแล้วก็ควบกันอยู่เสมอไป ก็สร้างความเข้าใจให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่แล้ว แต่ยามนี้เป็นยามเช้ามืด ก็อย่าลืมว่าพระโยคาวจรทั้งหลาย จงอย่าทำตนเป็นคนนอนตื่นสาย เช้ามืดไม่ตื่นหากว่าท่านไม่ตื่นนอนตอนเช้ามืด หรือว่าตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาแล้วไม่ทำกิจให้สมควรแก่สมณวิสัย ก็เห็นจะตอบแก่ท่านได้ว่า “ท่านไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา” แล้วก็จะเป็นสาวกของใครก็เป็นเรื่องของท่าน พอพูดเรื่องพระโสดาบันมาแล้วก็รู้สึกว่าจะยากเกินไป สำหรับบางท่าน แต่หากว่าท่านมีบารมีทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วน เต็มบริบูรณ์ถึงปรมัตถบารมี เรื่องพระโสดาบันท่านก็จะเห็นว่าเล็กเกินไป ไม่ใช่วิสัยของท่านทั้งหลายจะคิดว่ายาก

    วันนี้เราก็มาพูดกันถึง ปัญญาบารมี บารมีที่ ๔ ดีหรือไม่ดีก็อาจจะยกเลิกกันไปเสียเลยเรื่องบารมี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถ้าถึง ปัญญาบารมี แล้ว ก็ควรจะจบกันได้ เพราะปัญญาบารมีเป็นปัญญาครอบจักรวาล ถ้าเรามีปัญญาเสียอย่างเดียว อย่างอื่นใดทั้งหมดไม่ต้องมีก็ได้เพราะว่าปัญญานี้ เหมือนกับรอยเท้าช้าง รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายในป่าเมื่อเหยียบลงไปก็เล็กกว่ารอยเท้าช้างทั้งหมดฉะนั้นในมรรค ๘ องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงเอา “สัมมาทิฎฐิ” คือปัญญา เป็นที่ตั้งอยู่ตัวหน้า

    การที่เราจะรักษาศีลได้ จะมีสมาธิได้ จะให้ทานได้ จะทรงเนกขัมมะบารมี วิระยะบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่ปัญญาตัวเดียว เพราะอาศัยที่ เรามีปัญญาเท่านั้นเราจึงทรงได้ ถ้าเราไม่มีปัญญาเราก็ทรงไม่ได้ ฉะนั้น เรื่องบารมีเราจบกันตรงนี้ดีไหม จะได้ไม่ยืดยาดเกินไป จบหรือไม่จบต้องดูเวลาก่อน ปัญญาตัวนี้ก็ต้องจัดว่าเป็นปัญญาตัวสำคัญ แยกไว้เป็น ๒ ปัญญาด้วยกัน คือ
    ๑. ปัญญาที่เป็นโลกีย์
    ๒. ปัญญาที่เป็นโลกุตระ
    ปัญญาที่เป็นโลกย์ ก็คือรู้จักตัวรอดเป็นยอดดี แต่เรื่องการทำมาหากิจอาตมาจะไม่พูด จะพูดแต่เฉพาะการปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดจาดอบายภูมิก่อนคนที่เขามีปัญญาจริง ๆ เขาจะมองเห็นว่าการให้ทานเป็นของดีและการให้ทานเป็นการผูกมิตร ดึงกำลังจิตของคนให้เข้ามาเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน ดีกว่าการทำลาย คนที่ให้ทานไว้เสมอนี้ไปที่ไหนย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับทานเว้นไว้แต่คนที่มีสันดานเยี่ยง เทวทัต เท่านั้น ก็มีอยู่ในโลกนี้ไม่น้อยเหมือนกันซึ่งคนประเภทนี้มีแต่ความอกตัญญู ไม่รู้คุณคน เราก็ต้องใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงเสีย ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาเราจะยกยอดขึ้นมาว่ากฎของกรรม เพราะเราโง่อยากเกิดมาในโลกเพราะคำว่า “โลก” แปลว่า มีอันจะต้องฉิบหายไป ไม่มีอะไรเป็นการทรงตัว เอาแน่นอนกันไม่ได้ทีนี้ คนที่มีปัญญาจริง ๆ จึงได้คิดว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณก็ช่างเรามีความสบายใจเพราะการให้ทานก็แล้วกัน อย่างนี้เรียกว่าปัญญาเอาตัวรอด เรียกว่า รู้ตัวรอดเป็นยอดดีและคนที่มีปัญญาก็ทราบด้วยว่า “ศีลเป็นของดี” เพราะปกติเรามีความต้องการความสุขในด้านที่ไม่ต้องการให้...
    ๑. ใครมาทำร้ายเรา
    ๒. ใครมาลักขโมย มายื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเรา
    ๓. ใครมายื้อแย่งความรักเรา
    ๔. ใครมาโกหกมดเท็จเรา
    ๕. และเราไม่ต้องการความเป็นบ้า
    ถ้าเราทรงศีลไว้ได้ เราก็จะพ้นจากเหตุทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ หรือคนทั้งหมดรักษาได้ทุกคนก็มีความสุขและตัวปัญญาก็มองเห็นว่า ถ้าเราคุมศีลบริสุทธิ์แล้วอบายภูมิเราไม่ไป ตายแล้วเรามีความสุข อันนี้เรียกว่า ปัญญาขั้นรักษาตัวรอดเป็นยอดดีมาในเนกขัมมะ….บารมีคือการระงับนิวรณ์ ๕ คือยังไม่ตัด ทั้งนี้ก็เพื่อทำจิตใจของเราให้มีความสุข ทำอารมณ์จิตให้เยือกเย็นพอจิตมีความสุข จิตมีมีความเยือกเย็นก็เป็นที่พอใจของเรา คนมีปัญญาจึงจะทรงเนกขัมมะบารมีได้เห็นว่าเนกขัมมะบารมีเป็นของดี ส่วนวิริยะบารมีนั้น ….. ปัญญาก็มองเห็นว่าจิตใจของเรามันทรามอยู่เป็นปกติ เราก็ต้องฝืนอารมณ์ข่มจิต ใช้ความพากเพียรถ้าจิตมันจะไหลลงต่ำ เราก็ดันขึ้นมาสูง จิตจะเข้าหาความชั่วเราก็พยายามดันเข้าหาความดี ซึ่งต้องมีความเพียรปัญญาเห็นว่าความเพียรในการที่กั้นจิตไม่ให้ไปสู่ความชั่ว ให้ทรงตัวไว้ในความดีเป็นของดี จึงทรงวิริยะบารมีไว้เป็นปกติ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณากรรมที่เราทำทำด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันก็เหมือนกันใช้ปัญญาพิจารณาก่อนแล้วจึงทำว่ามันดีหรือมันชั่ว มีปัญญาตัวเดียวมันก็พอแล้ว เขาเรียกว่าบารมีครอบจักรวาลสำหรับด้านขันติ….คือความอดทนต่ออารมณ์ที่เราไม่พอใจ จะเป็นความทุกข์หรือความกระทบกระเทือนเกิดทางกายหรือทางใจก็ช่าง เราทรงขันติดความอดทนไว้ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า“ถ้าเราอดทนไว้ไม่ปล่อยให้จิตใจมันไหลไปสู่ความชั่ว ไม่มัวเมาในขันธ์ ๕ มากเกินไป องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าท่านผู้นั้นมีสุขทั้งในชาติปัจจุบัน และสัมปรายภพ” ปัญญาก็จะมองเห็นได้ชัดว่า “ถ้าเขาด่าเรามา เราก็ด่าเขาไป เรื่องการด่ามันไม่จบ ถ้าเขาด่าเรามา เรานิ่งเสียการด่ามันก็จบเพราะคนด่ามันเหนื่อยไปเอง” นี่ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เมื่อมีปัญญาแล้วด้านสัจจะบารมี….ก็ครบถ้วนเต็มกำลังใจเพราะเราเป็นคนฉลาดใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้วว่าสิ่งใดมันดี สิ่งใดมันชั่วอะไรก็ตามที่เป็นเหตุของความชั่ว เราตั้งใจไว้แล้ว คือมีสัจจะ เราจะทรงความจริงไว้ว่า ความชั่วเราจะไม่ให้มายุ่งกับใจเรา ก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าอะไรมันเป็นจุดหมายของความชั่วหรือความดี เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นของดีแน่ เราก็ตั้งใจ ตั้งสัจจะว่าเราจะไม่ยอมละความดีตรงนี้เป็นสัจธรรม จะทรงทาน ทรงศีล ทรงเนกขัมมะเข้าไว้มันเป็นผลของความสุข แล้วก็มีความจริงไว้เท่านี้อันนี้อาศัยปัญญาเท่านั้นเป็นตัวควบคุม

    แล้วมาอธิษฐานบารมี…..คือเราตั้งใจไว้แล้วว่า เราจะไม่ยอมทำจิตใจของเราให้เข้าไปสู่ความชั่วเราจะไม่ยอมให้จิตของเราคลาดเคลื่อนไปจากหลักของจิตที่เราปักเข้าไว้ เราปักไว้ตรงไหน คือปักไว้ว่า
    ๑. เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
    ๒. เราจะให้ท่านเป็นปกติ
    ๓. เราจะมีเมตตาอยู่เสมอ
    ๔. เราจะไม่มัวเมา หรือไม่ยอมเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการในด้านเนกขัมมะบารมี อารมณ์ตัวนี้ปักไว้ให้ตรง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเหมือนกับหลักที่ปักแน่นแล้ว อย่างนี้ก็ชื่อว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แต่ต้องอาศัยปัญญาเข้าควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีได้ก็เพราะปัญญาเข้าคุม

    มาถึงตัวเมตตา …
    ถ้าหากว่าเราขาดปัญญาเสียตัวเดียว เมตตาก็ทรงอยู่ไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการที่เราเมตตาในเขา แต่บางทีหรือว่าหลาย ๆ คราว อาจจะมีเป็นจำนวนมากที่เราไปพบกับคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณคนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นปัจจัยของความดีหรือความชั่วเมตตาแล้วเขากลับอกตัญญูสนองตอบด้วยความโหดร้าย แต่ทว่าอาศัยคนที่มีปัญญาเท่านั้น จะถือว่ามันเป็นโลกธรรม “นินทา ปสังสา” ความสุข ความทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกที่เราต้องมาเกิดต้องมากระทบกระทั่ง พบกับคนที่หาความดีไม่ได้ ไม่รู้จักคุณคน ทำความดีให้แต่มองไม่เห็นความดี ก็เพราะอาศัยเราโง่คนที่มีปัญญาเขาไม่โทษคนอื่น เขาโทษตัวเอง ก็เพราะอาศัยเราโง่มาในชาติก่อน ในกาลก่อนเราไม่ทรงความดีเข้าไว้ เราไม่แสวงหาความฉลาด เราจึงได้ตกมาเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ต้องกลับมาเกิดใหม่ นี่คนที่มีปัญญาเขาคิดอย่างนี้แทนที่จะไปเจ็บในคนที่สร้างความไม่ดี เป็นอกตัญญูไม่รู้คุณคน มีจิตประกอบไปด้วยอกุศลแทนที่ เขาจะคิดอย่างนั้นแต่เขาไม่คิด คนที่มีปัญญาน่ะไม่คิด แต่มาโทษตัวเองว่าเราโง่เกินไป ถ้าเราฉลาดเราเชื่อคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เราไปนิพพานเสียแล้ว มันจะมีอะไรล่ะ มันก็ไม่มีอะไรอีก

    สำหรับด้าน อุเบกขาบารมี นี่ใช้ปัญญาเข้าควบคุม คุมจิตใจของเรานี้ให้เฉยเข้าไว้อะไรที่มันเกิดขึ้นที่ผิดธรรมผิดวินัยแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์ จิตใจจะหาความสุขไม่ได้ ถ้าเราไปเกาะเราใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า “เราอยู่ในโลก ถ้าเราหมุนไปตามนั้นเราไม่วางเฉยเสีย ไม่ยอมทรงตัวเฉยเข้าไว้ จิตใจก็จะประกอบไปด้วยอกุศล”การที่เราต้องการปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพล คือ เราต้องการเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ มันจะเป็นได้อย่างไรและเมื่อมีอะไรที่ไม่ชอบใจและไม่ถูกใจก็ถือว่าช่างเถอะตามเดิม วางเฉยเข้าไว้ นี้ปัญญาที่ใช้แบบนี้เป็นปัญญาที่รู้จักตัวรอดเป็นยอดดี ยังไม่พ้นอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมคราวนี้เรามาใช้ปัญญาเบื้องสูงกันเพราะเป็นตัวจบ พูดกันง่าย ๆ หรือจบบารมีกันเลยก็ดี จะได้ไม่พูดกันเลอะเทอะไป มาจบบารมีกันเลยแล้วทานบารมีเราใช้ในด้านไหนการที่เราจะให้ทานถ้าเรามีปัญญา ปัญญาของเราเต็ม เราก็คิดอย่างเดียวแต่ไม่ใช่ว่าเราจะสงเคราะห์คนอื่น การให้ทานเราสงเคราะห์ตัวเราเอง สงเคราะห์ตรงไหนล่ะสงเคราะห์ตรงที่เราให้ท่านแล้วเราตัดโลภะ ความโลภ เพราะความโลภมันเป็นรากเหง้าของกิเลส ถ้าเราเป็นทาสของความโลภ เราก็ต้องเกิดมามีทุกข์ ถ้าให้ไปแล้วคนเขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณก็ช่างเขา เขาจะเห็นว่าเราดีหรือเราชั่วไม่สำคัญ เราให้เพื่อทำลายความชั่วที่มันจมอยู่ในสันดานของเราให้หมดไป คือความโลภ หรือมัจฉริยะความตระหนี่แน่นเหนียว เมื่อความโลภไม่มีเสียตัวเดียว ความเบาใจมันก็เกิด ลอยตัวได้แล้ว เราเป็นคนใกล้พระนิพพานเข้าเต็มที นี้ปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้แล้วตอนที่เรามารักษาศีล เรารักษาศีลเพื่ออะไรกัน การรักษาศีลนั้นเพื่อที่จะให้เราได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะเป็นบันไดขั้นที่ ๒ ที่เรานำมาเพื่อระงับโทสะ กับพยาบาทนี่ทำลายอารมณ์ชั่ว ความวุ่นวายของใจ ความเร่าร้อนของใจ ความโหดร้ายของใจ การรักษาศีลนี้เราไม่ได้รักษาเพื่อความโลภ หรือเพื่อให้ใครเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาสรรเสริญใครจะบูชา ใครจะสรรเสริญเราหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เรารักษาศีลนี้เราต้องการอย่างเดียวคือ แซะรากฐานของโลภะให้พินาศไป
    เรายังขุดรากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตัดต้นโค่นต้นลงมาเสียให้ได้ ให้เหลือแต่ตอ ต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาในด้านวิปัสสนาคือละขันธ์ ๕ เสียให้หมดเป็นอันว่า ความโลภความโกรธ มันก็จะสิ้นรากเหง้าสิ้นโคนไป นี้ใช้ปัญญาตัวนี้เข้ามาเพื่อรักษาศีล

    ต้องคุมศีลให้บริสุทธิ์ คือ
    ๑.ไม่ทำเอง
    ๒.ไม่ใช้คนอื่นเขาทำลาย
    ๓.ไม่ยินดีเมือคนอื่นเขาทำลายแล้ว
    นี่ใช้ปัญญาพิจารณาตัวเดียวมาตอนเนกขัมมะบารมี ตอนถือบวชเป็นตัวตัดกาม คือ กามฉันทะ เราระงับไว้ด้วยอำนาจของอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติ กดคอมันเข้าไว้และก็ห้ำหั่นมันด้วยอำนาจของปัญญาพิจารณาว่ากามคุณ ๕ มีกายเป็นตัวนำ เราพอใจในกาย แล้วพิจารณาดูในกายว่ามันสกปรกแล้วเอามันไว้ทำไม
    นอกจากสกปรกแล้วมันยังทำลายจิตใจของเราด้วย มันก็ไม่ช่วยให้เรามีความสุข เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ โยนทิ้งมันไปเสียเลยขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ แบบนี้
    จะไม่มีสำหรับเราต่อไป เลิกคบกันไป เลิกติดใจในกาย ไม่ว่ากายของใครทั้งหมดเนกขัมมะบารมี ที่เขาใช้กันด้วยอำนาจของปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้ นี่มันเป็นของไม่ยาก ทำใจให้มันเต็มคำว่าเต็ม อย่าให้มันพร่อง อย่าให้จิตอื่นมันเข้ามายุ่ง อารมณ์อื่นมันเข้ามายุ่ง ทำอารมณ์ให้มันเต็ม ให้มันเป็นปกติ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา การเป็นอรหันต์เป็นของไม่ยาก

    ทีนี้ตัวปัญญาไม่ต้องมาพูดกัน มาไล่เบี้ยอย่างอื่นกันต่อไป เอาปัญญาเข้ามาในวิริยะความเพียรอีกตอนนี้เพียรตอนไหน เพียรตอน ตัดสังขโยชน์ ๑๐ ประการให้พินาศไป ใช้สักยาทิฏฐิตัวเดียว เข้าประหัตประหารพิจารณาว่า “อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา”ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา” ในเมื่อมันไม่เป็นเรา มันไม่เป็นของเราเสียอย่างเดียว อย่างอื่นทั้งหลายในโลกจะมีอะไรเป็นของเราอีก ต้องใช้ความเพียรคือ วิริยะ เอาความเพียรเข้ามาจับ ใช้ความเพียรให้มีประโยชน์ อย่าเอาความเพียรไปประกอบสิ่งที่เป็นโทษเข้ามายุ่ง อันนี้เป็นตัวปัญญาที่เป็นปรมัตถบารมี จับความเพียรตัวนี้เข้ามา ยึดสังโยชน์เป็นสำคัญ ทำลายให้พินาศไป โยนร่างกายคือขันธ์ ๕ ทิ้งเสียได้แล้วอย่างอื่นไม่เหลือ หาความเหลือไม่ได้ความเป็นอรหันต์ปรากฏกันตอนนี้ จะไปคุยกันทำไมเรื่องพระโสดาบัน มันเป็นของง่าย ๆ ของเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ง่ายเกินไปถ้าเราใช้ปัญญาในด้านขันติบารมีความอดทนอดใจ เราก็อดทนเข้าไว้ว่าอารมณ์อันใดที่มันเป็นอุปกิเลสกิเลศเล็กก็ดี กิเลศใหญ่ก็ดีเรื่องความไม่ดีที่มันจะเข้ามา ก็ยับยั้งด้วยอำนาจขันติบารมีวิริยะบารมี หาทางวิ่งหนี แต่บังเอิญถ้ามันจะโกรธทัน ยันมันเข้าไว้ไม่ยอมให้มันเข้ามายุ่งในใจอดทนอดกลั้นไว้ ไม่ยอมหวั่นไหวไปตามอำนาจของกิเลส มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นยันมันด้วยอำนาจของขันติมันจะเข้าประตูเฉย ถ้าไม่เปิดยอมรับมัน ในเมื่อเราไม่เปิดประตูยอมรับมัน มันจะมาได้อย่างไร มันจะเข้าได้รึ มันก็เดินวนมาวนไป วนไปวนมา เข้าไม่ได้มันก็กลับไปเอง นี้ปัญญาต้องใช้ความเฉียบขาด คือว่าถ้าเราทรงความอดทนไม่ได้ เราตายเสียดีกว่า เป็นปัญญาตัวสุดท้ายบารมียกยอดเพียงแค่นี้ มาด้านสัจจะบารมี ความจริงใจ ใช้ปัญญาควบคุมความจริงเข้าไว้ เราเลือกไว้แล้วในสิ่งนี้ว่ามันเป็นของดีหรือของเลว เราเลือกเอาของดีเข้าไว้ ทรงแต่ความจริงว่า เราจะค้นคว้าหาแต่ความดีเท่านั้น ทำลาย สักกยาทิฏฐิ คือร่างกายให้พินาศไปโดยตัดว่า “ร่างกายเป็นที่ไม่พอใจของเรา ความโลภมันก็ไม่มี ความโกรธมันก็ไม่มี ความหลงหมันก็ไม่มี” ไอ้ตัวที่หลงใหญ่นั้นคือหลงกายว่าเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เลยหลงตัวอื่นต่อไป นี่เราทรงสัจจะเข้าไว้ว่าเราจะจริง เราจะทำลายกิเลสทั้ง ๓ ประการ ให้พินาศไปด้วยอำนาจของอริยสัจ

    ทีนี้มาอธิษฐานบารมี
    เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน อย่างอื่นไม่ไปใครจะมายกยอปอปั้นอย่างไรเราไม่เอา เพราะว่าเราเป็นสาวกของสมเด็จพระจอมไตร พระผู้มีพระภาพเจ้า พระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเรา ท่านเป็นกษัตริย์ และก็มีทรัพย์สมบัติมาก มีปัญญาทุกอย่าง ทุกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ พระองค์ยังไม่หลง ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็ไปจริง ๆ ในเมื่อเราเป็นพุทธบริษัทชายหญิงของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ทิ้งอย่างอื่นได้ เราก็ทิ้งได้ เราจะเก็บมันไว้ทำไมเราก็ตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน ใครจะชวนไปทางไหน ฉันไม่ยอมไป ไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น ตั้งใจไว้โดยเฉพาะทำอะไรนิด ทำอะไรหน่อย เราทำเพื่อพระนิพพาน
    นี้คนที่มีปัญญาเขาใช้อย่างนี้ ปัญญาเป็นบารมีครอบจักรวาลนี้บอกแล้ว แต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า จงมีเมตตาเป็นปกติเมตตา นี้เป็นตัวยืนสำคัญ เลี้ยงทั้งทาน เลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งวิปัสสนาญาณเพราะเมตตาเป็นอาการที่สร้างอารมณ์ใจให้เยือกเย็น ไม่มีกังวล ในอย่างอื่น มีจิตคิดอย่างเดียวคือ สงเคราะห์คนอื่น รักคนอื่น สงสารคนอื่น เกรงว่าเขาจะมีทุกข์เราไม่ต้องการยัดเยียดความทุกข์ให้แก่บุคคลอื่น ต้องการอย่างเดียวคือยัดเยียดความสุขให้แก่เขา ด้วยอำนาจของเมตตา แล้วก็ใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาว่า “เมตตานี้เราไม่ได้ติดในเขา เราสงเคราะห์ให้เขาข้ามฟาก คือพ้นจากบ่วงทุกข์ไปด้วยชั่วขณะ หรือจะตลอดกาลก็ตามใจ เป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปผูกพัน ช่วยแล้วเขาปฏิบัติได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของเขา อันนี้เป็นของไม่ยาก” ถ้ามีปัญญาเข้ามาพิจารณาแล้ว เมตตามันก็ไม่สลายตัว มันทรงตัว มันเต็ม มันอิ่มบริบูรณ์ ใช้ปัญญาตัวเดียวสำหรับอุเบกขาบารมีตัวนี้เป็นขั้นสูงอุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย ต้องใช้เป็น “สังขารุเปกขาญาณ” คือวางเฉยในสังขารคือร่างกาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างของมัน โลกทั้งโลกทรัพย์สินทั้งหลาย มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ร่างกายมันป่วย ร่างกายมันทุกขเวทนาสาหัสเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ จะไปแยแสอะไรกับมัน ช่างมัน มันอยากป่วยเชิญมันป่วยไป มันอยากตาย เชิญมันตายไป ตัดตัวนี้ได้ มันก็มีความสุข เราเฉยเข้าไว้ เพราะเรารู้แล้วว่า อัตภาพร่างกายคือขันธ์ ๕ นี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ปัญญาเขาใช้อย่างนี้นะ ถ้าเราใช้กันให้ถูกเสียอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรที่มันจะไม่ถูก เมื่อใช้ถูกแล้วมันก็มีความสุข ความสุขมันมีตรงไหน อันนี้จะอธิบายให้ฟัง

    ตัวอย่างเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครู พระองค์ทรงทราบชัดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ คือ พระอัสสชิ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สมัยแรกกำลังป่วยไข้ไม่สบาย ในเวลาเดียวกันนั่นเอง องค์สมเด็จพระจอมไตรประทับอยู่มีพระเข้ามากราบทูลว่า
    “พระอัสสชิ เวลานี้ป่วยหนัก มีทุกขเวทนามาก
    พระอัสสชิของร้องให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปโปรด”
    พระพุทธเจ้าเสด็จไป และเมื่อเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จถึงแล้ว
    พระอัสสชิก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้ามีแล้วนี้ เข้าใจว่าจะสิ้นความดีเสียแล้ว”
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วถามว่า “มันเป็นอย่างไรอัสสชิ”
    พระอัสสชิทูลตอบว่า “เวลานี้ทุกขเวทนามันครอบงำข้าพระพุทธเจ้าจัด”
    องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงได้ทรงถามว่า “อัสสชิ เธอระงับกาย สังขารไม่อยู่รึ”
    พระอัสสชิตอบว่า “ไม่อยู่พระเจ้าค่ะ”
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเธอรึ”
    พระอัสสชิ ก็กราบทูลว่า “ไมใช่พระเจ้าค่ะ”
    พระพุทธองค์ก็ตรัสถามอีกว่า “เธอเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นของเธอ”
    พระอัสสชิก็กราบทูลว่า “ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ”

    ความจริงก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพระอัสสชิกราบทูลว่า “ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้ามีไว้คลจะสลายตัวเสียแล้ว”องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ตรัสถามแบบนั้นเพื่อพระอัสสชิทูลตององค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาว่า “อัสสชิ ความดีของเธอยังไม่สิ้นไป ความดีของเธอยังทรงอยู่เธอยังรักษาความดีไว้ได้เป็นปกติ ความดีใด ๆ ที่เธอเคยได้จากคำสอนของตถาคตไว้ สิ่งนั้นยังครบถ้วนบริบูรณ์” เพราะเธอยังมีความเห็นว่า อัตภาพร่างกายคือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่ของเธอ เธอไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเธอ ฉะนั้น ความดีข้อนี้ยังปรากฏ ตัวนี้เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือ มีญาณเป็นเครื่องวางเฉยในสังขารคือขันธ์ ๕ ได้แก่ ร่างกาย ที่เราเรียกกันว่า อุเบกขาบารมี ถ้าเราทรงได้เพียงนี้ ขึ้นชื่อว่าความดีของท่านทั้งหลายจะไม่หมดไป ทั้งนี้เพราะว่าท่านทั้งหลาย ยังทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายมีปัญญาครบถ้วน เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ คือว่ามีปัญญาเต็ม มีบารมีในด้านนี้เต็ม ถ้าปัญญาบารมีเต็มซะบารมีเดียว บารมีอื่นก็เต็มไปด้วย ช่วยให้เราทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุข กล่าวคือ เข้าถึงอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้าถึงพระนิพพาน เอาละท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอควาสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน

    และจงทราบว่า บารมี ๑๐ ประการ ที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวมาแล้วฉันใด อาตมาพูดจบแล้วในด้านปัญญาบารมี ก็ขอยุติเรื่องบารมีไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี.

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  6. guuuruuu

    guuuruuu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +158
    ถ้าท่านปาราถนาจะบรรลุพระโพธิญาณแล้วไซร้
    ท่านจงบำเพ็ญปัญญาบารมีเถิด
    อันว่าภิกษุเที่ยวบิณฑบาต มิได้เลือกว่าจะเป็นตะกูลชั้นต่ำ ปานกลาง หรือชั้นสูง ย่อมได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปฉันใด
    ท่านจงสอบถามบัณฑิต เรียนรู้กับคนมีปัญญา โดยไม่เลือกเว้นตลอดกาลทั้งปวง
    เมื่อถึงฝั่งแห่งปัญญาบารมีแล้ว จักบรรลุพระโพธิญาณได้ฉันนั้น
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ให้หมั่นทำสมาธิ จนถึงความสงบให้เป็น
    หมั่นเจริญสติ ระลึกการกระทำ ให้อยู่กับเนื้อกับตัว ทำอะไรให้ไตร่ตรอง ดูโทษ ดูประโยชน์ ฝึกให้เป็นสันดานให้ได้
    แล้วหมั่น อดทน มีความเพียร ศึกษาหาความรู้ คิดอ่าน ไตร่ตรอง
    หมั่นสดับฟัง คำสอน ราชบัณฑิต นักปราชญ์
    สุรา ยาเมา อย่าไปเอา ตัวนี้ตัวทำให้เกิดโรคมาก ทำให้ปัญญาเสื่อม
    กาลมสูตร ให้มี
    ให้ธรรมทานแก่ผู้อื่น ตรวจทาน สอบทานนั้น ว่าดีไม่ดี บกพร่องอย่างไร

    บารมีคือการฝึกตน หลอมด้วยกาลเวลาจน จิตนั้น มีอำนาจ มีพลัง มีความสามารถ ในทางที่เราฝึก ดังนั้น ให้เริ่มฝึกตนตามที่บอกไป จะมีบารมีแก่กล้าเอง
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่ต้องไปเขว ตามพวกที่ไม่รู้เรื่อง !

    ไปหาพุทธวัจนะเอานะ มี ตรัสชี้ไว้ชัดเจน ว่า พระพุทธองค์มีปัญญา ปฏิภาณ
    ไหวพริบ อิทธวิธี ได้จากอะไร ...ภิกษุก็ถามพระพุทธองค์แบบนี้

    พระพุทธองค์ตอบง่ายๆ เพียงแค่คำเดียว คือ "อานาปานสติ"
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อีกอย่าง อย่าไปเข้าใจผิดว่า เรื่อง บารมี จะกลายเป็นเรื่องเที่ยง

    หากทำอานาปานสติอยู่ตลอดเวลา จะเห็นเลยว่า บารมี เองก้ไม่เที่ยง

    ปัญญาบารมีก็ไม่เที่ยง ถ้าเที่ยง ก็คงเอาแต่คิด ลืมหายใจ ตายกันพอดี

    คนเรามักจะลืม เวลาคิด ยามที่คิด มันก็ต้อง หายใจ ดังนั้น ไม่มีอะไร
    เที่ยง มีแต่สิ่งเกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยง เนี่ยะ ปัญญาอันยิ่งอันได้จากการ
    ไม่หลงลืมสติ ไม่ลืมอานาปานสติ หากลืม ก็จะเผลอปรารภว่า นู้น นั่น นี่
    เที่ยง

    หากเข้าใจว่า บารมีเที่ยง ก็จะเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่บอกว่า ทำดี มีกุศล
    เรื่อยๆ รู้ถูกเรื่อยๆ ติดดี ติดฌาณ ติดสุข อยู่ในวิมาน เรื่อยๆ 80อสงไขย
    จะบรรลุธรรมขึ้นมาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    นั่นสิครับพี่ ระยะประชิดนี่ ออกอาวุธไม่ได้ซะด้วย
     
  11. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    บารมีเหมือนทรัพย์ที่เรามีอยู่
    ใช้ถูกทางใดผลมาก
    เล่นพนันผลน้อย
    การเดินทางต้องมีทรัพย์ทางโลกมีปัญญาทางธรรม โลกจึงสงบสุข

    ถามว่าทำอย่างไรได้ที้งสติ สมาธิและปัญญา
    หรือทำแล้วได้วิตก วิจารณาแล้วปัญหา

    ทำมากได้มากทั้งสองทางค่อยๆได้ ค่อยเพิ่มมาทีละน้อย

    แต่ มาบวชวันนี้ ก่อนบวชเดินจงกรมรอทำพิธีแล้ว
    บวชแล้วหันไปสึกเลย
    อร่อยดีไหมครับ ธรรมมะ

    ที่ท่านอยากคือทางโลภ หรือไม่อย่างไร
    หากท่านจะก่อ เจตีย์ ตี......นะครับ
    ค่อยๆก่อ ให้คนอื่น ก่อด้วยอิฐ นะครับ ไม่ใช่อัฐ หรืออิจฉา ไม่ใช่ให้ตัวเองเกิด หากเขารวยเรารวยด้วยหรือไม่อย่างไร

    ขอทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    บารมี เป็นของไม่เที่ยง พระศาสดาจะตรัสรู้ได้หรือ แสดงว่า ทำไปแล้วต้องเกิดผลสืบเนื่องอย่างเที่ยงแท้แน่นอน
    เรียกว่า กุศลกรรม
    พวกมิจฉาทิฎฐิสิ ที่ว่ากรรมไม่ส่งผล กลายเป็นของไม่เที่ยงไปหมด
    นี่ไปจับเรื่อง อนัตตา กับ ผลของกรรม มาตีกันอีรุงตุงนัง

    ทุกวันนี้ ที่คน คิดได้ สุขได้ นึกเป็นทำเป็น อดทนเป็น เพียรเป็น ให้อภัยเป็น ทำสมาธิเป็น ก็เป็นเพราะฝึกกันมา สร้างกันมาแต่ไหนแต่ไร นี่ติดอยู่กับตัว ยังจะบอกไม่เที่ยงหรือ

    นี่แหละที่เรียกว่า สายบารมี ที่จะพาไปสู่นิพพาน
    ลองพวกเอ็งไม่บำเพ็ญบารมีสิ พูดก็ไม่ได้ ต้องเห่า
    ฟังไม่รู้เรื่อง ต้องเอาของแข็งกระแทก ถึงรู้เรื่อง
    หนักๆเข้า เห่าก็ไม่ได้ ฟังก็ไม่ได้ คิดก็ไม่ได้ อดทนก็ไม่ได้ อภัยก็ไม่ได้ โน่น นรกภูมิ
    นี่ให้จำไว้ เรื่องบุญทำกรรมแต่งมันเป็นแบบนี้

    ทีนี้เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ฟังธรรมได้ พูดธรรมได้ ก็เพราะเราสร้างของเรามา

    อย่าไปบ้าเรื่องอนัตตา จนไม่ทำอะไร นั่นมันพวกมิจฉาทิฎฐิ
    กินข้าวยังต้องตักข้าวเข้าปาก นี่จะไปนิพพาน นั่งรอคนอุ้มไปหรือไง
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    แหกตาอ่านให้ดีๆ สิ ไม่ใช่ โอ้ย ถ้าพูดบรมีไม่เที่ยง สะสมไม่ได้ ก็เข้าทางปืน

    เข้าทางคำเทศนาของครูบาอาจารย์ ทำเป็น กระโดดออกมาเห่า

    เห้ย!!!

    แหกตาอ่านให้ดีๆ เขาระบุเอาไว้อย่างไรในเรื่อง มิจฉาทิฏฐิ ที่ยกขึ้นกล่าว

    ไม่ใช่ สักแต่ว่า เข้าทางปืนแล้วออกมาเห่า อย่างคนโง่ ดักดาน ไม่อ่าน
    ไม่รอบครอบ
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    บารมีี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์
    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน


    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ

    1. บารมีต้น
    2. อุปบารมี
    3. ปรมัตถบารมี
    • บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
    • อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
    • ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ




    อลัชชี ที่ไหน สอน บารมี ไม่เที่ยง

    บารมีไม่เที่ยง บารมีไม่เต็ม เป็น พระพุทธเจ้า ไม่ได้

    ปรามาส พระพุทธเจ้า

    อ่อ ลืมไป พวก ปรามาส พระพุทธเจ้า เนี้ย มีกรรม อยู่นี่เอง มิน่าถึงมีความคิดแบบนี้


    ความหายนะของการปรามาส

    ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ
    แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์

    ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
    การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก

    เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ

    1.บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
    2.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที

    3.สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
    4.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม

    5.ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
    6.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง

    7.ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก
    8.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน

    9.หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ
    10.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

    อ้างอิงจากหนังสือ "พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน"

    ความหายนะของการปรามาสพระรัตนตรัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอกวีร์คุณอยากเป็นพระพุทธเจ้า
    แต่ไม่เข้าใจเรื่องการสร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
    แล้วคุณจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไงครับ
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เรื่องใครจะปราถนาพุทธภูมิ หรือ ใครทำได้อย่างมากก็ สาวก อันนี้
    ยกเอาไว้ไม่ต้องกล่าวดีกว่ามั้ง เพราะ จะให้สาวกมาคุยเรื่อง บารมี
    จะให้พุทธภูมิเวียนว่ายตายเกิดมา 16 อสงไขยแต่ไม่เคยได้รับการพยากรณ์
    มากล่าวเรื่อง บารมี มันน่าจะมีค่าเท่ากัน คือ ไม่รู้เรื่องพอกัน

    มาดู ตัวอย่างจากบุคคลาธิษฐาน ในครั้งพุทธกาลดีกว่า ง่ายกว่า

    ถ้าจำไม่ผิด หลวงพ่อสงบนี่แหละสอนเอาไว้ ท่านจะกล่าวคู่กันกับ
    เรื่อง บารมีสะสมได้ สะสมได้ก็จริงแต่ท่านไม่ได้ยันว่า เที่ยง แม้
    จะไม่ได้พูดว่า เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง เพราะ ท่านต้องการให้คิด
    เองเป็น

    โดยยกเรื่อง

    ลูกเศรษฐีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า พระพุทธองค์ทรงทัก ลูกเศรฐีท่านหนึ่ง
    ที่บังเอิญว่าตอนนี้เป็นขอทานหน้าประตูเมือง โดยชี้ว่า

    หากตอนที่ได้รับมรดกจากพ่อแม่ที่ตายไปใหม่ๆ แล้ว ทรัพย์สินยังมีมาก
    ตอนนั้นหากได้ฟังธรรม ก็จะสำเร็จอรหันต์

    แต่ถ้าปล่อยไว้ให้ทรัพย์สินร่อยหลอ ลงไปเป็นจำนวนมาก แล้วมาฟังธรรม
    ก็จะได้แค่อนาคามี

    ถ้าตอนที่...จำไม่ได้...น่าจะเป็นปล้นเขากิน ก่อนที่จะเป็นขอทาน ก็จะได้
    เป็นสกิทาคามี

    ....จะไม่ได้ชัดและ ไปหาอ่านเอาเอง...

    ที่แน่ๆคือ ตอนที่เป็นขอทานตอนนี้ ได้ฟังธรรมกี่หนก็ตาม ก็ไม่ได้อะไรเลย

    เนี่ยะ เคสแบบนี้ ไหน ใครหน้าไหน สะเออะสอนหน่อยสิว่า บารมีมันเต็ม
    แล้ว พร้อมจะเป็นอรหันต์ได้ แล้วทำไม พอเวลาผ่านไปไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี
    ระดับของการบรรลุได้มันถึงน้อยลงๆ จนกระทั่ง หมด ไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียว

    ไหน ใครหน้าไหน ที่เป็น สาวก สะเออะทำเป็นรู้เรื่อง บารมี ให้ฟังหน่อย
     
  17. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    มันก็เหมือนกับคนที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ
    มันไม่สร้างบารมี ไม่รู้จักวิธีการสร้างบารมี
    มันก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

    ถึงจะประกาศตนว่าปรารถนาพุทธเจ้าไปถึง 100 อสงไขย
    ก็ตามเถอะ มันก็ได้แค่ประกาศเท่านั้น
    ลงนรกไป มันก็ไปประกาศอยู่ในนรกนั่นแหละครับ
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พุทธพจน์ ของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ?

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: เฉยไปจนถึงที่สุด ?
    ตอบ: ก็เข้านิพพานเหมือนกันจ้ะ เพียงแต่ว่าก่อนจะเข้านิพพานก็จะต้องมีหลักสูตรสุดท้าย ก็คือ ต้องรู้อริยสัจ ต้องเห็นไตรลักษณ์ ต้องเข้ามาทางด้านศาสนาพุทธทั้งหมด เพราะศาสนาอื่นเขารู้ไม่ครบ ถ้าหากว่ารู้ครบเมื่อไหร่ เขาก็ไปได้
    ถาม : เรียนมากลัวไม่มีงานทำ ?
    ตอบ: ที่เรียนมาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองเรียนซักคนหนึ่งหรอก น้อยคนได้ทำตามสาขาวิชาที่ตัวเองเรียนมา เราต้องการแค่กระดาษแผ่นเดียว เพื่อไปยืนยันว่าเรามีความสามารถ ทั้ง ๆ ที่ความสามารถของเราเหลือเฟือ แต่มันไม่เชื่อ มันเชื่อแค่กระดาษแผ่นนั้น ก็หากระดาษแผ่นนั้นให้มัน แล้วเราก็ไปทำงานของเรา เรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ เขาต้องการแค่ใบยืนยันใบเดียว คนซื้อมาเยอะแยะไป มันไม่เห็นว่าซักคำ
    เขาไม่เชื่อคน เขาเชื่อกระดาษแผ่นเดียว อเมริกาเป็นประเทศที่ถ้าคิดจะไปก็ต้องเป็นประเทศสุดท้ายเลย แต่ว่าสิ่งดี ๆ ของเขาก็มีอยู่ อย่างเช่นว่า คนของเขา เขาไม่สนใจว่าจะจบอะไรมา เขาสนใจว่ามีความสามารถหรือเปล่า ? ช่างทำพวกต่อท่อประปา ทำสวน โอ้โห ค่าแรงแพงหูดับเลย คือระดับแรงงานของเขาใกล้เคียงกันหมด ในเมื่อใกล้เคียงกันหมด คนจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ขอให้ทำได้ จุดดีของเขาก็มี แต่เปรียบกับที่ไม่ดี ที่ไม่ดีมันเยอะกว่า
    ถาม : ทำทานการศึกษากับมูลนิธิคนตาบอดอานิสงส์ต่างกันอย่างไร ?
    ตอบ: ต่างกันจ้ะ อานิสงส์คือผลได้ ถ้าหากว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้คือตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ อันนั้นผลจะเต็ม ๑๐๐ ส่วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ถ้าส่วนไหนส่วนหนึ่งบกพร่องผลนั้นก็จะขาดไป
    อังกุระเทพบุตรตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานคนทั้งกลางวันกลางคืน ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ปรากฏว่าเป็นที่เทวดาที่ศักดานุภาพน้อยที่สุดของดาวดึงส์ เพราะว่าในชาตินั้นเป็นระยะที่โลกว่างจากพระศาสนา คนไม่มีศีลมีธรรม กลายเป็นว่าผู้รับไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นก็ดู ทำไปเถอะ อะไรก็ได้ถ้ามันเป็นความดี เราทำเพราะเราต้องการจะตัดความโลภในใจของเรา ให้เรารู้จักสละออก รู้จักเสียสละให้ปันช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เพราะฉะนั้น ทำไปเถอะ ทำมันให้รอบตัวไปเลย อะไรจะเล็กน้อยขนาดไหน เห็นมีโอกาสทำได้ทำไป เพราะว่าอานิสงส์คือผลได้ จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระถึงเวลามันส่งผล คนอื่นเกิดมาอาจจะรวยมาก ๆ แต่อย่างโบราณเขาบอกว่า เศรษฐียังขาดไฟได้ ของเขาเองอาจจะไม่ได้ทำในจุดเล็กจุดน้อยอย่างเรา ถึงเวลาอาจจะมีที่บกพร่องอยู่ แต่ของเรามีโอกาสทำนิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ทำ ถึงเวลาก็เก็บมันให้หมดไปเลย ถ้าได้อะไรมันก็ได้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าเขา
    ถาม : ไม่สามารถอธิบายเหตุผล
    ตอบ: บอกเขาว่ามันต้องรู้จักเลือกเนื้อนา คำว่าเนื้อนา คือว่า ผู้ที่เราจะให้ ถ้าหากว่านาดี ผลตอบแทนก็สูง ต้องใช้คำว่าดี ทุกอย่างน่ะดี แต่มันยังมีดีกว่า ดีที่สุด (Good, Better, Best)
    ถาม : เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล
    ตอบ: ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดี ๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย
    มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอานันทะเศรษฐี มันถึงจะเข็ด เขาจะไม่เข้าใจตรงจุดนี้เลย เพราะว่าอธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย
    อย่างเช่นว่า อานันทะเศรษฐี เคยเป็นมหาเศรษฐี แล้วก็รักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นคหบดี คือทรัพย์ลดน้อยลงมา จนในที่สุดกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าไปเจอขอทานอยู่หน้าประตูเมืองอาฬวี ท่านก็ยิ้ม พระอานนท์ถามว่าทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด ? พระพุทธเจ้าบอกอานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีมั้ย ? พระอานนท์บอกไม่เห็นเจ้าข้า เห็นมีแต่ขอทาน ท่านบอกขอทานนั่นแหละ คืออาฬวีเศรษฐี สมัยที่ท่านเป็นเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจากตถาคตจะได้เป็นพระอนาคามี ตอนที่ทรัพย์ลดลงมาเป็นคหบดี ถ้าฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นขอทาน จิตมัวแต่หมกมุ่นกังวลอยู่กับการทำมาหากิน ถึงฟังธรรมไปก็ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผล คราวนี้พระอานนท์ท่านจำแม่น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี
    อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไร ๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย
    ถาม : ตั้งใจมาเกิด ?
    ตอบ: มีทั้งที่ตั้งใจมาเกิด และทั้งที่มาตามวาระบุญวาระกรรมของตนเอง ที่ตั้งใจมาเกิดก็จะมีงานเฉพาะของตัวเอง เขามักจะตั้งใจอยู่ในลักษณะที่ว่า “เรามาเพื่ออะไร?” พวกนี้จะมีกฎกติกายุ่ง ๆ หน่อย พูดไปแล้วบางคนหาว่าอาตมารู้มากเกินมนุษย์ จะมีบุคคลประเภทหนึ่งที่แซงคิวเขามาเกิด โบราณบางทีด่าเจ็บ ๆ ว่าชิงหมาเกิด ที่แซงคิวเขามาเกิดส่วนใหญ่จะเป็นเทวดาเป็นพรหมอยู่ข้างบน คราวนี้รู้ว่าวาระอีกไม่นานตัวเองจะหมดอายุแล้ว ถ้าหากรอให้หมดอายุไปตามกรรมของตัวเอง อาจจะไม่ดีก็ได้ ก็จะดูว่าจุดไหนที่เหมาะสมที่ตัวเองจะลงไปเกิด แล้วมีโอกาสได้ปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา เพื่อสร้างสมบุญบารมีให้ดีกว่าเดิม ก็จะตั้งใจว่าลงไปเพื่อทำงานอย่างนั้น ๆ เมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ปฏิบัติธรรม แล้วกลับขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม ถ้าอย่างนี้ต้องหาเทวดาผู้ใหญ่ท่านคอยรับรองให้ ถ้าเทวดาผู้ใหญ่ที่คอยรับรอง พวกนี้จะเรียกว่า เกิดมาแล้วพยายามชั่วก็ชั่วไม่สำเร็จ เพราะมีคนคอยคุมคอยกระหนาบอยู่ตลอดเวลา
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงเวลาก็เลือกลงมา บางทีก็ลงมาในสถานที่ที่ไม่น่าจะลง อย่างครอบครัวลำบากยากจน แต่ถึงวาระอายุระดับหนึ่งก็จะมีโอกาสได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า มีโอกาสได้ปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิมของตน เขาจะพากเพียรพยายามทำไป จนในที่สุดก็กลับไปที่เดิมหรือที่ดีกว่าเดิม
    ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้น เกิดจากหมดกรรมหรือหมดบุญลงไปเกิด พวกนี้ก็แล้วแต่ว่าเศษบุญเก่ากรรมเก่ามีเท่าไร ถ้าเศษกรรมมีมากก็เกิดในที่ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าเศษบุญมีมากก็เกิดในที่สบายหน่อย คือมีทั้งที่ตั้งใจมาเกิดและวาระของเขาพอดีที่จะได้เกิด
    อย่าไปเจอที่เจ้าของหวงนะ ถึงเวลาเอาของกูคืนมา เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า มีคนหนึ่งซื้อเสื้อมาใส่ แล้วกลางคืนฝันร้ายมีแต่คนมาทวงตลอด ก็แปลกใจไปถามคนขาย ไล่ไปไล่มา มันไปเอาของเก่าที่เจ้าของโดนรถชนตายมาขาย เจ้าของมาตามทวงเสื้อคืน คือเขาตายก่อนหมดอายุ ในเมื่อตายก่อนหมดอายุเขาเรียกอุปฆาตกรรม โบราณเรียกว่า ตายโหง ยังไม่ถึงอายุแล้วตายไปรับบุญรับบาปไม่ได้ ก็ต้องล่องลอยวนเวียนอยู่ เป็นพวกเร่ร่อนที่เขาเรียกว่า สัมภเวสี พวกนี้ส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีที่ไปก็กลับบ้าน รอญาติโยมตัวเองทำบุญให้ ถ้าหากว่าญาติรู้จักทำบุญให้ดีก็มีความสบายคล้ายเทวดา ไม่อย่างนั้นก็ต้องลำบากเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ถ้าหากว่ามีอำนาจมากหน่อย ได้รับผลบุญก็จะสบายไปเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ได้รับตรงจุดนั้นก็ลำบาก ถ้าหมดอายุขัยเมื่อไรไปทันที
    คราวนี้อายุของมนุษย์กับอายุของเขาต่างกันเหลือเกิน ในเขตของสัมภเวสีเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา มันจะแป๊บเดียวของเขา แต่ว่ามันประมาณ ๒๐ ปีของเรา คือถ้าสมมติว่า ของเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา ก็เท่ากับ ๒๐ ปี เขารอไม่ถึงครึ่งวันดี นั่นเท่ากับว่าไวกว่าเรามาก
    ไม่มีจ้ะ อยู่ที่จังหวะนั้นวาระนั้น ผลกรรมประเภทไหนส่งผลพอดี เพราะว่าคนเราไม่ได้ทำดีต่อเนื่องยาวนาน มันมีดีมีชั่วสลับกันไป อันไหนที่แรงกว่าให้ผลมากกว่าก็จะมาก่อน อันที่กำลังน้อย ถึงวาระถึงเวลา ผลกรรมแรง ๆ มันหมดแล้วถึงจะมา เหมือนกับว่าเกวียนวิ่งมาก่อน ๑ วัน รถยนต์วิ่งแซงพรวดไปแล้ว ถ้าหากว่ารถยนต์ไปหมดแล้ว มอเตอร์ไซด์ไปแล้ว จักรยานไปแล้ว เดี๋ยวเกวียนมันมาเองโดนจนได้ล่ะจ้ะ


    กระโถนข้างธรรมาสน์ (ธรรมมะ สนุกๆ เข้าใจง่าย กับหลวงพี่เล็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี)


    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น


    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น


    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2012
  19. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    อานาปานสติ
    จากพุทธวัจจนะ
    ดีเนาะ
    อนุโมทนา
    กับอานาปานสติ
    เป็นอย่างสูง
    จ้า
     
  20. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    "บารมี 10 ทัศ"
    กับ "สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน"
    แค่ได้สดับ 2 สิ่งนี้ ก็เพียงพอ สำหรับเราแล้ว

    สาธุ สาธุ
    อนุโมทนากับ
    "บารมี 10 ทัศ"
    และ "สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน"
    เป็นอย่างสูง ขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...