มหาสติปัฎฐาน พุทธภูมิควรอ่าน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย วรกันต์, 26 เมษายน 2008.

  1. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ่อนอื่น ต้องบอกก่อนนะครับ ว่า คิดหนักเหมือนกัน ที่จะโพสกระทู้นี้ เพราะเชื่อว่า
    จะต้องมีคนคิดไม่เหมือนกัน หรือ ไม่เห็นด้วย แน่นอน


    แต่คิดว่าโดยรวมแล้วเป็นประโยชน์จึงอยากจะโพสครับ

    คิดว่า พุทธภูมิทุกท่าน คงพอจะทราบกันแล้วว่า การที่จะได้เกิดมาได้อยู่ในพระพุทธศาสนา ที่มีคำสอนของพระพุทธองค์อยู่นั้น
    เทียบกับสุญกัปป์ แล้ว นั้น หาได้ยากยิ่ง

    เช่น การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในช่วงบารมีปลายนั้น 4 อสงไขยกว่าท่านได้พบกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถึง 20 องค์ เมื่อเทียบกับ
    ชาติที่ท่านเกิดมาในระหว่างนี้แล้วไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทียบไม่ได้เลย

    และแม้ได้เกิดมาในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ยากนักที่จะปฎิบัติธรรมคำสอนของพุทธองค์ได้

    แม้เป็นสัตว์จะฟังเข้าใจ แต่ก็ปฎิบัติไม่ได้

    พวกเราได้เกิดมาในสมัย ที่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงควรที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยสติปัฎฐาน เทอญ

    จากที่สังเกตหลายๆท่าน จะติดกับสมถภาวนา ส่วนมาก
    ไม่ได้บอกนะครับว่า การนั่งสมาธิ หรือ การทำสมถภาวนา ไม่ดี หรือ ไม่ควรทำ
    แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ต้องมีสมภภาวนา อยู่เนืองนิตย์ ท่านก็ทรงสอนด้วย แต่ หาใช่เป็นทางหลุดพ้นไม่

    เวลาที่พวกท่านจะทำสมถภาวนา นั้น อีกมากครับ
    เมื่อเทียบกับเวลาที่ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แต่เวลาที่ปฎิบัติ วิปัสสนานั้น ท่านจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบกับคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เท่านั้น คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าเวลาที่ได้พบกับคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น น้อยนิดเพียงใด

    อย่าพึงติดกับการนั่งสมาธิ และ ถอดจิตไปพบองค์นั้นองค์นี้เลยครับ หรือ ว่านั่งสมาธิแล้วตัวลอย เหาะได้ เห็นอย่างนั้นอย่างนี้
    คุณมีเวลาอีกนับไม่ถ้วนครับ ที่จะปฎิบัติสมถภาวนา เพราะ สิ่งเหล่านี้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น พวกท่านก็ยังทำสิ่งเหล่านี้ได้อยู่

    จริงอยู่ที่การทำสมถภาวนานั้น สามารถถอยกลับมาเจริญวิปัสสนาได้ แต่ถามทีเถอะครับ ว่า เราจะเดินอ้อมไปทำไม ในเมื่อพบทางที่สะดวกกว่าอยู่
    และชีวิตของเราใช่ว่าจะยืนยาว ทำไมไม่รีบคว้าสิ่งที่เป็นปัจจุบันก่อนล่ะครับ

    ถ้าท่านเคยได้ยิน หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าว ว่า
    พุทธภูมิ ยังไงก็ต้องเกาะติดนิพพานเอาไว้้ แม้จะเป็นพุทธภูมิก็เถอะ
    ความหมาย มิใช่ให้พวกท่านคิดถึงนิพพานเนืองๆ และ ก็จินตนาการพระนิพพานว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็อยากไปพระนิพพานนะครับ
    คิดอย่างนั้น เป็น จินตมยปัญญา นะครับ คิดไปได้ครับ แต่ถามว่าจะถึงฝั่งพระนิพพานได้ไหม คำตอบ ได้ แต่ อีกนานครับ

    สิ่งที่เป็นทางเอกที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือ พระมหาสติปัฎฐานสูตร
    การเกาะติดนิพพาน จึงไม่ใช่การที่เราคิดถึงพระนิพพานนะครับ แต่ คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่างหาก

    และ
    ญาณ ที่ได้จากการทำวิปัสสนานั้น ไม่ใช่เหมือน ฌาน ในสมถนะครับ

    แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะ ฌาน ในสมถนั้น คือ การได้อภิญญา ถอดจิตได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ คนที่ได้ญาณในวิปัสสนานั้น คือปัญญาครับ
    ญาณ คือ ความหยั่งรู้ครับ เป็นภาษาง่ายๆว่า ญาณ ก็คือ ความเข้าใจครับ
    ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศได้ หรือ มีัรัศมีรอบกาย ถึงจะเรียกได้ว่าคนนั้นได้ญาณนะครับ

    คนที่ได้ญาณ นั้น คือ คนปกติเดินเหินในชีวิตเราก็มีครับ เพียงแต่เขาตื่น ตื่นจากกิเลส โดยเฉพาะ โมหะ เห็นความจริง ของสิ่งทั้งหลายว่าเป็นทุกข์นะครับ และ เมื่อเห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีคำว่าตัวเราแม้แต่นิดเดียว เมื่อนั้น จิต ก็จะละวางจากทุกข์ จะไม่ปฎิบัติ หรือ ดิ้นรน เพื่อสิ่งเหล่านั้น

    ถามว่า พุทธภูมิ มีสิ่งเหล่านี้ได้หรือ คำตอบ ได้ครับ มีได้แน่นอน แต่ไม่จำเป็นที่ผม ต้องอธิบายตรงส่วนนี้ แต่ขอให้พวกท่านมีสติอยู่ทุกเมื่อเถิดครับ เมื่อใดที่สติตัวจริงเกิด ท่านก็จะรู้ครับ

    สติ ก็ยังไม่เรียกว่า เป็นสิ่งเที่ยง เพราะในโลกนี้หามีสิ่งใดตั้งมั่นไม่ แต่ก็พอเป็นสิ่งที่นำให้เรา ถึงความปรารถนาได้นะครับ
    สติ เกิดได้ ก็ย่อมมีวันดับได้เช่นกันครับ

    หลายท่านผมเข้าใจนะครับ ว่า ยังไม่เข้าใจ และ ไม่คิดที่อยากจะปฎิบัติ ส่วนคนที่ปฎิบัติได้แล้ว ก็คงไม่จำเป็นที่ผมจะต้องมาเตือน นั่นคือ เหตุผลเริ่มแรกที่ ผมยังไม่อยากจะโพสกระทู้นี้ นะครับ
    เพราะ คนที่ยังไม่รู้ ไม่ถึง หรือ ไม่เข้าใจ จะไม่มาอ่าน หรือ อ่านแล้วก็ไม่สนใจปฎิบัติ เพราะระดับบารมียังไม่ถึง
    ส่วนคนที่ถึงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน เพราะ ทราบแล้ว

    จึงไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องโพสกระทู้นี้ เพราะไม่มีประโยชน์ แต่่ ลองมาคิดดูแล้ว ว่า หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มาตรัสรู้ ก็คงไม่มีพวกเราอยู่จนวันนี้

    ดังนั้น การโพสกระทู้นี้ ก็เพื่อหวังว่า จะมีพวกท่านที่ติดในสมถภาวนา ได้มาอ่าน และคิดได้ด้วยปัญญา ได้หลุดจากโมหะ ที่ติดอยู่ในจิต มาพบกับพุทธะ ด้วยเทอญ

    มา
    เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน
    มาตื่นจากความหลง มัวเมา ในสิ่งต่างๆ
    ปล. คำว่าโมหะ ไม่ได้มีความหมายในทางลบเสมอ ไปนะครับ อย่าเข้าใจผิด
    โมหะ ยังหมายถึง การติดในสมถ เช่น อยากนั่งให้ได้เห็นสวรรค์ นรก เห็นพระองค์นั้นองค์นี้ หรือ การติดในวัตถุ เช่น พระเครื่อง ของ บูชาต่างๆ
    ย้ำ นะครับ ว่าสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้บอกว่า ไม่ดี หรือ ไม่ควรทำ
    แต่คุณยังมีเวลาอีกมาก ในวัฎสงสารนี้ ทีจะปฎิบัติ แต่ วิปัสสนานั้น ไม่ได้มีทุกชาติที่คุณเกิดนะครับ จึงไม่แปลกหรอกที่คนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แม้จะมีมาก แต่เมื่อเทียบกับ ปุถุชน แล้ว เทียบไม่ได้

    เพราะ กิเลส เหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งไม่ดีแต่มันก็มีวิธีอย่างแยบคายของมันที่จะทำให้เราติดกับมัน หลงไหล และ มีความสุขกับมัน ยากนะครับที่เราจะเป็นนายมันได้ ยากนะครับที่เราจะตื่นจากสิ่งที่เราหลงได้

    ย้ำนะครับว่ามีสติรู้เท่าทันกิเลส มิได้หมายความว่า เราไม่มีกิเลสนะครับ
    สำหรับ พุทธภูมิแล้ว
    เรายังมีกิเลสทุกตัวเรียงหน้ากันสลอน เลย แต่ เราไม่ถูกมันมันหลอกใช้ ไปเพื่อทำความชั่ว หรือ ความดิ้นรนต่างๆ เรียกว่า รู้เท่าทันมันนั่นเอง

    การที่เรานั่งสมาธิ แล้ว จิตสงบ นิ่ง สบาย ก็ยังไม่ใช่การหลุดพ้นนะครับ เมื่อคลายจากสมาธิ เราก็ยังมีกิเลส อยู่ แต่ ตอนนั่งเรากดมันไว้อยู่ พอออกมา เผลอๆ มันจะยิ่งผยองออกมาใหญ่ ดังที่ มีการเปรียบเทียบไว้ครับ ดังเหมือน
    ก้อนหินทับหญ้า เมื่อเอาหินออก หญ้าก็กลับมางอกงามใหม่ เผลอๆ จะเจริญกว่าดังเดิม

    ที่หลวงพ่อฤาษีบอกว่า ปรมัตถบารมีแล้วจะไม่ลงนรก ที่ไม่ลงนรกเนี่ย ก็เพราะ มีสติเกิด รู้เท่าทันกิเลส ดังนั้น ท่านเหล่านั้นจึงเลือกที่จะทำกรรมดี มากกว่ากรรมชั่ว ได้ เพราะว่าไม่มีกิเลสครอบ
    งำ แต่ถามว่ายังไปนรกได้ อยู่ไหม ได้แน่นอน ครับ ถ้าปล่อยใจให้กิเลสครอบงำ

    ปล.ในนิยตโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์แล้วนั้น จะต้องมีเหตุทั้ง 8 ประการ จึงจะได้รับการพยากรณ์ หนึ่งในข้อนั้นคือ มีเหตุ
    หมายความว่า มีอุปนิสัยในการบรรลุพระอรหันต์ได้ ดังนั้น หลังจากได้รับการพยากรณ์แล้ว นิยตโพธิสัตว์จะสามารถเจริญวิปัสสนาได้ โดยใช้เวลาไม่นานนัก เจริญวิปัสสนาญาณได้เพราะได้ปฎิบัติมาแล้วก่อนหลายชาติ
    รวมถึง ก่อนจะได้รับการพยากรณ์ ก็ได้ปฎิบัติวิปัสสนามาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้น ต้องสะสมกันจนบารมีเต็ม จนมีอัฏฐธรรมสโมธาน ทั้ง 8 เกิดขึ้น จึงจะได้รับการพยากรณ์ไงครับ หนึ่งในนั้นก็คือ เหตุ ครับ (วิปัสสนาญาณนั่นแหละ)

    เพราะถ้าไม่มีวิปัสสนาญาณเกิด ก็จะติดกับสมถ อยู่ จึงเวียนว่ายตายเกิด อีกหลายชาติครับ เพราะติดอยู่กับกิเลส โดยเฉพาะโมหะ

    คำถามว่า นิยตโพธิสัตว์ทำไมต้องยกวิปัสสนาญาณได้(หมายถึงเฉพาะในชาติที่
    ได้เกิดเป็นมนุษย์และพบพระุพุทธศาสนาด้วยนะครับ)
    มีเหตุผลอธิบาย แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ครับ
    ถึงเวลาของพวกท่านท่านจะเข้าใจเอง

    บางท่านก็คิดว่า วิธีที่ตนเองทำนั้น เป็นการเจริญสติปัฎฐาน แล้ว แต่ความจริงเป็นเพียง สมถ เท่านั้น แต่ด้วยเพราะโมหะ หรือ แม้แต่อวิชชา คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว

    ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะ ถ้าวิปัสสนา มันทำง่ายเช่นนั้น เราคงไม่ต้องรอให้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วมาบอกเรา หรอกว่าทำยังไง

    ที่ผม โพสก็ภาวนาให้ท่านที่อ่าน ไ้ด้ตื่น เถอะครับ ถ้าท่านที่ตื่นแล้วก็อนุโมทนาครับ ตื่นแล้ว จะมา
    เพ่งกรรมฐาน 40 ก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ เพราะถ้าท่านมีสติเกิดแล้ว ท่านก็จะรู้็ด้วยสติเองว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยไม่ไปหลง หรือ ไปยึดติดกับมัน
    แต่ถ้าใครที่ยังไม่ตื่น อย่าพึ่งทำเลยครับ จะทำให้การเกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ เป็นการเสียเวลาเปล่า

    คำว่า ตื่น ผมเขียนให้ง่ายครับ แต่ความหมาย คือ การมีวิปัสสนาญาณ เห็นว่ากาย กับ ใจ นี้เป็นไตรลักษณ์ นะครับ จะมีสติ รู้เท่าทันกิเลส

    พระที่ปฎิบัติดีปฎิบัติ ชอบ ที่แนะนำ คือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ครับ
    สนใจ ลองแวะ ไปที่ website ท่านได้ มีคำสอนของท่านให้ load ด้วยครับ
    (search google ดูก็ได้ครับ)

    ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ใช่พุทธภูมิ เป็น สาวกภูมิ แต่ท่านก็เป็นพระอเสขะแล้ว คำสอนของท่าน ดำเนินตรงรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ ก็เสมือนกับว่าเราได้ฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้า แม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดในสมัยท่านก็ตาม( หรือ เกิดแล้วแต่จำไม่ได้ )

    อย่าไปติด เลยครับ กับ คำว่า
    เหลืออีกกี่ชาติ จะบารมีครบ จะได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ รู้ไปแล้วจะทำให้ท่าน บารมีครบเร็วขึ้นเหรอ ไม่ เลย รังแต่จะทำให้ช้าลง เพราะเวลาที่เรารู้แล้ว เราก็จะมีความหลง ความถือตัว
    ความทนงตน ว่า
    ข้าเก่ง ข้าดีี แต่ความจริง สิ่งที่เรียกว่า ตัวกู นั้นหามีไม่
    เมื่อทนงตนแล้ว (มิจฉาทิฎฐิ) ก็มีแต่จะทำชั่วได้ง่ายขึ้น เช่น
    จะเขียนหรือ พูดจา ล่วงเกินผู้อื่น ทำให้เขาได้รับความทุกข์ (คิดมาก) เพราะคิดว่าความคิดของตนเองถูกต้อง กูดี กูแน่ ความคิดกูถูก

    จริงๆผมก็เคย คิดเหมือนพวกท่าน และ พยายามหาทางรู้ว่าตนเองเหลือเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ ถ้าตั้งสติได้ มาคิดอีกที
    ว่า มันจำเป็นด้วยหรือ รู้ไป ก็ไม่ได้ทำให้บารมีเราเต็มเร็วขึ้นเลย กลับจะสร้างกรรมชั่ว ขึ้นมาอีก เพราะหลังจากรู้แล้ว อัตตา ก็เกิดครับ คิดว่ากูดีกูแน่ ทีนี้ล่ะก็ทำบาปได้แน่นอน โดยเฉพาะ วจีกรรม และ มโนกรรม


    ไม่แปลกอีกเช่นกัน ที่ส่วนใหญ่ ชาวพุทธภูมิก็เป็นเช่นนั้น เนื่องจากอุปนิสัยเป็นคนเด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ จึง ทำให้ไม่ค่อยชอบฟังใคร ความเห็นของตนเป็นใหญ่ นั่น ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พวกเราต้องไปทัวร์นรก ก็เพราะ ปรามาสผู้อื่น ทั้งรู้และไม่รู้ตัว

    ดังตัวอย่างพระเจ้าเทวทัต ที่แม้ว่าในชาติเกือบสุดท้ายที่ท่านจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งควรจะปลอดจากนรกแล้วนั้น ได้มาเกิดร่วมกับพระสมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่ชาติก่อนสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    จะได้มีสัมมาทิฎฐิ ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วบวชเป็นพระ เพื่อสร้างบารมียิ่งๆขึ้นไป
    กลับกลายเป็นตกนรกขั้นสุดท้าย เพราะ มีมิจฉาทิฎฐิเสียนี่

    เห็นไหมครับว่าน่ากลัวขนาดไหน
    ถามว่า พระเทวทัตชาตินั้น มีอิทธิฤทธิ์ไหม มีนะครับ แต่หนีจากนรกได้ไหม
    ไม่ได้ครับ

    ปล.ถ้าใครเคยอ่าน ประวัติพระพุทธเจ้า เหตุหนึ่งที่ทำให้พระเทวทัต คิด ปรามาส/หลบหลู่ พระพุทธเจ้า ก็เพราะ พระเทวทัตท่านก็มีอิทธิฤทธิ์เหมือนกัน และ เห็นว่าตนเองก็ทำได้ ทำไมจะต้องไปนับถือพระพุทธเจ้าด้วย


    ของจริงน่ะ ไม่จำเป็นต้องพูดอวดหรอก ครับ มันจะรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องอ้างด้วยว่าคนนั้นคนนี้นั่งสมาธิ ไปถามให้แล้ว ว่าตนเองเหลือกี่ชาติ
    คำว่าชาิติ หาได้เที่ยงไม่ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ การมีสติ อยู่ กับปัจจุบัน


    พระอาจารย์ปราโมทย์
    ที่ผมชอบเพราะ ท่านไม่ได้บอก ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วจะเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือ ท่านไม่ได้บอก เลย ครับ ว่าวิธีไหนดีกว่า
    ท่านไม่มีวิธีปฎิบัติของท่านด้วยซ้ำ เพราะท่านบอกว่า วิธีไหน ก็ได้
    แต่ ขอให้ทำให้ถูกวิธี เท่านั้น ส่วนใหญ่ ที่ทำ นั้น ทำไม่ถูก มีโมหะ เล็กๆ คิดว่าที่เราทำนั้นถูก ส่วนใหญ่ไปติดกับสมถะ ครับ

    ไปติดกับความสงบ กับ สมาธิ หลงไปคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง คิดว่าการที่จิตไปจ่อนิ่ง แช่อยู่ใน สมาธิ นั้นคือทางหลุดพ้น

    ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการโพสกระทู้นี้อยู่แล้ว แต่ด้วยความปรารถนาดีอยากให้พุทธภูมิทุกท่าน วางกำลังใจ(บารมี)ให้ถูกนะครับ อย่าให้การเกิดมาในชาตินี้ของท่านเสียเปล่าเลย

    ขอให้ผลบุญของท่าน จงดลบันดาลให้ท่านได้มาอ่านกระทู้นี้แล้วใช้ปัญญาคิดพิจารณา
    เพื่อเลือกเดินตรงทางเดินที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ด้วยเทอญ.
     
  2. อดีตโก

    อดีตโก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1
    สมถภาวนา.......
    วิปัสนา.........
    กรรมฐาน......
    หมายถึงการที่เราจะทำเป็นขั้นตอนว่าสมถภาวนาก่อนคือสงบจิตสงบใจก่อนเพราะเรื่องทางโลกที่ทำอยู่ทุกวันนี้ยุ่งเหยิงมากมาย แล้วมาหาทางเข้าทางวิปัสนาเพื่อพิจราณาให้เป็นธรรมมะคือความไม่เที่ยงเพื่อให้เกิดปัญญา แล้วขึ้นมาทางกรรมฐานเพื่อมาทางฌาณเพื่อให้รู้ธรรม แล้วจะเห็นทางรู้แจ้งเห็นจริง ทางมหาสติกำหนดรู้ทุกขณะจิต มีสติอยู่กับปัจจุบันหรือมหาสติแล้วเราไปวิปัสนา หรือเข้าทางกรรมฐานเกิดฌาณ ปัญญาแล้วจะรู้แจ้ง มหาสติคือรู้จิตแต่บางครั้งรู้แล้วสงบไม่ได้ครับรู้ว่าดีชั่วแต่ต้องทำทั้งดีทั้งชั่วคงเพราะมีกรรมอยู่แต่มีสติทุกขณะและสงบไม่ได้กับเรื่องที่ตัวเองต้องทำชั่ว เลยเข้าไปทางภาวนาก่อนจนสงบแล้วพิจารณาวิปัสนาให้เกิดปัญญาแล้วพิจรณาทางกรรมฐานเพื่อจะให้เกิดการรู้ทางธรรม การใช้มหาสติเพื่อจะมาทางวิปัสนาให้เกิดปัญญาก่อนแล้วมาทางกรรมฐานใช่หรือไม่มาโดยวิธีใด ท่านผู้รู้ช่วยชี้แนวทางหน่อยครับเพื่อจะไปทางลัดได้ขอขอบคุณครับ
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    25
    ค่าพลัง:
    +29,754
    มีดถ้าบางเกินไป ก็เปราะ คมแต่เปราะบาง ไม่แข็งแกร่ง ระวังคมบิ่นและมีดหัก จะไร้ค่า


    แต่มีด ที่คม และแข็งแกร่ง ตวัดตัดด้วยน้ำหนัก และความคม รวมทั้งตัวมีดเหนียวแน่น แข็งแกร่ง สิ่งที่ถูกตัด ย่อมขาดสะบั้นในทีเดียว



    ความสงบหนักแน่น กำลังแห่งจิตคือ สมถะ
    ความคม คือ ญาณปัญญาอันมีแก่นคือไตรลักษณ์


    แม้เรียกต่างกัน แต่ต้องอยู่ด้วยกัน เสริมกันเป็นของคู่ ไม่อาจแยก
     
  4. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    .....สมแล้วที่เป็น ปัญญาธิกโพธิสัตว์.....เพราะเหตุนี้แหละจึงบารมีเต็มเร็ว...

    .....เพราะเหตุว่าในดวงจิตนั้นได้แจ่มแจ้งในทางธรรมเสียแล้ว....

    ....รู้ว่าเดินทางไหนดี ทางไหนถูก ทางไหนตรง......แต่อยากช่วยคนอื่นด้วย.

    ....แต่ก็จะระวังตัวเองด้วย...คือจะศึกษาจนเข้าใจ หรือที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ..

    ...อันเป็นองค์แรกของมรรค...ทำให้ไม่มัวแต่หลงทางไปทำผิดอยู่...

    บารมีจึงเต็มเร็ว......สาธุ.....
     
  5. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    เมื่อก่อนผมก็มุ่งสมถะเหมือนกัน....และก้ได้อ่านธรรมะดีๆจาก

    คุณดังตฤน และ พระอาจารย์ปราโมชย์....ทำให้ได้สิ่งสำคัญที่สุดมา

    .....คือ สัมมาทิฏฐิ....เข้าใจไปในจิตว่า การเกิดคือทุกข์เป็นอย่างไร

    และเชื่อมั้ยครับว่า พอจิตมันเข้าใจอย่างนี้แล้ว....

    มันมีความความหนักแน่นเกิดในใจมากกว่าเดิมอีก...ว่าอย่างไรซะเราต้อง

    บำเพ็บบารมีได้เต็มอย่างแน่นอน จากเดิมที่ก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่....

    มันเป็นความรู้สึกนะ บรรยายไม่ถูก

    แล้วทีนี้พอได้สัมมาทิฎฐิแล้ว....กลับมาทำสมถะกรรมฐาน

    ใจมันต่างจากเดิมมากกกกก จากเดิมที่หนักๆ จะต้องทำให้ได้เท่านั้น

    แต่ได้ไปทำไรไม่รู้..รู้แต่ได้แล้วกูเก่ง กูแน่ กูเหนือใคร.....

    แล้วต่พอได้สัมมาทิฏฐิแกลายเป็น "ฉันจะต้องฝึกให้ครบ...เพื่อเมื่อเวลาฉัน

    เป็นพระพุทธเจ้า...ฉันจะได้สอนคนทุกคนที่จริตต่างกัน

    ได้ด้วยเครื่องมือต่างๆที่ฉันเคยได้มา....

    แต่จะไม่หลงไปว่าตัวเองเก่ง....เพราะถ้าใครทำเหตุปัจจัยให้เกิด

    ขึ้นแบบเราได้...เขาก็ทำได้เหมือนกัน....ไอ้ความรู้สึกว่ากูเก่งนั้นไม่มีเลย

    ใจมันเลยเบา..สบาย ...ฝึกอะไรก็ก้าวหน้า...

    เลยอยากลองเชิญชวนให้พุทธภูมิทุกท่าน....มาลองศึกษาดูนะคับ

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า....

    "ทางสายเอกที่จะนำสัตว์ทั้งหลายข้ามทุกข์ได้นอกจากนี้ไม่มี....ทางสายนั้น

    คือ สติปัฏฐานสูตร"
     
  6. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ครับ แต่ละคนปัญญาทางธรรมเฉียบแหลมคมจริงๆ ตอนนี้เราเดินสมณะอยู่ กำลังเล่นฌานอยู่และกระทำให้เป็นวสี (อยู่ในฌานก็สุขในฌานดี)จึงได้แต่อ่านความเห็นของเพื่อนๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 เมษายน 2008
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณวรกันต์ เปลี่ยนไปมากนะครับ

    เปลี่ยนไปทางที่ดี มี สัมมาทิฏฐิ ผมเห็นด้วยเลยเรื่องการทำ สมถะสมาธิ
    ที่ว่าทำแล้วเหาะเหินได้ มีฤทธิ๋ รักษาคน ก็ดูอย่างสารคดี คลิ๊ปวีดีโอ
    ก็มีคนทำอย่างนู้นอย่างนี้ได้กันดาษดื่น เป็นของชาวบ้าน ....มีอีกนะครับ
    เป็นพุทธวัจนะเสยด้วย

    เมื่อสมถะ สมาธิ นั้นเป็นของมีอยู่แล้ว ทำไปแล้วก็ไม่รู้จะแยกตัวเองออก
    จากพราหม์ได้อย่างไร ไม่รู้แตกต่างจากเขาตรงไหน ก็ควรพิจารณาตรง
    จุดนี้ให้มากๆ

    จะเห็นว่า วิปัสสนา นั้นแหละ ที่คนอื่นเขาไม่มี ความคาบเกี่ยวระหว่าง สมถะ
    กับ วิปัสสนา ก็อยู่แค่ สมถะ หรือ พราห์ม ก็อยู่ที่เขา จมดิ่งไปกับฌาณ จะกี่ชั้น
    ๆ ก็แล้วแต่จะจมลงไป ลึกเท่าไหร่ก็เลิศเท่านั้น แต่จะเป็นวิปัสสนาทันที ถ้าเรา
    เอามารู้สึก ฌาณไหนๆ ก็แล้วแต่ เอามารู้สึก ให้เป็นแค่ของที่ถูกรู้ถูกดู และให้
    เห็นว่ามันเสื่อมไป มันไม่อาจคงทนอยู่ได้ ฌาณที่ลึกที่สุดพระสมณโคตมก็ชี้ไว้
    แล้วว่าก็เสื่อมอยู่ดี ก็คือ ฌาณที่พระดาบสผู้เป็นอาจารย์ของพระพุทธองค์ทั้ง
    สองท่าน -- เอาง่ายๆ กรณีพระพุทธมารดา พระพุทธองค์ยังเสด็จไปโปรดได้
    แล้วทำไมไม่เสด็จไปโปรดพระอาจารย์ -- ก็เพราะไปแล้วก็ไม่มีปัจจัยให้สอนได้
    ไม่มีปัจจัยมาทำวิปัสสนา -- เห็นไหมครับว่าลึกสุดของฌาณนั้น จะหมดของใช้
    เรียนวิปัสสนา กว่าจะเห็นไตรลักษณ์ นานมากๆ

    ทุกท่านก็ควรเฉลียวใจนิดหนึ่งก็พอ

    สำหรับพุทธภูมิ ท่านควรเน้นให้สาธุชนเรียนอะไร สมถะ หรือ วิปัสสนา ถ้าเป็น
    วิปัสสนา ก็แปลว่าท่านได้ทนุบำรุงพุทธศาสนา ถ้าอย่างอื่นก็พูดได้ไม่เต็มปาก

    หลวงปู่มั่น ก็มีการชี้เอาไว้ ว่า สมถะ คือทางเนิ่นช้า ใช่ว่าท่านไ่มได้กล่าว สุดท้าย
    ท่านก็เน้นที่ การเจริญสติ หรือ การเพียร หรือ วิปัสสนา นี่ก็เป็นปฏิปทา
    ของพุทธภูมิที่หลวงปู่มั่นท่านได้ฝากเอาไว้
     
  8. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    บางสิ่งก็คงถูก บางสิ่งผมก็ไม่เห็นด้วยครับ แต่จะไม่พูดอะไรมากเช่นกัน
    อนุโมทนาครับ
     
  9. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    คุณ เด็กโชว์พาว ครับ ถ้ามีความคิดเห็นอะไร หรือ ความคิดเห็นไม่ตรงกัน

    ก็แนะนำ และ ส่งความคิดเห็นมาเถอะครับ

    ไม่ได้มีใครถูกไปทั้งหมดหรอกครับรวมทั้งผมด้วย

    อยากให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน น่าจะเป็นประโยชน์กว่าครับ

    รอคำแนะนำอยู่นะครับ (ท่านอื่นด้วยครับ)
     
  10. Kerisawa

    Kerisawa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +96
    ขออนุโมทนาค่ะ
    ยอมรับว่าเป็นคนนึงที่ปฏิบัติไปทางสมถะ มากกว่าวิปัสสนา
    หลงอยู่ก็นานพอควร พึ่งตื่นมาได้จริงๆ ก็ไม่นานมากค่ะ

    แต่ถ้าถามว่ายังตื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะหรือยัง?
    ก็ไม่มากค่ะ ยังหลงอยู่เยอะ เพราะ ปฏิบัติเรื่องวิปัสสนาเนี่ยเราจะอ้อมๆ คือต้อง ใช้สมถะช่วยก่อนเกือบทุกครั้ง

    ตรงนี้อาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่ชอบยึดติด ฟุ้งซ่านค่ะ แล้วมักได้ยินว่า ให้นั่งสมาธิ ทำสมถะมากกว่าวิปัสสนา มาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ
     
  11. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ทำวิปัสสนาไม่ยากอย่างที่คิด.....แค่รู้....

    รู้ว่าทุกอย่าง เกิดขื้น ตั้งอยู่ และต้องดับไปในที่สุด

    รู้โดยไม่ไปแทรกแซงภาวะนั้นๆ.....คือแค่รู้เฉยๆ...

    อย่างเช่น เมื่อรู้ตัวว่าเรากำลังฟุ้งซ่าน....ก็รู้อยู่ว่าฟุ้งซ่าน...

    ไม่ใช่รู้ว่ามีความฟุ้งซ่านแล้วพยายามข่มมันลง....แต่เป็นการดูมันเฉยๆ....

    เมื่อเราไม่ไปเพิ่มเชื้อของความฟุ้งซ่าน....เพราะเรามาสนใจความรู้สึกที่ว่า

    เรากำลังฟุ้งซ่านเสียแล้ว.....เหตุปัจจัยของความฟุ้งซ่านหมดไป...

    ความฟุ้งซ่านก็หมดไป แล้วแทนที่ด้วยความรู้ตัวแทน.....

    ไม่ยากอย่างที่คิดคับ.....เพียงแต่จะทำได้ถูกวิธีหรือไม่เท่านั้น
     
  12. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    แต่ถ้าถามว่า จำเป็นต้องทำสมถะก่อนแล้วจึงทำวิปัสสนาหรือไม่...

    ก็คงตอบว่าแล้วแต่คนนะคับ

    เพราะมีการเปรียบเทียบไว้ว่า การทำวิปัสสนาเป็นการรู้อารมณ์ปัจจุบัน

    ซึ่งเกิดดับรวดเร็วมาก อาจจะทำให้บางคนตามรู้ไม่ทัน ดังนั้นจึงควร

    ทำสมถะซึ่งเป็นการรู้อารมณ์เทียม(อารมณ์ที่ถูกสร้างขึ้น เช่นการกำหนดภาพ ลมหายใจ)

    เพื่อให้จิตชินกับการรู้อารมณ์เดียวเสียก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนา

    ไปรู้อารมณ์ที่เกิดดับรวดเร็วขึ้น...

    แต่หากในบางคนที่จิตมีคุณภาพอยู่แล้ว อาจทำวิปัสนาได้เลยโดยไม่ต้อง

    ทำสมถะก่อน.....
     
  13. บัวเกี๋ยง

    บัวเกี๋ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    549
    ค่าพลัง:
    +431
    การรู้สภาวะจิตของตนเองคือการมีสติที่สมบูรณ์รู้ดีชั่วแยกแยะได้รู้เท่าทันกิเลสดีสุด
     
  14. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    เห็นด้วยครับ อนุโมทนากับทุกท่านครับ แต่ละท่านล้วนสุดยอด อ่านแล้วซาบซึ้งมากครับ ผมชอบมากครับ คำว่าทางสายหลัก ผมเองก็กำลังเจริญอยู่
    แต่ไม่รู้จะได้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้คิดมาก ไม่รีบร้อน เท่าไหนเท่ากันขอลองทำก่อน อย่างน้อยก็เป็นนิสสัย ปัจจัย ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีวันเสร็จใช่ไหมครับ ผมเองเพิ่งเริ่ม ไงก็แนะนำและเอาใจช่วยผมด้วยนะครับ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอบคุณครับ

    แล้วก็ อย่างที่คุณวรกันต์ได้กล่าวไปครับว่า
    เรามีเวปบอร์ดไว้แลกเปลี่ยนความคิด
    ถ้าจะแสดงความเมตตาและกรุณาโปรดแสดงความคิดนะครับ
    หากคิดว่า การแสดงความคิดนั้น เป็นการก่อเวร หรือเกรงว่าจะก่อเวรใดๆ
    พึงเกริ่นนำด้วยสุภาษิตให้คนอ่านได้ยั้งคิดก่อนว่าเราไม่มีเจตนากว่ากล่าวหรือเจตนาร้ายเพื่อให้คนอ่านตั้งจิตเป็นกุศลก่อน
    หรือจะกล่าวแสดงความอ่อนน้อม ถ่อมตัวก่อน หรือไม่ก็ออกตัวก่อนว่าเป็นแค่ความคิด และอย่าได้ยึดติดว่าตัวเรา ของเราหรือความคิดเราถูกเสมอ
    ผมว่าก็ดีนะครับเพราะถ้าเราเปิดกว้าง วางใจเป็นกลางและจะได้รู้อะไรอีกมากมาย เมื่อรู้อะไรหลายๆอย่าง แล้วจึงใช้ปัญญาพิจารณาครับ
    และกล่าว อโหสิกรรม กล่าวขอขมากรรม และอนุโมทนาส่วนแห่งกุศลกรรมครับ จะเป็นการดีต่อทุกฝ่ายครับ
     
  15. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    ขออนุโมทนากับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับเจ้าของกระทู้และผู้ตอบกระทูทุกท่าน :)
     
  16. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    ช่วยกันดันนะครับ ......
     
  17. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    จริต 6 ทำให้คนต่างกัน มีช้ามีเร็ว กรรมฐาน 40 กองก็เพื่อคนเหล่านี้ สติปัฎฐานมีทั้งที่เป็นสมถะและวิปัสสนา เช่น อานาปานุสติกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นสมถะ ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับพิจารณาว่าลมหายใจมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์สุดท้ายก็สลายตัว ควรเบื่อหน่ายเป็นวิปัสสนา แล้วแต่ว่าเราจะสบายใจตรงจุดไหน แล้วแต่ความชอบ บางคนใช้สมถะสบาย บางคนใช้วิปัสสนาสบาย แต่ทั้งสมถะกับวิปัสสนามันจะอยู่ด้วยกัน ใครที่ว่าใช้วิปัสสนาเลยไม่ใช้สมถะ แสดงว่าคนนั้นไม่เคยปฏิบัติเลย รู้ไม่จริง ฉนั้น จริตเป็นเรื่องสำคัญ
     
  18. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับ พี่นี่ให้แสงสว่างกับผม เพราะผมเกือบไปหลงโมหะ ผมคิดว่าตัวเองได้แล้ว จะไปทําตามคนอื่นสอนทําไม วิธีเรานี่แหละดีกว่า คือผมเห็นกิเลศมันจะมาคอย หลอกล่อ จูงเราไปลงนรก โอยๆ พี่ครับ ผมขอถามต่อ ถ้าผมเห็นความเลวแบบนี้ คิดว่าตัวเองเก่งจะไปฟังคนอืนทําไม ควรจะแก้ยังไง เพราะผมเจอโมหะ แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง
     
  19. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณครับที่สอน ทําให้ผมได้สติ เพราะผมเกือบไปคิดว่า ตัวเองนี่เก่ง ผมปรามาทอยู่มาก
     
  20. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    รู้แล้ววางครับ เห็นว่าตัวเองเก่งก๊เป็นมานะ เห็นว่าตัวเสมอเขาก็เป็นมานะ เห้นว่าตัวด้อยกว่าเขาก็เป็นมานะ รู้แล้ววางซะ ตัวเองชอบอะไรสบายใจก็ทำอันนั้น กรรมฐานทุกกองเข้านิพพานได้หมดทุกกอง ถ้าเข้าไม่ได้พระพุทธองค์จะเอามาสอนทำไมกัน ใครบอกว่ากรรมฐาน 40 กองเป็นสมถะแสดงว่าคนนั้นเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เขาบรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกรรมฐาน 40 กองมาเยอะต่อเยอะแล้ว คำสอนของพระพุทธองค์ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรมุ่งตรงนิพพานหมด ให้เข้ากับจริต 6 ไม่อยากให้หลายคนบิดเบือนมากไปกว่านี้ ถ้าอยากรู้ว่ากรรมฐาน 40 กองเป็นยังงัยก็ทดสอบด้วยการปฏิบัติดูสิ จะได้ไม่ต้องสงสัยพุทธคุณอีกต่อไป ที่ไม่สำเร็จก็เพราะไอ้สงสัยนี่แหล่ะ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว เรามีหน้าท่ปฏิบัติตาม อย่าสงสัยให้มาก ปฏิบัติตามอย่างเดียวพอ ยิ่งสงสัยต่อให้ปฏิบัติกี่โกฏิกัป ก็ไม่มีวันสำเร็จหรอกเชื่อดิ เอาหัวเป็นประกันเลย ทุกคำพูดของพระพุทธองค์ล้วนบริสุทธิ์ บริบูรณ์ทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนปลาย ต้องไปสงสัยทำไมให้เปลืองสมองเปล่าๆ สงสารหลายๆคนเหลือเกินที่มัวสงสัยจนเนิ่นช้าต่อการปฏิบัติ แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากศีล สมาธิ ปัญญากลับตกต่ำเพราะสงสัยนี่แหล่ะ เฮ้อๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...