ธรรมพระบูรพาจารย์(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 14 ตุลาคม 2011.

  1. deares

    deares เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +288
    กราบขอบพระคุณค่ะ ตอนนี้ก็พยายามนั่งสมาธิให้ได้วันละ 30 นาที น่ะค่ะ แต่ติดขี้เกียจก็มากค่ะ
    ของเก่านี่ด้านไหนหรือคะ อยากเก่งหยั่งคุณคุรุวาโรนี่ก็บริกรรมพุทธโธก็ได้แล้วหรือคะ

    ถามต่อค่ะ นาคบนสวรรค์ก็มีด้วยหรือคะ นึกว่ามีแต่นาคในบาดาลซะอีก
     
  2. ชนะรักษ์

    ชนะรักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +28
    ถามเรื่องความฝันหน่อยครับ

    เมื่อเดือนก่อนผมฝันเห็นท่านท้าวพญามัจจุราชองค์สีแดง ท่านชี้ไม้เท้ามาทางผม แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร ก็เลยสงสัยว่าท่านมาเตือนอะไรหรือป่าวครับ หรือว่าเป็นแค่ความฝันเฉยๆ ขอบคุณครับ
     
  3. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    ท่านมาเตือนคุณให้เร่งสร้างบุญ กุศล เท่านั้นเอง เพราะอดีตเคยผูกพันกันครับ
    ลองจุดธูป 9 ดอกตอนโพล้เพ้ล แล้วอธิษฐานดูครับ เพราะจริงๆคำตอบนี้คุณก็รู้นี้ครับ
    หรือไม่ลองว่าพระคาถาพญายมดูแล้วคุณจะโชคดี ร่ำรวยครับ(หาได้ที่ห้องสวดมนต์ครับ)
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  4. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    นาคมีสามที่คือ ในน้ำ ในหิมพานต์ และบนสวรรค์ นาคบนสวรรค์ก็เหมือนนางฟ้า เพียงแต่ตอนทำบุญ แล้วอธิษฐานให้ตัวเอง เลยเรียกว่า ทำบุญเจือด้วยราคะ แทนที่จะไปจุติเป็นเทวดา ก็ได้เป็นนาคเทวดาแทนครับ
     
  5. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    ต้องลองหัดทำสมาธิดูครับ ใครๆก็ทำได้ครับ เพราะมนุษย์นั้นเกิดมายากลำบากพอสมควร แต่ถ้าเราปล่อยวันและเวลาผ่านไป จนสิ้นอายุขัย ก็เหมือนหลวงปู่มั่นกล่าวนะครับ "จะเกิดมากี่ร้อยชาติ กี่พันชาติ ก็คือผู้เกิดพลาดอยู่ดี ถ้าไม่ได้ ใจ ดวงวิเศษดวงนี้ครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  6. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    หัวใจของการปฏิบัติธรรม

    <O:p</O:p


    จาคานุสสติว่าด้วยเรื่อง ทาน



    กำลังใจในการให้ทานเป็นจาคานุสสติ ก่อนที่คิดให้เป็นจาคานุสสติ อันนี้เป็นอนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้



    <O:p</O:p
     
  7. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603


    จาคานุสสติ

    ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน ท่านผู้นั้นไม่มีอารมณ์ของความทุกข์ เพราะว่าเป็นผู้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา และที่เราต้องให้ทานก็เพราะว่า เราไม่ต้องการมีขันธ์ 5 เมื่อการมีขันธ์ 5 เป็นปัจจัยของความทุกข์ ที่เราต้องมีขันธ์ 5 ก็เพราะว่า เราติดอยู่ในวัตถุว่าสิ่งนั้นเป็นทรัพย์สินของเรา สิ่งนี้เป็นทรัพย์สินของเรา แล้วก็ธาตุ 4 ที่หุ้มห่อจิตอยู่ที่เป็นเรือนร่างที่จิตอาศัย อันนี้เป็นเราเป็นของเรา เป็นอันว่าเราเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นของเรา เมื่อเรามีความเข้าใจผิด มีความหลงผิดคิดอย่างนี้ ตัวเราจึงต้องเกิด ถ้าเรายังยึดเอาตัณหาเป็นที่ตั้ง เอาตัณหาเป็นสรณะ ฉะนั้น การให้ทานเป็นการตัดความอยาก ถ้าตัดความอยากได้เข้ามาแล้ว ก็เป็นการตัดอารมณ์ที่ติดในขันธ์ 5 ซึ่งทาน การให้ ก็มีแบ่งเป็นระดับของกำลังใจในการให้ทาน ซึ่งจะกล่าวดังต่อไป<O:p</O:p
    พาหิรกทาน ทานที่เป็นการให้ในลำดับพระโสดาบัน กล่าวคือ ตัดสินใจในการให้ทาน เพื่อไม่หวังในการเกิด คือไม่ติดในวัตถุภายนอกทั้งหมด เพราะพิจารณาได้ว่า ในที่สุดวัตถุก็ดี เราก็ดี วัตถุที่เราให้ทานก็ตาม ร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 ก็ดี มันเป็นอนัตตา จะเล็งเห็นได้ว่า ทานได้แก่วัตถุก็เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าติดมากเกินไปก็เป็นทุกขัง มีอารมณ์เป็นทุกข์ และเมื่อพลัดพรากจากมันแล้ว ในที่สุดอนัตตามาถึงแล้วก็ดึงไว้ไม่ได้ ในเมื่อมีชีวิต เราก็จะหาเงินมาเพื่อกิจการแห่งการเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวตามหน้าที่ แต่เมื่อร่างกายเราสลายลงไปเมื่อไร เรากับมันก็จากกัน อย่างนี้เป็นทานภายนอก คิดอย่างนี้นั้นก็ชื่อว่า เป็นกำลังใจของพระอริยเจ้าเบื้องต้น นั่นคือกำลังใจของ “พระโสดาบัน”<O:p</O:p
    อัชฌัตติกทาน ทานที่จะเป็นหลักในการที่จะเป็นพระสกิทาคามี เรียกว่าทานภายใน ทานภายในนี้ไม่ได้อาศัยวัตถุ แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าเราไม่สละวัตถุยังมีความเสียดายอยู่ในวัตถุซึ่งเป็นทานภายนอก เป็นของภายนอก เราก็ไม่สามารถให้ทานภายในนี้ได้ ดังนั้น ลำดับทานเข้าถึงการเป็นพระสกิทาคามี ต้องประกอบทั้งทานภายนอกและก็ทานภายใน<O:p</O:p
    ทานภายในนี้ไม่ได้ใช้วัตถุ ได้แก่อภัยทาน คือพระสกิทาคามีนี้ระงับบรรเทาความโลภ ความโกรธ ความหลง หมายความว่า ความโลภของพระสกิทาคามีเบาเต็มที จิตที่เกาะอยู่ในวัตถุเกือบจะไม่มี จะมีแต่เพียงเราอาศัยมันเพื่อยังชีพให้ยังคงอยู่ เราจะตายไปเมื่อไหร่ก็ช่างเถอะ นี่เป็นทานภายนอก<O:p</O:p
    สำหรับทานภายในที่พระสกิทาคามีทรงได้นั้น คือ อภัยทาน หมายความว่า บุคคลใดก็ดีที่ทำให้เป็นที่ไม่ถูกใจเรา ด้วยกายหรือวาจาก็ดี แต่ทว่าอารมณ์ของเรานี้ ประกอบไปด้วยปัญญาที่มีความรู้สึกอยู่ว่า ขันธ์ 5 มีสภาพไม่ทรงตัว ร่างกายทั้งของเราและเขา มันเป็นแต่เพียงเปลือกภายนอกที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 มีความสกปรกน่าสะอิดสะเอียน ไม่มีสิ่งใดที่เราจะคิดว่ามันเป็นปัจจัย เป็นสมบัติของความสุข ร่างกายเป็นเชื้อสายของความทุกข์ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และก็มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง และมีการสลายตัวในที่สุด เป็นอันสรุปได้ว่า มันไม่มีอะไรเป็นที่จีรังยั่งยืน<O:p</O:p
    เพราะฉะนั้น คนที่เขาทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเราจะทำลายเขา ก็ไม่มีอะไรเป็นผลแห่งความดี เพราะเขาเองก็มีทุกข์อยู่แล้ว และจะต้องตายในที่สุด เราก็ควรให้อภัยเขา มีจิตใจเต็มไปด้วยการให้อภัย ถ้ากำลังใจน้อมรำลึกถึงการให้ทานด้วยประการแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์เรียกบุคคลนั้นว่า เป็น “พระสกิทาคามี”<O:p</O:p
    สำหรับพระอนาคามี มีพร้อมในการให้ทานที่เป็นวัตถุ และก็พร้อมในการให้ทานเป็น อภัยทาน นอกนั้นก็จัดทานอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นทานภายในโดยเฉพาะ ได้แก่ การให้อภัยกับจิต คือจิตที่คิดว่าจะผูกพันในร่างกายเราก็ดี ร่างกายบุคคลอื่นก็ดี อารมณ์ประเภทนี้ไม่มี เรายกให้เป็นหน้าที่ของตัณหา ยกให้เป็นภาระหน้าที่ของอุปาทาน<O:p</O:p
    มองดูกายของเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก น่าสะอิดสะเอียน และประกอบไปด้วยทุกข์ต่าง ๆ ในที่สุดก็ไม่เที่ยง พังสลายไปในที่สุด และกำลังใจอีกส่วนหนึ่งในด้านความโกรธ นอกจากจะให้ อภัยทาน อย่างพระสกิทาคามีแล้ว เราก็ตัดกำลังใจว่า ขึ้นชื่อว่าการกระทบกระทั่ง กำลังใจที่ไม่ชอบใจ ไม่มีสำหรับเรา มีจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา มีการคิดให้อภัยอยู่เสมอ ใครจะด่าว่าร้ายประการใด ใจมีความสุข คิดว่านี่มันเป็นธรรมดาของความโง่ที่เราเกิดมามีร่างกาย กำลังใจมีความสบายไม่สะทกสะท้าน อันนี้เป็นอารมณ์ของ“พระอนาคามี”<O:p</O:p
    พระอรหันต์นั้น จะต้องมีอารมณ์คิดอยู่เสมอว่าร่างกายนั้นเป็นเพียงธาตุ 4 ที่เข้ามาประชุมกัน มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา ความโง่ที่คิดว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีในจิต ให้ปลดเปลื้องร่างกายเสีย คือความรู้สึกในการต้องการร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นหรือสัตว์อื่นนอกจากเราก็ดี ความพอใจในวัตถุต่าง ๆ ที่เราจะยึดเป็นที่พึ่งที่อาศัยก็ดี ตอนนี้ตัดหมดสิ้นไปจากกำลังใจ เห็นว่าร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ อะไรจะมากระทบกระทั่งกายก็ดี ใจก็ดี เราไม่ยอมรับ เรายกให้เป็นกฎธรรมดา เพราะการเกิดมาต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตใจท่านคิดอย่างนี้เป็นปกติ องค์สมเด็จพระประทีบแก้วกล่าวว่า ท่านผู้นั้นเป็น “พระอรหันต์”

    <O:p</O:p
     
  8. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603

    - อานิสงส์ของทาน สมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศน์อย่างนี้
    บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่ จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก<O:p</O:p
    บุคคลใดมีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่า ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมากแต่ยากจน<O:p</O:p
    บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง แล้วชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ จะเป็นคนร่ำรวยมากด้วย แล้วก็จะมีเพื่อนมีบริวาร มีมิตรสหายมาก<O:p</O:p
    บุคคลใดไม่ได้ให้ทานด้วยตนเอง ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ จะไม่มีทรัพย์สมบัติ เป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นยาจกขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้ มีแต่คนรังเกียจ<O:p</O:p
    - กำลังใจในการให้ทานเป็นจาคานุสสติ ก่อนที่คิดให้เป็นจาคานุสสติ อันนี้เป็นอนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้
    <O:p</O:p
    - การถวายสังฆทาน พระผู้รับจะมีคุณสมบัติเพียงใดก็ไม่เป็นไร เพราะการถวายทานนั้นถวายแด่สงฆ์ แม้พระผู้รับหรือว่าเณรผู้รับเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ตามคติของพระพุทธศาสนา อานิสงส์ที่ได้รับก็ยังสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าผู้รับถ้ากินเข้าไปหรือใช้ของเขาในการถวายสังฆทานนี่ตกนรกเอง เป็นเรื่องของท่าน<O:p</O:p
    คำว่า สังฆทานนี้ ความจริงนิมนต์พระมาองค์เดียวก็ได้ แต่พระองค์เดียวนี้ฉันไม่ได้ ถ้าฉันต้องแบ่ง แบ่งไว้เฉพาะส่วนที่ตนต้องไปถวายพระสงฆ์ในหมู่ใหญ่ ถ้าฉันองค์เดียวตกนรก กินแล้วไม่แบ่งกับหมู่ใหญ่นี้ตกนรก<O:p</O:p

    - ลำดับการบำเพ็ญทาน<O:p</O:p
    ให้ทานแก่คนที่เคยมีศีลแล้วศีลขาด 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานกับท่านที่ทรงศีลบริสุทธิ์ 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ให้ทานกับท่านที่มีศีลบริสุทธิ์ 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานกับท่านผู้ทรงฌาน หรือท่านปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรค 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรค หมายความว่า ท่านที่ปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่ถึงพระโสดาปัตติมรรค จะเป็นขั้นไหนก็ตาม อย่างน้อยที่สุดจิตของท่านตัดนิวรณ์ มีความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ ทรงศีลบริสุทธิ์ก็มีอานิสงส์มาก<O:p</O:p
    ให้ทานกับท่านที่ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรค 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับให้ทานกับพระโสดาปัตติผล 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับพระโสดาปัตติผล 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระสกิทาคามีมรรค 1 ครั้ง <O:p</O:p
    ถวายทานกับพระสกิทาคามีมรรค 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระอนาคามีผล 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับพระอนาคามีผล 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระอรหัตมรรค 1 ครั้ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถวายทานกับพระอรหัตมรรค 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระอรหัตผล 1 ครั้ง
    ถวายทานกับพระอรหัตผล 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายทานกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง<O:p</O:p
    ถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับวิหารทาน 1 ครั้ง<O:p</O:p
     
  9. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    ก่อนที่จะให้ทาน ถ้าหวังผลเพื่อเป็นปัจจัยเพื่อนิพพาน ต้องเลือกบุคคลผู้ให้ ถ้าไม่สามารถให้ได้ ก็ต้องใช้วิธีถวายสังฆทานดีที่สุด<O:p</O:p
    - การถวายสังฆทาน 1 ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน คำว่า ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว เกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน<O:p</O:p
    ก่อนที่องค์สมเด็จพระสวัสดิ์โสภาคย์จะปรารถนาพระโพธิญาณนั้น ก็เริ่มต้นมาจากการถวายสังฆทานเป็นเหตุ ฉะนั้น จึงเป็นปัจจัยให้พระองค์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ<O:p</O:p
    คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะปรารถนาอย่างใดก็ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นสาวกก็ได้เป็นพระพุทธสาวก ปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ย่อมได้ ถ้าปรารถนาจะเป็นพระอรหันต์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้น สังฆทานยังเป็นปัจจัยให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชและมหาเศรษฐี<O:p</O:p
    - การถวายสังฆทานนี้ ควรจะต้องมีครบ 4 อย่าง คือ<O:p</O:p
    1. มีอาหาร อาหารเป็นปัจจัยให้ได้ร่างกายเป็นทิพย์<O:p</O:p
    2.ในสังฆทานมีผ้า มีผ้าเป็นเหตุให้ได้เครื่องแต่งกายเป็นทิพย์ มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์<O:p</O:p
    3. มีน้ำ น้ำเป็นเหตุให้ได้สระโบกขรณี<O:p</O:p
    4. พระพุทธรูป พระพุทธรูปนี่สำคัญมาก เพราะถ้าเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะมีแสงสว่างมาก เพราะเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ถือแสงสว่างจากกายเป็นสำคัญ ถ้าใครมีแสงสว่างมาก คนนั้นมีบุญมาก ถ้าใครมีแสงสว่างน้อยแสดงว่าท่านผู้นั้นมีบุญน้อย<O:p</O:p
    ดังนั้น ขอยืนยันว่ากำลังทาน สังฆทานนี่หนักมาก อธิษฐานสิ่งใดก็จะได้ตามปรารถนา


    <O:p</O:p
     
  10. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    -กฐินทาน เริ่มทอดตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 อานิสงส์ในการถวายผ้าพระกฐินทานนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า มีอานิสงส์มากเป็นกรณีพิเศษ คือคนถวายผ้าพระกฐินทาน หรือร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็เป็นได้ จะปรารถนาพระนิพพานเพื่อเป็นพระอรหันต์ปกติก็เป็นได้ ยิ่งกว่านั้นไซร้ ก่อนที่บรรดาผลทั้งหลายเหล่านั้น คือความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ความเป็นพระอัครสาวกก็ดี หรือว่าเป็นอรหันตสาวกก็ดี จะมาถึง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวว่า ในขณะที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มีบารมียังไม่สูงดี ยังไม่พอที่จะบรรลุมรรคผลได้

    อานิสงส์กฐินทานจะให้ผลตามนี้<O:p</O:p
    กล่าวคือ อันดับแรก เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา แล้วก็จะลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ปกครองประเทศทั่วโลก มีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต 500 ชาติ<O:p</O:p
    เนื้อบุญแห่งความเป็นพระมหาจักรพรรดิสิ้นไป บุญก็หย่อนลงมา จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ<O:p</O:p
    หลังจากนั้นมา เนื้อบุญแห่งความเป็นกษัตริย์ได้หมดไป ก็จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ <O:p</O:p
    บุญแห่งความเป็นมหาเศรษฐีหมดไป ก็จะเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ<O:p</O:p
    บุญแห่งความเป็นอนุเศรษฐีหมดไป ก็จะเป็นคหบดี 500 ชาติ<O:p</O:p
    รวมความแล้ว สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสว่า “คนที่ทอดผ้าพระกฐินครั้งหนึ่งก็ดี หรือว่าร่วมในการทอดผ้าพระกฐินทานครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันหมด ก็ปรากฎว่าท่านเจ้าของไปนิพพานก่อน”<O:p</O:p

    - การทอดกฐินมี 3 อย่าง ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบันจัดกฐินเป็น 3 อย่างคือ<O:p</O:p
    1. จุลกฐิน<O:p</O:p
    2. ปกติกฐิน<O:p</O:p
    3. มหากฐิน<O:p</O:p
    กฐิน 3 อย่างย่อมเป็นเทวดา นางฟ้า เหมือนกัน แต่ว่าทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน คำว่า จุลกฐิน ก็หมายความว่า เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือผ้ากฐินจะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้ สบงตัวหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน<O:p</O:p
    ปกติกฐิน ก็มีผ้าไตรครบไตร ถวายผ้าไตรเดียว หรืออย่างน้อยก็มีผ้าไตร 3 ไตร องค์ครองหนึ่งไตร คู่สวด 2 ไตร ที่นี้ ถ้ามีผ้าไตรครบทุกองค์ เรียกว่า มหากฐิน อย่างนี้ถ้าบังเอิญจะไปเกิดในชาติใดก็ตาม จะเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดเป็นพิเศษ<O:p</O:p
    กฐินทั้งสามอย่างนี้ จะเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์แตกต่างกัน อย่าง จุลกฐิน จะเป็นมหาเศรษฐีแค่ทรัพย์ 80 โกฏิ ปกติกฐิน จะมีอานิสงส์เป็นมหาเศรษฐีนับได้แค่ 180 โกฏิขึ้นไป สำหรับมหากฐิน จะมีทรัพย์มากที่สุด<O:p</O:p
    การทอดกฐิน แต่ละครั้งเป็นมหากุศล และเป็นมหาสังฆทาน ดังนั้น การทอดกฐิน ขอบรรดท่านพุทธบริษัททุกคนให้ตั้งจิตอธิษฐาน ท่านต้องการอะไรก็ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ถ้าต้องการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นได้ ต้องการเป็นอัครสาวกก็เป็นได้ ต้องการเป็นมหาสาวกก็เป็นได้ ต้องการเป็นปกติสาวก คือเข้านิพพานก็เป็นได้ แต่เรื่องการเป็นเศรษฐี ไม่ต้องอธิษฐาน อานิสงส์กฐินธรรมดาก็เป็นมหาเศรษฐีแน่นอน<O:p</O:p
    - การทอดผ้าป่ากับการทอดกฐิน เป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่ แต่อานิสงส์โดยเฉพาะกฐินได้มากกว่า เพราะว่ากฐินมีเวลาจำกัด เรียกว่าเป็นสังฆทานเฉพาะกิจ อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น<O:p</O:p
    ส่วนผ้าป่าก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่ง ผ้าป่านั้นผู้ให้ได้อานิสงส์ ผู้รับมีอานิสงส์แต่เพียงแค่ใช้ เรียกว่า ผ้าป่าเป็นสังฆทานไม่เฉพาะกิจ<O:p</O:p
    สรุป ในเรื่องของทานก็คือ ทาน แปลว่า การให้ นั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกัน คือ<O:p</O:p
    1. อามิสทาน ได้แก่ การให้วัตถุ จะเป็นเงินหรือวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องบริโภคก็ตาม<O:p</O:p
    2. ธรรมทาน มีสองประเภท ประเภทแรกในที่นี้ได้แก่ การบอกธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เหตุผลให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว<O:p</O:p
    และธรรมทานอีกส่วนหนึ่งที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า สำคัญที่สุดจัดว่าเป็นปรมัตทาน คือ เป็นทานที่ไม่ต้องลงทุน ก็ได้แก่ อภัยทาน<O:p</O:p
    ทานทั้งสองอย่าง กล่าวคือ อามิสทาน กับอภัยทาน นี้มีผลต่างกัน อามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์ แต่สำหรับธรรมทาน กล่าวคือให้ธรรมเป็นทานก็ดี ให้อภัยทานก็ดี ทานทั้งสองประการนี้เป็นปัจจัยแห่งนิพพาน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่าปรมัตถบารมีนี้เป็นบารมีสูงสุด เป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน...

    หัวใจของการปฏิบัติธรรม<O:p</O:p

    จาคานุสสติว่าด้วยเรื่องทาน......หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ


    <O:p</O:p
     
  11. เด็กหัวโต

    เด็กหัวโต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +18
    พอดีหนูไปขอพระเครื่องที่เป็นพระนาคปรกมาจากคุณพ่อค่ะ แต่ไม่ทราบชื่อหลวงพ่อ แล้วคุณพ่อมีพระนาคปรกอีกองค์ คุณพ่อเล่าว่า จะแขวนไว้ในตะขอเดียวกับองค์อื่นไม่ได้เลย หลุดออกตลอดเลย แต่ตอนนี้หาไม่เจอค่ะ:'( แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูคิดว่าจะนำองค์ที่ได้มาตั้งไว้บนหิ้งทุกครั้งที่นั่งสมาธิค่ะ หนูกะว่าจะเปลี่ยนภาวนาพุทโธมาเป็น เพ่งกสิณน้ำ พี่คิดว่าเหมาะกับหนูไหมค่ะ

    ขอขอบพระคุณพี่คุรุวาโร มากๆๆๆ เลยนะค่ะ ที่ดูให้หนู หนูดีใจมากเลยค่ะ ^^ คำพูดพี่เป็นกำลังใจให้หนูมากเลยค่ะ ทำให้หนูอยากนั่งสมาธิ เพราะที่บ้านโดยเฉพาะอาม่าแทบจะห้ามไม่ให้นั่งสมาธิ เหตุเกิดจากว่า น้องพ่อที่อยู่บ้านหลังเดียวกันนี้อ่ะค่ะ เขาเคยสนใจในการนั่งสมาธิมากกก ศึกษาเอง นั่งเอง แล้วหลังจากนั้นก้อเสียสติ ตอนนี้คล้ายๆคนประสาทนะค่ะ ต่างคนก้อต่างโทษว่าเป็นเพราะนั่งสมาธิ แต่หนูก้อไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงหรอกนะค่ะ คนทักว่าเป็น ฤาษี เขามาขออาศัยร่าง ทุกคนในบ้านเห็นหนูสนใจในการนั่งสมาธิก้อเลยจะโดนออกแนวห้ามๆอ่ะค่ะ TT

    แต่หนูก้อจะฝึกนั่งของหนูไปเรื่อยๆ สู้ๆๆ
    ขอบคุณพี่มากนะค่ะ
     
  12. ชำมะนาด

    ชำมะนาด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +13
    สวัสดีค่ะ

    อยาก ทราบอดีต ชาติค่ะ
    และแนวทางการปฎิบัติ
     
  13. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    พอดีไปค้นหามาให้ได้พอพิจารณาไปตามระดับ ในเรื่อง จาคานุสติ และเทวดานุสติ
    หนังสือเล่มนี้หน้าสนใจดีครับ น่าศึกษานำไปปฏิบัติ

    จาคานุสสติ นึกถึงทานบริจาค คือคุณชาติอันหนึ่งซึ่งมีลักษณะทำใจให้กว้างขวาง-ให้
    เกิดเมตตากรุณา-ให้กล้าสละของรักของหวงแหนเพื่อประโยชน์ เป็นคุณชาติที่ค้ำชูโลกให้ดำรงอยู่
    ในสันติภาพ-สันติสุข โลกดำรงความเป็นโลกที่มีสุขพอสมควร ด้วยอำนาจความเสียสละของบุคคล
    แต่ละบุคคลพอสมควร หากโลกขาดทานบริจาคค้ำจุน โลกจะถึงความปั่นป่วนและล่มจม ชีวิตของ
    มนุษย์แต่ละชีวิตที่เป็นมาได้ ก็ด้วยอำนาจทานบริจาคของบิดามารดาหรือผู้อุปถัมภ์ ไม่มีชีวิตใดที่
    ปราศจากการอุปถัมภ์อุ้มชูของผู้มีเมตตาแล้วดำรงอยู่ได้ แล้วพึงนึกถึงทานบริจาคของตนเองว่า ตน
    ได้สำนึกในคุณทานบริจาคและได้ทำทานบริจาคมาแล้วอย่างไรบ้าง.


    เทวตานุสสติ นึกถึงเทวดา หรือบุคคลผู้ทำความดีด้วยกาย-วาจา-ใจ แล้วอุบัติขึ้นใน
    สวรรค์ ถึงความเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ เลิศกว่า ประณีตกว่ากามคุณอันเป็นของ
    มนุษย์ แล้วนึกถึงคุณธรรมที่อำนวยผลให้ไปเกิดในสวรรค์ มีศรัทธาความเชื่อกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำ
    ชั่วได้ชั่ว เป็นต้น แล้วนึกเปรียบเทียบตนกับเทวดาว่ามีคุณธรรมเหมือนกันหรือไม่.

    จากหนังสือ "ทิพยอำนาจ" โดย : พระอริยคุณาธาร ( เส็ง ปุสฺโส )

    โหลดปริ้นไปศึกษาเลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อันนี้เป็นประวัติของท่านครับ เคยบวชสุดท้ายสิกขาลาเพศ มาเป็นฤาษี



    [​IMG]

    ฤาษีสันตจิต (พระอริยคุณาธาร ปุสโส เส็ง)

    ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ย่อมเกิดขึ้นแล้วแก่จิตของผู้ปราศจากอาสวะทั้งปวง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนกระทำความสัจแห่งธรรมให้เกิดขึ้นแล้ว ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ด้วยอริยสัจสี่ประการ พระธรรมทั้งหลายที่ได้ตรัสล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในพระนิพพานแก่เหล่าผู้มีวิสัยพึงเกื้อกูลด้วยธรรมหมู่นั้น ด้วยการกล่าวสัจจะนี้ขอความสวัสดีจงบังเกิดมี


    นี่ล่ะคือความจริงของโลก คือความทุกข์ของสรรพสัตว์ อันไม่สิ้นสุด แต่เราจักแสดงความเป็นที่สิ้นให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาตาม แม้ด้วยเหตุใด ๆ ก็พึงสงบ ระงับ สดับรับฟังธรรมทั้งหลายอันพึงควรเจริญแล้วให้เกิดแก่ตนเถิด

    นั่งแถวหน้าจากซ้าย

    พระเทพสิทธาจารย์ ( จันทร์ เขมิโย ) วัดศรีเทพประดิษฐาราม จ.สกลฯ

    พระธรรมเจดีย์ ( จูม พันธุโล ) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรฯ

    พระอริยคุณคุณาธารย์ ( เส็ง ปุสโส ) วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น
    นั่งแถวที่สองจากซ้าย

    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

    หลวงปู่กว่า สุมโน วัดป่ากลางโนนกู่ จ.สกลฯ

    พระครูอุดมธรรมคุณ ( ทองสุข สุจิตฺโต ) วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลฯ

    หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลฯ
    แถวหลังจากซ้าย

    พระราชธรรมเจติยาจารย์ ( วิริยังค์ สิรินฺธโร ) วัดธรรมมงคล จ.กรุงเทพฯ

    หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรฯ

    พระธรรมวิสุทธิมงคล ( หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน ) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรฯ

    เกรงผู้ปฏิบัติรุ่นหลัง จะไม่รู้จักคุณของครูบาอาจารย์ ที่เป็นสุปฏิปันโน อันยิ่งควรแก่ความศรัทธา ด้วยเหตุแห่งทิฐิ กิเลสตัณหามันครอบงำอยู่มาก พูดศีลแต่ไม่มีศีล ละเลยการปฏิบัติอันพึงเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา มักมากในกามคุณ ยกยอปอปั้นตนเองเกินเหตุ หรือคะนองด้วยปาก อันไร้สติ ยกตนข่มท่านด้วยกิเลสตัณหา นานาประการ ซึ่งเป็นที่น่าสังเวชใจทั้งสิ้น

    วันนี้เป็นกุศลจิตอันดี ได้มาระลึกถึงคุณของผู้มีสุปฏิปันโน คือฤาษีสันตจิต หรือในนามของพระอริยคุณาธาร ปุสโส เส็ง

    สืบเนื่องมาจากครั้งหนึ่ง ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านฤาษีสันตจิต(ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระอริยคุณาธาร ปุสฺโส เส็ง และเป็นผู้ตรวจการผู้ช่วยภาค ๔ ท่านมีธุระที่ต้องเดินทางไปยังนครจำปาศักดิ์ ซึ่งเมื่อก่อนยังเป็นดินแดนของไทย แต่ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศลาว หลังจากที่ท่านเสร็จธุระแล้ว พร้อมกับถือโอกาสพักอยู่ที่นั่น 1 เดือน วันหนึ่งท่านมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิปัสสนาธุระ และความเป็นไปของพระสงฆ์ที่นั่นที่มีการปฏิบัติย่อหย่อน ซึ่งพระอริยคุณาธาร ปุสฺโส เส็ง ก็ได้แนะวิธีตรวจสอบพระอรหันต์หรือบุคคลที่แอบอ้างว่าตนเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วตามวิธีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยวิธีพระปรมาภิเษก ซึ่งพระพุทธองค์มักใช้วิธีละมุนละไมนี้กับพระสาวกทุกองค์ แม้แต่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็เคยทดสอบตัวท่านเองและคณะศิษย์ของท่านมาแล้วหลายองค์ ด้วยวิธีของพระพุทธองค์ 5 วิธี คือ


    1.ประเภทยอ พระองค์จะทรงสรรเสริญบุคคลที่สำคัญตนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ว่า มีคุณธรรมอย่างนั้นอย่างนี้เท่าที่มีจริงตามจริง จะทรงเปรียบเทียบว่าดีกว่าผู้นั้นผู้นี้ หรือดีกว่าใครๆ เพื่อจะหยั่งดูจิตใจว่า เขายินดีในคำสรรเสริญหรือไม่

    2.ประเภทยวน จะทรงเนรมิตภาพวิสภาคารมณ์(อารมณ์ที่ทำให้เกิดกำหนัด) มาให้เห็นหรือทรงดนตรีโลกุตระให้ฟัง เพื่อหยั่งดูว่าจะกำหนัดยินดีในวิสภาคารมณ์ หรือเสียงดนตรีหรือไม่

    3.ประเภทยั่วโทสะ จะทรงเนรมิตภาพศัตรูคู่เวรให้ปรากฏและทำการยั่วโทสะด้วยประการต่างๆ เพื่อหยั่งดูว่า จะมีโทสะหรือไม่

    4.ประเภทหลอก จะทรงเนรมิตภาพบุคคลเจ้าทิฐิมาถามปัญหาธรรมที่สุขุมคัมภีรภาพ หรือพูดแนะนำในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นปัญหา เพื่อหยั่งดูภูมิปัญญาว่า จะรู้จักเหตุผลเพียงไร

    5.ประเภทขู่ จะทรงเนรมิต ภาพบุคคลผู้มีอำนาจเหนือมาขู่ว่ามีความผิดร้ายแรงเป็นชนิดอุกฤษฎ์ มหันตโทษจะต้องประหารชีวิตแล้วทำการประหาร เพื่อหยั่งดูว่า จะเกิดความหวาดสะดุ้ง มีความอาลัยในชีวิตหรือไม่

    หลังจากสนทนากับเจ้าคณะจังหวัดมาถึงช่วงนี้ พระพรหมนารอด(นารกะ)ก็มาปรากฏองค์ในลักษณะทรงเจ้าคณะจังหวัด อย่างไม่คาดฝัน ท่านว่า “ข้าพเจ้าพระพรหมเป็นผู้ทำนาย มิใช่เจ้าคณะจังหวัด ข้าพเจ้ารู้จักคัมภีร์บ้าง รู้ด้วยตนเองบ้าง จึงทำนายให้ฟังเรื่องพระพุทธศาสนาเพื่อให้ท่านได้สังเกตการณ์ต่อไป” พร้อมกับกล่าวต่อไปว่า “เรามิใช่พุทธศาสนิกชนแต่เป็นฤาษีชีไพร สำเร็จณานสมาบัติ(เป็นผู้มุ่งดี) ตายแล้วได้อุบัติในพรหมโลก ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน

    ฉะนั้นข้าพเจ้าสนใจในบวรพระพุทธศาสนาและได้สนับสนุนเสมอมา ข้าพเจ้าห่วงใยภัยอันตรายในพระศาสนา ในท่ามกลางอายุพระพุทธศาสนา จะมีภิกษุอลัชชีใจบาปนำลัทธิลามกเข้ามาแทรกปะปน ด้วยเห็นแก่ลาภสักการะ และยศศักดิ์เอากิเลสมาเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา จะลุกลามไปตามอารามต่างๆทำให้พระภิกษุที่ดีต้องเดือดร้อนระส่ำระสาย พลอยแปดเปื้อนมลทินไปด้วย เหล่าภิกษุอลัชชีจักกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุดีๆด้วยประการต่างๆนานา เพื่อทำลายศรัทธาของสาธุชน แต่ด้วยบาปอกุศลบันดาลเขาจักทำการอันน่าบัดสียิ่งขึ้น จนประชาชนรู้ทันกลมารยาของเขาจักนั้นเขาจะพินาศไปตามๆกัน

    ที่นั้นจักมีพระภิกษุผู้วิเศษรู้เหตุการณ์ดีมีความรู้เชี่ยวชาญทางอภิญญา ชำระสะสางพระภิกษุอลัชชีออกจากคณะสงฆ์ทำให้คณะสงฆ์บริสุทธิ์สะอาดปราศจากคนชั่วปะปน พระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองและแผ่ไพศาลมากจนถึงนานาประเทศอย่างกว้างขวาง จักมีผู้เข้ามาทำนุบำรุงฟื้นฟูไปจนถึงอายุของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีกำหนด ๕,๐๐๐พระวัสสะ”

    พระอริยคุณาธาร ท่านสงสัยจึงถามไปว่า “พระภิกษุผู้วิเศษนั้นเป็นใคร”

    พระพรหมนารอดไม่ยอมตอบชื่อเพียงแต่กล่าวเป็นนัยว่า “ผู้ใดรู้จักเห็นพระพุทธเจ้าได้ ผู้นั้นเป็นผู้วิเศษ ท่านผู้นั้นรู้เหตุการณ์ดีกว่าใครๆในยุคเดียวกัน”

    (คำทำนายนี้มีมาเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ณ นครจำปาศักดิ์) จากนิตยสาร
    โลกทิพย์ ฉบับที่ ๒๕ ปีที่ ๓ เดือนมกราคม(ฉบับหลัง) พ.ศ.๒๕๒๗ หน้า ๑๐๕-๑๐๗
     
  15. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    จนได้ขนานนามว่า "อริย"แต่ยังข้ามไม่พ้นฝั่งฝัน"

    แต่หนังสือเล่มนั้น ก็ถือได้ว่า เป็นแนวทาง แห่งการสร้าง ทิพยอำนาจ ได้จริง

    เป็นหนังสือที่น่าศึกษาอีกเล่มหนึ่ง ต่อการปฏิบัติในแนวทาง

    แต่ทว่าปริศนาธรรมนี้ ก็ขอให้นำมาเป็นคติสอนใจ ว่าเพราะเหตุใดหลวงพ่อพุธ

    ผู้เคยมีอดีตชาติวาสนาร่วมกันมา ต้องมีอันแยกจากกัน ในแนวทางปฏิบัติ อ่านให้จบ...!

    หรือว่าท่านปรารถนาโพธิญาณ ส่วนหลวงพ่อพุธท่านต้องการนิพพานให้เร็วที่สุด

    นั่นจึงเป็นความแตกต่าง ระหว่างศิษย์กับอาจารย์

    เจริญในธรรมปฏิบัติครับ

    พระอริยคุณาธาร(ปุสโส เส็ง)นาม"อริย"แต่ยังข้ามไม่พ้นฝั่งฝัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2011
  16. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    ขอขอบคุณครับ

    ต้องขอขอบคุณท่าน AVATAAR และท่าน หม้อหุงข้าว ที่ช่วยแนะนำการปฏิบัติเจริญกรรมฐานครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  17. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    อดีตมาจากสัมเวสี ลองเจริญกรรมฐานแบบ ภาวนา พุทโธ ก็ดีครับ
     
  18. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    อดีตมาจากนาคบนสวรรค์ครับ เจริญกรรมฐานแบบเทวานุสติก็ดีครับ
     
  19. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอบคุณมากครับ เหมือนเราไม่มีสมาธิเลย อายจังเลย 555 อยากได้เหมือนกันครับ ใจดวงวิเศษดวงนี้ แต่บุญนิด สมาธิหน่อยนึง คิดแล้ว เฮ้อออ !
    จะพยายามพุทโธครับ พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พฤหัสศุกร์ไม่โท พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
     
  20. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอถามหน่อยครับ ท่องพุทโธแบบอานาปานสติ หายใจเข้า พุท หายใจออก โท
    กับท่องพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แบบเร็ว ๆ โดยไม่สนใจลมหายใจ สนใจแต่คำ
    ภาวนาพุทโธ แบบไหนจะดีกว่ากันครับ

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...