มีความเห็นอย่างไรกับการผ่านร่างมนุษย์(ร่างทรง)ของมหาเทพ พระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย freycaballero, 21 ธันวาคม 2011.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    เรี่องนี้พูดยากเชื่อว่าน่ามีทั้งแท้และเทียมเพราะเคยเห็นใกล้ๆ ที่จ.กำแพงเพชรชื่อศาลเจ้าพ่อเฮ้งเจีย ร่างทรงจะทานเจตลอดชีวิต ผมเคยเห็นเอามีดแล่ลิ้นเลือดออกสดๆเพื่อทำกระดาษฮู้(กระดาษยันต์)ยอมรับว่าเสียวไส้มาก เลือดสดๆไหลติ่งๆ หลังออกจากร่างทรง ดูเขาเพลียไม่น้อย และขอดูลิ้น จะมีเส้นๆคล้ายฝ้าที่แผ่นลิ้นที่กรีดยอมรับว่าน่าแปลก และเห็นจิบแ่ต่น้ำชา เขาไม่มีการเรียกร้องเงินทองอะไร ให้บริจาคใส่ตู้เพื่อบำรุงศาลฯ ไม่ว่าจะให้ช่วยอะไร ก็แล้วแต่ใจ ยอมรับว่าน่าศรัทธา พวกเรียกร้องเงิน บอกได้เลยแก๊ชัวร์ หรือพวกผีเปรตชั้นต่ำๆมาหากิน...:cool::cool::cool:
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    มนุษย์ หมายถึง ผู้ประพฤติศีล 5 หรือศีลแปด ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นปกติกิจวัตร<!-- google_ad_section_end -->

    ใช้ชีวิตด้วยหลักพรหมวิหาร 4

    ไม่กินเนื้อสัตว์

    ช่วยเหลือด้วยจิตอาสา

    ช่วยแล้วไม่รับเงินทอง

    ไม่วัตถุนิยม

    ไม่สะสมทรัพย์

    ไม่ต้องการชื่อเสียง

    ใครทำอย่างนี้ได้ ตลอดเวลาตลอดไป ก็เรียกว่า แอดวานซ์จาก คน เป็น มนุษย์ แล้ว

    อย่างนี้น่าสน
     
  4. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    วันนี้คุณ freycaballero เปิดกระทู้ ดี ดี ทั้งห้องนี้ และ ห้องภัยพิบัติ
    ได้ตรงใจ และ ถูกใจ ส่วนตัวก็คิดเช่นเดียวกับคุณ แต่ ไม่รู้ว่าจะสื่ออย่างไร
    ให้คนอื่นเข้าใจ เพราะเราเองทั้ง ข้อมูล และ ความคิดไม่แน่นพอ ที่จะ
    ไปบอกกล่าวแก่คนอื่นๆได้ วันนี้คุณออกมาตั้งกระทู้ ได้ดั่งใจจริงๆ
    มีความเห็นของคุณ พนมกุเลน และคุณ เทพธรรมบาล
    ยิ่งทำให้คนที่หลงไปทางความเชื่อเรื่อง ร่างทรง ให้หันกลับมาพิจารณา
    ความเชื่อของตัวเองเสียใหม่ ว่า กำลังไหว้ เทพ หรืออะไร........กันแน่
     
  5. วรรณนรี05

    วรรณนรี05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +903
    ให้สังเกตในหลักจิตวิทยา ถ้าสืบประวัติจริงๆของพวก ที่เป็นร่างทรงแล้ว ล้วนบอกว่าป่วยบ้างจนบ้าง นี่สาเหตุที่เขาไม่มีความอดทนในสิ่งที่เป็นอยู่ จึงต้องวิ่งไปหารับขันธ์เพื่อเป็นองค์นั้นองค์นี้ หลักๆเลยคนกลุ่มนี้ล้วนด้อยในสังคมที่ตนอยู่ แต่อยากให้คนเห็นความสำคัญของตนเอง **อย่างในงานไหว้ครูบางที่ เห็นบางคนลงไปชักดิ้นชักงอ หรือบางคนก็กรีดร้องโหยหวล หรืออาเจียนอย่างหนัก เทพ หรือเทวดา ท่านไม่มาในสภาพที่น่า ทุเรศแบบนี้หรอก **อันที่จริงเวลามีงานประเพศนี้ เขาจะบรรเลงเพลง ที่มีเคลื่อนสูงต่ำ เมื่อประสาทคนเรารับไม่ได้ ประกอบกับคนหมู่นั้นอยากเด่น ก็เกิดอาการขึ้น ถ้ามีปัญญาจะไม่หลงไปในทางต่ำ สิ่งที่พูดนี่เจอมากับตนเอง เพราะชอบลองของไปในที่วัดเสวก แถวคลองสาน ไอ้เจ้าพิธีมันเห็นหน้าเรามันบอก่าเราเป็น พระนเรศ มันจัดการเอาหัวอะไรต่ออะไรมาครอบหัวเรา ๆ เราก็ยอมให้มันครอบ แต่ในใจเราบอกพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เรายอมรับ พอครอบเสร็จ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักอย่าง พวกมันเห็นอย่างนั้นเลยเปฺดเพลงอย่างที่กล่าวสข้างต้น พอฟังนานๆจะเกิดอาการเคลิ้ม เรามีสติ ก็ลุกออกมาสูดอากาศข้างนอก ทำแบบนี้ 2-3ครั้ง เราก็ไม่เป็นเหยื่อแห่งความโง่ ขอเพียงเรารู้เท่าทันตัวของเราเองว่าเรายึดทางใดเป็นสรณะ นี่คือเกล็ดเล็กน้อยที่เล่าสู่กันเท่านั้น
     
  6. whimsicle

    whimsicle Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +36
    เดี๋ยวนี้ของปลอมจะเยอะมากกว่าของจริงคะ แต่เคยเจอร่างทรงมหาเทพของจริงคะ คือร่างทรงท่านนี้เป็นคนไทยเชื้อสายอินเดียคะ ท่านทรงมหาเทพของฮินดูทุกพระองค์ ตอนท่านสวดนี้ขนลุกเลยคะ เพราะมากเป็นคำสวดภาษาแขกเลย และที่เชื่อก็เพราะน้องสาวคุณยายเป็นอำมพาตมา 10กว่าปี ปรากฏมาหาท่านครั้งเดียว ขณะนั่งรถกลับบ้านอาเจียรออกมาหมดพอถึงบ้านจากอำมพาตเดินได้เป็นปกติเลย


    ใครจะบอกร่างทรงมหาเทพ มหาเทวีไม่มีจริงนั่น ไม่ถูกต้องไปเสียทีเดียวเพราะ อย่างที่ต่างประเทศในอินเดีย มาเลย์ อินโด เนปาล ฯลฯ ก็มีร่างทรงมหาเทพเยอะแยะไป อย่างเช่นร่างทรงหญิงบางคนอดีตเคยเป็นเทวีเด็กที่ได้รับการคัดเลือกจากวิหารเทวีทาเลจู อย่างที่อินเดียเองมีเยอะมาด้วย ออกทีวีก็บ่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  7. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    นี่แสดงว่าคุณไม่เคยดูที่เขาออกมาสารภาพ (โดยคนทรงเจ้าเองเลย)
    โชว์ตัดลิ้น ก็คือ ลิ้นหมูที่คาบอมเอาไว้ เลือดเป็นถุงอมไว้ในปากแค่กัดให้แตก

    แล้วเขายังบอกอีกว่า คนทรง ที่ไม่พูดภาษามนุษย์น่ะ ไม่จริง
    เพราะตอนที่เขาทรง เขาเคยพูดกับคนทรงอีกคน ต่างคน
    ต่างไม่รู้ว่า อีกฝ่ายพูดอะไร แต่ก็ผลัดกันพูด ให้ดูเหมือนโต้ตอบกัน
    เขาคิดคำพูดกันเอง (พวกเขารู้กัน) เพียงแต่ไม่ทำลาย(อาชีพ)เดียวกันเอง

    เราเคยดูนานแล้ว(ออกทาง tv) จำชื่อคนทรงคนนั้นไม่ได้
    เขามีชื่อเสียง และ อยู่ศาลเจ้าดังด้วย
     
  8. whimsicle

    whimsicle Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +36

    การทรมานร่างกายแบบนั่น บางแห่งก็กระทำขึ้นโดยพวกที่เขาฝึกวิชาโยคะของอินเดียก็จะเหมือนการ ทำสมาธิอย่างหนึ่งดึงหรือขอพลังจากพระผู้เป็นเจ้ามา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บหรือมีบาดแผลแต่ก็น้อยมากอย่างกำลังภายในของวัดเส้าหลินก็ได้มาจากวิชาโยคะของอินเดียนั้นเองของปลอมก็มีแต่ของจริงก็มี... เคยดูสารคดีในUBCไหม? ...ที่ ด็อกเตอร์อเมลิกันคนนึงเขารู้สึกสงสัยเรื่องการทรมานร่างกายแต่ไม่มีแผลของพวกลัทธิโซโรเอสเตอร์ในอิหร่านถึงขนาดไปใช้ชีวิตอยู่กับพวกนั้นและ เรียนวิชาสื่อกับเทพเจ้า ..และนั่งสมาธิแบบทรมาน ต่อมาเขาก็อยากมาเปิดเผยให้โลกลับรู้ว่าศาสตร์เหล่านี้นะมีจริง เลยมาทรมานตนออกทีวี.....พวก โยคีของฮินดูก็ใช้วิธีการทรมานตนอย่างนอนบนเตียงหนามเป็นวันและฝึกสมาธิ เหมือนกับว่าถ้าสมาธิเราหลุดก็จะโดนหนามทิ่มดังนั้นการทรมานตนจึงเป็นการทดสอบว่าสมาธิคุณแกร่งแค่ไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ถ้าจำไม่ผิด น่าจะสัก 4 ครั้ง รวมครั้งนี้ก็เป็น 5 ที่เอาบทความนี้มาลง เรื่องรับขันธ์ ชาบูๆ

    แต่ของเก่าที่เคยเอามาโพส ก็กระจัดกระจายไปไหนไม่รู้ อ. ภูเตศวร เขียนไว้ มีประโยชน์ดีมาก


    [​IMG]

    www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=8&wpid=0020



    รับขันธ์ (ขัน) ครูดีไหม?



    ระยะหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีมากมายหลายคนต่างได้ยินคำว่า รับขันธ์เกิดขึ้นโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่ถือว่าเป็นแดนศิวิไลซ์ที่สุดของเรา หากกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีผู้เชื่อถือในเรื่องการมีเทพเจ้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด
    <O:p
    จะเห็นได้ว่ามีผู้กล่าวอ้างอิงถึงการสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่หลาย มีทั้งร่างทรงหรือที่ไม่ยอมรับว่าเป็นร่างทรง แต่ยืนยันว่ามีความเกี่ยวพันกับเทพเจ้าปรากฏทางหน้าหนังสือเกิดขึ้นตลอดเวลา
    <O:p
    ทั้งหมดมิได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับมนุษย์ในยุคพ.ศ. นี้ กับการเกี่ยวข้องกับเทวดา...โดยการผ่านพระญาณลงมาโปรดมนุษย์ตาดำ ๆ ที่มีกิเลสครอบงำอย่างพวกเรา


    บ้านของคนเดินดินธรรมดา ๆ ก็เลยถูกสถาปนาเป็น พระตำหนัก’ กันเป็นทิวแถว...
    <O:p
    ก็อีกนั่นแหละปรากฏการณ์เหล่านี้จะว่าไปก็มิได้ทำความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรให้กับผู้เขียนหรอกครับ นอกเสียจากว่า...
    <O:p
    ...ถ้าไม่มีโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่อยู่แทบทุกวัน...
    <O:p
    “เขาว่าดิฉันมีเทวดาคุ้มครอง...” เสียงในลักษณะนี้แว่วเข้ามาเป็นประจำ
    <O:p
    ก็ดีแล้วนี่ครับ คนมีเทวดาคุ้มครองก็ถือว่าเป็นมงคล...” ผู้เขียนมักจะตอบเช่นนี้เสมอ...ทว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้...
    <O:p
    เขาให้รับขันธ์ค่ะ แต่ดิฉันลังเลใจ
    <O:p
    ครับ...ก็น่าเห็นใจเพราะอยู่ดี ๆ มีใครสักคนแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาทำพิธีกรรมแปลก ๆ โดยที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน แน่นอนคุณต้องลังเลใจ ว่าสิ่งที่จะทำนั้นมีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง...
    <O:p
    และที่ร้ายไปกว่านั้น...มีบางรายไปรับมาแล้ว ปรากฏว่าต้องมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการถอดถอน ขันครู

    ด้วยเหตุผลที่ว่า ตั้งแต่รับกันมามีแต่เรื่อง อวมงคล จนทนไม่ไหว...หากแต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวจะมีภัยแก่ตน...
    <O:p
    มีผู้แนะนำให้ไปลอยแม่น้ำ แต่ดิฉันกลัว... บางประโยคเช่นนี้ภูเตศวรมักจะได้ยินบ่อย ซึ่งผู้เขียนเห็นใจและเข้าใจดี...เพราะพิธีรับขันธ์ (ขัน) ถูกกระทำให้เห็นว่าเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์


    ความรู้สึกจึงเกาะแน่นในจิตของผู้รับ ยามเมื่อต้องการละทิ้ง จึงกลายเป็นความวิตก...หวาดหวั่น กลัวว่าจะถูกทำโทษ ฯ

    จากการค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง และจากที่ฟังคำบอกเล่ามา...สาเหตุแห่งการรับขันธ์นั้นมักจะเกิดจากข้ออ้างของเหล่าเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งหลายว่า


    บรรดาศิษยานุศิษย์ที่นับถือมานาน และเพิ่งนับถือพระญาณของเหล่าเทวดาปกปักคุ้มครองรักษา
    <O:p
    ...บางรายกล่าวอ้างว่า ถ้าไม่ทำพิธีรับขันธ์ (ขัน) ครูเอาไปบูชา จะถูกทำโทษต่าง ๆ นานา (หมายถึงเทวดาที่คุ้มครองลงโทษ)

    อย่างเช่น ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ถูกลงโทษให้ทำมาหากินลำบาก กิจการทั้งหลายขาดทุนย่อยยับ...
    <O:p
    ...ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ถูกทำนายทายทัก ขวัญผวา วิตกกันเป็นที่ยิ่ง...
    <O:p
    ถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงนึกอยากจะถามว่า... ตกลงรับขันธ์ (ขัน) ดีหรือไม่ดี ?”
    <O:p
    คำตอบก็คือ... ดี!”และก็ ไม่ดี!”
    <O:p
    หลายท่านคงแอบค้อนควักผู้เขียนหลายตลบ อีตาบ้านี่ตอบกวนประสาทแฮะ...แต่ภูเตศวรยังมีข้ออรรถาธิบายอีกครับ โปรดใจเย็น ๆ


    จากประสบการณ์ที่ภูเตศวรพบเห็นพิธีกรรมรับขันครูมาไม่น้อย ทำให้คิดได้เป็นสองแง่
    <O:p
    ประการแรก คือดี ก่อน การรับขันธ์ (ขัน) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ท่านผู้อ้างว่ามีเทวดาลงประทับทรงหรือมีสมมติสงฆ์บางรูปเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทให้นั้น จะสั่งให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดทำขันขึ้นมาก่อน


    ขันที่ว่าก็คือ ขันน้ำพานรองที่เห็นกันอยู่ โดยจะกำหนดขันเป็นสีเงินหรือสีทองเป็นส่วนใหญ่
    <O:p
    สิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในขัน ก็จะมีดอกไม้ ธูปเทียนกับบายศรีที่ประดิษฐ์ขึ้นจากใบตอง บางรายอาจกำหนดให้มีสิ่งอื่นมากกว่านี้ก็ได้ อย่างเช่น เงินกำนลครูเก้าบาท หญ้าแพรก ฯ


    การรับขันธ์ครูส่วนใหญ่ จะมีกฎมีข้อห้ามบางประการสำหรับศิษย์อย่างเช่น...
    <O:p
    ...ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่...เช่น วัว...ควาย
    <O:p
    ...ต้องรับประทานมังสวิรัติในวันพระ ฯ


    แล้วแต่เจ้าของสำนักจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งเท่าที่ฟังดูก็ล้วนแต่เป็นสิ่งดี ๆ ทั้งสิ้น
    <O:p
    ตรงนี้แหละครับที่ผมตอบว่าการรับขันธ์ ดี ดีตรงที่เหมาะสำหรับผู้ยังติดอยู่ใน อุบาย ข้อกำหนดต่าง ๆ สามารถระงับการอยากในบางสิ่งได้


    หากข้อกำหนดของเหล่าครูบาอาจารย์เจ้าสำนักอยู่ในศีลธรรมก็แล้วกันไป ยกเว้นข้อกำหนดนั้นผิดทำนองคลองธรรม...

    <O:p</O:pซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าผู้มีปัญญาคงแยกแยะได้
    <O:p
    ข้อดีอีกประการของการรับขันธ์ก็คือ...เมื่อผู้รับได้ขันธ์ (ขัน) ครูมาแล้ว ก็นำมาตั้งไว้ในที่อันสมควร...


    และแน่นอนต้องทำการบูชาอยู่เป็นนิจ...เท่ากับการได้บูชาพระคุณแห่งครูบาอาจารย์ ได้บูชาคุณแห่งพระเทวาที่ตนเชื่อถือว่าคุ้มครองตนด้วย...
    <O:p
    ขันธ์ (ขัน) ครู จึงเป็นเครื่องย้ำเตือนตนให้เป็นผู้ที่ประกอบกรรมดี
    <O:p
    และเหนี่ยวรั้งสติมิให้กระทำชั่ว ในฐานะที่มีเทวดาดูแลรักษา...(ตามความเชื่อของผู้รับขันธ์)
    <O:p
    แล้วที่ว่าไม่ดีล่ะ?” คำถามเช่นนี้คงต้องตามมาแน่นอน
    <O:p
    ภูเตศวรคงต้องบอกว่า...ส่วนไม่ดีตรงนี้อยู่ที่ตัวของผู้รับขันธ์ (ขัน) ครูมาเองว่า คุณเป็นผู้มีสติมากน้อยเท่าใด...
    <O:p
    สิ่งแรกก็คือ...คุณรู้จักแยกแยะว่าเจ้าของตำหนักนั้นเป็นผู้ที่มีความดีมีศีลธรรมจริงหรือไม่?
    <O:p
    ถ้าเจ้าสำนัก ดี...คุณก็รอดตัวไป
    <O:p
    ถ้าเจ้าสำนักอยู่ในคราบนักบุญ หากใจเป็นซาตานก็ถือว่าเป็นความซวย
    <O:p
    ที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะเคยเห็นมาเยอะที่พบเห็นครั้งแรก อะไร ๆ ก็ดีไปหมด พูดจามีเหตุผลอยู่ในศีลธรรม...แต่ภายหลังลูกศิษย์ถูกปอกลอกให้เสียทรัพย์จนหมดตัวมาก็มี
    <O:p
    ประการที่สอง...ผู้ที่รับขันธ์ (ขัน) ครูมาแล้ว มีส่วนมากคาดหวังว่าเมื่อรับแล้ว ตนจะประสบความสุข พบความร่ำรวย

    ตรงนี้ผู้เขียนอยากจะบอกกับทุกท่านว่า คิดผิด


    เพราะขันธ์ครูกำหนดความเป็นไปในชีวิตของคุณไม่ได้...ตัวคุณเท่านั้นต้องกำหนดชีวิตตนเองด้วยการกระทำ
    <O:p
    ชีวิตของมนุษย์ถูกกำหนดด้วย... กรรม หรือการกระทำแห่งตนเท่านั้น
    <O:p
    เทวดา...ยังอยู่เหนือกรรมไม่ได้...แล้วอย่างเรา ๆ จะเหลืออะไร?
    <O:p
    ที่เขียนอย่างนี้ก็เพราะมีผู้รับขันธ์ (ขัน)ครู บางคนเอะอะอะไรก็นั่งวิงวอน นั่งพร่ำบ่นร้องขอเทวดาให้ช่วย ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องงาน...เรื่องเงิน หรือแม้กระทั่งเรื่องครอบครัว ตรงนี้แหละครับที่ขอบอกว่า
    <O:p
    ไม่ดี
    <O:p
    ไม่ดีเพราะรับขันธ์ไปแล้วมัวแต่นั่งอ้อนวอน หรือไม่ก็อหังการ์ว่ามีเทวดาคุ้มครอง ภารกิจทั้งหลายที่พึงกระทำก็ไม่ทำ ท้ายสุดชีวิตครอบครัวก็ล่มสลาย
    <O:p
    ...ก็เลยกลายเป็น ขันครู ทำลายล้างชีวิตไปเสียอีก...
    <O:p
    ในส่วนความเห็นของผู้เขียนเองนั้น ถือว่าการรับขันธ์ (ขัน) ครูเป็นเรื่องของ โลกียธรรมรับก็ได้ ไม่รับก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเองว่า เป็นสุขหรือไม่อย่างไร? ในการนำไปบูชา -ปฏิบัติ...
    <O:p
    ...ทุกอย่างอยู่ที่ จิต อันประกอบด้วย สติ ระลึกรู้ของคุณเอง...
    <O:p
    คำว่า ขันธ์ ในความหมายของคณาจารย์โบราณต่างกับ ขัน ที่เรียกกันในปัจจุบัน

    ฉะนั้น คำว่ารับขันธ์หรือขันครูนั้น เพื่อต้องการให้พ้องกัน คนส่งเจตนาให้คนรับรู้ถึงสภาวะอันเที่ยงแท้ของมนุษย์ที่ประกอบขึ้นด้วย...
    <O:p
    รูป...เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ...อันเป็น ขันธ์ห้า
    <O:p
    ถึงตรงนี้อยากจะขอสรุปเลยว่า...การรับขันธ์ (ขัน) ครู นั้นดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเท่านั้น ว่าคุณรู้จักเลือก รู้จักปฏิบัติอย่างไร...รวมทั้งรู้ถึงความหมายของการรับหรือไม่...
    <O:p
    แต่ถ้าเป็นภูเตศวร ประสบปัญหาอย่างที่เรียกกันว่ามีญาณเทวดาจับต้องตามคำทายทักของร่างทรง...เจ้าสำนักต่าง ๆ เหมือนผู้ตั้งคำถามมา
    <O:p
    ภูเตศวร คงต้องขออนุญาตตอบว่า...การเป็นเทวดานั้นต้องประกอบด้วย...
    <O:p
    หิริ โอตัปปะ...คือการละอายต่อบาป..
    <O:p
    ฉะนั้น...ขออนุญาตยึดถือกฎข้อนี้แทนได้หรือไม่?<O:p></O:p>
    <O:p
    กับประการสุดท้าย พระพุทธองค์ของเราได้ถูกเรายกเป็นบรมครูแล้ว เราเป็นพุทธมามะกะแล้ว พระผู้มีพระภาคได้สั่งสอนมนุษย์ให้ดำรงตนอยู่ใน ศีล...สมาธิ...ปัญญา...แล้ว
    <O:p
    ฉะนั้น เราขอรับ ศีล...แทนรับขันธ์ครูได้หรือไม่?
    <O:p
    เราขอ ปฏิบัติ สมาธิแทนได้หรือไม่?
    <O:p
    เมื่อเราทำและปฏิบัติ ศีล...และสมาธิ ดีแล้วเราจึงเกิดปัญญา...
    <O:p
    หากทำสิ่งนี้ครบถ้วน แล้วนำถวายเป็นพุทธบูชา...นำถวายต่อครูบาอาจารย์
    <O:p
    ...น่าจะดีกว่าการรับขันธ์ (ขัน) ครู...มิใช่หรือ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  10. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    เทพมีจริงหรือ...?

    ร่างทรงมีจริงไหม...?
    <O:p
    ถ้ามีคนทักว่า มีองค์ในต้องไปรับขันธ์ครู แต่ไม่แน่ใจ ควรรับดีหรือไม่ดี?
    <O:p

    คราวนี้จะชี้ชัดลงไปเลยว่า ร่างทรงจริง ๆ (หมายถึงร่างที่เทวดาลงมาประทับจริง ๆ) มีหรือไม่

    ปัญหาแรกที่ว่า เทพ หรือเทวดามีจริงหรือ?


    ต้องขอตอบด้วยน้ำเสียงและลายมืออันหนักแน่นเลยละครับว่า มี แน่นอน...
    <O:p
    เพราะอย่างน้อยที่สุด พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเทวดาไม่มีจริงมาก่อน แถมในหมวดกรรมฐาน อนุสติ 10 นั้น พระองค์ยังได้บัญญัติ เทวดานุสติ เอาไว้ให้เราได้นำมาใช้เป็นข้อกรรมฐานอีกด้วย...
    <O:p
    ผู้จะเกิดเป็นเทวดา ต้องมีคุณสมบัติอยู่สองประการคือ...มีหิริ...และโอตตัปปะ... หรือที่เรียกว่า มีความเกรงกลัวและละอายต่อการทำบาป...


    การเกรงกลัวและละอายต่อบาปนั้น ต้องทั้งในที่ลับและที่แจ้ง จึงมีคุณสมบัติเป็นเทวดาได้
    <O:p
    เรื่องชาติภพของโอปปาติกะ ไม่เพียงแต่มีการบันทึกว่าพระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสถึงอยู่เสมอเท่านั้น


    ผู้เขียนเองขอยืนยันด้วยเกียรติแห่งตนว่า เคยได้ยินพระอริยเจ้าที่ผู้เขียนเคารพเทิดทูนยิ่งอย่างหลวงปู่พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เล่าเรื่องโอปปาติกะให้ฟังมาแล้ว


    และภูเตศวรก็เชื่อโดยสนิทใจว่า พระอริยะอยู่ห่างไกลกิเลส และมีศีลบริสุทธิ์อย่างท่านย่อมไม่มุสาวาทเด็ดขาด
    <O:p
    ...ฉะนั้น คำตอบแรกของผู้เขียนก็คือ เทวดามีแน่!

    ค<O:p</O:pราวนี้ก็มาถึงเรื่องร่างทรงกันละครับ...กับคำถามที่ว่า ร่างทรงจริง ๆ มีหรือไม่นั้น


    หากจะตอบกันชัด ๆ ก็คงจะยากสักนิด เพราะของอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง พิจารณาด้วยตัวเอง รู้ด้วยตนเองแล้วนั้น ยากจะกล่าวยืนยันได้...
    <O:p</O:p
    เป็นอันว่า ผู้เขียนขอกล่าวเฉพาะสิ่งอันเป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ประสบพบพานมาให้ฟังก็แล้วกัน เท่าที่ได้พบเห็นมา...


    ร่างทรงที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน มีทั้งจริงและหลอกลวง แต่โดยส่วนมากเป็น ของเทียม เสียมากกว่า อยู่ในอัตราร้อยละเก้าสิบห้า ของแท้มีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์
    <O:p</O:p
    ลายท่านอาจจะถามว่า... แล้วคุณรู้ได้อย่างไร? ครับ...


    ตรงนี้ไงครับที่เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาที่ทุกท่านอยากทราบกัน...
    <O:p
    คำตอบของภูเตศวรก็คืออย่างนี้ครับ... การที่คุณรู้จักร่างทรงที่ไหนก็ตาม คุณต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ถืออคติหรือโน้มนำจิตศรัทธาเสียตั้งแต่แรกพบ


    การวางจิตเฉย ๆ เป็นกลาง จะทำให้คนเราสามารถค้นหาเหตุผลมาพิจารณาได้โดยง่าย
    <O:p
    ร่างทรง จริงหรือเท็จ ดูได้จากองค์รวมต่อไปนี้...
    <O:p
    [FONT=’Times New Roman’]1. [/FONT]ราศี...ดูราศีของมนุษย์ผู้เป็นร่าง ตรงนี้ดูเป็นเรื่องยากสักนิด แต่ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นได้ชัด คนเหล่านี้จะมีอะไรบางอย่างที่ห่างจากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป


    พูดง่าย ๆ ว่ามีคุณลักษณะพิเศษกว่าตรงมองดูน่าเกรงขาม แต่น่าเข้าใกล้ มีเสน่ห์ดึงดูดใจ

    [FONT=’Times New Roman’]2. [/FONT]จริยวัตร...ข้อนี้ดูได้ค่อนข้างง่าย เหมือนเราดูพระสงฆ์นั่นแหละครับ พระดี ดีที่ศีลอันบริสุทธิ์ ดีที่สมาธิ และเป็นผู้มีปัญญา


    ฉะนั้น แม้นร่างทรงจะเป็นมนุษย์ แต่ถูกควบคุมโดยเทพเจ้า เทพย่อมแตกต่างจากมาร ตรงที่ มีคุณความดี มีศีลธรรม และสำคัญคือมีเมตตา...

    เท่าที่เคยพบเห็นร่างทรงแท้จริงมา

    ส่วนใหญ่จะไม่เคยเรียกร้องเงินทองจากมนุษย์ที่มาขอความช่วยเหลือ...


    จะยากดีมีจน จะให้การต้อนรับเท่าเทียมกัน ไม่เห็นคนร่ำรวยดีกว่าคนจน


    แต่มักจะมีความปรานีคนยากจนและลำบากด้วยการช่วยเหลือก่อนเสมอ...
    <O:p</O:p[FONT=’Times New Roman’][/FONT]
    [FONT=’Times New Roman’]3. [/FONT]ปัญญา... ตรงนี้สำคัญครับ ถ้าเป็นเทวดาลงมาประทับทรงช่วยมนุษย์ แต่ปัญญาทึบอับกว่ามนุษย์แล้วจะลงมาช่วยได้อย่างไร?

    มีครับ บางรายแอบอ้างว่า เป็นญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ อันเลื่องชื่อ ลงมาประทับ


    แต่พออาราธนาท่านให้เทศน์โปรดบ้าง ท่าน (ร่างทรง) กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เทศน์ไม่ได้ อย่างนี้ถ้าใครเชื่อก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไรแล้ว...


    การเป็นเทวดาต้องมีปัญญากว่าคนทั่วไป และแตกฉานธรรมะพอสมควร เพื่อแนะนำผู้มีทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลายในการปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์ได้บ้างเท่านั้น
    <O:p</O:p
    [FONT=’Times New Roman’]4. [/FONT]ความสะอาด-สงบ... ร่างทรงที่แท้จริงมักมีนิสัยชอบความสงบ...และที่อยู่ที่กินสะอาด


    ตรงนี้ไม่ได้หมายถึง มีบ้านช่องใหญ่โต หรือมีข้าทาสบริวารเยอะนะครับ ถึงจะอยู่ในกระต๊อบหรือที่ไหน คนเป็นร่างแท้ มักจะเป็นคนรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบ ดังที่มีประโยคกล่าวว่าจะดูพระสงฆ์วัดไหนดีไม่ดี ให้ดูลานวัน ลานวัดสะอาด เสนาสนะเรียบร้อย บอกได้เลยว่า วัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้พัฒนาทางจิตได้มากกว่า


    ครับ ร่างทรงก็เป็นเช่นนั้น ถ้าแม้แต่หิ้งพระหรือที่บูชาเทพสกปรก รุงรังเต็มไปด้วยหยากไย่ฝุ่นละอองแล้ว เราจะเชื่อได้อย่างไรว่า จิตของเขาสะอาดพอที่จะรองรับพระญาณของเทพมาช่วยมนุษย์ได้ จริงไหมครับ...
    <O:p</O:p
    สี่ประการที่กล่าวมาข้างต้น คือหลักการใหญ่ ๆ ที่ใช้สังเกตว่าร่างทรงที่คุณพบเห็นนั้น เป็นร่างทรงแท้จริงหรือไม่


    แต่ก็ใช่ว่าในสี่ประการนั้น จะเป็นตัวพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะ

    ถ้าผู้แอบอ้างเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียว ก็สามารถปรุงแต่งขึ้นมาได้เหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ข้อสำคัญที่สุด... คือก่อนที่คุณจะไปพบร่างทรงเพื่อขอความช่วยเหลือ ต้องบอกกับตัวเองว่า เราเป็นผู้มีสติ...เป็นผู้มีปัญญาในการพิจารณาทุกสิ่งอันด้วยเหตุและผล

    ร่างทรงและเทวดาที่ลงประทับจะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะทั้งร่างและเทวดาต่างก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น...
    <O:p
    ...อย่าเชื่อ! ว่าเทวดาจะล้างเคราะห์ล้างกรรมให้คุณได้
    <O:p
    อย่าเชื่อ! ว่าการเสียเงินเสียทองมากมายแล้วจะทำการตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ ถ้าเทวดาที่ไหนพูดอย่างนี้ ถือว่าไม่จริง!
    <O:p</O:p
    อย่าเชื่อ! ว่าการรับขันธ์ครู บูชาด้วยการยอมเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่น แล้วเทวดาจะมาอยู่ดูแลตัวคุณ อวยสุขให้คุณมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมาได้
    <O:p</O:p
    ถ้าร่างทรงนั้น สามารถรับพระญาณของเทพเจ้าได้จริง สิ่งที่คุณจะพึ่งพาได้มีอยู่สองประการเท่านั้น... คือ...
    <O:p</O:p
    [FONT=’Times New Roman’]1. [/FONT]คำทำนายทายทัก เพราะเทวดาบางท่านมีกระแสญาณสามารถหยั่งรู้อดีต-อนาคตได้พอสมควร ที่ใช้คำว่าพอสมควร


    เพราะอำนาจของเทวดาก็มีอยู่ในขีดจำกัดตามบารมีของตนที่สะสมมาเท่านั้น บางครั้งทำได้แต่ใกล้เคียง ไม่ใช่เป็นเทวดาแล้วจะรู้ไปเสียทั้งหมด
    <O:p</O:p
    [FONT=’Times New Roman’]2. [/FONT]ถ้าเทวดาลงประทับจริงสามารถให้ข้อคิด-ข้อธรรม ให้เราเอามาใช้แก้ไขความทุกข์ได้บ้างในชีวิต


    แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คุณก็ต้องเอาปัญญาของคุณพิจารณาด้วย เพราะเทวดาก็ใช่ว่าทุกองค์จะอยู่ในสัมมาทิฐิเสียทั้งหมดไป บางองค์ยังเป็นพวกมิจฉาลัทธิอยู่ก็มี
    <O:p</O:p
    ครับ...สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณา ร่างทรง ว่า จริง หรือไม่จริง ก็คงมีคร่าว ๆ แค่นี้


    ภูเตศวรอยากฝากข้อคิด ให้ท่านผู้อ่านลองไปคิดดูบ้างนะครับ...


    ข้อคิดนี้ไม่ใช่เอามาจากที่ไหน ก็นำมาจากบทสวดมนต์ที่ทุกท่านล้วนเคยได้ยินและได้สวดมาอยู่บ่อยครั้งนั่นแหละครับ เพียงแต่บางท่านยังไม่เคยรู้จักคำแปลก็เลยไม่รู้...
    <O:p</O:p
    ...อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสานัง พุทโธ ภะคะวาติ...
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนข้อเน้นเฉพาะตรงที่ ขีดเส้น ไว้เป็นคำแปลให้เห็นชัดว่า...บทสรรเสริญพุทธคุณบทนี้ คือคำตอบของคำตอบทั้งมวลของภูเตศวร...คำแปลรวมความได้อย่างนี้ครับ...
    <O:p</O:p
    ...สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยวิชชา... จรณะ ผู้เสด็จดี ผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้เคี่ยวกรำสั่งสอนได้ทั้งมนุษย์และเทวดา...
    <O:p</O:p
    ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นคำตอบชัดเจน... พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของทั้งมนุษย์และเทวดา พระองค์ทรงทิ้ง พระธรรมเอาไว้ให้เรายึดถือปฏิบัติแล้ว เพื่อการพ้นทุกข์ก้าวสู่มรรคผลนิพพาน
    <O:p</O:p
    ...ถ้าเราน้อมนำแก้วสามดวงคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาอยู่ในใจของตนได้ อะไรจะประเสริฐเท่าเป็นไม่มี

    ร่างทรงกับเทวดา จึงสามารถให้ธรรมที่เป็นแค่ โลกียธรรม เท่านั้น!
    <O:p</O:p
    ก็ร่างทรง...เทวดา เขามี เขาเป็น เพราะกรรมของเขา เมื่อเขายังอยู่ใต้กรรม...
    <O:p</O:p
    ...เขาจะช่วยเราได้มากแค่ไหน? ท่านลองคิดดูเอาเถอะครับ!


    www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=9&wpid=0020
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  11. ป่ากุง

    ป่ากุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +784
    ผมบ่ฮู้ ฮู้แต่ว่า นัตถิเม สรณัง อันยัง พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นหละ ประเสริฐเลิศครอบมหาจักวาล 55555555
     
  12. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    ถาม – เทวดาประจำตัวมีจริงหรือเปล่าคะ?

    ตอบ - ถ้านึกถึงเทวดาเดินตามต้อยๆ ไปคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์คุณ ตลอดเวลาล่ะก็ แบบนั้นไม่มีหรอกครับ

    ลองคิดดูถ้าใครสักคนสู้อุตส่าห์ทำบุญจนเกินมนุษย์ธรรมดา ถึงขนาดตายไปเสวยสวรรค์ได้ สุดท้ายเบื้องบนตกรางวัลโดยให้มาเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองมนุษย์ตลอดเวลา ค่าจ้างค่าออนก็ไม่ได้รับกับใครเขา อย่างนี้จะเป็นเทวดาไปทำไมล่ะครับ

    เป็นคุณจะเอาไหม ถ้าทำบุญแทบตาย แล้วต้องไปกินบุญ ด้วยการเป็นเงา ตามสิ่งมีชีวิตที่ศักดิ์ต่ำกว่า อย่างเช่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี?

    หากตอบว่าไม่เอา เทวดาก็คงไม่เอาเหมือนกัน และหากบอกว่าไม่เห็นจำเป็น เทวดาก็บอกว่าไม่เห็นจำเป็นเช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้นเลยครับ

    อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือเกื้อกูลข้ามมิติภพภูมินั้นเป็นไปได้ครับ ทำนองเดียวกับที่คุณอยู่ในภูมิมนุษย์ สามารถยื่นมือไปช่วยเหลือสัตว์ในภูมิเดรัจฉานได้ ตั้งแต่สัตว์เล็กอย่างมดไปจนกระทั่งสัตว์ใหญ่อย่างปลาวาฬ

    โดยที่การช่วยเหลืออาจมาในรูปแบบต่างๆ เช่น หยิบยื่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการช่วยชีวิตพวกมันราวกับปาฏิหาริย์ หรืออาจมาในรูปของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่กำลังย่ำแย่

    หรืออาจมาในรูปของการนำพวกมันมาผสมพันธุ์กันป้องกันการสูญพันธุ์ ฯลฯ พวกมันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นฝีมือของคุณ

    พวกเราก็เหมือนกัน วันๆได้แต่ดุ่มเดิมไปตามยถากรรม รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นการบันดาลของอะไร ระหว่างความบังเอิญ กรรมเก่า หรือเทวดา

    ว่ากันถึงความบังเอิญ คุณจะยิ่งทึ่งในโลกและจักรวาลมากขึ้น ถ้ารู้ว่าความกระทบกระทั่งดีร้ายทั้งหลายไม่เคยบังเอิญเลย สิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ และกาลเวลา ต่างร่วมกันถักทอเหตุการณ์ตามจังหวะการให้ผลของกรรมเสมอ

    ยกตัวอย่างเช่น คุณเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านว่าง นึกว่าคุณเป็นเอกเทศอยู่ตามลำพัง อยากก้าวเท้าไปที่จุดไหนในเวลาใดก็ได้ ความจริงคุณอาจทำหน้าที่เหยียบมดชะตาขาดให้ตายดับโดยไม่รู้ตัว ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่ง

    เท้าคุณเป็นวิบากของเหล่ามดกลุ่มดังกล่าว ทำหน้าที่เครื่องประหาร ส่งไปเกิดใหม่ตามเวลาอันควรของพวกมัน

    เมื่อใดคุณเข้าใจความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ และกาลเวลา เมื่อนั้นคุณจะทราบว่าแม้ ‘ความบังเอิญ’ ก็มีเหตุผลบางอย่างของมันเสมอ

    ว่ากันถึงกรรมวิบาก แม้หลายคนจะเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เมื่อ ‘ได้ดี’ หรือ ‘ได้ชั่ว’ แต่ละครั้งก็จะงงๆว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร กับทั้งมองออกนอกตัวไปเพ่งโทษว่าเป็นความผิดของมนุษย์ด้วยกันเสมอ เรียกหาความยุติธรรมเพื่อเอาผิดเอาถูกจากมนุษย์ด้วยกันเสมอ

    จะมีสักกี่คนที่พูดออกและบอกถูกว่าเหตุการณ์ไหนไหลมาจากกรรมอันใดของตน

    ว่ากันถึงเทวดา พวกเราในโลกมนุษย์นี้ มีจำนวนไม่น้อยเลยครับที่สัมผัสพลังต่างมิติด้วยจิต อาจจะได้กลิ่นหอมแปลก อาจจะยินเสียงพิเศษ หรือบางคนอาจเห็นความผิดปกติของเหตุการณ์บางชนิด แล้วทราบทันทีว่าเป็นการแสดงนิมิตด้วยฤทธิ์ของเทวดา

    แต่สัมผัสเทวดานั้น แม้จริงก็ใกล้เคียงกับอุปาทานมาก เช่น สายลมโชยกลิ่นหอมรื่นอาจเป็นลมธรรมดาที่หอบกลิ่นดอกไม้มากระทบจมูก แต่จิตคุณปรุงแต่งไปว่าไม่เคยได้กลิ่นอย่างนี้มาก่อนที่ไหนในโลก ต้องเป็นกลิ่นทิพย์ของเทวดาแน่ๆ

    ของแบบนี้ถ้าให้แน่จริงต้องมีตาทิพย์อันคู่ควรกับการเห็นสภาพทิพย์ เมื่อมีตาทิพย์คุณจะพบว่าอากาศว่างหลายๆแห่งไม่ว่างจริง ต้นไม้ใหญ่หลายๆต้นไม่ได้มีแค่กิ่งใบ โลกทิพย์จะปรากฏต่อหน้าโดยไม่ต้องรอให้ได้ยิน ได้กลิ่น หรือได้สัมผัสอะไรแปลกๆเสียก่อนเลยด้วยซ้ำ

    คนในโลกส่วนใหญ่พร้อมจะเชื่อว่าเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆเกิดขึ้นจากความบังเอิญหรือไม่ก็เทวดาบันดาล เพราะไม่ต้องมีตนเองเข้าไปรับผิดชอบเหมือนให้เชื่อว่าเป็นผลจากกรรมเก่าของตน

    แม้คนที่ศรัทธากรรมวิบากก็มักเลือกเชื่อเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องดีๆ ว่าเป็นเพราะบุญเก่าของตนบันดาล ส่วนเรื่องร้ายๆของตัวนี่จะหาแพะ เพ่งโทษเอาผิดกับมนุษย์ด้วยกัน

    หรือไม่ก็โบ้ยให้ความบังเอิญและเทวดาเป็นต้นเหตุไป ไม่อยากเชื่อว่าตนเคยทำบาปอันใดไว้ จึงต้องมาเผชิญทุกข์อย่างที่กำลังเป็น

    เมื่อโทษความบังเอิญหรือเทวดา อะไรๆจะอธิบายง่าย ไม่ต้องเหนื่อยพิสูจน์ให้ยาก แค่ทำใจเชื่อก็ใช้ได้แล้ว นึกว่ารู้จริงแล้ว

    และด้วยความไม่รู้จริง หรือรู้ครึ่งๆกลางๆนี่เอง เป็นเหตุใกล้ให้คนจำนวนมากเชื่อเรื่องเทวดาประจำตัว

    เป็นเทวดาประเภทที่คอยประกบติดคุ้มครอง คอยดลใจ หรือกระทั่งคอยดลเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆให้เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    มาทำความเข้าใจให้ชัดเจนดีกว่าครับ เริ่มกันที่ความจริงอันเป็นต้นเค้า เราต้องทราบว่าเทวดาก็เป็นสัตว์สังคมเช่นเดียวกับมนุษย์ พวกท่านมีเพื่อน มีสามี มีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวาร ที่รักและผูกพันกัน

    แม้เมื่อญาติมิตรจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลกแล้ว ก็ยังอาลัยอาวรณ์ อาจคอยสอดส่องดูด้วยความห่วงใย เกรงญาติมิตรของตนจะประสบทุกข์ต่างๆนานา หรือพลาดท่าเสียทีให้กิเลส ทำบาปทำกรรมอันเป็นเหตุให้ต้องพลัดไปสู่อบายภูมิได้

    วิธีสอดส่องของเทวดานั้น ถ้าเทียบให้ใกล้เคียงก็คงคล้ายมนุษย์อาศัยอินเตอร์คอมในการฟังเสียงลูกน้อยจากอีกห้อง หรือใช้กล้องวงจรปิดในการสังเกตพฤติกรรมของฝูงสัตว์เลี้ยงจากที่ไกล

    ต่างแต่ว่าเหล่าเทวดาส่วนใหญ่มีวิถีการรับรู้อันเป็นทิพย์ รู้เรื่องไกลตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย เพียงด้วยความห่วงใยมีใจผูกพันอาทร ก็จะรู้ขึ้นเองเมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรของตนที่ไปเกิดในมนุษยโลก

    เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรในโลก เทวดาก็หาได้สามารถช่วยเหลือไปหมดทุกเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการดลใจ หรือโน้มน้าวจิตของญาติมิตรให้เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล เช่น เมื่อญาติมิตรกำลังโมโหโกรธาจัดๆ

    เทวดาก็อาจแผ่เมตตา ช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในจิตใจญาติมิตรให้เยือกเย็นลง ทำนองเดียวกับบรรดาพระภิกษุผู้มีพลังเมตตาสูงๆหลายรูป สามารถรวมตัวกันแผ่กระแสความสุขให้ญาติโยมที่มาประชุมกัน ระงับความทุกข์และความฟุ้งซ่านลงได้ชั่วคราว เพียงเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้

    ตัวแปรในการดลใจมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง ประกอบกับที่ขณะหนึ่งๆกิเลสหรือวิบากของมนุษย์ห่อหุ้มอยู่หนาแน่นเพียงใดด้วย

    หากมนุษย์กำลังโทสะแรงกล้า หรือกำลังมีวิบากมืดคลุมจิตมิดเม้นให้เห็นผิดรุนแรง แม้เทวดาฤทธิ์มากก็ดลใจไม่ไหว

    การดลใจยังมีหลายเหตุผล และไม่จำเป็นต้องเคยเป็นญาติมิตรกันในชาติใกล้เสมอไป เช่น ในมหาปรินิพพานสูตรส่วนที่ว่าด้วยการสร้างเมืองที่ปาฏลิคาม ก็กล่าวไว้โดยใจความสรุปคือพระพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองว่า

    ท่านได้เห็นด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ในการที่เทวดาเป็นอันมากนับเป็นพันๆ หวงแหนพื้นที่เขตต่างๆในปาฏลิคาม

    ๑) เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่หวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็น้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    ๒) เทวดาชั้นกลางหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ ชั้นกลาง ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    ๓) เทวดาชั้นต่ำหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ชั้นต่ำ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    กล่าวสรุปโดยย่นย่อคือพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ว่าพื้นที่ส่วนต่างๆของโลกไม่เหมือนกัน ถ้าบุญไม่พอก็อยู่ไม่ได้ หรือมีเทวดาดลใจให้ไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะกับวาสนาบารมีของแต่ละคน โดยที่เทวดาไม่จำเป็นต้องเป็นเทวดาประจำตัวแต่อย่างใด

    หากคุณมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านโจรที่เล่นไสยศาสตร์มืด ก็คงเคยรู้จักกับกระแสยะเยียบทมิฬชวนขนลุกอย่างประหลาด อันนั้นอาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นต่ำปนๆกัน ทั้งคนทุศีลและเปรตดุที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน

    คนดีที่เข้าไปจะเหมือนแกะขาวที่ถูกแกะดำหมั่นไส้ นอนหลับอาจถูกรบกวนด้วยเรื่องน่าขนพองสยองเกล้าเอาได้

    ส่วนถ้าคุณมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปในเขตวัดที่มีอริยเจ้าพำนัก ก็คงเคยรู้จักกับกระแสความอบอุ่นสว่างไสว ปลอดโปร่งราวกับอากาศว่างเบาแผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต

    อันนั้นอาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นสูงปนๆกัน ทั้งมนุษย์ทรงศีล ทั้งเทวดาผู้มีพิมานซ้อนกับเขตวัด ทั้งเทวดาบุญญาธิการสูงเหนือโลกที่หมั่นส่งใจลงมาบูชาพระอรหันต์

    คนดีไม่พอที่คิดเข้าไปอาศัยวัดหลับนอนหรือปฏิบัติธรรมชั่วคราว อาจถูกกระตุกขาหรือได้ยินอะไรแปลกๆเพื่อเตือนสติให้ขยันขึ้นกว่าเดิม ไม่นอนขี้เซาเหมือนเดิม

    โดยรูปแบบการเตือนนั้นอาจทำให้เกรง แต่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกสยดสยองพองขนเหมือนตอนเจอวิญญาณชั้นต่ำ

    สรุปคือนอกจากคำว่า ‘เทวดาประจำตัว’ ซึ่งคุ้นๆกันแล้ว ยังมี ‘เทวดาประจำที่’ อีกด้วย

    รูปแบบความเกี่ยวข้องกันระหว่างเทวดากับมนุษย์อาจมาทั้งในรูปของการดลใจ การปกป้อง ตลอดจนการสะกิดเตือนตรงๆ

    หากจู่ๆคุณรู้สึกมึนงง หรือรู้สึกเหมือนถูกบล็อกความคิดให้ตีบตัน โดยเฉพาะขณะต้องทำบุญหรือทำบาปอันขัดแย้งกับตัวตนเดิมมากๆ ก็เป็นไปได้ครับว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจหรือเทวดานอกตัว

    แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุภายใน เช่น ความบกพร่องทางกาย หรืออาจเป็นความขัดแย้งกับภาวะจิตใจเดิมๆเท่านั้นเอง

    และไม่ว่าจะเชื่อเรื่องภายในหรือภายนอก การฝึกมี ‘สติ’ ให้เข้มแข็ง ต้านทานบาป และหันมาต้อนรับบุญทั้งปวง นับเป็นนโยบายอันควรยึดถือเป็นที่สุด

    แถมอีกหน่อยเป็นการทิ้งท้าย วิญญาณที่ผูกกรรมสัมพันธ์บางอย่างกับมนุษย์ ต้องคอยติดตามมนุษย์นั้นมีอยู่จริง แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

    ระดับหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่น คือต้องเป็นเหตุผลพิเศษจริงๆ เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอธิษฐานผูกติดกับอีกฝ่าย อำนาจการอธิษฐานที่แรงพอจะทำตัวเป็นเสมือนเชือกโยงให้ต้องติดตามไปทุกหนทุกแห่ง

    เมื่อหมดกำลังส่งของแรงอธิษฐาน หรือเมื่อฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนละคน ‘เงาตามตัว’ ก็จะจำไม่ได้ ต้องหายไปตามหนทางของเขาเองครับ

    www.dungtrin.com/mag/?9.prepare
     
  13. freycaballero

    freycaballero สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18
    ใช่เลยครับ เป็นพวกลองของเหมือนกัน พอมีสติเเล้ว เค้าจะทำอะไรเรา เรานึกถึงเเต่พระพุทธเจ้า เราก็ไม่เป็นอะไรคับ

    ที่เหลือน่ะหรอก ออกอาการเต็มที่คับ เป็นลิงบ้าง อะไรบ้าง โอ้เเม่เจ้า

    ร่างทรงคือพวกที่ ไม่เคารพเเม้เเต่ตัวเอง ครับ!!!
     
  14. freycaballero

    freycaballero สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณมากครับ ผมเองตอนเเรกว่าจะปล่อยวางเเล้วครับ เเต่ไปๆมาๆ เริ่มไม่ไหว อยากให้คนในบอร์ดได้สติ เเล้วกลับมาคิดทบทวนว่าตนเองยังเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆหรือไม่ครับ :)
     
  15. freycaballero

    freycaballero สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18
    ท่อนนี้^^ เป็นสัจธรรมจริงๆที่ไม่มีใครเถียงได้ เเต่อาจด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ไม่เข้าใจเสียที จึงเกิด ร่างทรงเเละลูกศิษย์มากมาย เป็นเเชร์ลูกโซ่ไม่จบไม่สิ้น บางทีพวกเค้าอาจจะลืมไปว่า นพุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ คืออะไร?
     
  16. pepsodent

    pepsodent Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +40
    พุทธัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ
     
  17. เพชรพญาธร

    เพชรพญาธร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +24
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นมั่งครับ อย่างถ้าคนที่ว่ามีองค์แต่ไม่อยากรับแล้วเทวดาดลบันดาลให้ตกระกำลำบากเจ็บไข้ได้ป่วยชีวิตไม่สุขสมหวังมีแต่ความทุกข์ตลอด อย่างนั้นผิดที่คนไม่รับหรือผิดที่ใด...จากเคยรับรู้เคยอ่านมาคนทรงเค้าบอกก่อนทรงไม่อยากรับแต่โดนเทวดาแกล้งอย่างนั้นอย่างนี้มั่ง..สุดท้ายทนไม่ได้ต้องรับแล้วชีวิตดีขึ้น...คำถามครับมันจริงหรือขนาดเลยรึ??ทำไมเทวดาใจร้ายจัง..พระศาสดาสอนไว้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม..เป็นเหตุผลที่ผมไม่เคยดูดวงหรือหาคนทรงเจ้าเข้าผีไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ผมเชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าถึงแม้ว่าผมยังเป็นแค่ปุถุชนกิเลสหนาปัญญาน้อยแต่พระพุทธยังเป็นหลักยึดชีวิตผมได้ดีที่สุดครับผม ถ้าความเห็นผมไม่ถูกต้องประการใดต้องขออภัยใน ณ.ที่นี้ครับผม...^^
     
  18. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    ถ้า จขกท. อ่านเรื่องข้างจนจบ จะเข้าใจมากขึ้น
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องไตรภูมิตามเดิม
    ในตอนก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปนอนพักอยู่ในแดนเปรตมาสิ้นเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คงจะเห็นเปรตได้ชัดว่าดินแดนของเปรตเป็นดินแดนนี่น่าอยู่เพียงใด หรือว่าใครจะไม่อยากอยู่ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ออกเดินทางต่อไป ลาเปรตเสีย บรรดาเปรตทั้งหลายถ้าหากว่าเราจะพูดกัน เรื่องพูดมีมาก แต่ทว่าเกรงบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็เรื่องของเปรต เป็นอันว่าบรรดาเปรตทั้งหลายเป็นสภาวะที่เราไม่น่าอยู่ เราไม่น่าพิสมัย


    ทั้งนี้ ดินแดนที่เราจะเดินทางต่อไป ตอนนี้เราเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์กันก่อนดีกว่า ออกจากดินแดนของเปรต หันหน้ามาทางทิศนะวันตก เป็นทางขาวใหญ่ เดินต่อมาเรียงแถวกันให้ดีนะ ดีไม่ดีตอนระหว่างสุดทางของนรก แล้วก็สุดทางของมนุษย์ สุดแดนของสวรรค์ ด้านขวามือนั้นมีนรกสำคัญอยู่ขุมหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโลกันตนรก เดินไปอีกหน่อยสมมุติว่าเดินผ่านมา เข้าถึงจุด ๓ จุดที่เข้ามาชนกัน คือเรียกว่าแดน ๓ แดนชนกันที่สุดของนรก ที่สุดของมนุษย์ และที่สุดของสวรรค์ มองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ปากช่องโต ภายในมีถ้ำ ในนั้นมีความเยือกเย็นมาก ในถ้ำนั่นแหละ เราเรียกกันว่าโลกันตนรก มันไม่เป็นเรื่อง พูดมาแล้วนี่ ไม่ต้องแวะเข้าไปดู ตานี้มาเดินกันต่อไป จะเสียเวลา พอเดินมาถึงทาง ๔ แพร่ง ก็พบว่าท่านเทวดาอินยืนยิ้มอยู่ พวก เราก็ยกมือไหว้ท่านเสียหน่อยซี ท่านเป็นเทวดา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะยังไงๆ ก็ตามเขาก็เป็นเทวดา ขึ้นชื่อว่าเทวดาย่อมมีความดี ๒ ประการ คือ มีหิริ และโอตตัปปะ หิริแปลว่าความอายบาปอายความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว นี่ใครจะถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าเป็นนักบุญ นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะไหว้เทวดา นั่นไม่จริง เทวดานี่ควรไหว้ เพราะเขามีความดี ถ้าหากว่าเขาไม่ดีละเขาก็เป็นเทวดากันไม่ได้ ไหว้เทวดาเถอะ ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุดเทวดาก็มีความดีกว่ามนุษย์อยู่มาก ลาท่านเทวดาอินเสีย เดินเข้ามาดูบนดินแดนของมนุษย์ ภาพข้างหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยผี บรรดาผีทั้งหลายนี่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง สภาพของอสุรกาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรามองดูแล้วจะมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือ แบบ ที่ ๑ พวกที่ ๑ เป็นพวกอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียว เรียกว่าไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด ไม่ใช่น่ากลัว เรียกว่าเป็นการน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่ง คือหากินได้ แต่ทว่าจะต้องหากินประเภทของที่เขาทิ้งแล้ว บูดเน่าแล้วอย่างซากศพ คนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ พวกนี้กินได้ เวลาที่เราเห็นเขากิน ก็เหมือนกับเห็นว่าเรากินธรรมดามีการเคี้ยว มีการกลืนเหมือนกัน มีสภาพเหมือนว่ากินเนื้อสัตว์เข้าไป กินอาหารเข้าไปหมด แต่ทว่าน่าแปลกที่ซากยังเหลืออยู่ พวกนี้กินอะไร? กินอาหารที่เป็นนามธรรม คือว่ากินอาหารที่ไม่ใช่รูปธรรม พวกอสุรกายพวกนี้ต้องลำบากแบบนี้ แต่ว่าดีกว่าเปรต ยังกินได้ ที่เรียกว่าอสุรกายเพราะมีรูปร่างหน้าตาไม่สวย คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ มีความไม่กล้าเป็นปกติ ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย


    ตานี้ อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมาก ใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือว่าโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอน นี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โต แต่ทว่าผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน แล้วก็ปลอมแปลงตัวเป็นเจ้าเข้าทรง บางทีก็ไปหลอกพระ พระที่มีความเข้าใจไม่ถึง ก็คิดว่าบรรดาอสุรกายพวกนี้แหละเป็นผู้วิเศษ ถ้าใครนิยมพระศรีอาริย์ เขาก็จะเข้าไปสอดแทรกแล้วก็บอกว่าเขาเป็นพระศรีอาริย์ หรือว่า ใครนิยมจ้าวองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม พวกนี้นิยมเข้าไปแทรก บอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลาย ถูกพวกนี้ปลอมมาก เคยพบมาหลายราย พวกนี้มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงใหญ่โตทะมัดทะแมง ผู้พูดเองก็เคยถูกอสุรกายพวกนี้ปลอมเล่นงานอยู่หลายครั้ง แต่ก็จับตัวได้ ทั้งนี้เพราะอะไร?



    เพราะบุคคลที่เขา อ้างถึง รู้จักหมด เป็นอันว่าโกหกกันไม่ได้ นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มองไปซี โลกนี้บรรดาอสุรกายทั้ง ๒ ประเภทและก็สัมภเวสีเกลื่อนกลาดไปหมด

    นี่ หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายสามารถเห็นอสุรกายหรือสัมภเวสีได้ทุกคน หรือเปรตได้ทุกตน เปรตก็เหมือนกัน ลอยอยู่บนดินแดนของมนุษย์เกลื่อนไปหมด ถ้าเราเห็นได้เราก็เดินตรงทางไม่ได้ ต้องหลีกกันย่ำแย่เรียกว่าเดชะบุญนะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะเห็นอสุรกายและเห็นพวกผีทั้งหลายได้ จึงไม่ต้องหลีกใคร เป็นอันว่าเรื่องราวของอสุรกายนี้เป็นเศษกรรมอันหนึ่ง แต่ว่าดีกว่าเปรตที่ว่ายังหากินได้ แต่ผีระวังนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ระวังอสุรกายปลอมผู้ที่เข้าทรง นับถือจ้าว นับถือเทวดา ระวังให้มาก พวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน ถ้าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน เขาสามารถจะบอกได้ ใครบนบานศาลกล่าวอะไรใครไว้เขาก็รู้เหมือนกัน แล้วเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควร แต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา

    พวกนี้จะต้องสังเกตได้ว่าจะแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา นี่มีในที่แห่งหนึ่งเขานิยม เขาบอกว่าในก๊กของเขา หรือในกลุ่ม ของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็กลุ่มนี้อยู่ในถ้ำๆ หนึ่งอาตมาเองไปพบ วันนั้นก็ไปคุยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาถวายทาน พระองค์นั้นท่านบอกว่าท่านเองน่ะ เข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ ตานี้เวลาถวายทาน ท่านก็ว่าอะไรของท่านพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เวลาที่ลูกน้องเจริญกรรมฐานทำสมาธิ เขากล่าวคำให้ทานกันแล้วให้ลูกน้องทำสมาธิ เมื่อลูกน้องทำสมาธิก็ปรากฏว่าพระองค์นี้สวด นั่งสวดแทนที่จะสงบ เป็นแบบสวดมนต์ แล้วก็ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้


    อาตมา กับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น เห็นตัวดำมะเมื่อม ผลที่สุดก็ทราบว่าอสุรกาย ก็เลยเฉยไว้ เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว ถามว่าสวดทำไม เวลานี้ลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม เขาก็บอกว่า พระศรีอาริย์มายืนอยู่ข้างหลัง บอกให้สวด ก็เลยบอกว่าพระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านนี่ ไอ้ดำตัวนี้มันเป็นอสุรกาย มันปลอมเข้ามาในพิธี การสวด มันก็ไม่ถูกแบบแผน แบบแผนของพระพุทธเจ้าน่ะ เวลาที่ลูกน้องทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด แต่ไอ้การทำแบบนี้มันไม่ถูกนี่ขอรับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจ เพราะว่าไปพูดไปว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขานี่ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่หากจะถามว่าพูดทำไม ก็เพราะว่าเป็นการผิดแนว ถ้าเราจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่ะเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงบอกว่า ทางที่ดีละก็ ท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้

    ให้รู้ว่าใครมันไปใครมันมา เวลา นี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสมณโคดมน่ะยังไม่หมด ยังอยู่ในระหว่างเขตศาสนาของท่าน แล้วการที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ บอกว่าเวลานี้เป็นยุคใหม่แล้วไม่ใช่ยุคเก่า เป็นยุคของพระศรีอาริย์ แบบนี้ ดูท่ามันจะไม่เหมาะ ถ้ากระไรก็ดี เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย นี่ว่ากันเท่านี้นะพูดให้ฟังว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ละก็ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว


    ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้วก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี


    เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี คือ ว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ มีสภาพ


    เหมือน กับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่า สัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน บรรดา คนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป

    ก็ แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกัน เมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้วสำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดร อนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ

    แต่ทว่าการ ต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้า ไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอ หมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นเหละมันก็ได้ทั้งหมด


    เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้า ริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป


    ก่อน ที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและ สัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว

    พระ พุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดู ที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนพึ่งคลานได้แบบนี้ นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ


    ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้

    ทราบ ข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย

    สงสัย ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้ นี่คน


    โบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ


    ถ้า ใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก


    ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม


    ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึง เป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสแนะว่าพราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตาย ไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง

    แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗ คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้

    ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล

    พราะ พรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพ ต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน

    ทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวย ต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรมเสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้า ญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติ ว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน


    สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส


    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์


    เอา ละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือไตรภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2011
  19. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    กว่าจะเสวยบุญได้เป็นเทวดา ต้องทำความดีเป็นกระตั้กกระบุงโกย พื้นฐานความคิด จนถึงการกระทำต้องดี

    ที่สำคัญเทวดาเขามีความละอายต่อบาป ต่อให้เป็นเทวดาที่ยังละมิจฉาทิษฐิไม่ได้หมด ก็ไม่แกล้งคน

    ที่แกล้งน่ะ ไม่ใช่เทวดา แต่เอาชื่อยี่ห้อเทวดามาอ้างหารับประทานไปงั้นแหละ
     
  20. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    เป็นมนุษย์มีทั้งรถถังปืนใหญ่ระเบิด taplet 3G จะไปเกรงพวก เปรตอ้างเทพหรือพวกเทพทำไม
     

แชร์หน้านี้

Loading...