หลวงปู่หล้า สนทนาธรรม กับหลวงปู่บุญฤทธิ์

นี่คือสภาวะอนัตตา แต่ความจริงไม่ใช่สภาวะ อกุปปธรรม
แต่ต้องอาศัยสภาวะอนัตตาเข้าไป..
อาศัยสภาวะอนัตตาแต่ไม่ใช่สภาวะ

 

นี่ๆ จะให้ ต้นแบบ simsimi ตอบคำถามทำไม

simsimi เนียะ จะได้คำตอบก็เมื่อพบว่า มีการป้อนคำตอบเอาไว้บ่อยๆ
เมื่อไหร่ ปรากฏคำนั้นซ้ำๆ เช่น กุปกัปกุปกัป ตัวโปรแกรมก็จะแฮปปี้ (แฮป
เป็น แสลง คือ ขโมย ปี้ มาจาก กอปปี้ ) echo ตอบออกมาด้วย คำที่
ซ้ำนั้น

ครั้น ถามคำถามเดิมซ้ำๆ ไอ้ simsimi ก็จะเริ่มหยิบคำอื่น และ แนวโน้ม
เนี่ยะ มันจะเป็น คำหยาบคาย ลงเรื่อยๆ

 

อกุปปกรรม กับ นิพพาน เหมือนกันไหม

 

พระศาสดา ได้กล่าวเอาไว้ว่า วิสังขารคตัง จิตตัง
แปลว่า
จิตได้เข้าถึง สภาวะวิสังขาร หรือ นิพพาน นั่นแหละไม่เกิดไม่ดับ

เป็นผู้รู้ ผู้ติ่น ผู้เบิกบาน

ที่ว่าพบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้นั้นไม่ได้หมายถึง วิสังขารคตัง จิตตัง แต่ยังอยู่ในขั้นมรรค ไม่ใช่ผล

 

นิวรณ์? เก่งแต่ปาก พอเขาท้า วิ่งหางจุกตูดทุกที

เก็บเงินไปผ่าตัดแปลงเพศเถอะ

ถ้าไม่มีเงิน กินยาคุมไปพลางๆ ก่อน

 

นี่ๆ ผมจะ อธิบายให้ ว่าทำไม หลวงพ่อสงบ ไปหยิบคำว่า กุปปธรรม กับ อกุปธรรม
มาใช้ ทั้งๆที่ มันคนละเรื่อง อกุปธรรม จะใช้คู่กับ ความประมาท ในธรรม คือ

การลืม พิจารณาสิ่งที่เคยข้ามได้แล้ว หรือที่เรียกว่า ไม่กำเริบกลับ หากสังเกตุ
ดีๆ ก็จะเห็นว่า เป็นเรื่องการได้มาในสมาบัติโดยง่าย หรือไม่ง่าย กล่าวคือ
กุปปธรรม กับ อกุปธรรม เป็น ธรรมที่ใช้กล่าวในการตรวจสอบ ตรวจทาน
ไม่ได้ พูดถึงส่วน ผลจิต

ทั้งนี้เนื่องจาก หลวงพ่อสงบ ท่านชอบ โสลแกนที่ว่า "ธรรมเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติ
คือวัฏฏะ"

ทีนี้ พระเถระท่านอื่นๆเนี่ยะ ส่วนใหญ่ หรือ เกือบจะทั้งหมด ท่านพูดว่า "ธรรมะ คือ
ธรรมชาติ"

ก็เลยทำให้ พูดลำบาก เวลาจะพูด สโลแกนนั้น ก็เลย ต้องไปหาคำใหม่มาใช้
จะใช้คำว่า โลกียะ กับ โลกุตระ มันก็ไม่เป็น สโลแกน ใหม่

ก็เลย หยิบคำว่า "อกุปธรรม" (การข้ามพ้น) มาใช้ โดยให้หมายถึง "ธรรมะ"
แล้วให้ "กุปธรรมคือ วัฏฏะ" การไม่พ้น

การข้ามพ้น กับ ข้ามไม่พ้น ท่านก็ใช้บ่อย ใช้ใช้กับการอธิบาย ฐีตจิต ฐีติภูตัง
เวลาข้ามอวิชชา

ดังนั้น

อกุปธรรม กับ กุปธรรม หลวงพ่อใช้ไม่ตรงกับ พุทธวัจนะ แต่โดย นัยยะการแทง
ตลอด ไม่กำเริบกลับ ก็เลยไม่ขัดในส่วนของ นิพพาน

 

พบผู้รู้ ทำลายผู้รู้

แปลว่า ผู้รู้ ก็ไม่เที่ยงน่ะสิ เพราะทำลายได้

ถ้าทำลาย เป็นส่วนผล ผู้รู้เป็นส่วนเหตุ

ก็ต้องยอมรับด้วยว่า ผู้รู้ก็เป็นส่วนผลของเหตุอีกทีนึง

คือ ก่อนมีผู้รู้ ต้องไม่มีผู้รู้มาก่อน แล้วจึงมารู้ จะเกิดเองลอยๆไม่ได้,..... งงมั๊ย

แปลอีกที มันก็เกิดดับเป็นปัจจัยอยู่ปกตินั้นแล

 

หลวงพ่อที่ชลบุรี ท่านก็สอนคล้ายๆ กัน

"วัดป่าเจริญธรรม"

 

ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮ๊้

ถ้าจะพูดตรงจุดนี้ หลวงพ่อสงบประกาศไว้ว่า ให้มาคุยกับหลวงพ่อตัวต่อตัว

อย่าเอาไปคุยเล่น เพราะ ถ้าเอาไปคุยเล่น มันจะวนไปวนมา

พระท่านว่า มันเป็น ภาษาอุบายในการปฏิบัติ ไม่ใช่ภาษาปริยัติ ที่จะฟังแล้ว
ไปจับเป็นข้อเท็จจริง แบบตรรกะ

 

เรื่องคำว่า อกุปธรรม ไม่ขัดกันกับ นิพพาน แต่ไม่ใช่คำเดียวกัน ก็เหมือนๆกับ

"สิ้นตัณหา"

สิ้นตัณหา ไม่ใช่ นิพพาน สิ้นตัณหาเป็นสภาวะจิตสิ้นตัณหา

แต่ จิตที่สิ้นตัณหา ก็คือ นิพพาน

จะมี นิพพาน ก็ต้องอาศัย สภาวะสิ้นตัณหา มีอยู่

พอเข้าใจไหม

กล่าวคือ มันคล้ายๆจะเป็นองค์ประกอบ แต่ ไม่ใช่องค์ประกอบ
เพราะ นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบ

 

มันเลี่ยงไม่ได้หรอก หากภาวนาความเป็นปัจจัย

มันเชื่อยาก ว่าผลนี้ปราศจากเหตุให้เกิด หรือ เกิดเองลอยๆ

ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

 

ข้อมูลใหม่มา ชิบประมูลผลทันที วิ้ง วิ้ง

 

.............................เกิด จาก ความเข้า ใจผิด นะเกิดได้ครับ

 

นี่ๆ อาหลง ต้องซื่อตรงต่อธรรม นะ

ต้องทันจิตปุถุชนของเราไว้เนืองๆ เวลา เราพูดถึง นิพพาน เนี่ยะ

ร้อยละร้อยเลย มันจะมีอาการทนไม่ได้ ที่จะรับทราบถึง สภาวะที่มีอยู่แล้ว

เราจะทนไม่ได้ ที่จะรับทราบสิ่งที่เหนือเหตุเหนือผล

ตรงนี้เอง ทำให้เรา คด ทรยศ ขึ้นได้ หากไม่ซื่อตรงต่อธรรม คือ เราเป็นปุถุชน
คนหนา

ดังนั้น เวลาพูดถึง นิพพาน หรือ อกุปธรรม หรือ สิ้นตัณหา ก็ต้องเผื่อๆใจ
ให้กับ ความคับแคบ ที่ปรากฏด้วย อย่าให้มัน กำเริบเสิบสารอวดอ้างว่ารู้

วิธีหลบก็คือ อ้างคำพระ ไปเลย สบายใจ เราไม่ต้องหน้าด้านกล่าวอะไรออกไปด้วย

อ้างดื้อๆ นี่แหละ ไม่ผิด

 

อันนี้ เป็นความเข้าใจโดยส่วนตนเน้อ

 

เรื่อง.......

 

เรื่อง............................

 

...............ทุกเรื่องเลยครับ...อยากรู้ไปคุยกับหลวงพ่อสงบ ตัวต่อ ตัว...ผมไม่รู้หรอก ผมรู้แค่นี้แหละ

 

งง เลย มันเกี่ยวอะไรกับ บางแวก หว่า ใครจะเป็น simsimi ชั้นครูบ้าง ตอบหน่อย

 

ก็อวดรู้เหลือเกิน

นี่ก้คุยมาเรื่องปัจจัย ว่าสิ่งหนึ่งมี สิ่งหนึ่งย่อมมี ไม่มีอะไรเกิดลอยๆโดยปราศจากเหตุ

พอถามกลับ ก็ไปโยนให้พระ

ถึงทักบ่อยไง ว่าพูดอะไรไม่เกิดประโยชน์