วิจารณ์ต้นเหตุที่ยังเอาดีไม่ได้๗ข้อ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 5 เมษายน 2012.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ขอสรุปต้นเหตุที่ยังเอาดีไม่ได้ โดยย่อ ๆ ดังนี้<O:p></O:p>
    ๑. ชอบสงสัยธรรมที่ตนยังปฏิบัติไม่ถึง<O:p></O:p>
    ๒. พวกขี้สงสัย เวลาตายก็ตายไปพร้อมกับความสงสัย มีจิตเศร้าหมองก็ต้องกลับมาเกิดแล้วสงสัยต่อไปไม่รู้จบ<O:p></O:p>
    ๓. ธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง ถ้าธรรมพ้นโลกจิตเรายังปฏิบัติไม่ถึง สงสัยไปก็มีแต่ขาดทุน เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ธรรมใดที่เธอยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ก็ควรจะเชื่อท่านผู้รู้ผู้เห็นไปก่อน ต่อเมื่อเธอปฏิบัติจนเกิดผลแล้ว รู้เห็นได้ด้วยตนเองแล้ว เธอจักเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ย่อมได้”<O:p></O:p>
    หมายเหตุ ธรรมในข้อ ๓ นี้ พระองค์สอนเฉพาะพวกที่มีศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง คือ มีพระรัตนตรัย หรือมีพระพุทธพระธรรมและพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่งประจำจิตตลอดชีวิต กำลังปฏิบัติบูชาอยู่ด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา หรือทาน-ศีล-ภาวนา มิได้สอนพวกเดียรถีย์หรือพวกนอกศาสนาที่มาถามปัญหาพระองค์ พวกเหล่านั้นพระองค์จะสอนอีกแนวหนึ่ง คือ ใช้กาลามสูตร หรือเกสปุตตสูตร ที่เขียนเน้นจุดนี้ไว้ เพราะมีบุคคลที่ยังไม่รู้จริง รู้ไม่ถึงเอากาลามสูตรมาสอนชาวบ้านให้เข้าใจผิดๆ เพราะไม่รู้เจตนาของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นพระสัพพัญญูหรือมีพุทธญาณแต่ผู้เดียว ผู้อื่นไม่มี รายละเอียดมีอยู่มาก จึงขอเขียนไว้สั้นๆแค่นี้ก่อน<O:p></O:p>
    ๔. สิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกทั้ง ๓ นี้ก็คือพระธรรม ในเมื่อพระองค์ทรงเมตตามาแนะนำพระธรรมให้ถึงตัวเราแล้ว เหตุใดเราจึงยังสงสัยในธรรมนั้น ๆ เพราะความโง่หรือกฎของกรรมบังจิตเราไว้จึงยังมองไม่เห็นคุณค่าของพระธรรม<O:p></O:p>
    ๕. ผู้ยังมีกิเลสมาก ก็เห็นทรัพย์สินเงินทองเป็นของมีค่า แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจนจิตถึงธรรมแล้วจะเห็นว่า สิ่งใดๆในโลกนี้จะมีค่ายิ่งกว่าพระธรรมนั้นไม่มีเลย ใครจะมีเงินทองทรัพย์สินจนมีค่านับไม่ถ้วน ตายแล้วเอาไปไม่ได้เลย ต่างกับพระธรรม ตายแล้วเอาไปได้ทุกคน<O:p></O:p>
    ๖. จงหมั่นสงสารผู้ละเมิดพระธรรม เพราะเขาไม่มีโอกาสรู้ตัวว่าเขาเองก็อยู่ในพระธรรม แต่เป็นธรรมบทบัญญัติไหนล่ะ กุศลาธัมมา (ธรรมที่เป็นกุศล) อกุศลาธัมมา (ธรรมที่เป็นอกุศล) อัพยากตาธัมมา (ธรรมที่ไม่เป็นกุศลและอกุศล หรือธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ เพราะไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง หรือไม่มีอุปาทาน) ทุกชีวิตอยู่โดยพระธรรมทั้งสิ้น กรรมหรือธรรมเป็นกฎตายตัว ใครทำสิ่งใด ก็ย่อมได้สิ่งนั้นตอบสนองแน่นอน<O:p></O:p>
    ๗.เรื่องอภัยทาน เป็นทานภายในที่มีค่าสูงสุด ชนะทานทั้งปวง ความจริงอภัยทานก็คือธรรมทานขั้นสูงสุด จริงอยู่ พระองค์ทรงตรัสว่า “การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง” แต่ทรงตรัสเสริมว่า “การให้อภัยทานเป็นบุญสุดยอดของธรรมทาน” ความสำคัญของอภัยทาน อยู่ที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นกับจิตของเราก่อนจึงจะเป็นของจริง แล้วจึงนำของจริงนั้นไปให้ผู้อื่นได้ พระอริยเจ้าเบื้องสูงคือพระอนาคามีผลขึ้นไปถึงพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะมีของจริง<O:p></O:p>
    ธรรมเรื่องนี้ละเอียดมาก หากเขียนมากโอกาสผิดพลาดก็มีมากด้วย เพราะผู้เขียนเองก็ยังไม่มีของจริง ยังเป็นแค่สัญญา (ความจำ) เท่านั้น จึงขอจบไว้เพียงเท่านี้

    <O:p>จากนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงเมตตาสอนเพิ่มเติมมีความสำคัญว่า<O:p></O:p>
    ๑. “ฟุ้งดีควรฟุ้ง แต่ฟุ้งเลวสงสัยในธรรมนั้นหาควรไม่”<O:p></O:p>
    ๒. “ที่ยังระงับฟุ้งเลวไม่อยู่ มีสาเหตุจากพวกเจ้าไม่ยอมรับนับถือความตายอย่างจริงใจ มักจักมีความประมาทปล่อยลมหายใจเข้า-ออกให้หลงลืมสติอยู่เนือง ๆ”<O:p></O:p>
    ๓. “ให้เริ่มต้นใหม่เสีย ตั้งอารมณ์ของจิตให้ดีๆ พยายามสงบอารมณ์ของจิต อย่าให้สงสัยในธรรม โดยการรับรู้ลมหายใจเข้า-ออกให้มากๆ คิดถึงความตายที่จักเข้ามาถึงเจ้าเดี๋ยวนี้ อย่าไปคิดอื่นไกล”<O:p></O:p>
    ๔. “เมื่อความฟุ้งซ่านเกิด ก็จงหมั่นระงับด้วยอารมณ์นึกถึงความตายนี่แหละ เห็นความตายที่จักเข้ามาตัดรอนชีวิต การปฏิบัติธรรม ยังไม่ถึงที่สุด มัวแต่ฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง ตายแล้วเจ้าจักไปไหน ขอให้คิดดูให้ดีๆ จงยังความไม่ประมาทให้เกิดขึ้นแก่จิตเถิด ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอให้ใคร่ครวญกรณีนี้ให้มาก ๆ
    </O:p>
    <O:p> </O:p>

    <CENTER>รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน</CENTER><CENTER>http://www.tangnipparn.com</CENTER>
     
  2. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขออนุโมทนาครับแล้วมีตอนหนึ่งผมอ่านมา ในครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ มีพระสงฆ์ประชุมกันอยู่มากในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา ซึ่งเป็นผลให้ตัดความทุกข์เข้าไปหาความสุข
    เมื่อพระองค์ทรงตรัสจบ ก็ถามพระสารีบุตรว่า
    "สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร ถ้อยคำที่ตถาคตพูดมานี่เธอเชื่อไหม?"
    พระสารีบุตรได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าข้า"
    ตอนนี้บรรดาพระทั้งหลาย พากันมองหน้าพระสารีบุตร เริ่มเกลียดน้ำหน้าพระสารีบุตร ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะหาว่าพระสารีบุตรทะนงตน ที่องค์สมเด็จพระทศพลทรงยกย่องว่า เป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้มากไปด้วยปัญญา แสดงท่าเบ่งอวดเก่งดีกว่าพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงทราบวาระน้ำจิตของบรรดาพระสาวกทั้งหลาย จึงได้กล่าวว่า
    "เธอทั้งหลายจงจำคำพระสารีบุตรไว้"
    องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสถามว่า
    "ทำไมจึงไม่เชื่อ?"
    พระสารีบุตรจึงตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าต้องนำไปประพฤติปฏิบัติก่อน ถ้ามีผลจริงตามที่องค์สมเด็จพระชินวรทรงตรัส ข้าพระพุทธเจ้าก็จะเชื่อ ถ้าไม่มีผลจริงข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าข้า"
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสกับบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า
    "เธอทั้งหลายจงเอาอย่างพระสารีบุตร เมื่อตถาคตพูดอะไรไปแล้วจงอย่าเพิ่งเชื่อ ใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนแล้วปฏิบัติตาม ถ้ามีผลจริงตามนั้นแล้วจึงเชื่อ"


    แบบนี้ใช้ได้กับข้อ3 เปล่าครับ
     
  3. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    การไม่เชื่ออะไรๆ บางทีก็เหมือนกับคน รั้นหัวชนฝา เถียงคำไม่ตกฟาก

    มีคติในใจอ้างว่าต้องลองก่อนจึงจะเชื่อ เช่น พ่อแม่บอกสอนว่า ยาเสพติดไม่ดี หากลองแล้วจะทำให้ติด

    ไม่เชื่อพ่อแม่หรอก แต่กลับไปเชื่อเพื่อนฝูง จากผู้เสพผันตัวเป็นผู้ค้า
    สุดท้ายกลายเป็นปัญหาสังคม ศูนย์บำบัดต้องรับภาระไป หนักหน่อยก็แยกเลย โน้น เขาบิน ราชรี

    อีกกรณี พอเจ็บไข้ได้ป่วย หม้อจัดยามาให้ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า ตัวยานั้นเป็นมาอย่างไร ไม่ทราบ
    แต่เชื่อว่า กินแล้วจะหาย พอจะเป็นจะตาย ต้องเชื่อไว้ก่อน โดยสามัญสำนึก

    บ้างก็เชื่อ ศัลยกรรมตกแต่ง แล้วจะทำให้สวยหล่อ ดูดี ออกสู่สังคมมั่นใจมากขึ้น
    ทั้งที่เอาร่างกายตนไปเสี่ยง เพราะอะไร เพราะมีแรงผลักดัน จากสิ่งรอบข้าง คือสังคม ให้ต้องเชื่อ
    สุดท้าย ผล บ้างก็ออกมาดูดี บ้างก็ต้องผิดหวัง เสียใจไปทั้งชีวิต ว่าไม่น่าไปทำเลย เป็นผลข้างเคียงไม่สู้ดี

    เช่นกัน ในเรื่องของธรรม ความไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา
    ศรัทธาคือหัวรถจักร ที่จะนำขบวน สู่โบกี้ที่เหลือ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (อินทรีย์-พละ5)

    พระสารีบุตร เมื่อครั้งเป็นอุปติสสะมาณพ เห็นกิริยาท่าทางอิริยาบถ
    ของพระอัสชิ ที่กำลังเดินบิณฑบาตรอยู่นั้น เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
    อินทรีย์เริ่มเบ่งบาน จึงได้ไปไตร่ถามสนทนากับพระอัสสชิ แล้วได้บรรลุพระโสดาบัน

    พอเมื่อได้แจ้งในคุณธรรมนั้นแล้ว จึงไปบอกกับเพื่อน ในธรรมบทนั้น
    คือ พระโมคคัลลานะ ในครั้งยังเป็นมาณพ นามว่า โกลิตะ
    เนี่ยะ ท่านทั้งสองเป็นเพื่อนกัน มีความเลื่อมใสต่อกัน

    จึงเป็นเหตุหนึ่ง จากที่เคยสร้างสมบุญญาธิการร่วมกันมา แต่ครั้งเมื่ออดีตชาติ
    โกลิตะมาณพ จึงได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุพระโสดาบัน นั้นขึ้นมาด้วย
    จากธรรมบทที่พระอัสสชิกล่าวกับอุปติสสะในครั้งนั้น
    หรือพระสารีบุตร นั้นว่า (หรือ "คาถา เย ธัมมา")

    "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุ ตะถาคะโต
    เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"

    แต่ด้วยเหตุ การตั้งความปรารถนา เป็นอัครสาวกเบื้องขวา
    เป็นผู้มีปัญญามาก เมื่อในอดีตชาติ ของพระสารีบุตร
    พอเมื่อได้อุปสมบท ได้กระทำความเพียร นานกว่าพระโมคคัลลานะอยู่ 7 วัน
    คือ กระทำความเพียรอยู่ 15 วัน ส่วนพระโมคคัลลานะ กระทำความเพียรเพียง 7 วัน
    นี้คือความแตกต่างระหว่างท่านทั้งสอง ไม่ใช่ว่าจะเอาไปเปรียบกับบุคคลอื่น
    ว่าหากใช้เวลาทำความเพียรมาก นั่นเพราะเป็นผู้มีปัญญามาก ก็ไม่ใช่แล้ว
    ซึ่งต้องพิจารณาอีกว่า ยังมีความต่างกันโดยเหตุ โดยบุคคล
    พระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ได้เปรียบปัญญาของพระสารีบุตร ว่านับเม็ดฝน ที่ตกลงมาสู่โลกนี้ได้
    นั่นหมายถึงไปยัง ความละเอียดถี่ถ้วนของปัญญา ที่ผู้ใดจะเสมอเหมือน ในหมู่ท่านพระสาวกรูปอื่นๆ

    ทีนี้ความลังเลสงสัย ไม่มีศรัทธาโน้มน้าวจิตใจเป็นเหตุชักนำ
    ไม่เชื่อในคุณพระรัตนตรัย ไม่เชื่อในผลของทาน โลกนี้มี โลกหน้ามี ภพภูมิมี คือตัณหา หรือกฏอิทัปปัจยตา
    แทนที่จะเป็นปัญญา เลยกลายเป็นความฟุ้งซ่าน ถือข้างมิจฉาทิฏฐิ ขึ้นมาเลย
    ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้อง "กาลามสูตรๆ" ไว้ก่อน ลองไปทำร้ายใครเขาสิ เขาไม่จับเอาเข้าคุกเข้าให้ล่ะ
    "ชาวเกสปุตติยนิคม หรือชาวกาลามะ" ในครั้งพุทธกาล
    ในครั้งนั้น หากจะมีอยู่ครูอาจารย์ นั่นคงหมายไปยัง พวกพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิ หรืออัญญเดียรถีย์
    ตำรา คำเล่าลือต่างๆ ในสมัยนั้น นั่นก็เพราะยังตก อยู่ในทิฏฐิแบบใด

    ในกาลามสูตร จึงบอกว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน"
    แล้วจะไปเปรียบกับพระสารีบุตร กล่าวไม่เชื่อในธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ
    ก็ทั้งที่พระสารีบุตร ท่านถึงคุณธรรมชั้นสูงแล้ว
    แต่ยังมีในหมู่พระสาวก ที่แสดงความไม่พอใจต่อพระสารีบุตร
    นั่นเพราะท่านเหล่านั้นยังไม่เข้าถึงในธรรม หรือในชั้นสูงหรอกหรือ
    หรือนั่นเพราะต้องการทรมานศรัทธา ของเหล่าท่านพระสาวกหรอกหรือ ในกรณีนั้นหรือ
    คือให้มี วิริยะ ความพากเพียรบากบั่นอยู่ในทุกอิริยาบถ หมายเพื่อให้เข้าถึงคุณธรรมชั้นสูงต่อไป
    ลองพิจารณา

    เคยดูข่าว "ยาหมาบอก" หมามันมาสะกิดเจ้าของที่กำลังนอนป่วย
    ให้ตามไปกินหญ้า เสร็จแล้ว เจ้าของนั่น ไหนๆก็จะต้องตาย ลองกินหญ้าดูสิ
    ปรากฏว่าหาย จึงเป็นที่มาของ ยาหมาบอก

    มีอยู่คนนึงในบอร์ดนี้ เขาพิมพ์อยู่คำหนึ่งว่า "มือถือสาก ปากถือกาลามสูตร"
    ก็อืม..! จริง!! ทำให้เสียโอกาสอันควร หากไม่เชื่อๆอะไรๆ
    จะบอกว่าชาวพุทธเป็นต้องเป็นผู้มีปัญญาในเหตุและผล

    อะไรที่เป็นคุณ ไม่เกิดโทษ บั่นทอนความเพียร ก็กระทำลงไป
    "ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์" คือรู้จักแยกแยะ มี "โยนิโสมนสิการ" คือน้อมเข้ามาพิจาณา
    เชื่อในศีล สมาธิ ปัญญา เชื่อว่าคุณของศีล จะเป็นบันไดก้าวสู่ที่หมาย
    เชื่อในสมาธิ กำจัดความฟุ้งซ่านลังเลสงสัย มีความสงบเกิดขึ้น
    แล้วใช้สติพิจารณาแยกแยะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ
    สิ่งนี้ประกอบมาโดยธาตุ สุดท้ายต้องแยก ไปกันคนละทิศละทาง แต่จิตนี้ต้องเป็นหนึ่ง
    มีความตั้งมั่นสงบแต่ภายใน มีสติในอายตนะ อินทรียสังวรณ์เกิดขึ้น จากสิ่งที่กระทบในภายนอก

    ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นเหตุผลที่ลงตัวกันได้ "อจลศรัทธา" นั่นเพราะสามัคคีต้องเป็น "หนึ่งเดียว"

    ที่พิมพ์มา ก็พิจารณาเอาล่ะกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ศรัทธาคือหัวรถจักร ที่จะนำขบวน สู่โบกี้ที่เหลือ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา (อินทรีย์-พละ5)
    .................................พี่หม้อจ๋า.................................

    วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  5. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    เมื่อเช้าไหว้พระแล้ว สวดบทกรณียเมตตสูตร

    ขอบคุณที่บอกเตือนกัน
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมค้าน ผมว่าคำสอนบทนี้มีปัญหาแน่ เหตุเพราะขัดกับ กลามสูตร10..
    ..ทำให้เกิดความสับสนในการเรียนรู้ พระธรรมบทนี้เหมาะสำหรับผู้เกิดสติ แล้วรึไม่ใช่..
    หรือไม่เหมาะแก่ผู้เรียนรู้ใหม่ ที่ต้องใช้เหตุผล ประกอบศรัทธา..ผมเชื่อมีปัญหาแน่บทความนี้ใช้ในยุคปัจจุบันไม่ได้แน่นอนครับ
     
  7. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    หากผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้ผล วันพระท่านไม่มีหรอก
    หรือจะกล่าวอีกทำนองว่า วันไหนๆก็เป็นวันพระได้ทั้งนั้น

    แต่ทีนี้ผู้ที่เห็นผลจากการปฏิบัติ จะเห็นความสำคัญทางพุทธศาสนา ให้น้อมรำลึกมากเลย
    เอาสมมุติมาเป็นกุศโลบาย เพื่อประโยชน์เพื่อเป็นโอกาสแก่โลก ของผู้แสวงหาทางออก

    เช่นกัน วันพระ ในส่วนของพระ ท่านก็มีการปลงอาบัติที่เล็กน้อยหรืออาบัติเบาๆ กับผู้อาวุโสพรรษากว่า
    แก้อาบัติเพื่อให้ตนบริสุทธิ์ แสดงตนว่า ได้ผิดพลาดไปแล้ว
    ก่อนที่ท่านจะลงอุโบสถ แสดงปาฏิโมกข์ศีลธรรมวินัยต่อไป
    มีวันธรรมสวนะ ก็ต้องมีวันโกนก่อนหนึ่งวัน เพื่อปลงผม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นต้น

    ส่วนที่ว่าเอามาเป็นกุศโลบาย ก็เหมือนกับ ทำไมต้องมีวันเด็ก วันพ่อ วันแม่ วันครอบครัว
    เช่นกันนอกจากวันนี้ เป็นวันศุกร์ วันพระแล้ว ยังเป็นวันจักรี อีกด้วย

    นี่แหละประโยชน์ ของพิธีกรรม ประโยชน์ของสมมุติ อยู่ที่ว่าเราจะมอง ในมุมไหน ล่ะครับ

    ในพระไตรปิฏก กล่าวไว้ว่าหากถึงวันพระ จะมีเทวดาทำหน้าที่มาตรวจโลก
    แล้วทำไม ปรากฏการณ์ "บั้งไฟพยานาค" จึงเกิดขึ้นเฉพาะ ในช่วงวันออกพรรษา

    ส่วนที่บอกว่า "ไหว้พระแต่ละวัน ไม่เหมือนกันหรือคะ"
    ขึ้นอยู่กับกำลังใจ ของแต่ละคนที่ แตกต่างกันไป
    อย่างเช่นสมัยก่อน ผู้ที่อยู่ในป่าในดง ไม่ปฏิทินดูวันเดือนปี ท่านจะรู้ไหมเล่า
    ก็อย่างว่าล่ะ บางท่านอาจจะเก่ง ในการดูฤกษ์ยาม ดูลักษณะเดือนดาว จึงเป็นอีกศาสตร์หนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2012
  8. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ดีแล้วพี่อิ่มสบาย จำทางเดินได้ สาธุด้วย

    อย่างพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง แต่ตอนนี้ท่านละสังขารไปแล้ว
    ท่านว่ามีเทวดา นำเอา พระคาถาอาการวัตตาสูตร มาให้
    ท่านก็นำมาสวด แต่พอท่านได้กรรมฐานแล้ว นั่นคงหมายถึงธรรม ท่านก็ไม่ได้สวดอีกเลย

    จนมีพระลูกศิษย์ท่าน อีกรูปหนึ่ง ท่านได้นำมาเป็นกุศโลบาย เมตตาสั่งสอน
    ต่อแนวทางการทำความสงบ สวดภาวนาสาธยาย เพื่อเป็นประโยชน์แก่ ผู้ใคร่ใฝ่ในทางเดินนี้ ต่อไป
     
  9. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    สาธุครับ ที่นำมาแนะนำ :cool:
     
  10. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    โมทนาบุญคะ ท่านทั้งหลาย แล้วแต่ศรัทธาของแต่ละคน ก็ว่ากันปาย เจ้าคะ

    เห็นว่า เนื้อเพลงนี้สนุก ฉลองวันพระ จึงเอามาให้อ่าน กันคะ

    (จุ๊ๆๆ เค้าห้ามเสียงดัง รักษาสิทธิๆๆ) อิอิอิ

    เพลง แช่แว๊บ(ไม่อยากเป็นพระ) ของคุณแดน วรเวช นะคะ

    แช่แวบ แช่แด๊บแช่แด่ว แช่แด๊บแช่แด่ว
    แช่แด่วแช่แด๊บ แช่แวบ

    แพ้เค้าว่าเป็นพระ ชนะเค้าว่าเป็นมาร
    เบื่อแล้วนะ เป็นแต่พระมานาน
    ก็อยากเป็นมาร สักวันได้ไหม

    แช่แวบ แช่แด๊บแช่แด่ว แช่แด๊บแช่แด่ว
    แช่แด่วแช่แด๊บ แช่แวบ

    ชีวิตคือการต่อสู้ ไม่บอกก็รู้ ก็สู้มาแต่ไหน
    ไม่ล้มมันก็ไม่เข้มข้น เลยล้มมันเสียจน ได้แผลมากมาย
    ดันเกิดมาบนกองเงินกองทอง (ดันเกิดมาบนกองเงินกองทอง)
    กระจาดขันกระป๋องกับฝอยทองแม่ละไม

    สู้มั้ย...เอ้าส่ายหน้า ส่ายหน้าแต่ว่าสู้ตาย

    แพ้เค้าว่าเป็นพระ ชนะเค้าว่าเป็นมาร
    เบื่อแล้วนะ เป็นแต่พระมานาน
    ก็อยากเป็นมาร สักวันได้ไหม

    แช่แวบ แช่แด๊บแช่แด่ว แช่แด๊บแช่แด่ว
    แช่แด่วแช่แด๊บ แช่แวบ

    ความพยายามเป็นต่อ ถ้าเราไม่ท้อก็ต้องเป็นไปได้
    ความสำเร็จก็รอเราอยู่ แต่ลืมโทรถามดูว่ารออยู่ที่ไหน
    รู้แพ้แต่ไม่รู้ชนะ (รู้แพ้แต่ไม่รู้ชนะ)
    ก็ไม่ได้อยากเป็นพระ แต่สู้เขาล่ะไม่ได้

    สู้มั้ย...เอ้าส่ายหน้า ส่ายหน้าแต่ว่าสู้ตาย

    เอาวะ เรามันอดทน ดิ้นๆๆรน ให้มันขาดใจ
    โดนน็อคยังไงอดทน เย็บๆๆจนมันเยินกว่าใคร
    ต่อยเข้าไป ต่อยเข้าไป ต่อยเข้าไป
    ต่อยให้ตาย ต่อยให้ตาย ต่อยให้ตาย
    ถ้ายังไม่ตายไม่โยนผ้าหรอก

    เอาวะ เรามันอดทน ดิ้นๆๆรน ให้มันขาดใจ
    โดนน็อคยังไงอดทน เย็บๆๆจนมันเยินกว่าใคร
    ต่อยเข้าไป ต่อยเข้าไป ต่อยเข้าไป
    ต่อยให้ตาย ต่อยให้ตาย ต่อยให้ตาย
    ถ้ายังไม่ตายไม่โยนผ้าหรอก

    แพ้เค้าว่าเป็นพระ ชนะเค้าว่าเป็นมาร
    เบื่อแล้วนะ เป็นแต่พระมานาน
    ก็อยากเป็นมาร สักวันได้ไหม

    แช่แวบ แช่แด๊บแช่แด่ว แช่แด๊บแช่แด่ว
    แช่แด่วแช่แด๊บ แช่แวบ

    ต่อยมวยก็ซ้อมเต็มที่ พอขึ้นเวทีก็หลับเป็นตาย
    อยากดังพอให้แฟนได้อวด
    ก็แพ้มันมารวด ยิ่งต่อยยิ่งอาย
    วันพระไม่ได้มีหนเดียว (วันพระไม่ได้มีหนเดียว)
    เราไปขายก๋วยเตี๋ยวให้ดังก็ได้

    แพ้เค้าว่าเป็นพระ ชนะเค้าว่าเป็นมาร
    เบื่อแล้วนะ เป็นแต่พระมานาน
    ก็อยากเป็นมาร สักวันได้ไหม

    แพ้เค้าว่าเป็นพระ ชนะเค้าว่าเป็นมาร
    เบื่อแล้วนะ เป็นแต่พระมานาน
    ก็อยากเป็นมาร สักวันได้ไหม

    ขอให้สนุกสดใส ในวันพระจ๊า
     

แชร์หน้านี้

Loading...