ความหมายของหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็คือ บรรลุอรหันต์แล้วไม่ละสังขารเกินอายุขัยได้

ไม่ปริยัติที่ไหน นี่มันเยอะล้นแล้ว
คำว่า "พอดี" น่ะ เข้าใจไหม?
แค่นี้มันก็มากพอแล้ว ล้นแล้ว
เอาทีละน้อย ปฏิบัติให้มันเห็น
ผลจริงก่อน อย่าละโมบในธรรม
เอาธรรมอะไรมาเรียนกันมากมาย
แต่ปฏิบัติไม่ตรงทาง อย่างนี้ แย่

 

ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมรู้สึกเฉยๆ

 

มีเวลาก็เรียนไปเถอะครับ มันไม่เสียหาย
ถ้าจะไปทางตรง เรียนรู้พระสูตรเดียวพอ แล้วปฏิบัติให้รู้แจ้งครับ

 

มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น
ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น
ยังมี "ความเป็นมนุษย์"
อยู่แค่ไหน? ไปดูเอง

 

มนุษย์มันก็เป็นสัตว์นั่นเอง ความเป็นมนุษย์ไม่มีถ้าไม่มีสัญญา มีสัญญาแต่ไม่รู้จักสัญญา มันก็สัตว์เดรัจฉานนั่นเอง

 

ที่ต้องไปฝึกลมปราณ ทางเต๋า
มาเหน็ดเหนื่อย เพราะอะไร?


ก็เพื่อมาตรวจเช็คของปลอม
ที่เลียนแบบอรหันต์ได้เหมือนจริง
นี่แหละ ถึงได้รู้ว่าใครมันใช้ใจน้ำแข็ง
เลยหลงตัวเองว่าปฏิบัติได้แล้ว แต่มันผิดวิธี


ถึงต้องมาบอกกัน ให้มันเลิกฝึก สลายใจน้ำแข็งเสีย
ไม่เช่นนั้น ไม่ได้เป็นมนุษย์ รับธรรมไป ไม่ได้อะไรเลย
เปลือกนอกดูดีมาก ใจเย็น, นิ่ง, แข็ง แต่มันผิดทาง!

 

ทำลาย "วิชาใจน้ำแข็ง" ก่อน เมื่อจิตวิญญาณเป็นมนุษย์แล้ว จึงรับธรรมได้


คนที่เผลอไปฝึกใจน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว เช่น เวลามีเรื่องยั่วยุให้โกรธ ก็ทำใจเย็นไว้ เมื่อ
มีสิ่งดีๆ มายั่วยุก็ ทำใจแข็งไว้ ไม่ให้หลงง่ายๆ บอกตัวเองอย่างนี้บ่อยๆ หรือทำใจแบบ
นี้บ่อยๆ โดยเจตนาหรือไม่ ก็ดี, จิตใจ ไม่ได้รับการ "ปลดปล่อยไปตามธรรมชาติ" แต่
ถูกคุมให้เป็นใจเย็น ใจแข็ง นานวันเข้า ก็เริ่มไม่ใช่มนุษย์ โดนเขาด่า กลับไม่รู้สึก ทำว่า
เฉยๆ นี่ไม่รู้สึกอะไรเลย เฉยๆ จริงๆ เพราะอะไร? เพราะใจมันเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ไม่ใช่
มนุษย์ อรหันต์เขาก็มีความรู้สึกได้ ไม่ใช่ "เย็นชาไร้ความรู้สึก" ไม่ตอบสนองต่อการถูก
ด่า อย่างนี้แม้แต่ความเป็นมนุษย์ ก็ไม่มี นี่แหละ เขาเรียกว่า "ใจน้ำแข็ง" ต้องสลายก่อน
จึงกลับเป็นมนุษย์แล้วรับธรรมทีหลัง ไม่เช่นนั้น ไม่ได้อะไรแท้จริงเลย ใจน้ำแข็งมันหลอก
เอาว่าเธอได้หมดแล้ว ปฏิบัติได้หมดแล้ว ไม่โกรธใครแล้ว ไม่โลภแล้ว ไม่หลง ไม่กามแล้ว
อันนี้ มันหลอกเอา ต้องไปหาคนที่มี "ปราณธาตุไฟ" มากๆ ให้เขาสลายใจน้ำแข็งให้ก่อน
ค่อยมารับธรรม ธาตุไฟไม่มากพอ ก็สลายไม่หมด มันก็หลอมตัวเองขึ้นเป็นน้ำแข็งใหม่อีก


ที่พูดได้นี่ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ "ลองมาแล้ว หลงตัวเองมาแล้ว" ผ่านมาได้แล้ว ถึงพูดได้!

 

ขันธ์ทั้งหลายมันไม่เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา แล้วเราจะทุกข์ไปทำไม

 

"ธรรมะจากปากหรือการกระทำ" อะไรก็หลอกตาได้ อรหันต์เขาเช็คกันข้างใน


พระอรหันต์เขารู้กันเอง แม้ไม่ได้พูดธรรมะออกจากปาก เขารู้กันเองได้ แม้ไม่ได้เห็นใน
การกระทำหรือการกระทำดูแปลกๆ เขาก็ดูออกว่านี่อรหันต์จริงไหม? ของแบบเดียวกัน
มันก็ดูกันออก เหมือนสัตว์พันธุ์เดียวกัน มันดูกันออก หลอกกันไม่ได้ เขาเช็คกันได้ ไม่
ต้องพูด ไม่เกี่ยวกับการกระทำ เขารู้กัน "ในจิต" แบบ "จิตสู่จิต" นั่นแหละ อรหันต์เขารู้
กันเอง ไม่ต้องอธิบายให้มากความ มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ของสัตว์ชนิดเดียวกัน


ดังนั้น ไม่ใช่ว่าการพูดดูดีมีธรรมะ หรือการกระทำดูดี ไม่มีกิเลส ก็ไม่ใช่ นี่มันหลอกกันได้

 

ไอ้ที่พูดมา มันก็ถูก
แต่คนพูด มันไม่ใช่


นกแก้วนกขุนทอง
มันก็เลียนเสียงคน
พูดคำว่า "อรหันต์"
ได้ แต่มันไม่ใช่อรหันต์

 

ผมรู้อยู่ คำชมมีอยู่ คำด่ามีอยู่ เมื่อรู้แล้วก็กระจายออก เมื่อกระจายออกมันก็ดับไป ผมทำแค่นี้เองครับ ไม่เห็นต้องไปฝึกอะไร ฝึกใจตนเองพอครับ

 

อรหันต์ อาจไม่พูดธรรมะ อะไรเลยก็ได้ล
พูดแต่ เหี้ย สัตว์ หมา โดเรม่อน ฯลฯ ก็ได้


แต่เขารู้กันเอง จากข้างในว่าของจริงหรือไม่

 

นั่นวิชาเทพพระจันทร์
ไม่ใช่วิชชาทางพุทธ
เริ่มจากฝึกใจน้ำแข็ง
แล้วได้กระจกทิพย์
กระจายพลังออกได้
เธอกระจายพลังมา
ฉันก็ย้ายพลังกลับไป
คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็
มาอ่าน หัวมึนไปเลย


นั่นแหละ ทำให้หลง
ตัวเองว่า ฉันปฏิบัติ
ได้แล้ว แต่มันไม่ใช่


ถึงบอกไง ว่าเขาดูกัน
"ข้างใน"

 

พระสัทธรรมคือของจริง ของจริงมีแต่ไม่ใช่พระจิด พระเจ้า ผลแอปเปิล มาร์คไรเดอร์ อุลตร้าแมน มหาบุรุษ เพศพลัง "หยาง-เอี๊ยง" พลัง "อิม-เอี๊ยง" มีกามกัน แลกเปลี่ยนลมปรากัน เทพราหู จิตวิญญาณมืด ปีศาจ ครึ่งปีศาจ เซียน ธรรมผ้าขาว พลังปราณทิพย์ ความรัก ดวงใจทิพย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พลังฟ้า

 

เทพพระจันทร์


เขามีพลังน้ำแข็ง ไว้รองรับแสงอาทิตย์
แล้วส่องเป็นแสงสว่างเข้าหาโลก เพื่อให้
โลกสว่างโดยไม่ร้อนจากแสงอาทิตย์มาก
ไป อันนี้ ไม่ใช่วิชาทางพุทธแต่เป็นเทพฯ


เขาไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ต้องเอาแสง
ธรรมจากคนอื่น เอาธรรมะคนอื่นมาส่อง
ไม่มีแสดงความคิดเห็น (แสง) ของตน
เอง นั่นแหละ วิชาของเทพพระจันทร์
ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ก็เหมือนมาก

 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อ
เห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็น
สักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจัก
เป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มี
ในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

----
คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ "วิชาเทพพระจันทร์" แน่นอน

 

รู้จักคำว่า "รู้เขา - รู้เรา" ไหม?
ตอนี้เธอเอาแต่รู้เรา รู้ของเรา
พระพุทธศาสนาของเรา แต่
ไม่เปิดใจเรียนรู้เขา ไม่ทันเขา
เลยโดยเขาเล่น เขาที่ว่านี้ไม่มี
ตัวตนเป็นมนุษย์ เขาทำให้เธอ
หลงว่าเธอปฏิบัติได้แล้ว เพราะ
เอมันไม่รู้ทันเขา เสียรู้เขา โดน
เขาหลอก เพราะเอาแต่รู้เรื่องของ
ตัวเอง ศาสนาของตัวเอง เลยไม่
รู้ว่ามันมี "ของเขา" ที่ทำให้เธอ
หลงตัวเองอยู่ว่าฉันเชื่อตัวเองฉัน
ไม่เปิดใจฟังใคร ไม่ให้ใครหลอก


ฯลฯ


ที่ผมต้องไปศึกษาไม่รู้กี่ศาสนาเพราะอะไร?
ก็เพื่อให้ "รู้ทันเขา" รู้เขา ทันเขา ว่าเขาเล่น
ยังไง ให้เราหลงคิดว่าได้อรหันต์ได้แบบเนียนๆ
คุณเอาแต่ "รู้ของตัวเอง" ไม่เปิดใจเรียนรู้เขา
มันจะทันเขา ได้อย่างไร? สุดท้าย ก็โดนเขาหลอก

 

ศาสนาโปเยและพ้องเพื่อน
พระจิด
พระเจ้า
ผลแอปเปิล
มาร์คไรเดอร์
อุลตร้าแมน
มหาบุรุษเพศ
พลัง "หยาง-เอี๊ยง"
พลัง "อิม-เอี๊ยง"
มีกามกัน
แลกเปลี่ยนลมปราณกัน
เทพราหู
จิตวิญญาณมืด
ปีศาจ
ครึ่งปีศาจ
เซียน
ธรรมผ้าขาว
พลังปราณทิพย์
ความรัก
ดวงใจทิพย์
พระวิญญาณบริสุทธิ์
พลังฟ้า
เทพพระจันทร์

----
เชิญบริโภคกันให้อิ่มหน่ำ

 

สิ่งที่เธอทำอยู่ เป็นของนอกคอก
แต่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามา
เพื่อให้คนยอมรับเท่านั้น


พระอรหันต์จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้อง
อ้างตำรา เธอไปดูเอาได้ ไม่มีองค์
ไหนยึดติดตำรา เขาวางหมดแล้ว
เขาจะพูดอะไร ก็พูดออกมาจากใจ
ได้เลย ไม่สนใจว่าคนจะคิดอย่างไร
ถูกผิดอย่างไร (คนเราพูดผิดกันได้
พระอรหันต์ไม่กลัวพูดผิดด้วยซ้ำไป)

 

คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ "วิชาเทพพระจันทร์"
ก็จริง แต่ "สิ่งที่เธอทำอยู่" ไม่ใช่วิถีของอริยบุคคล
เป็นกัน มันเป็นวิถีของ "เทพ" เท่านั้นเอง