ทำไมผมลดสมาธิ ไปปล้ำกับสติ โทสะกำเริบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย overmage, 21 เมษายน 2012.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    จขกท..มั่นใจไหมครับว่า..ตอนที่พิจารณา..จิตเค้าว่างรับรู้จริงๆ..ตอนที่เรากำลังพิจารณา..คือตอนที่พิจารณานั้น...จิตเราไม่มีการเกิดเลยแม้แต่นิดเดียว..เพราะดูจากลักษณ์อาการแล้วเหมือนยังความคิดที่เกิดจากจิตแอบทรอดแทรกเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว..เนื่องจากเราคลายสติลง..ตอนที่พิจารณาอยู่ครับ...
    ขอบคุณครับ...
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    ปฏิบัติตามแนวทางที่ตนคิดว่าดีเถิดครับ
    แต่การหลุดพ้น คือ การละวางได้ซึ่งอุปาทานยึดมั่น ถือมั่น ว่า ร่างกายนี้ ใจนี้ ตา หู จมูก ปาก สัญญา เหล่านี้ คือ เรา ครับ
     
  3. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    จิตคงไม่ว่างรับรู้ครับคุณพี่ เพราะมันวิ่งพล่านไปหมด ผสมกันไปหมด จับไม่ได้เลยว่า

    อยู่ไหน ทางไหน อะไรมาจับ เหมือนเกมทุบหัวตัวตุ่นอ่ะครับ โผล่ตรงนั้นที ตรงนี้ที

    ดีหน่อยตรงที่มีแค่ 5 รูที่มันออก เลยดักมันตรงเวทนานี่แหละ ก็เจอจริงๆ นะครับแต่ยังจับไม่ได้

    มันยังดิ้นหนีไปได้ จะจับแล้วให้มันดับด้วยคงยากครับ เพราะมันเกินกำลังของผม แต่ว่า

    หากจะให้ค่อยๆยก ค่อยทำไปตามกำลังสูงสุดที่เราทำได้ อันนั้นพอลุ้นได้อยู่

    อุปมาเหมือนเอาเด็กมาสู้กับกระทิงเปลี่ยว ก็คงไม่ไหว หากแต่เอาเด็กคนนั้น ค่อยๆ เอาไป

    ซ้อมฝีมือ สอนวิธีการ เทคนิคการต่อสู้ พอถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยสู้ก็คงพอไหวครับ

    ผมไม่ได้ต้องการโอดครวญ ให้เห็นใจ หรือ อวดว่าตนถึงขั้นไหนแล้ว แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ

    คือ ผมไม่ทราบว่า อารมย์โกรธที่เคยพยายามระงับ จนอยู่ในระดับที่แทบจะไม่โกรธใครเลย

    มันกลับมากำเริบอีก หรือเพราะมันเป็น ปกติของปุถุชน ที่มันจะต้องมีเกิดและดับไปอยู่แล้ว

    เพียงแต่ผมไม่เข้าใจธรรมชาติของมัน มัวคิดว่า ตัวกู ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

    ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เราเอามายึดเอง ไม่ยอมวาง และสิ่งนี้ เป็นสิ่งสุดท้าย

    การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของกิเลสหยาบครับ? และเพราะผมละ สักกายทิฐิไม่ได้ตามที่ตั้งใจใช่ไหมครับ
     
  4. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,135
    ตราบใดที่คำว่า "ตัวกู" ยังอยู่ เวทนาจะไม่หายไปครับ :)
     
  5. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    ใช้สติกำหนดเลยครับอารมณ์โทสะเกิดขึ้นแล้ว(ทุกข์)เราไม่ได้มีหน้าที่สนองอารมณ์เรามีหน้าที่กำหนดรู้เพียงอย่างเดียวครับ :cool::cool:
     
  6. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    ท่าน overmage

    ปัญหาของท่าน คือ ความโกรธ
    ที่เป็นความรู้สึก
    หรือว่าเป็นความคิด ?
    คือ ท่านรู้สึกโกรธ ?
    หรือว่า ท่านคิดว่าตนเองโกรธ ?

    ประโยคสีน้ำเงิน
    ที่เขียนมานั้น
    มีใจความสมเหตุสมผล
    ไร้ข้อโต้แย้ง

    หากเรา "รู้สึก" อย่างนั้นจริงๆ
    จากประสบการณ์ตรง ของตนเอง
    เรา ย่อมไม่มีปัญหา กับความโกรธ
    คงไม่มีคำถาม ในประโยคสีชมพู และสีเขียว

    หากเรา "คิด" อย่างนั้นจริงๆ
    จากประสบการณ์ตรง ของตนเอง
    ถึงแม้โกรธ เราก็จะสามารถใช้ความคิด
    จัดการสะสางมันได้ ไม่เดือดร้อน

    ที่เรา มีปัญหา กับความโกรธ
    อาจเป็นเพราะเรา ไม่ได้รู้สึก
    อีกทั้ง ไม่ได้คิด
    อย่างประโยคสีน้ำเงิน
    จากประสบการณ์ตรง ของตนเอง

    ประโยคสีน้ำเงิน
    คือสิ่งที่เราไม่รู้จัก
    แต่เราพยายามจะไปให้ถึง

    ประโยคสีน้ำเงิน
    คือกุญแจดอกใหญ่ ที่เราสร้างขึ้นมา และแบกไว้
    เราโกรธ เราก็ร้อนรุ่ม อยู่แล้ว
    ยังต้องสร้าง และแบก กุญแจดอกใหญ่ เอาไว้อีก
    มันก็ยิ่งทุรนทุราย

    หากท่านโยน ประโยคสีน้ำเงิน ทิ้งไปเสีย
    แล้วสัมผัส กับความโกรธ แบบเดียวกับที่ท่านทำ ตอนนั่งดูเวทนา
    เอา เท่าที่ตน พร้อม ไม่ไหว ก็หาทางผ่อนคลาย เอาเอง มีมากมาย
    แบบที่เคยทำได้เมื่อก่อนนั้น ทำอย่างไร ลองทำดู ฯลฯ
    ท่านจะพบ ประโยคสีอื่น เขียนด้วยตัวท่านเอง
    อาจไม่เป็น อย่างประโยคสีน้ำเงิน ก็ยังได้

    สติ มีไว้จัดการ กับปัญหา เฉพาะหน้า
    ปัญหา คือ ความโกรธ
    เราก็จัดการ กับ ความโกรธ
    ตามอัตภาพ
    กิเลสหยาบ หรือ สักกายทิฐิ
    เป็นหัวข้อใหญ่
    หากไม่รู้จักมันจริงๆ
    จากก้นบึ้งของหัวใจ
    ว่ามันคืออะไร
    มันก็ไม่ใช่ ปัญหาเฉพาะหน้า
    เรา จะจัดการ กับสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก อีกทั้งไม่ปรากฎตรงหน้า
    ได้อย่างไร

    ศรัทธา ในกำลังตนเอง จากประสบการณ์ตรงของตนเอง ที่ผ่านมา
    เจริญในธรรม ครับ
     
  7. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    เห็นด้วยครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  8. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ก้ขยันฝึกหน่อยครับ จะฝึกทั้งสองแบบเลยก้ได้ ทั้งพุทโธ หรือพองหนอ ยุบหนอ ขึ้นอย่กับว่าถนัดแบบไหน ในความคิดว่า ผมว่าจขกท.ถึงกับไปฝึกพุทโธ อารมณ์โกรธที่ซ่อนตัวอยู่ก้คงมีให้เหนเหมือนเดิม พอออกจากภาวนาความโกรธมีมากกว่าเดิม
    จิตต้องฝึกให้รู้เท่าทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธถึงจะลดลงได้ๆ พุทโธ กับยุบหนอ ก้เปนหมวดอานาปานสติ พุทโธจับที่ฐานลม พองหนอจับที่ฐานกาย ดูท้องพองยุบเป็นหลัก ถ้ายังมีอารมณ์โกรธ เมือ่มีสิ่งนอกมากระทบกาย กระทบใจเรานี้ ก้ต้องภาวนาให้มากขึ้น
    จะเอาของดีใส่ตัว ก้ต้องผ่านด่านความโกรธให้ได้ก่อน และเมือ่ได้ของดีมาก้ใช่จะชนะความโกรธโดยไม่โกรธเลย เพียงแต่ความโกรธยังมีอยู่และต้องต่อสู้กับมันทุกวัน ถ้าชนะมันได้ก้พัฒนาไปขั้นหนึ่ง อย่าเพิ่งไปท้อหรือว่าทำแล้วไม่ถูกจริต ถูกความร้สึกตัวเอง จะฝึกแบบไหนก้มีอุปสรรคก่อนทั้งนั้นแหละ มารไม่มีบารมีไม่เกิด ควรจะเรียนรู้ไปกับมันบ้างตามความสามารถของตัวเองไม่มากเกินไปเช่น1.ที่สุดของความปวดว่ามันอยู่ตรงไหนตามมันให้ทันหน่อยซิ ถ้าไม่ไหวจริงๆก้เปลี่ยนอริยาบถ และ2.เรื่องความโกรธ เมื่อเิิกิดไม่พอใจมีโทสะ ตั้งสติระงับความโกรธอย่าปล่อยใ้ห้อารมณ์ค้าง ทำข้อใดข้อหนึ่งใน2ข้อ ให้ได้จะถือว่าเยี่ยมๆเรย
     
  9. anumotna

    anumotna สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +3
    แก้ โทสะ ก้คือ เมตตา
    ท่ามีเมตตา จะสมาธิน้อยยสมาธิมาก สติน้อย สติมาก โทสะก้จะเบาบาง

    การจะเข้าไปรับรู้อารม หรืออาการของจิต ท่ายังคงมี ความ พึงพอใจย่อมมีสิ่งที่ไม่พึงพอใจ
    ถูกใจเขาไม่ถูกใจเราถูกใจเราไม่ถูกใจเขา ทั้งเขาและเราต่างตกอยู่ภายใต้ ราคะ และโทสะ

    จะแก้โทสะ ก้ต้อง มีเมตตาจิต รู้เฉย อาจจะทนไม่ได้ ท่าขันติไม่มากพอ ก้แก้กันด้วย เมตตากันไปสบายใจ ง่ายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2012
  10. overmage

    overmage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +128
    คงจะจริงอย่างที่หลายๆท่านกล่าวครับ ผมมานั่งๆ นอนๆ ดูมันแล้ว จริงๆแล้วปัญหามันไม่ใช่ว่า ผมจับ ยุบพอง

    แล้วโกรธง่าย แต่เป็นเพราะว่า ผมมัวแต่มองผลว่า ต้องได้ อะไรมากกว่า พอทำไม่ได้ ทำไม่ถึงก็หงุดหงิด

    รำคาญใจว่า ตูนี่โง่แท้หนอ แค่นี้ทำไม่ได้ จากนั้นมันจริงเริ่มลาม จากนิดๆ ไปจนถึง เห็นอะไรก็ขวางตา

    ไม่รู้เท่าทันจิต ไม่รู้เท่าทันอารมย์ เลยแก้ไม่ถูกและไปกันใหญ่ ตอนนี้จับมันได้แล้วครับ

    อารมย์ที่ว่าโกรธ หงุดหงิดง่าย เลยหายไปบ้าง แต่ยังไม่ทั้งหมด

    คำว่า กู นี่มันอันตรายจริงๆนะครับ เหมือนจะวางง่าย แต่ยากมาก

    ขอบพระคุณหลายๆท่านครับ หากท่านไหนมีคำแนะนำอื่นๆอีก ผมพร้อมรับฟังครับ

    อยู่กับลม แต่ไม่รู้ลม คือคนที่ตายจากความดี
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่าลืมนะ เราไม่ได้ ฝึกให้มัน หาย แบบ ไม่โผล่มาให้เห็น

    เราฝึก เห็นด้วยปัญญา คือ เห็นแล้วเข้าใจใน รส ในอรรถ ซึ่งเป็นธรรมของมัน

    พอรู้ถ้วนใน อรรถ ใน รส ใน ธรรม ของมัน เราก็ไม่หยิบ ไม่จับ ไม่ฉวย
    มาสำคัญว่า มันกุมรุมเรา มันคือเรา หรือ เราคือมัน มันเป็นเพียงแต่ ขันธ์5
    ที่ทำหน้าที่สนองโลก สนองบางอย่างควร สนองบางอย่างไม่ควร ไม่สนองเลยก็
    นู้นต้อง ลาปรินิพพานไปนู้น ถึงจะไม่มีให้เห็นอีกเลย

    อย่าไปเข้าใจผิด ว่าจะต้องไม่มี นั่นมันสำหรับ คนบางจำพวกที่เขาไม่ได้สะสม
    ธาตุมาทางนี้ ประเภทเกิดกี่ชาติก็ยิ้มตลอด

    แต่ยาก ส่วนมากสะสมอนุสัย ขัดเคืองกันไว้ทั้งนั้น แค่ สายลมเย็นไป ร้อนไป
    เราก็สะสมจริตคนหงุดหงิดเอาไว้แล้ว แล้วมันก็ผอกพูลของมันไป ตามลักษณะ
    ของธาตุจิตที่สะสมนามรูปได้

    เพราะเรา เห็นด้วยปัญญา ว่ามันคือ นามรูป ซึ่งอาจจะมีเหตุให้ ปะทุ อันเกิด
    จากผัสสะใกล้ที่เป็นรูปบ้าง นามรูปบ้าง พอกระทบ อนุสัยเราก็แล่นออกตามธาตุ

    ทีนี้ สติ ปัญญา มันจะกั้นไม่ให้ออกไปทางผิดศีล แต่ถ้ามันออกแล้วไม่ผิดศีลแต่
    มีประโยชน์ต่อโลก ก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง แดดส่องมาแผดเผา มานั่งซื้อบื้อไม่
    ขัดเคืองหาร่มไม้ ก็ตายฮากันพอดี เข้าใจไหม


    แยกรูป แยกนาม ให้ได้ แยกได้ มันจะเริ่มหา ใจ เจอ

    พอพิจารณา รูป นาม และ ใจ เนืองๆ มันจะ งอกลับมาที่จิต ทวนแสมาพิจารณาจิต

    ทวนกระแสมาพิจารณาจิตได้ด้วยการอบรมเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่า พ้น กันยังไง ท่าไหน

    ไม่ข้ามผิดท่าอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2012
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210

    วิตกจริตใหม่ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...