นิพพาน ยังมีตัวตันอยู่หรือไม่ สติคือตัวตนหรือไม่..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Fabreguz, 4 ธันวาคม 2011.

  1. constantin4115

    constantin4115 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    สาธุ สาธุ สาธุ:cool::cool::cool:
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คือคุณต้องเข้าใจคำว่าตัวตนก่อนว่ามันคืออะไร ตัวตนไม่ได้หมายถึง
    รูป ไม่ได้หมายถึงรูปธรรม ไม่ได้หมายถึงร่างกาย กายทิพย์หรืออะไร
    ที่มันเหมือนวัตถุแบบนั้น ความจริงแล้วตัวตนมันไม่ได้มีอยู่จริง มันมี
    อยู่แต่ในความเข้าใจผิด ความไม่รู้เท่านั้น ในความเป็นจริงมันไม่มีตัว
    ตนอยู่เลย ความเป็นตัวตนมันมีอยู่แต่ในโลกของความคิด ความเข้าใจ
    เท่านั้นแหละครับ มันไม่ได้มีอยู่จริงที่ไหนเลย เราไปเข้าใจว่าร่างกาย
    นี้เป็นของเรา มันเกิดตัวตนขึ้นมาในโลกของความเข้าใจ แต่ในความ
    เป็นจริงมันไม่ได้เป็นของเรา มันไม่ได้เกิดมีตัวตนอะไรขึ้นเลย การมีตัว
    ตนมันจึงหมายถึงการยึดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นตัวเราแบบนั้น แต่ถามว่าใน
    ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นของใคร มันไม่ได้มีตัวตนขึ้นมา ไม่ว่ามันจะ
    เป็นรูป เป็นวัตถุ ก็ไม่ได้มีตัวตนเลยในความเป็นจริง ดังนั้นถ้าเราเห็น
    ใครมาหาในฝันแล้วเราไปยึดติดมันก็เป็นตัวตนขึ้นมา ถ้าไม่ยึดติดมันก็
    ไม่ได้เป็นตัวตน
     
  3. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    หนังสือผมก็อ่านมาเยอะครับ ปฏิบัติผมก็ฝึกอยู่ครับ แต่ผมสงสัยและผมตั้งกระทู้ไว้แล้วว่า ขอผู้รู้ ครับ ดังนั้นผู้ที่รู้ไม่จริงเรื่องนี้อย่าตอบเลยครับ อาจจะเป็นบาปแก่ตัวเองมากกว่า ผมขอผู้รู้ครับ ที่จะชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่ใช่เข้ามาแล้วก็มาว่า ทั้งๆที่ก็เห็นว่า กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อสนธนาธรรม หาคำตอบ แต่ก็มีคนเข้ามาว่าๆ ไม่ควรถาม ไปอ่านเอง ไปปฏิบัติเอง... ผมก็ขอเรียนถามตามตรงว่า ท่านที่มาตอบเนี่ยท่านรู้จริงหรือ และปฏิบัติผมก็ฝึกอยู่แต่ผมบอกตั้งแต่ต้นว่าผมยังไม่ถึงขั้นนั้น ผมจึงอยากจะศึกษาหาความรู้ ผมหาอ่านและฝึกมาเหมือนกันครับ สนธนาธรรมกับพระผมก็ไปครับท่านก็ชี้แจง ดังนั้นเรียนตามตรงว่า ใครที่เห็นว่ารำคาญกับปัญหาของผม และไม่มีความรู้จริง กรุณาอย่าตอบนะครับ.. คนเราควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไม่ใช่หรือครับ อย่างนี้เขาเรียกว่า อย่าถาม อ่าวก็สงสัยก็ต้องหาคำตอบสิครับ ผมสงสัยผมก็เคยไปปฏิบัติ ไปในป่าคนเดียวด้วย ไปสนธนาธรรมกับพระ จนผมมาสงสัยเรื่องพระนิพพาน ผมก็นำเรื่องนี้มาถามผู้รู้ในนี้ไงครับ.. อีกอย่างท่านที่บอกว่าปัญหาเดิมๆ ถามซ้ำๆ แสดงว่าคุณรู้แล้วสินะครับ แต่นี่เป็นปัญหาเรื่องใหม่สำหรับผมครับ จึงต้องทำให้สว่างกระจ่างใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2011
  4. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ตกลงจะมาหาความรู้กันหรือมาทะเลาะกันเนี่ย(ping-love
     
  5. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682

    การเข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสาดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถามอย่างเดียว แก้ความสงสัย ไม่ได้

    เราต้องทำด้วย ต้องเข้าถึงด้วย

    แลกเปลี่ยนกัน สนทนาธรรมกันดีแล้ว

    แต่จะไห้ดียิ่งขึ้น ต้องน้อมนำเอาไปปฏิบัติด้วยนะจ๊ะ

    จุ๊กกรู้ จุ๊กกรู้
     
  6. mailgolf

    mailgolf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +306
    อนูโมทนา สาธุ พิจารณาบ่อยๆ รู้เเจ้งเอง
     
  7. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
  8. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    " ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึงพระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆจึงไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ในใจเขา มีแต่คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่า นรกสวรรค์ และพระนิพพานมีอยู่ในตน "
    คิริมานนทสูตร เป็นสูตรที่พระอานนท์แสดงขึ้นครั้งแรกเมื่อครั้งสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 1 โดยมีที่มาว่า คิริมานนทเถระกำลังอาพาธหนัก ไม่สามารถเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ จึงนิมนต์พระอานนท์ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ขอให้ทรงสงเคราะห์ตนให้หายจากความเจ็บป่วยทรมาน ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเทศนาสั่งสอนคิริมานนทเถระผ่านพระอานนท์ โดยมีสาระเกี่ยบกับพระนิพพานหรือการพ้นทุกข์อย่างกระจ่างแจ้ง เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนมายาวนานจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน
    ปุจฉา : นิพพานอยู่ที่ไหน
    วิสัชนา : อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งเลย

    คิริมานนทสูตรตอนหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอธิบายข้อความ " นิพพานคือที่สุดของโลก " โดยแจกแจงว่า " ที่สุดของโลก " ในที่นี้มิได้หมายถึงสถานที่ตั้ง แต่หมายถึงที่สุดแห่งพัฒนาการ ที่สุดแห่งปัญญา กล่าวคือ
    " .... จะเข้าใจเอาเองว่า ลมรองน้ำ แลอนันตจักรวาลแลอรูปพรหมเป็นที่สุดของโลก เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น ดังนี้ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย ที่ทั้งหลายเหล่านั้น ใครๆก็ไม่สามารถจักไปถึงด้วยกำลังกายหรือกำลังพาหนะ มียานช้า มียานม้าได้ "
    " อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่ที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ที่แห่งนั้นแห่งนี้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้น หากมีอยู่ในที่สุดของโลก เป็นของจริงไม่ต้องสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสียให้ชัดก็จักเห็นพระนิพพาน พระนิพพานตั้งอยู่ที่สุดแห่งโลกนั้นเอง "
    " บุคคลทั้งหลายถึงที่สุดโลก ออกจากโลกได้แล้ว จึงชื่อว่าถึงพระนิพพาน แลรู้ตนว่าเป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว แลอยู่สุขสำราญบานใจทุกเมื่อ หาความเร่าร้อนโศกเศร้าเสียใจไม่ได้ "


    ปุจฉา : นิพพานไปทางไหน
    วิสัชนา : ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางไปพระนิพพาน

    ปุจฉา : นิพพานเมื่อไร
    วิสัชนา : นิพพาน....ก่อนตาย


    " ... เมื่ออยากรู้จักนรก สวรรค์ และพระนิพพาน ก็ควรรู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรก ก็รีบออกให้พ้นเสียแต่ยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุในมนุษย์หรือในสวรรค์หรือในพระนิพพาน ก็ให้รีบขวนขวายหาสุขเหล่านั้นไว้ แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายแล้วจักพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจักไปสวรรค์ ไปพระนิพพานดังนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่า "
    " อย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้วสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดโดยแท้ เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้น "
    หนังสือ นิพพาน...ที่นี่...เดี๋ยวนี้ โดย 5 พระอาจารย์
     
  9. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ปุจฉา : นิพพานอย่างไร
    วิสัชนา : นิพพานด้วยการปล่อยวางอย่างแผ่นดิน

    " อันว่าความสุขในนิพพานมี 2 ประเภทคือ ดิบหนึ่ง สุขหนึ่ง ได้ความว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ ได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้น ได้ชื่อว่าพระนิพพานดิบ เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้น ได้ชื่อว่านิพพานสุก.. พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ ควรให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ ให้ถึงเสียก่อนตาย ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้ว ตายไปจักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย "
    " ... อันว่าพระนิพพานนั้นพึงให้ดูอย่างแผ่นดิน พระธรณีมีลักษณะอาการฉันใด ก็ให้ตัวเรามีลักษณะอาการฉันนั้น ถ้าทำได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าถึงพระนิพพานดิบ..
    " ลักษณะของแผ่นดินนั้น คนแลสัตว์ทั้งหลายจะทำร้ายทำดีกล่าวร้ายกล่าวดีประการใด มหาปฐพีนั้นก็มิได้รู้โกรธรู้เคือง ที่ว่าทำใจให้เหมือนแผ่นดินนั้น คือว่าให้วางใจเสีย อย่าเอื้อเฟื้ออาลัยว่าใจของตน ให้ระลึกอยู่ว่า ตัวมาอาศัยอยู่ไปชั่วคราวเท่านั้น เขาจะนึกคิดอะไรก็อย่าตามเขาไป ให้เข้าใจอยู่ว่า เราอยู่ไปคอยวันตายเท่านั้น ประโยชน์อะไรกับวัตถุข้าวของและตัวตนอันเป็นของภายนอก แต่ใจซึ่งเป็นของภายใจและเป็นของสำคัญ ก็ยังต้องให้ปล่อย ให้วาง อย่าถือเอาเป็นของของตัว... "


    " .... ผู้ที่ปรารถนาความสุขในพระนิพพานจงทำตัวให้เหมือนแผ่นดิน หรือเหมือนดังคนที่ตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย ข้อสำคัญคือ ให้ดับกิเลส 1500 นั้นเสีย "
    " กิเลส 1500 นั้นเมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ 5 เท่านั้น คือ โลภะหนึ่ง โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง มานะหนึ่ง ทิฐิหนึ่ง.... "
    " ... แท้ที่จริงพระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ในที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจนั้นเอง ครั้นดับโลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ ได้ขาดแล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น... "
    หนังสือ นิพพาน...ที่นี่...เดี๋ยวนี้ โดย 5 พระอาจารย์
     
  10. ariyaidea

    ariyaidea Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +42
    ผมได้ลองทำสมาธิทำสติให้ตั้งมั่น จนกลายเป็นอาการว่าสติจับอยู่ที่สติ (ผมขอใช้คำตามที่ผมเข้าใจอาจจะเป็นคำอื่นสำหรับท่านอื่น) ผมไม่อาจจะบอกได้นั่นคือจิต เพราะเป็นอะไรที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่รู้ว่ามีอยู่ และไม่ีใช่ตัวตน เพราะระบุไม่ได้

    ถ้าท่าน สังเกตุ คำสอนของสมเด็จพระพุทธเจ้า ในบทธัมจักรฯ ท่านบอกว่าอริยสัจสี่ จะมีการเวียนอยู่3ด้าน ในแต่ละข้อ นั่นคือ 1. รู้ ระลึกอยู่ในข้อนั้นๆ 2. ทำให้อาการรู้ ระลึกในข้อนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ 3. ทำให้จนเกิดเป็นปกติ จนถึงขั้นละ ปล่อยออก สละคืน

    เรามองเข้ามาที่ ข้อนิโรธ ที่ความพ้น หลุดจากความทุกข์ สามารถเกิดขึ้นได้กับนักภาวนาทุกคน ซึ่งอาจจะเป็นในระดับ1 คือรู้ ระลึกอยู่ในความหลุด ความพ้นทุกข์ว่ามันเป็นยังไง หรือ 2. เพียรทำให้อาการในข้อ1เกิดขึ้นบ่อยๆ


    คือผมกำลังจะบอกว่า ใครที่รู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ และปฏิบัติตามทางของมรรคเพื่อ ถึงความพ้นทุกข์อยู่ อาการหรืออารมณ์นิพาน ย่อมเกิดกับผู้นั้นในปัจจุบัน

    ถ้าถามอารมณ์ความสุขตอนที่ได้สัมผัส ช่วงที่ไม่มีอะไร ช่วงที่ปล่อยละทิ้ง มองทุกอย่างเสมอกัน ความจำได้หมายรู้ ความคิด เสมอกัน ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ สิ่งที่มีอยู่ที่แน่ๆคือสติไม่หายไป เป็นสติที่มีความชัดเจน


    ผมเชื่อว่ามนุษย์ ถ้าได้ลองทำอะไรจริงๆจังๆแล้วความความตั้งใจ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
    เห็นได้จากอดีตถึงปัจจุบัน

    -แลกเปลี่ยนนะครับ-

     
  11. ไม่ใช่ใคร

    ไม่ใช่ใคร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +21
    พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ท่านมีกายท่านก็ทุกข์กายครับ แต่ท่านไม่ทุกข์ใจ (อ่านมานะครับ ผมก็ไม่ใช่พระอรหันต์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  12. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    นิพพานคือ แดนสิ้นสมมุติ ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มี อาสวะกิเลสทั้งหลายรบกวน ปฎิบัติให้ได้ครับ จะได้รู้ด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็น ปัจจัตตัง ครับ อย่างเมื่อก่อนผมก็เคยสงสัย ว่าพระอรหันต์ ท่านเป็นยังไง จนถึงวันที่ได้รุ้เอง จึงเข้าใจ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...