พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 101 หลวงปู่ศุขแก้ปริศนาลูกธนู.............




    ...................สำหรับลูกธนูปริศนาที่เมืองยิงไปปักที่ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิที่มีระดับความสูงเท่า

    กับพื้นกระดานกุฏิของหลวงศุขนั้นมีความหมายคืออะไรที่เขาส่งไปหาหลวงปู่ศุข.....ท่านผู้มีเกียรติ

    ที่ติดตามอ่านก็ลองคิดปริศนาที่เขากระทำเพื่อลองปัญญาของท่านดูนะครับว่า..การกระทำของเมือง

    หมายถึงสิ่งใด...ตั้งแต่เขาควบม้าอย่างเร็ววนรอบกุฏิของหลวงปู่ศุขเป็นทักษิณาวัตร 3 รอบ..

    และควบม้าออกไปจากกุฏิและยิงลูกธนูที่พันผูกจีวรไว้ที่บริเวณปลายแหลมเป็นเงื่อนตาย..

    และปล่อยชายผ้าจีวรออกให้พริ้วแผ่วไปตามกระแสลม...รวมทั้งด้านท้ายที่เขาผูกดอก

    ทานตะวันโดยหันหน้าดอก..ไปด้านท้ายของลูกธนู...ปริศนานี้เขาจะบอกอะไรแก่หลวงปู่ศุขและ

    เขาจะพูดอะไรกับหลวงปู่ศุข.....ลองคิดแก้ปริศนานี้ดูนะครับ...แล้วมาเทียบเคียงดูกับที่ผู้เขียนจะเขียน

    ต่อไป......

    .....................ก็ต้องย้อนไปให้เห็นพฤติการณ์ที่เทียบเคียงของการใช้ลูกธนูเป็นสื่อนี้ให้ฟัง..ใน

    หน้าที่ 20 ตอนที่ 38 ลูกธนูดอกกุหลาบแห่งคำมั่นสัญญา..ที่เมือง มีสุข ได้นำดอกกุหลาบมาผูก

    ไว้ที่ปลายแหลมของลูกธนู....ทำให้ปลายแหลมของลูกธนูกลายมาเป็นดอกกุหลาบแดง..อันทำให้

    เห็นว่าเป็นลูกธนูที่ไม่ทำร้ายใคร..แต่เป็นลูกธนูแห่งความสวยงาม...โดยเมืองมอบให้แก่สาย

    พิณลูกสาวคนเล็กของเจ้าเมืองน่านที่เขาพบกันเป็นครั้งแรก...ว่า"ธนูนี้คือคำมั่นสัญญาที่หาก

    สะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างขึ้นเสร็จเมื่อไร..เขาจะพานางขี่ม้าขึ้นไปสู่กับดวงอาทิจย์บนยอดเขา

    สูง"...ลูกธนูน่าจะหมายถึงอะไร.......

    .....................และก็ต้องย้อนไปดูพฤติการณ์ในหน้า 25 ตอน 59 อนุสรณ์ความทรงจำของลูก

    แม่....ที่เมืองได้นำผ้าขาวที่เพื่อนชาวพม่าที่หมู่บ้านปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวินเขียนภาษา

    พม่าเอาไว้ให้เขา...และเขาได้นำผ้าขาวจำนวนมากเขียนอักษรตามจำนวนหลายผืน...และได้

    ลักลอบเข้าไปที่คลังอาวุธของหมู่บ้านปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน...นำลูกธนูจำนวนมากที่มี

    คราบเลือดติดอยู่...ที่เก็บได้จากการต่อสู้ที่ทหารของขุนนางพม่าบุกโจมตีหมู่บ้าน.....

    ....................เขานำผ้าที่เขียนอักษรไว้ผูกกับลูกธนูแล้วยิงไปทั่วเมืองสำคัญและหมู่บ้าน

    สำคัญของพม่า...เพื่อให้ผู้คนเก็บนำหนังสือนี้ให้..ขุนนางพม่าอ่านตีความปริศนาที่เขียนไว้ว่า

    "รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่อังกฤษ"

    ....................เมื่อศึกษาพฤติการณ์การใช้ลูกธนูคร่าว ๆของเขาแล้วนำมาเทียบเคียงดูเพื่อ

    ตีปริศนาไปพร้อมกับหลวงปู่ศุขในตอนนี้ครับ...แล้วก็ขอบอกว่า"ลูกธนูที่สายพินได้รับไป..ไม่

    ได้เกิดจากการยิงลูกธนู.....แต่เป็นเพราะเมืองส่งมอบให้แก่นาง"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลวงปู่ศุขหยั่งรู้ว่าเมืองทำอะไร......หลังจากเขาลับตาไปแล้ว..หลวงปู่ศุข

    เดินออกจากกุฏิ..แล้วเดินเหยืยบพื้นกระดานกุฏิมาใกล้กับลูกธนูที่ปักอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น...

    หลวงปู่แย้มยิ้มเมื่อเห็นลูกธนูดอกนั้นปักอยู่ระดับความสูงระดับเดียวกับพื้นกระดาน...ทำให้

    เห็นว่า"ลูกธนูนี้อยู่ใต้แทบเท้าของหลวงปู่ที่เหยียบพื้นกระดานอยู่"......ท่านเอ่ยรำพึงรำพัน

    ขึ้นอย่างเบา ๆ

    ............................"เจ้าหนุ่มราชสีห์นี่ยิงธนูได้แม่นเอาการที่เดียว"

    .....................บุญนำและสมพงษ์เดินขึ้นมาหาหลวงปู่ศุขที่ยืนมองดูลูกธนูที่ปักอยู่พลางบุญนำได้

    เอ่ยขึ้น

    ............................"หลวงปู่..ข้าเห็นเหตุการณ์ในขณะที่เขายิงธนูดอกนี้มาปักที่ต้นไม้...มัน

    หมายความว่าอย่างไรหรือหลวงปู่"

    ............................"ท่าทางเหมือนเขาจะท้า..หลวงปู่ให้ไปรบกับเขาหรือหลวงปู่" สมพงษ์เอ่ย

    บ้าง...ทำให้หลวงปู่หัวเราะเบา ๆในความไม่รู้ของลูกศิษย์

    ............................"ข้าเห็นเขาเอาจริงเอาจังมากเลย...ข้าไม่เคยเห็นใครที่ยิงธนูในขณะควบม้า

    ได้แรงอย่างนี้มาก่อนเลย" บุญนำเอ่ยต่อ

    ............................"ข้ารู้ว่าเขายิงธนูได้หนักแน่นทีเดียว...เชิงธนูของเขามากับปัญญา...ทำให้

    เขาสามารถตอบโต้นักแม่นธนูอีกฝ่ายได้" หลวงปู่เปรยเปิดทางให้ลูกศิษย์ฟังเพื่อถาม

    ............................"เขาไปยิงธนูตอบโต้กับใครหรือหลวงปู่" สมพงษ์ถาม

    ............................"กองทัพพม่า" หลวงปู่ตอบ

    ............................"หา...ยังมีกองทัพพม่าออกมารบอีกหรือสมัยนี้..ข้าเรียนมารู้ว่าพม่าถูก

    อังกฤษยึดเมืองไปแล้วนะหลวงปู่" บุญนำอุทานแล้วถามพร้อมกับมองหน้าสมพงษ์

    ............................."พวกเอ็งอย่าสงสัยมากนักเลย...ถามไปก็เล่าไม่จบ" หลวงปู่พูดปราม....

    พร้อมกับหันกลับมองดูลูกธนูดอกนั้น

    ....................สายลมแรงพัดจีวรที่ผูกอยู่ที่ลูกธนูปลิวไสวอีก...บุญนำและสมพงษ์มองหน้าหลวงปู่

    ที่หยุดนิ่งไป....แล้วท่านก็ถอนหายใจ

    .............................."หลวงปู่มีอะไรหนักใจหรือ" บุญนำถาม

    .............................."เจ้าหนุ่มคนนั้น...ใจของมันไม่เป็นหนึ่ง" หลวงปู่ตอบ

    .............................."หมายความว่าอย่างไรหรือหลวงปู่" สมพงษ์ถามบ้าง

    .............................."ก็ทางที่มันเลือกนะสิ....มันเลือกทั้งสองทาง"

    .............................."ข้าไม่เข้าใจ..หลวงปู่...มันหมายความว่าอย่างไรหรือ..การกระทำ

    ที่เขาทำทั้งหมด" บุญนำถามอย่างสงสัยด้วยคิดอยู่แล้วว่าหลวงปู่ศุขตีปริศนาของเขาออกได้

    อย่างแน่นอน.....

    .............................."ที่เจ้าหนุ่มนั้นผูกผ้าจีวรไว้ที่ปลายแหลมเป็นเงื่อนตาย..เขาต้อง

    การจะบอกว่า...เขาเลือกที่จะอยู่กับข้า..และเรียนรู้ธรรมจากข้าก่อนเป็นอันดับแรก....เงื่อน

    ตายที่เขาผูกไว้มันคือสัจจะที่เขาให้แก่ข้า...ส่วนดอกทานตะวันที่เขาผูกไว้ท้ายลูกธนู...เขา

    ไม่ทิ้ง...เขายังผูกพันกับมันอยู่...โดยเปรียบตัวเองเป็นดังลูกธนู..และก็ขอเลือกดอก

    ทานตะวันนี้ด้วยเป็นอันดับท้าย...เมื่อเขาอยู่ครบ 2 ปี ..เขาต้องการให้ข้าส่งเขาไปที่ทุ่งดอก

    ทานตะวัน...ก็คงจะเป็นผู้หญิงที่มากับเสียงขลุ่ยคนนั้น...ที่เขาคาใจ"..........หลวงปู่ศุขอธิ

    บาย

    ............................"แล้วที่เขาควบม้าวนรอบกุฏิ 3 รอบล่ะหลวงปู่หมายถึงอะไร" บุญนำ

    ถามต่อ

    ............................"เขาต้องการบอกข้าว่า..เขาเคารพข้าอย่างสูง..เช่นเดียวกับคนสมัย

    โบราณ...ที่เวลาให้การเคารพนับถือก็จะเดินวนเช่นนี้..เหมือนการบวชพระที่วนรอบโบสถ์นั่น

    แหละ"......

    ............................"แล้วที่เขายิงธนูมาปักที่ต้นไม้ที่ระดับเดียวกับพื้นกระดานกุฏิของ

    หลวงปู่หมายความว่าอย่างไร" สมพงษ์ถามบ้าง

    ............................"เขายอมอยู่แทบเท้าของข้าและขอขมาโทษที่ล่วงเกิน..และประสงค์

    จะอยู่กับข้าเหมือนลูกธนูที่ปักอยู่....ตัวเขาคือลูกธนู.."......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมื่อเรียบเรียงปริศนาของเมือง มีสุข ก็ได้ความตามที่หลวงปู่ศุขแก้ปริศนานั้นได้ คือ

    การที่เมืองควบม้าวนทักษิณา 3 รอบคือ การที่เขาตั้งใจให้ความเคารพหลวงปู่อย่างสูงก่อนที่จะส่ง

    ปริศนาดอกธนูให้แก่หลวงปู่ศุข..โดยยิงปักไว้ที่ต้นไม้ข้างกุฏิให้ระดับความสูงเสมอพื้นไม้กระดาน..โดย

    ตั้งใจไม่ให้ลูกธนูอยู่สูงเหนือเท้าหลวงปู่ศุขเลย...เมื่อหลวงปู่ศุขเดินมาใกล้ลูกธนู..ก็จะเห็นว่าลูกธนูอยู่

    แทบเท้าของหลวงปู่ศุขซึ่งแสดงให้เห็นว่า..เขาไม่ขอล่วงเกินหลวงปู่ศุข..ขออยู่แทบเท้า...โดย

    ลักษณะของลูกธนูที่หมายถึงตัวเขาแสดงให้เห็นการเลือกอย่างชาญฉลาดที่เลือกที่จะทำสองอย่าง..

    คือผ้าจีวรที่ผูกติดปลายแหลมเป็นเงื่อนตายแสดงให้เห็นถึงสัจจะหนักแน่นว่าเขาจะอยู่กับหลวงปู่ตามที่

    ท่านกำหนด....และจะขอให้ท่านส่งเขาไปทุ่งดอกทานตะวันเป็นอย่างที่สอง

    .....................การใช้ปัญญาส่งปริศนากลับไปมาของหลวงปู่ศุขกับเมือง...สร้างความตื่นเต้นให้

    แก่ผู้รู้เรื่องราว...และนึกคาใจเสมอว่า"ทำไมหลวงปู่ศุขหรือเมืองไม่ยอมพบและพูดกันเลย....แต่

    ชอบที่จะส่งปริศนาให้แก่กันไปมาเช่นนี้"....

    ......................ลูกธนูยังคงปักอยู่ที่เดิม..เมืองควบม้ากลับมาดูลาดเลาและกลับลง

    แพ......เขาคิดว่าหลวงปู่คงเห็นสิ่งที่เขาเลือกแล้ว....และเขาก็กำลังรอว่าเมื่อไรหลวงปู่จะให้เขาเข้า

    พบ.....

    ......................ในความเป็นจริงหลวงปู่ศุขต้องการให้เขาบวชเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัด....

    แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วพบว่า"วาสนาหรือชะตาของเขาเป็นพระหรือบวชเป็นพระไม่ได้อย่างแน่

    นอน".........เขาแตกต่างจาก"พี่เณร"ที่เมืองสุราษฎร์ที่.......พี่เณรเตรียมความพร้อมที่จะเลือกชีวิตที่

    เหมาะสมสำหรับเขา..ในเมื่อพี่เณรนั้นเรียนรู้ทั้งทางธรรมและทางโลกจนพร้อมสรรพ.....เขาจึงเพียง

    แต่รอเวลาที่เหตุการณ์จะพาเขาไปทิศทางใด

    ....................ไม่เหมือนเมือง มีสุข ที่ไม่อาจเป็นอิสระในการเลือก...การเลือกของเขาอยู่ในขอบ

    ข่ายแห่งการบังคับเป็นนัย ๆเช่น ปริศนาทางเลือกที่หลวงปู่ศุขส่งมาให้

    ....................หลวงปู่ศุขกำลังนั่งทางในของท่านตรวจดูความเป็นไปของเมืองน่าน...หลวงปู่คิด

    ว่า..จะดึงเขาออกจากเมืองน่าน...และส่งให้ไปอยู่กับเสด็จในกรมที่บางกอก...ซึ่งหลวงปู่ศุขก็มีหมาย

    กำหนดการณ์ที่จะไปในพิธีไหว้ครูในไม่ช้านี้......
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......................ตอนที่ 1 ผู้พบขวดแก้ว.....................





    ....................วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2466 ณ เมืองน่าน เสียงปืนดังสนั่นก้อง

    กัมปนาททั้งสองฝั่งแม่น้ำน่าน ..กองกำลังจากเมืองพม่าจำนวนหนึ่งได้เข้าโจมตีเมืองน่านทั้ง

    ฝั่งตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของเมืองน่าน..และฝั่งตะวันออก..

    .....................เจ้าหน้าที่ของเมืองน่านทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก..ต่างระดมยิงเข้าต่อสู้เป็น

    พัลวัน...ชุมชนขาวเขาป่าดอยของเมืองน่านเกือบทุกชนเผ่า...ต่างมุ่งเข้ามาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่

    กับเจ้าหน้าที่ของเมืองน่านเพื่อต่อสู้กับกองกำลังของพม่า...ที่ไร้ซึ่งสัจจะที่ให้ไว้ในข้อตกลงในตอน

    ไทยช่วยรบอังกฤษว่า..พม่าจะไม่รุกรานแดนไทย...

    .....................ทั้งตำรวจ..และเจ้าหน้าที่..กองกำลังจากพม่า...ต่างนอนตายร่วงหล่นดุจใบไม้

    ร่วง.......

    .....................กลางลำน้ำน่านมีชายหนุ่มรูปร่างสง่างามได้ลอยตัวอยู่กลางลำน้ำ..เขาถูก

    กองกำลังพม่ายิงจนเลือดไหลออกมาจนแม่น้ำน่านช่วงที่เขาลอยคอแดงด้วยเลือดของ

    เขา.....

    .................................."ยิงสกัดพวกมันไว้..ช่วยเขาขึ้นมาให้ได้" เสียงเจ้าหน้าที่

    ตะโกนจากฝั่งตะวันตก...เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังว่ายน้ำข้ามฟากจากฝั่งตะวันออกมาฝั่ง

    ตะวันตก...และถูกยิงจนเลือดแดงฉาน...

    .................................."ดูท่าทางเขาจะไปไม่ไหวแล้วนะ" เสียงเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก

    อีกหนึ่งคนตะโกนเตือนพวกเดียวกัน..ในขณะที่กระสุนปืนจากฝั่งตะวันออกก็พุ่งเข้าใส่ร่าง

    ของเขา..และพุ่งมายังเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก

    ................................."ฝั่งตะวันออกดูท่าจะต้านไม่ไหวแล้ว...พวกชาวเขาที่ไปช่วย

    ฝั่งตะวันออกถูกยิงล้มตายไปจำนวนมากแล้ว"เสียงเอ่ยบอกสถานการณ์ฝั่งตะวันตกอันเป็น

    ที่ตั้งของเมืองน่านเตรียมความพร้อม

    ....................ชายหนุ่มที่ลอยคออยู่กลางลำน้ำน่าน...กำลังจะหมดแรงลงไปเรื่อย ๆ..เขา

    ไม่สามารถว่ายน้ำหรือพยุงตัวได้อีกแล้ว....ในทันใดนั้น..บนท้องฟ้าก็มีนกกาเผือกสีขาว

    บริสุทธิ์ตัวหนึ่ง..ร้องส่งเสียงดังเหนือลำน้ำน่าน...แล้วพุ่งโฉบตัวของมันมาอย่างแรง...ตรง

    เข้ามาใช้ปากจิกคาบที่คอเสื้อของชายหนุ่มนั้น...และมันได้พยายามกระพือปีกบินขึ้น...เพื่อ

    ฉุดเขาขึ้นจากลำน้ำน่าน....อนิจจา..ขณะนี้ไม่มีคนผู้ใดช่วยเหลือเขาได้เลย....แต่เจ้านกสี

    ขาวบริสุทธิ์ตัวนี้มาจากไหน......จึงเพียรพยายามที่จะช่วยเหลือเขาโดยไม่คิดถึงชีวิตของตน

    เอง...นกกาเผือกสีขาวมีอะไรผูกพันกับบุรุษหนุ่มผู้ที่กำลังจะลาลับจากโลกนี้หรือ.....

    .....................นกกาเผือกพยายามกระพือปีก..เพื่อพยุงเขาไว้ไม่ให้จมน้ำ..แม้ตัวมันเอง

    จะไม่สามารถฉุดเขาบินขึ้นจากน้ำได้ก็ตาม....ชายหนุ่มซาบซึ้งในน้ำใจเจ้านกสีขาว..แต่เขา

    ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้มาก........เขาได้หยิบ"ขวดแก้วรูปทรงมะม่วงซึ่งมีเพียงครึ่งซีกซึ่ง

    ภายในได้บรรจุสิ่งของไว้ชูขึ้นให้...เจ้านกกาเผือกสีขาวดู".....พลางเอ่ยขึ้นกับมันเบา ๆอย่าง

    คนสิ้นแรงว่า "เจ้าจงรักษาขวดใบนี้ไว้..ดูแลมันไปให้ถึงโนรี"....เขาพูดเสร็จได้ขว้างขวดแก้ว

    ใบนั้นไปทางทิศใต้ให้ลอยล่องไหลตามแม่น้ำน่านไป..........

    ....................ร่างของชายหนุ่มคอย ๆหนักขึ้นเรื่อย ๆตามความคิดของเจ้านกสีขาว...ในที่

    สุดมันก็จะไม่มีแรงพยุงเขาได้อีกต่อไป........ในขณะที่ปากของมันก็มีเลือดไหลออกมาด้วย

    น้ำหนักคนที่ฉุดดึง....เจ้านกมองไปที่ขวดแก้วที่ไหลลิ่ว ๆไกลออกไป....ในขณะที่ตัวของชาย

    หนุ่มค่อย ๆจมลงในแม่น้ำน่าน...เจ้านกก็ยังไม่ปล่อยคอเสื้อของชายผู้นั้น.....มันค่อย ๆจมลง

    ไปพร้อมกับเขา........

    .....................ปรากฎการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้น...ภายใต้แม่น้ำน่านตรงที่เขากำลังจมลง

    ไปได้มีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์พุ่งจากใต้แม่น้ำน่านส่องมาที่ร่างของเขา........และเขาก็

    ค่อย ๆจมลงตรงไปที่แสงสว่างใต้น้ำลึกนั้น....เจ้านกกาเผือกพุ่งตัวขึ้นโผล่จากผิวน้ำและบิน

    ขึ้นบนท้องฟ้า..พลางมองหาขวดแก้วที่ชายหนุ่มผู้นั้นขว้างออกไป....มันบินตามไปค้นหา

    อย่างไม่ลดละ...ตามคำขอของชายหนุ่มผู้นั้น......และในที่สุดมันก็พบขวดแก้ว...และบิน

    ตามไปกับขวดแก้วที่ลอยไปตามกระแสน้ำ.......

    .....................คนทั้งสองฝั่งที่ทั้งกำลังต่อสู้กันและไม่ต่อสู้กัน..ยืนมองปรากฎการณ์ที่ชาย

    หนุ่มคนนั้นจมหายไปพร้อมกับแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์จากใต้น้ำก็ดับไป.........การต่อสู้ของ

    คนเมืองน่านกับกองกำลังพม่าก็ยังคงต่อสู้กันต่อไป....

    .....................แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว "ไม่มีใครพบเห็นชายหนุ่มผู้นั้นขึ้นมาจากแม่

    น้ำน่าน".....และไม่มีใครพบศพของเขาเลย.....จนเป็นปริศนามาตลอดว่า........."เขายังมี

    ชีวิตอยู่หรือไม่".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      106
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............................อธิบาย......................


    ....................ตอนนี้ผู้เขียนขอนำเสนอตอนที่ 1 ที่เก็บไว้นาน.....เป็นเรื่องของ

    "บุรุษหนึ่งกลับชาติเกิดเพื่อทำหน้าที่"....ก็เจ้านกกาเผือกตัวนั้นแหละครับ......จะ

    มาสร้างสีสรรให้ท่านอ่านได้สนุกเพลิดเพลิน....เพราะเจ้านกตัวนี้เมื่อกลับมาเกิดใน

    ปัจจุบันแล้วได้ทำหน้าที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ปะติดปะต่อกันอย่างน่าสนใจ..ซึ่ง

    การผจญภัยของเขา..และการคิดอ่าน..จะสนุกหรือไม่ลองตามอ่านดูนะครับ..

    ...................แล้วค่อยตามอ่านเรื่องราวเดิมที่จะนำเสนอต่อไปครับ........
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เจ้านกกาเผือกส่งเสียงเรียกร้องอย่างโหยหวล....ต่อการจากไปของชายหนุ่ม

    ผู้นั้น...มันบินไปตามคำสั่งของเขา.....หากมีคนได้สังเกตเห็นที่ดวงตาคู่นั้นของมันจะเห็นว่าดวงตา

    ของมันแดงกล่ำ...เหมือนมันกำลังร่ำไห้......เจ้านกน้อยทำไมจึงผูกพันกับบุรุษหนุ่มผู้ที่จมน้ำหายไป

    อย่างลึกซึ้งเช่นนี้...การแสดงออกของมันเหมือนกับมันรักและอาลัยเขาอย่างจับใจ....อะไรที่ทำให้

    คนกับนกต้องผูกพันกัน...แล้วโนรีที่บุรุษผู้นั้นเอ่ยถึง..เหมือนกับว่า"เจ้านกกาเผือกตัวนี้รู้จักกับ

    นางเป็นอย่างดี..."......มีอะไรอยู่ในขวดแก้วทรงมะม่วงผ่าซีกใบนั้น...ที่มีความสำคัญถึงขนาดก่อน

    จากไปเขาต้องสั่งเสียเจ้านกกาเผือกนี้เป็นครั้งสุดท้าย..ให้รักษาขวดใบนี้ไว้และดูแลมันไปให้ถึง

    โนรี..

    .....................เสียงปืนยังคงดังกระหน่าดังไล่หลังนกกาเผือกสีขาวที่บินตามขนานกับผืนน้ำที่ขวด

    แก้วใบนั้นลอยอยู่.....เหตุใดจึงมีการรบกันเกิดขึ้นระหว่าง คนเมืองน่านกับกองกำลังของพม่า....เจ้า

    นกน้อยไม่เข้าใจ........แล้วทำไมกองกำลังพม่าจึงต้องยิงปืนเข้าใส่บุรุษอันเป็นที่รักของมัน.......

    .....................นกกาเผือกบินตามขวดแก้วไปตามลำน้ำน่าน..แต่บางครั้งมันก็โฉบตัวเองเขามา

    เกาะที่ขวดแก้ว...แล้วกระพือปีกเบา ๆ ....เพื่อให้ยืนทรงตัวอยู่บนขวดแก้วที่ไหลตามน้ำนั้น......ยาม

    มันหิว...มันจะมองหาต้นไม้ที่คาดว่าจะมีตัวหนอนหรือผลไม้ใด ๆกินเพื่อปะทังความหิวโหย....เมื่อมัน

    พบมันก็จะกะระยะสายตามองไปที่ต้นไม้และมองมาที่ขวดแก้ว..เพื่อไม่ให้ขวดแก้วคลาดไปจากสายตา

    ของมัน......

    .....................ขวดแก้วกำลังจะลอยไปสู่ที่ใด...และโนรีที่บุรุษผู้นั้นเอ่ยถึงนางมีชีวิตอยู่ที่แห่งหน

    ตำบลใด....เจ้านกกาเผือกนั้นรู้หรือว่า นางอยู่ที่ใดจึงตามดูแลขวดแก้วรักษาไว้ให้นางตามหน้าที่อย่าง

    เข้มงวด.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      101
    • birds_fly.gif
      birds_fly.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      102
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขวดแก้วทรงมะม่วงผ่าซีกยังคงไหลไปตามลำน้ำน่าน...ผ่านเข้าไปร่วมกับแม่น้ำ

    อีก 3 สาย คือ ปิง วัง ยม..และรวมไหลเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา...อันเป็นแม่น้ำสายกว้างใหญ่ไพศาล....

    ....................นกน้อยผู้น่าสงสารยังคงบินตามขวดแก้ว.......อย่างไม่ละความเพียรพยายามที่จะ

    รักษาขวดใบนั้นให้คงอยู่ในสายตาตลอดไป.......ผ่านวันและคืนซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวเย็น....นกน้อย

    กระพือปีกตามขวดแก้วใบนั้น...ที่ลอยตามกระแสน้ำอย่างที่ไม่มีวันจะหยุดล่องลอยไป.......

    .....................จากวันเป็นเดือน..ที่เจ้านกกาเผือกไม่ได้มีเวลาหยุดพักเลย...ในที่สุดเมื่อขวด

    แก้วลอยมาถึงเหนือตัวเมืองชัยนาท..เจ้านกกาเผือกที่บินมานับเป็นร้อย ๆกิโลเมตรตามความ

    ยาวของลำน้ำที่ผ่านมาหลายสาย...มันก็หมดแรงกลางอากาศแล้วถลาลง....เพื่อให้พ้นกลาง

    ลำแม่น้ำเจ้าพระยาสู่พื้นดินเหนือตัวเมืองชัยนาท...แล้วมันก็ขาดใจตาย ณ ที่นั้นเอง...ใน

    ขณะที่หน้าที่ของมันที่รักษาขวดแก้ว..เพื่อดูแลให้ถึงโนรียังไม่ได้บรรลุเป้าหมาย.....

    .....................แต่ก็เกิดปรากฎการณ์บางอย่างกับขวดแก้วใบนั้น...ที่พอลอยเคลื่อนมาถึง

    จุดที่บริเวณศพนกกาเผือก...ขวดแก้วใบนั้นกับหยุดนิ่งลอยอยู่กับที่ไม่ไหลไปตามน้ำ....และ

    เกิดปรากฎการณ์ที่น้ำตรงที่ขวดหยุดไหลได้หมุนตัวเองเป็นวงกลม...แล้วดูดขวดแก้วใบนั้น

    ลงสู่ใต้พื้นน้ำทันที....และขวดใบนั้นก็จมอยู่อย่างสงบนิ่งอยู่ใต้ลำน้ำเจ้าพระยา.....เพื่อรอ

    เวลากับบางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต.............

    ....................ศพของเจ้านกกาเผือกอยู่ในระยะใกล้เคียงกับที่ขวดแก้วจมน้ำไป....หลาย

    วันหลายปีศพนกกาเผือกก็ไม่ได้เน่าหรือสลายไป..พื้นดินบริเวณนั้นได้ถูกสายน้ำพาโคลนดิน

    ทรายมากมายมาทับถมไว้....จนศพเจ้านกกาเผือกจมอยู่ใต้พื้นดินนั้นตลอดมา......
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................วิญญาณของนกกาเผือกมิได้สงบนิ่ง....มันเฝ้ามองดูขวดแก้วใบ


    นั้นอยู่ที่ใต้น้ำ...จนเวลาผ่านไปถึง ปี พ.ศ.2516


    ....................ณ โรงพยาบาลชัยนาท ในจังหวัดชัยนาท ....... นางพยาบาลของโรงพยาบาล

    นางหนึ่งซึ่งสามีของนางคือ...........เภสัชกรนายหนึ่งที่ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลชัยนาท..นางได้ให้

    กำเนิดบุตรชายน่ารักคนหนึ่งขึ้นมา...โดยที่ก่อนให้กำเนิดบุตรชายซึ่งเป็นคนที่สอง......ก่อนหน้านั้น

    นางได้ให้กำเนิดบุตรหญิงแล้ว 1 คน บุตรชายผู้นี้..ก่อนถือกำเนิดนางได้ฝันเห็น "นกกาเผือกสีขาว

    ตัวหนึ่งบินมาจากท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตกเหนือน่านน้ำเจ้าพระยา...แล้วพุ่งเข้าสู่ในครรภ์

    ของนาง...และในวันรุ่งขึ้นนางจึงได้ให้กำเนิดบุตรชายผู้นี้................นางตั้งชื่อให้เขาว่า

    "กาเผือก"......

    ....................ปีถัดมานางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายอีก 1 คน ตั้งชื่อว่า "ไก่ตุ๋น"....







    .....................กาลเวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงวันฤดูหนาวของปี พ.ศ.2546...แม่น้ำเจ้าพระยา

    ณ บริเวณริมแม่น้ำอันร่มรื่นแห่งหนึ่ง..เหนือตัวเมืองจังหวัดชัยนาทขึ้นไป..ซึ่งเป็นสถานที่ตกเบ็ดหา

    ปลาของสองพี่น้องตระกูลหนึ่ง..ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในทางขย่มประสาทคนเมืองชัยนาทให้หวาด

    ผวา...แต่ตรงกันข้ามเพราะสองพี่น้องนี้อยู่จึงทำให้จังหวัดชัยนาทดูดีขึ้น....

    ....................คนพี่ชื่อ "กาเผือก" อายุประมาณ 30 ปี รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม..แต่ค่อนข้างสูง

    เล็กน้อย ผิวสามสีรวมอยู่ในตัวคือ ขาวแดงดำ...ผมบนศีรษะบางตา..สายตาสั้นจึงต้องใส่แว่นตาหรือ

    คอนแทคเลนซ์อยู่ตลอดเวลา..โดยคนพี่มีอาชีพรับจ้างซ่อมคันเบ็ดตกปลาของนักตกเบ็ดทั่วไป......

    โดยมีคนน้องชื่อ "ไก่ตุ๋น".อายุอ่อนกว่าคนพี่ประมาณ 1 ปี เป็นผู้ช่วยในการซ่อมคันเบ็ด..ซึ่งเจ้าไก่

    ตุ๋นมีรูปร่างแตกต่างไปจากพี่ชาย คือ ตัวมันสูงใหญ่ อ้วนและผิวดำ..มันชอบไว้ผมยาว โดยผมจะยาว

    เต็มแผ่นหลัง..แต่เพราะมันรวบผมแล้วรัดด้วยยางวงเอาไว้ จึงดูไม่น่าเกลียดเท่าไรในสายตาของคนทั่ว

    ไป....

    .....................กาเผือกกับไก่ตุ๋นนั่งตกเบ็ดหาปลา ณ สถานที่นี้เพียงลำพังสองคนอยู่เป็นประจำ

    ทุกวัน..ตั้งแต่ช่วงเช้าแดดอ่อนไปจนยันใกล้เที่ยงวันก็เลิกตกปลา...เพราะสถานที่นี้มีต้นไม้ใหญ่หลาย

    ต้นคอยบังแดดและให้ความร่มรื่นบวกกับสายลมที่พัดเย็นฉ่ำ ทำให้ฝูงปลาว่ายเวียนมาอยู่ที่นี่อย่างชุก

    ชุม............

    .....................แต่วันนี้เป็นวันแปลก ๆของสองพี่น้อง...เพราะปกติฤดูหนาวแดดจะเริ่มฉายแสง

    ประมาณ 9 โมงเช้า...แต่ขณะนี้ 11 นาฬิกาไปแล้วจนขนาดวัดวาใกล้ ๆกับสถานที่นี้ลั่นกลองเพลเพื่อ

    บอกเวลาให้พระฉันอาหารไปแล้ว...แสงอาทิตย์ก็ยังไม่ส่องสว่างจ้าเหมือนเคย...แต่ท้องฟ้ากลับ

    มืดครึ้มพร้อมกับหมอกสีขาวปกคลุมบริเวณนั้นจนดูวังเวงชอบกล...และตั้งแต่ 9 โมงเช้าจน

    ถึงขณะนี้ไม่มีวี่แววว่าปลาตัวไหนจะมาติดเบ็ดของกาเผือกและไก่ตุ๋นเลยจนทำให้ทั้งคู่เริ่ม

    หงุดหงิด

    ............................"วันนี้ มันเป็นอะไรของมันวะ ปลาไม่กินเบ็ดเลย" กาเผือกบ่นอย่างอารมณ์

    เสีย

    ............................"นั่นนะซิ...ปลามันหายไปไหนของมันวะ" ไก่ตุ๋นกล่าวเสริมและพูดอย่าง

    อารมณ์ขันต่อไปว่า "หรือว่า..ปลามันเบื่อเหยื่อตกปลาของลุงนม..มันอยากกินข้าวแกงละมั๊ง"

    .....................ลุงนมที่ไก่ตุ๋นเอ่ยถึง คือ คนที่ผลิตเหยื่อตกปลาที่ทั้งสองนับถือมาก..และจะไปซื้อ

    เหยื่อของแกมาตกเบ็ดอยู่เป็นประจำ

    ............................"มึงไม่ต้องพูดมากไอ้อ้วน..เดี๋ยวเที่ยงตรงกลับ" กาเผือกเอ่ยนัดเวลา

    ............................"กลับไปเล่นหมากรุกกับพี่ทนายเขาเหรอ..มึงไม่เข็ดหรือไง..เล่นทีไรแพ้เขา

    ทุกที ฮ้า ฮา" ไก่ตุ๋นดักคอพี่ชายอย่างอารมณ์ขันต่อเนื่อง

    .....................เกมหมากรุก เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองพี่น้องจะไปนั่งเล่นยามว่างจากงาน

    ซ่อมคันเบ็ดและวางจากการตกปลา...ที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัด

    ชัยนาท..และทนายที่มันเอ่ยถึงก็จะเล่นกับสองพี่น้องเป็นประจำ..แต่เล่นทีไรเจ้าสองพี่น้องจะ

    ต้องแพ้พี่ทนายคนนั้นทุกครั้งเรียกว่า "เล่นทั้งปีก็แพ้ทั้งปี" เลยก็ว่าได้...

    ............................."แล้วมึงล่ะ..เคยชนะเขาหรือ" กาเผือกสวนกลับน้องชายทันที

    ............................."ไม่เคยว่ะ"

    ....................และก่อนที่กาเผือกกับไก่ตุ๋นจะพูดอะไรต่อไป..............ก็เกิดปรากฏการณ์

    ที่ทำให้ทั้งคู่หยุดโต้เถียงทันทีทันใด..........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..............................."ครื้น ๆ ๆ..........ครื้น ๆ ๆ" เสียงฟ้าร้อง ณ เบื้องบนท้องฟ้าที่ทั้ง

    สองนั่งถือคันเบ็ดอยู่..และตามด้วยเสียงสายลมที่พัดอู้มาและกรรโชกอย่างแรง...จนใบไม้ที่

    อยู่เหนือหัวขาดปลิวว่อนจากต้นลงสู่พื้นน้ำเป็นจำนวนมาก..ประกอบกับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา

    เริ่มเคลื่อนไหวเป็นระลอก ๆคลื่นและบิดเป็นเกลียวหมุนวนอย่างแรง..

    ............................"เฮ้ย...เกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย" กาเผือกอุทานอย่างตกใจ..แล้วมองหน้า

    ไก่ตุ๋นที่นั่งอยู่ใกล้กันเหมือนรู้เป็นนัยว่า ..อาจมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น..

    .....................ทั้งสองพี่น้องจึงรีบหมุนรอกคันเบ็ดเพื่อดึงขึ้นจากใต้น้ำแล้วเก็บ...

    .....................ทันใดนั้นเอง ณ พื้นน้ำเบื้องหน้าห่างไปราว 2 วา ก็เกิดปรากฏการณ์..กร

    หมุนวนของน้ำอย่างแรงบังเกิดเป็นวังวนขนาดเส้นศูนย์กลางประมาณ 1 วา...สองพี่น้องเริ่ม

    หน้าถอดสี..ใจเต้นระทึกอย่างตกใจปนความหวาดเสียว..แต่สายตาทั้งสองพี่น้องยังคงจับจ้องน้ำที่

    หมุนวนตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา....

    ............................."วูบ...วูบ...เฟี๊ยว..ฟ้าว.." เสียงน้ำเริ่มหมุนวนแรงขึ้น แรงขึ้นพร้อม

    กับการขุ่นขวั่กของตะกอนดินและเม็ดทรายที่อยู่ใต้พื้นน้ำกระจายขึ้นมารวมกับเกลียวหมุนวน

    ของน้ำ..

    .....................ศูนย์กลางการหมุนวนของน้ำเคลื่อนที่จมลึกไปประมาณ 1 วา เกือบสุด

    ความลึกของน้ำตรงนั้น...และแล้วก็ปรากฏสิ่งหนึ่งที่หมุนวนไปกับเกลียวน้ำและตะกอนดิน

    พร้อมกับเม็ดทราย..ซึ่งทั้งสองต่างก็จ้องมองดูอย่างลุ้นระทึก..

    .....................มันเหมือนกับ ขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือและมีอะไรอยู่ในขวดแก้วนั้น......

    .....................เมื่อขวดแก้วใบนั้นมาปรากฏอยู่ต่อสายตา..พื้นน้ำก็เริ่มหมุนช้าลง..ศูนย์กลางวง

    เกลียวของน้ำเริ่มตื่นขึ้นมา...จนเสมอกับผิวน้ำ...จนน้ำสงบ..เหมือนกับว่าเกลียวหมุนของน้ำที่เกิด

    ขึ้นจะหมุนวนเพื่อดึงขวดแก้วใบนี้..จากใต้น้ำให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ....ลมกรรโชกเมื่อครู่นี้ก็เริ่ม

    สงบ..และเป็นที่แปลกตาแปลกใจสำหรับกาเผือกและไก่ตุ๋นยิ่งกว่านั้น คือ ขวดแก้วใบนั้นกลับลอย

    อยู่กับที่ไม่ไหลล่องใต้ไปตามกระแสน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา...

    ....................สองพี่น้องเริ่มหวาดกลัวต่อสิ่งที่พบเห็น..มันมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร...

    แต่ในใจทั้งคู่มันเต้นระทึก.....และได้ยินเสียงตัวเองในใจตะโกนอย่างตกใจ"ผีหลอกกูแล้ว

    โว้ย"

    ....................ขวดแก้วใบนั้นลอยนิ่งอยู่เหนือผิวน้ำสักครู่....ก็ลอยเคลื่อนเข้าหาฝั่งอย่าง

    ช้า ๆ ตรงมาทางที่ทั้งคู่นั่งอยู่ราวกับขวดแก้วมีชีวิต.......เหงื่อเจ้าไก่ตุ๋นเริ่มแตกผุด ๆ ทั้งที่

    อากาศหนาวเย็นอยู่...แสดงให้เห็นถึงความหวาดผวาที่อยู่ในใจปลุกเร้าอุณหภูมิในร่างกาย

    ให้สูงขึ้นจนขับเหงื่อออกมา...ซึ่งไม่แตกต่างกับกาเผือกผู้พี่..ที่มีอาการขยับแว่นตาอย่าง

    บ่อยครั้ง...พร้อมกับดวงตาที่ลุกวาว..ด้วยแววตาของความตื่นเต้นมาก......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      136
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..............ตอนที่ 2 ขวดแก้วรูปทรงผลมะม่วงผ่าซีก..........




    ....................ขวดแก้วเคลื่อนที่ลอยมาจนถึงฝั่งตรงที่กาเผือกนั่งอยู่..สองพี่น้องรีบลุกจาก

    ที่นั่งกระโจนพรวดถอยหลังจากจุดที่นั่งอยู่ทันทีโดยพร้อมเพรียงเหมือนนัดกันไว้.....

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นใจ้เต้นระรัว..ใจหนึ่งอยากจะวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้น..แต่อีกใจ

    หนึ่งก็อยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น

    ....................ขวดแก้วอยู่ห่างจากปลายเท้าของกาเผือกราวสองก้าว..โดยมีไก่ตุ๋นยืนดูอยู่

    ข้าง ๆ ขณะนี้ขวดแก้วมันหยุดการเคลื่อนไหว...ทั้งสองพี่น้องเริ่มข่มความตื่นเต้นตกใจและหวาด

    กลัวให้ลดลง...และนั่งชันเข่ามองดูขวดแก้วใบนั้นอย่างพิจารณา....

    ....................ขวดแก้วที่อยู่ตรงหน้านี้ นอกจากมีขนาดเท่าฝ่ามือของคนแล้ว...ยังมีรูป

    ทรงที่ประหลาดที่ทั้งสองพี่น้องไม่เคยพบเห็นมาก่อน...มันคล้ายผลมะม่วงที่ถูกผ่าออกครึ่ง

    ซีก...โดยช่วงก้นขวดจะเรียวเล็กและต้นขวดจะใหญ่อวบโค้งรับกับส่วนล่าง...ตรงปากขวดจะ

    ยื่นออกมาเป็นรูปทรงกระบอกผ่าครึ่งซีก..ช่วงกว้างสุดของขวดราวประมาณ 11

    เซนติเมตร..........และยาวจากก้นขวดถึงปากขวดประมาณ 22 เซนติเมตร.....โดยแบ่งส่วน

    ยาวออกเป็นตรงปากขวดทรงกระบอกประมาณ 2 เซนติเมตร...ขวดถูกปิดด้วยจุกทำด้วยไม้

    เป็นรูปทรงกระบอกผ่าซีก

    .....................โดยขวดแก้วมีรอยเปื้อนดินโคลน ทำให้ความใสของขวดหมองมัวไป....แต่ก็

    สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในขวดนั้นได้แต่ไม่ชัดเจนนัก...ภายในขวดแก้วบริเวณก้นขวดมี

    วัตถุสีเหลืองทองคล้ายสร้อยม้วนอยู่...และมีผ้าขาวคล้ายผ้าเช็ดหน้าลักษณะย่นยับยู่ยี่บรรจุ

    ทับอัดแน่นไปจนถึงปากขวดและชนกับจุกขวด

    ............................"มึงเคยเห็นขวดทรงนี้มาก่อนไหม" กาเผือกเอ่ยถามไก่ตุ๋นหลังจาก

    พิจารณาดูแล้ว

    ............................"เหมือนรูปผลมะม่วงผ่าซีก..ไม่เคยเห็น" ไก่ตุ๋นตอบและออกความ

    เห็นพร้อมกับส่ายหน้าอย่างช้า ๆ

    ............................"กูก็ไม่เคยเห็น"

    .....................หลังจากนั้นกาเผือกก็ได้ชี้วัตถุที่ก้นขวด..แล้วถามอย่างสงสัย

    ............................"มึงว่ามันเป็นอะไร..ไอ้อ้วน"

    .....................ไก่ตุ๋นก้มลงมองไปที่ก้นขวดใกล้ ๆ..แต่เพราะรอยเปื้อนดินโคลนที่อยู่บริเวณขวดมี

    ค่อนข้างหนา..ทำให้การมองเห็นวัตถุนั้นไม่ถนัดสายตานัก

    ............................"กูไม่แน่ใจ..แต่มันเหลืองคล้ายทอง"

    ............................"แล้วเอายังไงกันดีวะ" กาเผือกเริ่มถามความเห็น

    ............................"มึงกล้าจับขวดไหม..ถ้ามึงกล้าก็เอาไปล้างน้ำให้มันใสสิ" ไก่ตุ๋นออก

    ความเห็นอย่างเน้นเสียง

    .....................กาเผือกนิ่งอึ้งโดยไม่ตอบคำถามน้องชาย..เพราะมันเองก็คิดว่า "ขวดใบนี้

    อาจมีอาถรรพณ์" ที่ไม่อาจมีใครรู้ได้หากจับต้องไป...อาจมีเหตุวิบัติตามมา..มันจึงย้อนถาม

    น้องชายกลับ

    ............................."แล้วมึงกล้าจับมันไปล้างไหม"

    ............................."กูเองไม่กล้า...แต่กูก็อยากรู้ว่ามันทีอะไรอยู่ในนั้น..กูเอาไปล้างดูก็

    ได้...แต่เพราะก็เห็นขวดใบนี้มันลอยตรงมาหามึงไม่ใช่กู..มันน่าจะเป็นมึงจับไปล้างมากกว่า"

    ไก่ตุ๋นอธิบาย

    .....................กาเผือกคิดตามคำอธิบายแล้วประมวลเหตุการณ์ได้ว่า"หากขวดไม่ต้อง

    การให้เรามาพบเห็น..มันจะลอยขึ้นจากใต้น้ำให้มาปรากฏต่อสายตาเราทำไม..และลอยตรง

    เข้ามาหาเราอีก...เหมือนกับว่ามันต้องการจะบอกอะไรกับเรา"

    .....................เมื่อคิดได้ดังนั้นความมั่นใจจึงเกิดขึ้น..กาเผือกจึงหยิบขวดแก้วขึ้นมา

    ............................"เดี๋ยวกูเอาไปล้างเอง"

    .....................เมื่อขวดใบนั้นอยู่ในมือของกาเผือก..เขารู้สึกว่ามันค่อนข้างหนาและมี

    น้ำหนักกว่าขวดชนิดอื่น....เขาเดินไปที่แม่น้ำแล้วจับขวดจุ่มลงไปในน้ำด้วยมือซ้าย..แล้วใช้

    มือขวาขัดถูขวดใบนั้น..เพื่อขัดล้างดินโคลนที่ติดมากับขวด...สักพักหนึ่งก็ยกขวดแก้วใบนั้น

    ซึ่งใสสอาดจนเห็นวัตถุภายในขวดอย่างชัดเจน.....

    ............................"เฮ้ย...สร้อยข้อมือทองว่ะ" กาเผือกร้องอุทานอย่างเสียงดัง หลัง

    จากพินิจดูวัตถุสีเหลืองที่อยู่ภายในก้นขวดนั้นแล้ว....

    .....................ไก่ตุ๋นรีบเดินมาข้าง ๆ แล้วดึงขวดจากมือของพี่ชายมาพินิจดูบ้าง

    ............................"เออจริงว่ะ...เส้นใหญ่ซะด้วย..ทองจริงหรือเปล่าวะ"

    ............................"ก็เปิดขวดเอาออกมาดูสิ..." กาเผือกให้ความเห็นแกมออกคำสั่ง

    ............................"จะเปิดตรงนี้นะหรือ..ไม่ดีมั้ง" ไก่ตุ๋นแย้ง

    ............................"ทำไมวะ" กาเผือกถามอย่างสงสัย

    ............................"มึงไม่กลัวเหรอ..ขวดเขาลงสะกดอะไรไว้หรือเปล่า..เดี๋ยวเจอผีแม่

    นาคออกมามึงได้โกยแน้บแน่....ไอ้ที่มันโผล่ขึ้นมาหาเราอย่างประหลาด ๆ อย่างนี้มึงคิดเหรอ

    ว่ามันจะไม่มีอะไร"

    .....................กาเผือกฟังน้องชายอธิบายแล้วเริ่มรู้สึกคล้อยตาม

    .....................ในที่สุดสองพี่น้องก็ตัดสินใจที่จะนำขวดแก้วรูปทรงมะม่วงผ่าซีก...ที่พบ

    เห็นไปเปิดดูต่อหน้า...........หลวงพ่อใหญ่..ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่ ณ ริม

    แม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกห่างจากที่ทั้งสองตกเบ็ดไปทางทิศใต้ประมาณ 9

    กิโลเมตร ......โดยจะต้องเดินทางผ่านถนนเข้าตัวเมืองจังหวัดชัยนาท ผ่านตลาดออกไปทาง

    ทิศใต้...ทั้งนี้เพื่อป้องกันอาถรรพณ์ต่าง ๆของขวดแก้ว...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นเอฟอาร์ 80 สีส้มแดง อายุราว 20

    กว่าปี ไร้ซึ่งแผ่นป้ายทะเบียน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเหมือนเสียงเครื่องเรือจ้างที่ท่าน้ำ..ความ

    เร็วค่อนข้างต่ำอันเป็นสภาพโดยปกติของมัน...บัดนี้คนขับขี่ประจำ คือ เจ้าไก่ตุ๋นได้ขับขี่ออกจาก

    สถานที่ตกปลามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โดยมีกาเผือกนั่งซ้อนท้าย มือขวาถือคันเบ็ดยาว 2 คัน...ส่วนมือ

    ขวากำขวดไว้แน่นซุกซ่อนไว้ใต้เสื้อบริเวณท้องเพื่อป้องกันคนอื่นพบเห็น.....

    ....................รถคันดังกล่าววิ่งผ่านตลาดเมืองชัยนาทอย่างรวดเร็วผิดปกติธรรมดาของมัน..

    เหมือนกับว่า ..เจ้ารถเครื่องยนต์เสียงเครื่องเรือจ้างคันนี้กินน้ำมันเบนซินผสมยาบ้ามา....เพราะเจ้าไก่

    ตุ๋นเร่งเครื่องอย่างแรง..ทำให้เคร่องยนต์ดังคำรามเสียงขวากแผดก้องลั่นตลาด...จนทำให้ผู้คนที่ผ่าน

    ไปมาต้องหันไปมอง......

    ............................"เรืองจ้างที่ไหนวะ..มาวิ่งบนบก" เสียงยายเม้าแม่ค้าขายก๊วยเตี๋ยว

    เย็นตาโฟข้างถนนบ่นอย่างหนวกหู..ขณะที่แกกำลังลวกเส้นก๊วยเตี๋ยว..แต่เพราะความดัง

    ของเครื่องยนต์ ทำให้แกต้องหันไปมองยังต้นกำเนิดเสียง

    ............................"อ้าว..ไอ้ไก่ตุ๋นหรอกรึ..แม้วันนี้รถวิ่งเร็วดีจังนะ..ทุกทีอืดอย่างกับ

    เต่าคลาน" เสียงบ่นรำพึงรำพันสุดท้ายก่อนที่แกจะลวกเส้นก๊วยเตี๋ยวต่อ

    .....................รถอันเป็นพาหนะดังกล่าวได้พาสองพี่น้องผ่านตลาดเมืองชัยนาท..และเข้าถนน

    เลียบชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก..ซึ่งถนนเส้นนี้สามารถไปได้ถึงเขื่อนเจ้าพระยา...และในที่

    สุดก็มาถึงที่หมาย............

    ....................."วัดป่า" เป็นคำเรียกของชาวบ้าน...ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ของ "หลวงพ่อใหญ่"

    องค์พระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย...สร้างด้วยปูนปั้นทาสีผิวเป็นสีขาวแกมเหลืองอ่อน ๆ ..ส่วนสีจีวรเป็น

    สีเหลืองเข้ม...ใบหน้าของท่านโดยรวมรับกับขนาดของลำตัวจนดูงาม....พระเนตรของท่านดูมี

    เมตตาและอ่อนโยน..ใครพบเห็นย่อมสุขใจ...พระท่านมีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 5 ศอก สูง

    ประมาณ 6 ศอกเศษ..นั่งประดิษฐานอยู่บนฐานสูงประมาณ 1 เมตรใกล้ริมแม่น้ำเจ้าพระยาห่าง

    ประมาณ 1 วาเศษ ...ภายใต้ร่มไม้ต้นใหญ่ดูร่มรื่น....ท่านหันพระพักตร์ล่องไปทางใต้ตามเส้นทาง

    ไหลของแม่น้ำเจ้าพระยา...ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดมาสร้างท่านไว้..และที่เรียกว่า"วัดป่า"..ก็หาได้มีศาสน

    สถานอันอื่น..เช่น ศาลาวัด โบสถ์ วิหาร ป่าช้า ปรากฏอยู่บริเวณนั้นเลย..นอกจากพื้นปูนที่เทลาดทั่ว

    บริเวณ พร้อมกับที่นั่งพักร้อนใต้ร่มไม้ใกล้กับ หลวงพ่อใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าท่านถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยไหน

    .....................(เรื่องราวนี้ถูกเขียนขึ้นในเหตุการณ์ปีพ.ศ.2546........ปัจจุบันนี้ ปี พ.ศ.2555..

    วัดป่าและหลวงพ่อใหญ่ที่เขียนถึงนี้...ได้มีหลวงพ่อชูเกียรติพระปฏิบัติสายหลวงปู่ชา สุภัทโท...ได้

    เดินธุดงค์มาและมาบูรณวัดจนมีศาสนสถานปรากฎขึ้น...และหลวงพ่อชูเกียรติ..เกรงว่าน้ำจากแม่น้ำ

    เจ้าพระยาจะกัดเซาะแผ่นดินจนทำให้องค์หลวงพ่อใหญ่เดิมพังลง....หลวงพ่อชูเกียรติจึงได้ร่วมกับ

    ประชาชน...สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ครอบหลวงพ่อใหญ่องค์เดิมไว้...และทำฐานให้แน่นหนากันน้ำ

    กัดเซาะแผ่นดินตรงที่ตั้งหลวงพ่อใหญ่ครับ)....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0262.JPG
      IMG_0262.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      63
    • IMG_0265.JPG
      IMG_0265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      44
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .........................ตอนที่ 3 เปิดขวดแก้ว.....................




    .....................ไก่ตุ๋นนำรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวา..ค่อย ๆลงจากถนนอย่างช้า ๆ แล้วจอดใต้

    ร่มไม้ใหญ่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจุดจอดรถอยู่หน้าหลวงพ่อใหญ่โดยห่างออกไปราว 10 เมตร.......

    ......................กาเผือกลงจากรถแล้ววางคันเบ็ดทั้งสองคันเอาไว้ที่ม้านั่งหินตัวหนึ่ง..ซึ่งอยู่ใกล้

    กับที่รถจอด...แล้วเอามือขวาที่วางเบ็ดมาประคองมือซ้ายที่กำขวดใบนั้นไว้..โดยที่มือทั้งสองมีอาการ

    สั่นเทาเล็กน้อย...

    ......................คันเบ็ดที่ถูกวางลงเหมือนกับจะบอกหลวงพ่อใหญ่ว่า......... "ณ เวลานี้...

    เขาไม่ใช่ผู้รังแกสัตว์แล้ว...เขาไม่ใช่ผู้เบียดเบียนตามคำสอนของพระพุทธองค์"............

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมองไปที่ใบหน้าของหลวงพ่อใหญ่ ขณะที่กำลังเดินไปหาท่าน...

    เขาทั้งสองได้เห็น สายพระเนตรที่ทอดต่ำลงมายังเขาทั้งสองอย่างมีเมตตาและอ่อนโยน..ทำ

    ให้รู้สึกเย็นใจและอบอุ่นคลายความหวาดวิตกลง..ความสุขใจเริ่มบังเกิดขึ้นกับสองพี่

    น้อง........

    .....................กาเผือกและไก่ตู่นนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อใหญ่หลังจากที่กราบท่านเสร็จ

    แล้ว...กาเผือกยกขวดใบนั้นขึ้นประกอบกับมือทั้งสองข้างแล้วพนมมือ..อธิษฐานบอกกล่าวกับหลวง

    พ่อใหญ่และเจ้าของขวดแก้วที่ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ในใจว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0262.JPG
      IMG_0262.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"หากเจ้าของขวดแก้วใบนี้..จะให้ผมพบสิ่งที่อยู่ภายในขวดแก้ว..ก็

    ขอให้ผมเปิดขวดนี้ออกด้วย...และขอบารมีของหลวงพ่อใหญ่ได้โปรดคุ้มครองอย่าให้มีอะไร

    เกิดขึ้นกับผมและน้องชายเลย"

    .....................หลังเสร็จสิ้นคำอธิษฐาน...จากอากาศ ลม แม่น้ำเจ้าพระยาที่สงบอยู่...ได้บังเกิด

    ปรากฏการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มมีเสียงดังของระลอกคลื่นใหญ่ที่พัดพาระลอกคลื่นน้ำ

    ซัดตีชายฝั่งบริเวณที่ตั้งของหลวงพ่อใหญ่อย่างเสียงดัง...พร้อมกับกระแสลมได้พัดพาเข้ามา

    อย่างแรงที่ทั้งสองพี่น้อง..และได้บังเกิดลมไต้ฝุ่นหมุนพัดวนเอาฝุ่น ถุงพลาสติกและเศษ

    กระดาษที่อยู่บริเวณด้านหลังของสองพี่น้อง....หมุนวนขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงราว 10 เมตร เหมือน

    กับว่า "มีสิ่งลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์รับรู้คำอธิษฐานนั้น"..........

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมีอาการขนลุกซู่ตั้งชันไปจนทั่วตัว..พร้อมกับใจที่เต้นสั่นระรัว

    อย่างไม่เป็นจังหวะ..ทั้งสองสบตากันเหมือนกับต่างคนต่างถามกันด้วยสายตาว่า "เอาอย่างไรกันดีวะ"

    ....................สักครู่หนึ่งลมไต้ฝุ่นและคลื่นก็สงบลง...ความเงียบวังเวงเริ่มปกคลุมไปทั่ว

    บริเวณวัดป่า ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง........

    ....................ไก่ตุ๋นบอกพี่ชายอย่างรีบเร่ง "เปิดขวดเถอะ"

    ....................ทันที่คำพูดของไก่ตุ๋นจบลง..กาเผือกได้ใช้มือซ้ายจับที่จุกขวดไม้ที่ยื่นออก

    มาเหนือปากขวดในขณะที่มือขวาจับขวดอยู่...แล้วบิดจุกไปทางซ้ายทีขวาที จุกที่ยึดอัดแน่น

    ก็เริ่มขยับและคลายตัว..และจุกขวดก็ถูกเปิดออกมาอย่างง่ายดายพร้อมกับเสียงดัง

    ................................."บุ๋ง"....เป็นเสียงแรงดันอากาศภายในที่ดันจุกขวด

    ....................เมื่อขวดถูกเปิดออกมา ปลายสามเหลี่ยมของผ้าขาวภายในขวดได้ยื่น

    ตามออกมาด้วยแรงอากาศภายในดัน....โผล่ออกมาเหนือปากขวดราว 1 เซนติเมตร.........

    ....................กาเผือกจับปลายผ้าค่อย ๆดึงออกมาอย่างช้า ๆ จนหลุดออกจากปากขวดทั้งหมดใน

    ลักษณะที่ผ้าขาวนั้นยับยู่ยี่...แต่เขายังเห็นผ้าขาวอีกผืนหนึ่งอัดทับสร้อยทองเส้นนั้นอยู่............

    .....................พลันทั้งสองก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อพบว่า..บนผ้าที่ทับสร้อยทองอยู่นั้นได้มี

    แหวนสีเหลืองทองมากมายหลายวงกระจายทับอยู่บนผ้าผืนนั้น

    .....................ทั้งคู่เคยพบเห็นและสัมผัสทองรูปพรรณหลายชนิดมาก่อน..และเมื่อเห็นวงแหวนสี

    ทองกับตาโดยไม่มีสิ่งอื่นบังสายตาเอาไว้....ทำให้การวินิจฉัยชัดเจนขึ้น...จึงรู้สึกได้ว่าแหวนที่พวกตน

    พบเห็นนั้น คือ "แหวนทองคำแท้"...เมื่อเป็นเช่นนี้สร้อยข้อมือที่อยู่ก้นขวดก็น่าจะเป็น..สร้อย

    ข้อมือทองคำแท้ ..อย่างแน่นอน

    .....................ความรู้สึกภายในจิตใจทั้งคู่..ตื่นเต้นและดีใจมาก..เพราะคิดว่าอย่างไรเสียงทองคำ

    พวกนี้ต้องเป็นของเขาทั้งคู่......กาเผือกและไก่ตุ๋นข่มความตื่นเต้นไว้แล้วค่อย ๆ คลี่ผ้าขาวที่อยู่ในมือ

    ลักษณะยับยู่ยี่ออกโดยการดึงให้ตรึง...ก็พบว่า "มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ายาว

    ด้านละ 1 ฟุต.และมีตัวหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นด้วยดินสอดำด้านหนึ่งซึ่งไม่ค่อยแจ่มนัก...ส่วน

    อีกด้านหนึ่งทิ้งความขาวเอาไว้

    ....................ตัวหนังสือที่เขาทั้งสองเห็นขณะนี้...ดึงดูดความสนใจเหนือสิ่งอื่นใด...เพราะ

    ลายมือที่ปรากฏนั้นสวยงามยิ่งนัก...ประกอบกับความอยากรู้ในข้อความนั้น...จึงทำให้ทั้ง

    สองจดจ้องอย่างตั้งใจ........

    ....................เขาตั้งใจอ่านหนังสือนั้น..และเพียงสองบรรทัดแรกที่เขาอ่านก็ทำให้ไข

    สันหลังของเขาทั้งสองเย็นวาบ..และเย็นไปถึงขั้วหัวใจ



    ...................." ...............................ณ ริมแม่น้ำน่าน..๕ฯ๑๒ ปีกุน

    ...............................วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๖"



    ............................"เฮ้ย..อะไรกันวะเนี่ย" กาเผือกอุทานอย่างตกใจแล้วถามไก่ตุ๋น

    ทันที.........."ไอ้อ้วนวันนี้วันที่เท่าไร"

    ............................"22 พฤศจิกายน 2546"

    .....................หลังไก่ตุ๋นตอบ...สองพี่น้องก็จ้องมองตากันอย่างตื่นเต้น.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0264.JPG
      IMG_0264.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........................ตอนที่ 4 ผู้จากไป........................




    ....................วันเดือนปีที่ระบุไว้บนผ้าเช็ดหน้าขาวกับวันนี้..มีระยะเวลายาวนานห่างกัน

    ถึง 80 ปีเต็ม..วันและเดือนบนผ้าเช็ดหน้าถูกระบุเป็นวันและเดือนเดียวกันกับวันนี้..ต่างที่ปี

    พุทธศักราช...นอกจากนี้ยังได้ความถึงสถานที่เขียนหนังสือ "ณ ริมแม่น้ำน่าน"

    .....................ทั้งกาเผือกและไก่ตุ๋นเข้าใจความหมายได้ทันทีว่า มันคือ แม่น้ำน่าน ซึ่งไหลมา

    จากจังหวัดน่าน...และไหลล่องใต้ลงมารวมกับแม่น้ำอีก 3 สาย คือ ปิง วัง และ ยม..ที่บริเวณปากน้ำ

    โพ จังหวัดนครสวรรค์ ..ก่อกำเนิดเป็น แม่น้ำเจ้าพระยา..ที่ไหลผ่านจังหวัดชัยนาท....

    ......................จากจังหวัดน่านถึงจังหวัดชัยนาท มีระยะทางห่างกันประมาณ 500

    กิโลเมตร...ขวดแก้วใบนี้จมอยู่ในน้ำถึง 80 ปี และล่องลอยมาไกลถึง 500 กิโลเมตร ...สอง

    พี่น้องเห็นความลึกลับอัศจรรย์ของขวดแก้วและหนังสือบนผ้าขาวที่ปรากฏอยู่..จึงเริ่มตั้งสติ

    ใช้สมาธิค่อนข้างสูงข่มความตื่นเต้นอีกครั้ง...และตั้งใจอ่านหนังสือบนผืนผ้านั้นต่อไป...เพื่อ

    ต้องการทราบความหมายในหนังสืออันจะทำให้รู้ที่มาและที่ไป..เพื่อใช้วินิจฉัยประมวล

    เหตุการณ์....



    .....................".......แม่ของข้าไม่มี..ข้าจึงรักและเทิดทูนแม่คงคาแห่งแม่น้ำน่านเป็นดุจ

    แม่ข้า...แม่ได้เคยโอบอุ้มเมตตาให้ข้าดื่มกินเลี้ยงชีวิต..และชำระล้างตัวข้าตั้งแต่เล็กจนเติบ

    ใหญ่มา...บุญคุณที่แม่มีต่อข้า..ข้าไม่เคยลืม..เวลานี้ลูกของแม่กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว...

    ขอแม่จงรับข้าไว้สู่อ้อมอกของแม่ชั่วนิรันดร์...ข้าขอฝากขวดแก้วใบนี้ไว้กับแม่เพื่อนำสู่ โนรี

    นราหญิงอันเป็นที่รักแห่งข้า...แต่หากนางเกิดเป็นดั่งเม็ดทรายน้ำลึกที่นางปรารถนา...แม่ได้

    โปรดรับนางไว้เพื่ออยู่กับข้าตลอดกาล....หากขวดแก้วใบนี้ยังไม่ถึง โนรี นรา ฉันใด...ขอ

    ขวดนี้จงถึงผู้ที่มีวาสนาต่อข้าช่วยนำพาขวดนี้สู่ โนรี นราด้วย....................................

    .........................................เมือง มีสุข............................."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      44
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ทันทีที่อ่านหนังสือบนผืนผ้าจบลง..กาเผือกและไก่ตุ๋นก็ถอนหายใจพร้อมกัน..

    แล้วรู้สึกว่า "บางข้อความลึกลับซับซ้อนยากที่จะเข้าใจความหมาย"..แต่ก็สามารถทำความเข้าใจใน

    รายละเอียดได้เป็นส่วนใหญ่

    ............................."กูอ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ..แล้วมึงล่ะ" ไก่ตุ๋นรำพันขึ้นมา.....กาเผือก

    จึงอธิบาย

    ............................."กูทำความเข้าใจแล้วคิดว่า...คนเขียนกำพร้าแม่..เขาก็เลยนับถือแม่น้ำ

    น่านเป็นแม่...แล้วเขากำลังจะตาย...เขาก็เลยฝากขวดนี้ให้แม่น้ำน่านพาขวดไปหาคนรักของเขา

    ชื่อ โนรี นรา..ถ้าไม่เจอก็ให้แม่น้ำน่านพาไปให้คนที่มีวาสนากับเขา..นำขวดนี้ไปหาโนรี นรา

    กูเข้าใจอย่างนี้....แต่"

    ............................."แต่อะไรวะ" ไก่ตุ๋นรีบยิงคำถามต่อทันทีด้วยความอยากรู้เรื่องราว

    ให้ปะติดปะต่อกัน

    ............................."แต่ข้อความที่ว่า หากนางเกิดเป็นดั่งเม็ดทรายน้ำลึกที่นาง

    ปรารถนา..แม่ได้โปรดรับนางไว้อยู่กับข้าตลอดกาล..กูไม่เข้าใจ"

    ............................."อ้าว..เขาก็บอกอยู่ตรงตัวแล้วไม่ต้องแปล..เขาว่าหากนางเกิดเป็น

    เม็ดทรายก็ให้อยู่กับเขา" ไก่ตุ๋นแสดงความเห็นบ้าง

    ............................."ไอ้เบื๊อกเอ้ย...คนมันจะเกิดเป็นเม็ดทรายได้อย่างไรวะเม็ดทรายมัน

    มีชีวิตมีวิญญาณหรือไง" กาเผือกแย้ง

    ............................."เมือง มีสุข" กาเผือกและไก่ตุ๋นอุทานเรียกชื่อเบา ๆ อีกครั้ง...เมื่อ

    สายตาไล่ข้อความตามตัวหนังสือมาถึง ผู้ที่เขียนหนังสือนี้.. ตรงบรรทัดสุดท้าย...

    ....................เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมาเขียนหนังสือนี้ได้อย่างไร..กาเผือกและไก่ตุ๋น

    ไม่รู้...แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น..สองพี่น้องเริ่มรับรู้ถึงจิตวิญญาณความลึกลับและความ

    ศักดิ์สิทธิ์ของ"แม่น้ำ"...พร้อมกับความผูกพันของ "เมือง มีสุข" กับ "แม่น้ำน่าน"....เมื่อ

    ประมวลเหตุการณ์ที่แม่น้ำได้นำพาขวดใบนี้มาสู่กาเผือก

    ...................."ผู้มีวาสนาต่อข้า"..กาเผือกคิดถึงข้อความนี้อยู่ในใจและมีลางสังหรณ์รู้สึก

    อยู่ในใจว่า"บางที..ผู้ที่เมือง มีสุข เอ่ยถึงบนตัวหนังสือที่ผ้าผืนนั้นอาจเป็นเขา"กาเผือก"..."

    .....................กาเผือกไม่เคยระลึกได้มาก่อนเลยว่า...ความจริงแล้ว..เขาคือ "นกกาเผือก..ผู้ที่มี

    หน้าที่ดูแลรักษาขวดแก้วใบนี้มาพร้อมกับแม่น้ำน่าน..เมื่อ 80 ปีที่แล้ว"......เพราะเขาได้กลับชาติมา

    เกิดเป็นคน....จะมีอะไรที่ทำให้เขารับรู้หน้าที่เดิมของเขาก็คงต้องติดตามต่อไปครับ.......

    .....................ก่อนเจ้านกกาเผือกจะสิ้นชีพไปมันได้อธิษฐาน....ขอกลับมาทำหน้าที่ต่อไปกับแม่

    น้ำน่านที่ได้รวมอยู่ในนามแม่น้ำเจ้าพระยา....แม่น้ำน่านได้เก็บรักษาขวดแก้วใบนี้อยู่ใต้น้ำลึกของแม่

    น้ำเจ้าพระยา...รอเวลาที่เจ้านกกาเผือกจะกลับมา....ทุกครั้งที่กาเผือกมาตกปลา...เขาไม่เคยรับรู้มา

    ก่อนว่าที่ใต้พื้นดินที่เขาอยู่..มีซากของนกกาเผือกที่ไม่เน่าเปื่อยบุบสลายฝังอยู่ใต้พื้นดิน.....จนใน

    วันนี้ที่แม่น้ำน่านซึ่งรวมอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดึงขวดที่จมน้ำให้ลอยขึ้นมาสู่เขาก็เพราะ

    ว่า...กาเผือกได้เดินและไปนั่งอยู่ตรงกับซากนกกาเผือกฝังดินอย่างตรงกันพอดี...ร่างของ

    นกกาเผือกและจิตวิญญาณของนกกาเผือกที่มาในร่างคน....จึงได้ถูกส่งไปยังแม่น้ำน่านให้

    รับรู้ว่า.."เจ้านกกาเผือกได้กลับมาทำหน้าที่ต่อตามคำอธิษฐานของมันแล้ว".....แม่น้ำน่าน

    จึงพาขวดแก้วลอยตรงมายังกาเผือกทันที..เพื่อส่งขวดแก้วใบนี้ให้ถึงมือของเขา..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  16. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากนั้น กาเผือกได้ยกขวดแก้วคว่ำปากขวดลงแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อให้"แหวน

    ทองคำ"ล่วงลงสู่ฝ่ามือของไก่ตุ๋นที่กำลังประคองมือรองเอาไว้อยู่

    ....................แหวนทองคำหล่นสู่มือของไก่ตุ๋น..ทันทีที่แหวนสัมผัสกับมือ..ไก่ตุ๋นถึงกับสะดุ้ง

    เพราะความเย็นของแหวนที่สัมผัสกับมือ...มันช่างเย็นเหลือเกิน

    ....................แหวนในขวดหล่นสู่มือของไก่ตุ๋นจนหมด.......มันเป็นทองคำที่ค่อนข้างบริสุทธิ์

    เหลืองอร่ามเป็นประกายมีเสน่ห์ดึงดูดใจของไก่ตุ๋น..เขาเอามือขวากำแหวนเอาไว้ทั้งหมด..และ

    แบมือซ้ายเพื่อรองรับแหวน...แล้วเริ่มนับแหวนทันทีที่มือขวาหยิบใส่มือซ้าย

    ............................"หนึ่ง...สอง...สาม..." เขานับแหวนจนหมดจากมือขวาแล้วเอ่ย

    ขึ้น....................."สิบหกวงว่ะ"

    ............................"มึงว่ามันหนักวงประมาณวงละกี่บาท" กาเผือกถามเพราะรู้ว่าน้องชายเชี่ยว

    ชาญกับเรื่องน้ำหนักของทองคำ...เพราะรู้มาว่าทองรูปพรรณที่แม่ซื้อให้มันใส่เท่าไร..มันก็เอาไปจำนำ

    หรือขายหมด

    ....................ไก่ตุ๋นยิ้มพร้อมกับหัวเราะเบา ๆก่อนตอบ

    ............................."หนึ่งบาทว่ะ"

    ............................."เฮ้ย 16 วง ก็ 16 บาทนะซิ" กาเผือกคำนวณอย่างตื่นเต้นดีใจ

    ............................."ใช่แล้ว...แล้วก็ราคาทองคำบาทละ 7,600 บาท(ราคาทองปี 2546)...

    มันเป็นเงินเท่าไรวะ" ไก่ตุ๋นย้อนถามอย่างอารมณ์ดี

    ............................."7,600 คูณกับ 16 ก็ ก็..เท่ากับ..121,600 บาท" กาเผือก

    คำนวณ...แล้วทั้งคู่ก็อุทานโดยพร้อมเพรียงกันและหัวเราะขึ้นอย่างดีใจ

    ............................."โอโห...ไชโย"

    ....................ณ เวลานี้กาเผือกและไก่ตุ๋นไม่มีความหวาดวิตกหรือหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลย....

    มีแต่ความอื่มเอิบหัวใจ...แล้วบรรจงเก็บแหวนทองคำใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงของไก่ตุ๋น...และได้พูดถึง

    เหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างอารมณ์ดี.......

    ............................."หนังสือนี่เขียนขึ้นมาเมื่อ 80 ปีที่แล้ว......มันชราเอามาก ๆเลยว่ะ" กา

    เผือกเอ่ย

    ............................."ใช่...มันชรากว่าลุงนมอีก" ไก่ตุ๋นกล่าวเสริม

    ............................."เฮ้ย..อย่างโน้นเขาเรียกว่า...แก่โว้ย" กาเผือกแย้ง

    ............................."กูว่า...ชรามันไพเราะดีนะ" ไก่ตุ๋นแสดงความเห็น

    ............................."เฮ้ย..อย่ามัวเสียเวลา..เอาสร้อยข้อมือทองออกมาดูก่อนเหอะ" กา

    เผือกเตือนไก่ตุ๋น

    .....................ภายในขวดสร้อยข้อมือทองถูกผ้าขาวอีกผืนอัดทับไว้...ต้องใช้ก้านธูปที่

    อยู่บริเวณหน้าหลวงพ่อใหญ่หลายอันมัดรวมกันด้วยยาง...แล้วแย่ไปในขวดเพื่อเขี่ยผ้าผืน

    นั้นออกมา....และทันทีที่ปลายผ้าโผล่พ้นขวดแก้ว...กาเผือกได้ดึงผ้าขึ้นมาทันที......

    .....................เมื่อคลี่ผ้าออกดึงให้ตรึงเขาก็ต้องตื่นเต้นอีกครั้ง...เมื่อปรากฏมีตัวหนังสือ

    เขียนไว้บนผ้านั้นด้วยดินสอดำเช่นเดียวกับผืนแรก.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........."ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ..เป็นกำลังใจให้ผมอย่างดีเลยครับ"...
    .........ขอให้ท่านบำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยมโดยเร็วพลัน..และให้มีความสุขตลอดไปนะครับ.......
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......................ตอนที่ 5 ผ้าขาวผืนที่สอง...................





    .....................มีตัวหนังสือเขียนไว้บนผ้าขาวผืนที่สองว่า




    ............................"......................ณ จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน๔ฯ๑๒ปีกุน

    ........................................วันพุธที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๖

    ท่านผู้มีวาสนาต่อข้า

    ............................เมื่อใดที่ท่านได้อ่านหนังสือจบ..จงรู้เถิดว่าข้ากับท่านเคยช่วยเหลือ

    อุปถัมภ์กันมาก่อน..ข้า คือ เมือง มีสุข อายุ ๒๕ ปี เป็นปลัดอยู่เมืองน่านฝั่งตะวันออก...ข้าขอ

    ให้แม่คงคาแห่งแม่น้ำน่านแม่ข้า...นำพาขวดแก้วนี้มาสู่ท่านข้าขอมอบแหวนทองคำทั้ง ๑๖

    วงแก่ท่าน..ขอท่านได้โปรดเมตตาต่อข้า...นำขวดแก้วพร้อมสร้อยข้อมือทองคำนี้เดินทางไป

    เมืองน่าน...แล้วหาขวดแก้วมะม่วงผ่าซีกอีกครึ่งหนึ่ง..ซึ่งข้าบรรจุไว้ในกล่องไม้ฝังอยู่ตรงจุด

    ที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...ภายในขวดแก้วมีความทรงจำของข้าที่มีต่อนาง...ขอท่านตามหา

    โนรี นรา หญิงอันเป็นที่รักแห่งข้า..แล้วมอบสร้อยข้อมือพร้อมขวดแก้วทั้งสองที่ประกบติดกัน

    แล้วแก่นาง.............

    ..............................................เมตตาต่อข้าด้วย............................

    ................................................เมือง มีสุข................................"




    ....................หลังจากอ่านหนังสือจบ..กาเผือกรู้สึกตื่นเต้นและอิ่มเอิบหัวใจอย่างแรงกล้า...

    เพราะหนังสือได้บ่งบอกไว้เหมือนกับที่เขาสังหรณ์ใจไว้แต่แรก ผู้ที่มีวาสนาต่อข้า..ที่เมือง มีสุข กล่าว

    ถึงน่าจะเป็นเขา...เมื่อได้ตีความหนังสือนี้แล้ว.....

    ....................เมือง มีสุข เขียนหนังสือบนผ้าขณะที่เขามีอายุ 25 ปี ณ เวลานี้เขาคงจาก

    โลกนี้ไปแล้ว...แต่ได้ความเกี่ยวกับประวัติของเขาเบื้องต้น.....เขารับราชการเป็นปลัดอยู่ที่

    เมืองน่านฝั่งตะวันออกเมื่อ 80 ปีที่แล้ว...หนังสือร้องขอความเมตตาให้กาเผือกเดินทางไป

    เมืองน่าน..เพื่อตามหาขวดแก้วรูปมะม่วงผ่าซีกอีกครึ่งหนึ่งซึ่งบรรจุในกล่องไม้ฝังอยู่ตรงจุด

    จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..........

    ....................การไปเมืองน่านหรือจังหวัดน่านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา...แต่การหาจุดสถานที่

    จันทร์เสี้ยวแยกจากกันพร้อมกับขุดหากล่องไม้...รวมทั้งการตามหาผู้หญิงที่ชื่อ โนรี นรา นั้น

    ไม่ใช่เรื่องง่าย.......

    .....................ณ เวลานี้กาเผือกรับรู้ว่า...แหวนทองคำทั้ง 16 วง...นั้น..เจ้าของแหวนได้ให้เป็น

    สมบัติของเขาแล้ว....แหวนที่เขาได้รับนั้น.."ทุกวงไม่มีลวดลายใดปรากฎบนแหวนเลย..มัน

    เหมือนกับแหวนปลอกมีด..แต่มันก็ดูสวยงามด้วยเนื่องทองคำที่สะอาดผุดผ่อง...มีเสน่ห์ดึง

    ดูดสายตาและจิตใจของผู้พบเห็น......."

    ......................ผู้หญิงที่ชื่อ "โนรี นรา" คนรักของ "เมือง มีสุข"...เวลานี้คงจากโลกนี้ไป

    แล้ว....เช่นเดียวกับเมือง มีสุข...แต่ความรักของทั้งสองที่มีอยู่ในอดีตกำลังจะถือกำเนิดเป็น

    เรื่องเล่าให้คนรุ่นหลังได้รับรู้สืบต่อกันไป ณ เมืองชัยนาทแห่งนี้......

    ......................เหตุแห่งความสงสารที่กาเผือกมีต่อเมือง มีสุข..และความอยากรู้เรื่องราว

    ความรักของเขาทั้งสอง....จึงทำให้เขาเริ่มคิดที่จะค้นหา....

    ......................แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรต่อไปก็ต้องหยุดดูการกระทำบางอย่างของไก่ตุ๋น

    น้องชาย...

    ............................"ทำไม มันถึงออกยากจังวะ" ไก่ตุ๋นบ่นพึงพำในขณะที่พยายามเท

    ขวดคว่ำลงและเขย่า.........เพื่อนำสร้อยข้อมือทองคำที่อยู่ภายในขวดออกมา

    .....................หลังจากที่เพียรพยายามนำสร้อยข้อมือออกจากขวดอยู่พักใหญ่....และไม่สามารถ

    นำออกมาได้...ทั้งสองพี่น้องจึงตัดสินใจที่จะไม่นำมันออกมา...

    .....................ขณะนี้ตะวันคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก..จนดูเป็นสีแดงอ่อนจ่าง ๆ...ไร้

    ซึ่งความสว่างจ้า....กาเผือกและไก่ตุ๋นสัมผัสกับสัญญาณบอกเวลาใกล้ค่ำในฤดูหนาว..ทั้ง

    สองก้มลงกราบหลวงพ่อใหญ่ก่อนที่จะจากมา.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0265.JPG
      IMG_0265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      48
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ตอนที่ 6 โชคดีสู่ครอบครัว...................



    ....................ทันทีที่รถจักรยานยนต์เสียงเครื่องเรือจ้างจอดลงที่ใต้ถุนบ้าน..

    ................................"โย้...ฮู้" เสียงแห่งอาการดีใจที่ท้งสองพี่น้องเปล่งออกมาพร้อมกัน

    อย่างดัง...และตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุขที่ทั้งสองแสดงออกมา...ยังความแปลก

    ใจให้แก่สมาชิกในครอบครัว....อันประกอบด้วย แม่ พี่สาว พี่เขย และน้องสาว ต้องออกมา

    ดู...ส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว...

    ................................"ท่าทางจะหอบเอาบาปกลับมาบ้านเยอะซิท่า..ไอ้ไก่ตุ๋น..พวกมึง

    ทำเวรทำกรรมไว้กับปลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ" เสียงบ่นจากแม่ซึ่งผ่านการปลดเกษียณ

    จากการเป็นพยาบาลของโรงพยาบาลชัยนาทมาใหม่ ๆ แต่กลับใช้คำพูดอันเก่าแก่มีอายุคงทนถาวรที่

    อนุรักษ์ไว้สำหรับลูกชายทั้งสองคนโดยเฉพาะ....ยิงใส่ลูกชายเป็นชุดทันที"

    ............................"นี่...แหวนทองคำต้อง 16 วงแน่ะ" ไก่ตุ๋นพูดอย่างดังพร้อมกับแบ

    มือขวาออก

    ....................ขณะนี้แหวนทองคำทั้งหมดอยู่บนฝ่ามือของไก่ตุ๋นในลักษณะที่ซ้อนกันเป็น

    กลุ่ม.....ทุกคนหยุดชะงักด้วยอาการตื่นเต้นและงวยงง.

    ....................แต่ยังมิทันจะพูดอะไร...กาเผือกก็หยิบขวดแก้วรูปทรงมะม่วงผ่าซีก..ซึ่งภายใน..มี

    สร้อยข้อมือทองคำปรากฎอยู่แสดงออกต่อหน้าทุกคนทันที.....พร้อมกับพูดขึ้น

    ............................"แล้วก็นี่....สร้อยข้อมือทองคำ"

    ....................กาเผือกยื่นขวดแก้วออกมาตรงหน้าแม่...ซึ่งยืนรวมกลุ่มกับพวกลูก ๆคน

    อื่น...

    ............................"เฮ้ย ขวดอะไรน่ะ" เสียงของ"กวาง"..พี่สาวคนโตของบ้านมองดู

    ขวดรูปทรงประหลาดและสร้อยในขวด...พร้อมกับรับขวดมาจากมือกาเผือกน้องชายมาลูบ

    คลำดูด้วยอาการตื่นเต้นและแปลกใจ...

    ............................"ขวดเหมือนลูกมะม่วงเลยดูซิ...สร้อยข้อมือในขวดนี้ก็สวยจัง....เป็น

    ลายดอกไม้ด้วย" กวางวิจารณ์หลังจากพิจารณาแล้ว

    .....................หลังจากนั้นขวดแก้วก็ถูกส่งต่อไปยัง แม่ แก่นซึ่งเป็นสามีของกวาง..และเก้งน้อง

    สาวคนเล็ก...ซึ่งเมื่อทุกคนดูแล้วก็เห็นคล้อยตามกวาง

    .....................สร้อยข้อมือดังกล่าวแม้จะอยู่ภายในขวดแก้ว...แต่เมื่อเอาดวงตาแนบดูกับ

    ปากขวดจะเห็นสร้อยภายในขวดทั้งเส้น...มันเป็นลายดอกไม้โบราณและมีกิ่งไม้พร้อมกับ

    ใบไม้ที่รองรับดอกไม้นั้นสลับกันหลายดอกจนดูงามไม่มีที่ติ..จนยากที่จะวางสายตาจาก

    มัน...ลายทองประดิษฐ์ไว้บนสร้อยไม่มีใครเคยเห็นหลายชนิดนี้มาก่อน....เพราะมันคือ "ลาย

    ของดอกทานตะวัน(สัญญลักษณ์ของบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์)"ที่ไม่เคยมีช่างทองคนใดทั้ง

    อดีตและปัจจุบันทำลายดอกทานตะวันขึ้นที่สร้อยข้อมือทองคำเลย...........

    ....................และแล้วเหตุการณ์ที่กาเผือกและไก่ตุ๋นได้ประสบพบมา...ก็ได้พรั่งพรูออก

    จากปากทั้งคู่สู่คนในครอบครัว......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      104
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...