การภาวนา ลงใน สติปัฏฐาน 4 เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เช่นกันนี่คือการเห็น เห็นแล้วอย่างไรต่อล่ะ ก็ให้วางการเห็นนี้ลงไปอีก นั่นก็ต้อง ลง ให้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อีก แม้จะเห็น อิสระแห่งกาย แห่งใจ แล้ว นั่นก็ยังมีเห็นอยู่ อิสระที่ถูกเห็น ยังไม่ใช่ที่สุด ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ ยังอีกไกลเชียว ที่กล่าวแบบนี้ เพราะผมเองก็ยังติด ในช่วงของ อิสระแห่งใจ คิดว่าที่สุดแล้ว สุดยอดของยอดแล้ว 555 รู้อีกที กูรูลืมหายใจ (จมกองขี้ทีเดียวเชียว)
ผมใช้คำว่าศีลบริสุทธ์ ไม่ได้ตั้งใจรักษา ครับ ปุถุชนยังไม่มีปัญญารักษาศีลครับ พระโสดาบันท่านมีปัญญา เล็กน้อยเพื่อเป็นเนื้อเดียวกับศีล และมีการเห็นทางด้วยตัวเองมีตนเป็นที่พึ่งแล้ว ไม่งงครับ
ป๋าต้นฯ เขากำลังจะหาทางขึ้นอยู่(หมายถึงภาวนาให้ก้าวหน้าไม่ได้ให้ถอยหลังหรือย่ำอยู่ที่เดิม) กำลังทำความเข้าใจอยู่ เข้าใจป๋าเค้าหน่อยดิ ถ้าไม่เข้าใจป๋าต้นฯ ว่าเขาหมายถึงอะไร มันจะคุยกันไม่เข้าใจนะ ปัจจัตตัง มันอธิบายออกมาเป็นบัญญัติมันจะยาก ถ้าคุณจิตฯ คิดว่า ผ่านล้ำหน้าป๋าเขาไปแล้ว ก็ต้องพูดให้ป๋าเขาเข้าใจ ทาง ที่ต้องเดินไปข้างหน้า ว่าจะมีอะไรในกอไผ่อีก แต่ถ้ายิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ ก็ปล่อยวางไปเหอะ เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องของมองต่างมุม เข้าใจปัจจัตตังไม่ตรงกัน
เรื่องสิ้นกิเลส ก็ต้องระดับพระอรหันต์ แล้วนั่นล่ะค่ะ แต่ที่อ่านจากอรรถกา กล่าวว่า ถ้ามีกิจประหาณกิเลสนั้น เป็นกิจนิพพานพึงกระทำ ก็เข้าใจตามนั้น ว่าเป็นการเข้าถึงพระนิพพานชั่วคราวเพื่อกิจประหานกิเลส ไม่งั้น สังโยชน์3 จะประหาณยังไง ก็เข้าใจอย่างนั้น และอีกอย่าง พระอรหันต์ที่ยังไม่ละสังขาร ก็ไม่ได้เข้าพระนิพพาน แต่เป็นอีกชื่อหนึ่ง อุปทิเสสนิพพาน หรือเปล่า ไม่แน่ใจ ถ้าผิดก็ขออภัย
ก็ดูลักษณะการอุปมาดีดี เห็นกล้วยแต่ยังไม่ได้กิน ก็ไม่เรียกว่าได้กิน เพราะได้กินแล้วจะรู้ด้วยตัวเองทันที ถ้ายังไม่ได้กินก็ไม่มีทางรู้ เมื่อกินกล้วยแล้วมันก็รู้แล้วรู้เลย เห็นความจริงแท้แน่นอนทันที
คุณ ว.วิษณุ มันเป็นความเข้าใจส่วนตัวของเจ้ นะ ไม่ได้รู้จริง เข้าใจแบบไหนก็พูดแบบนั้น มันอาจจะผิดก็ได้ เราก็แสดงทัศนะ กัน ว่า ใครอ่านแล้วเข้าใจไปทางไหน ก็เป็นเรื่องของคนนั้น ก็แย้งกันตามความเห็นที่อ่านอรรถกถา แล้วเข้าใจกันไปคนละทาง เนาะ แต่ถ้ามีคนมายืนยัน ว่า ผ๊มกินมาแล้ว เป็นแบบนั้นแบบนี้ ก็อีกเรื่องนะ ก็ต้องพิจารณากันตามประสบการณ์
ไม่หรอกเจ้คุยกันเผื่อจะขำ ลองดูอุปมาดีดี พิจารณาดูดีดี มันจะลงกับคำที่ว่า นิพพานปรากฎเพราะสิ้นกิเลสตัณหา นั่นคือว่า ราษฎรได้เห็นพระราชาในท้องพระโรง หลังจากที่นั่งรอในท้องพระโรง นั่นคือพระราชาปรากฎ (พระอรหันต์) ก็เหมือนกับ กิเลสสิ้น นิพพานก็ปรากฎ ไม่มีการมาการไป ไม่มีเข้าไม่มีออก เห็นพระราชาแล้วเห็นเลยไม่มีใครมาหลอกได้ ราษฎรที่เห็นพระราชา กับ ราษฎรที่รอพระราชามาจึงต่างกัน เห็นแล้วก็เห็นเลย ย่อมรู้ว่า นี่ล่ะคือพระราชา หน้าตารูปร่างอย่างนี้ของจริงแท้แน่นอน แม้จะมีคนอื่นมาโกหก ว่าพระราชาหน้าตาแบบนี้ คนที่เห็นของจริงมาแล้วก็ย่อม ยืนยันด้วยตัวเองได้เพราะประจักษ์ด้วยตัวเอง ส่วนพระอรหันต์นั้นเข้าใจว่า ท่านนิพพานของท่านอยู่แล้ว ส่วนจะเรียกปรินิพพานก็เป็นการเรียก ดับขันธ์ ส่วนจะนิพพานดิบนิพพานสุก ก็เป็นแต่ชื่อเรียก เมื่อดำรงขันธ์ กับดับขันธ์
อย่าเพิ่งไปถึงพระอรหันต์เลย เอาแค่ยก อรรถกถามาดูกันอีกที เรื่องเห็นพระราชาเขาอุปมากับโคตรภูญาณ ส่วนโคตรภูเห็นนิพพานครั้งแรกก็จริง; ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น เพราะไม่มีการประหาณ (การละ) กิเลส อันเป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ, เหมือนอย่างบุรุษกล้าสู่ราชสำนักด้วยกรณียะเฉพาะบางอย่าง แม้ได้เห็นพระราชาซึ่งเสด็จทรงช้างไปตามถนนแต่ไกลเทียว เมื่อถูกถามว่า “ท่านได้เฝ้าพระราชาแล้วหรือ” (คำว่า เฝ้า หรือเข้าเฝ้าในภาษาบาลี ใช้กริยาศัพท์เดียวกันกับ เห็น นั่นเอง เพราะเฝ้า หรือเข้าเฝ้าก็คือเห็น หรือพบนั่นเอง) ก็ย่อมจะตอบว่า “ยังไม่ได้เฝ้า” เพราะ ยังมิได้ทำกิจที่พึงเข้าเฝ้า กระทำฉันใด, ก็ฉันนั้น นั่นแหละ. แท้จริงโคตรภูญาณนั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอาวัชชนะของมรรค. บทว่าภาวนาโดยอรรถว่า มรรค ๓ ที่เหลือ. ก็มรรค ๓ ที่เหลือ บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจภาวนา ในธรรมที่ปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นเอง. ไม่ได้เห็นธรรมอะไรๆที่ปฐมมรรคไม่เคยได้เห็น; ส่วนที่ ว.วิษณุำ ว่่า กิเลสสิ้น นิพพานก็ปรากฎ ไม่มีการมาการไป ไม่มีเข้าไม่มีออก ก็ถูกแล้ว อย่างโสดาปัตติมรรคญาณ ประหาณกิเลสไปแล้ว มันก็ไม่มีกำเริบกลับ เฉพาะส่วนที่ประหาณไปแล้ว ส่วนที่ยังไม่ประหาณก็รอรอบต่อไป สกิทาคามี อนาคามี จนถึง พระอรหันต์ ถึงจะประหาณกิเลสได้หมดทั้งสังโยชน์10 ปล. ว่ากันตามความเข้าใจจากการอ่านเท่านั้น ไม่ได้รู้จริง ดังนั้นไม่ต้องยึดเป็นสรณะ นะจ๊ะ นะจ๊ะ คุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะ และวิซั่น กันเองกันเอง
ไม่คิดมากอยู่แล้วเจ้ คุยกันก็ตามประสา ก็อย่างนี้ไง ถึงได้ชวนพิจารณาในคำอุปมา ส่วนโคตรภูเห็นนิพพานครั้งแรกก็จริง; ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น เพราะลงกับ นิพพานปรากฎเพราะสิ้นกิเลส นิพพานจะไม่ปรากฎหากไม่สิ้นกิเลส สังโยช มี 10 ขาดไป 3 เหลือ 7 จึงต้องรอต่อไป^^ วิซั่น วิซั่น