น้ำท่วม...บริหารจัดการไม่เป็น

(์ำNew) 17 ตค.2554 เวลา 12.46น. ระดับน้ำนิคมนวนครสูงต่อเนื่อง ปชช.ในพื้นที่โดยรอบ อพยพ...ด่วน

 

War Room Falkman
‎12.40 17/10/54 ศปภ. ประกาศ นิคมนวนคร ให้หยุดเดินเครื่อง
และอพยพ ไปในศูนย์ที่กำหนด ให้ช่วยเหลือตัวเองก่อนที่เจ้าห<wbr>น้าที่จะเข้าไปช่วย
ใครมีรถส่วนตัวให้ออกมาเลย ใครที่ไม่มีรถ ให้รอที่หน้านิคมนวนครฝั่งถ.พหล<wbr>โยธิน
มีรถเมล์จอดรออยู่ 200 คัน และรถทหาร เพื่อไปที่จุดช่วยเหลือพักพิงปร<wbr>ะชาชน
จากนวนคร
1.โดม มธ.รังสิต 2000 คน
2.อ.ธัญบุรี 20000 คน
3.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ 1000 คน
4.วัดพระธรรมกาย 5000 คน
และมีจราจรคอยบอกเส้นทางสามารถส<wbr>อบถามได้ค่ะ

ป.ล. ++++ประกาศ++++ ผู้ที่นำรถมาจอดในพื้นที่ 150 ไร่ของวัดพระธรรมกาย
ขอให้เคลื่อนย้ายรถขึ้นที่สูง หรือนำออกจากพื้นที่
เนื่องจากระดับน้ำในคลอง 3 สูงขึ้นจากการเปิดประตูระบายน้ำ<wbr>ทุกจุดนะคะ
เครดิต DMCNews ค่ะ

.

 

อีก 10 ปี น้ำท่วมกรุงเทพ 20 Dec.10

[VDO]http://www.youtube.com/v/ck4zNqo4e0s?version=3">
name="allowFullScreen" value="true"><EMBED type="text/html; charset=UTF-8" src="<a href=" target="_blank" ck4zNqo4e0s?version='3"' v www.youtube.com http:>http://www.youtube.com/v/ck4zNqo4e0s?version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360">[/VDO]</P>

ผอ.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ออกอากาศเเมื่อ 20 ธันวาคม 2553 ไม่น่าเชื่อว่าเพียงปีเดียวเท่านั้นเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย จากนี้ไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นการวางแผนที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งขอคนไทยทุกภาคส่วน ผมเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถไม่ว่าจะเป็นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การใช้ความรู้ทางด้านวิชาการ ฯลฯ ขออย่างเดียวร่วมมือกันทุกภาคส่วน กระจายความรับผิดชอบให้แต่ละส่วนได้ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน แม้จะเกิดข้อผิดพลาดบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไร วิกฤติรอเราอยู่ข้างหน้า เราชาวไทยต้องร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรค์นี้ไปให้ได้ เพื่อในหลวงของเรา ​

 

ผมทำงานรับราชการ 26 ปี แปลกมากๆๆๆปัจจุบันนี้คนที่สอบมารับตำแหน่งหัวหน้า ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถเลย แผนกที่ผมทำงานต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง เพราะฉะนั้นใครทำงานเป็น ไม่เป็น จะรู้เลย ผมไปถามเพื่อนแผนกอื่น เขาก็บอกเหมือนกันหมด หัวหน้าที่สอบมาได้ใหม่ มีแต่ใช้เส้น กับใช้เงิน ไม่มีความสามารถเลย แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เอวัง วิกฤตผู้นำ

 

สงสารประเทศชาติ...

 

หลักการบริหารจัดการน้ำทั่วๆ ไป (1.)

หลักการคร่าวๆมีดังนี้ครับ

การพร่องน้ำในแต่ละปีของเขื่อนใหญ่ๆ นั้น ต้องมีหลักดังนี้ครับ

1( แบบสถิตย์) มีการคาดการณ์ และประเมิณปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าอ่างว่าอยู่ที่ปริมาณเท่าไหร่ของแต่ละปี

- ซึ่งจะต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นสถิติของปีที่ผ่านมาแล้วเป็นหลักแล้วจึงนำมาสร้างเป็นกราฟตามหลักวิชาวิศวกรรมเพื่อที่จะทำนายข้อมูลในอนาคตที่จะมาถึง

- เมื่อได้ ข้อมูลที่มาจาก หลักวิชาสถิติแล้วก็นำมาคำนวณหาปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ ! ผมลืมบอกไปว่าข้อมูลที่นำมาใช้นั้นไม่ได้ทำกันเพียงลำพังแต่ละหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้นแต่มีการติดต่อและประสานงานกันอยู่ระหว่าง กรมชล กรมอุตุ และ กฟผ. (มีการประชุมกันโดยตลอดมาตั้งแต่ ก่อนหน้าแล้ง จนถึงหน้าฝน)

หลังจากได้ตัวเลขปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าอ่างเก็บน้ำแล้วก็ต้องวางแผนการจัดการบริหารน้ำในเขื่อนว่าจะปล่อยเท่าไหร่ซึ่งจำนวนน้ำที่ปล่อยออกมาก็ต้องเห็นชอบจากกรมชลกับกฟผ. (เฉพาะเขื่อนที่กฟผ รับผิดชอบอยู่ )

 

2. (แบบพลวัต) มีการบริหารจัดการน้ำปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

- แต่จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมักมีปัจจัยที่นอกเหนือการคาดหมายเข้ามากระทบทำให้ข้อมูลที่ใช้อยู่นั้นไม่ได้ 100 เปอร์เซนต์ ทำให้ต้องมีการอัพเดทข้อมูลจากหน่วยงานจากกรมอุตุอยู่ตลอดเวลา ซึ่งข้อมูลที่ได้รับมานั้นก็เป็นข้อมูลอย่างกว้าง ๆ เพราะเป็นการพยากรณ์ ไม่สามารถระบุชี้ชัดเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ เช่น ข้อมูลอัตราความเข้มของน้ำฝนอยู่ในเกณฑ์ มากกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นการทำงานก็จะไม่ง่ายนักที่จะตีความหมายแล้วนำมาใช้งาน

นั่นคือหลักการอย่างกว้าง ๆ คราวนี้มาดูถึงเรื่องราวต่างที่มีเพื่อน ๆโพสมาทั้งด้านบวกและด้านลบ

- มีการกลั่นแกล้งจากรัฐบาลชุดก่อนนี้ว่าวางแผนเก็บน้ำไว้เยอะแยะ

คืออย่างนี้ครับ เมื่อช่วงต้นฤดูฝน ปี 53 ฝนมาเร็วและก็ตกมาก และมีการคาดการณ์ว่าจะตกอย่างนี้ต่อเนื่อง ทำให้ กรมชลและกฟผ. เห็นชอบให้รีบพร่องน้ำไว้เพื่อเตรียมร้บน้ำที่จะมีมาก พอหลังจากที่ได้พร่องน้ำไปแล้วเป็นเวลาระยะหนึ่ง ผลปรากฎว่าฝนหยุดไปเฉยเลย ทำให้เกิดภาวะน้ำแล้ง จนต้องมีการประชุม ติดตามเรื่องน้ำแล้งอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง กรมชล กับ กฟผ. (ถ้ามีใครจะพอจำข่าวนี้ได้บ้าง )

พอมาปีนี้เหตุการณ์ในช่วงต้นฤดูฝนมันช่างคล้ายคลึงกับปี 53 ทาง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเลยกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีก ว่าถ้าพร่องน้ำแบบปีที่แล้วเดี๋ยวหน้างแล้งจะเกิดวิกฤติซ้ำติดต่อกันอีกและจากปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในเขื่อน หลังจากผ่านหน้าแล้งมาแล้วก็ยังคงเหลืออยู่ซึ่งไม่ได้อยู่ในเกณฑ์สูงมากนัก ยกตัวอย่าง เขื่อนภูมิพลัน้น ปริมาณน้ำอยู่ที่ระดับกักเก็บ ที่ 45 % พูดง่ายว่าไม่ถึงครึ่งซะอีก

แต่ถ้าจะสงสัยถามต่อว่า แล้วทำไมไม่พร่องน้ำให้เหลือน้อยไปเลยล่ะก็ต้องขอตอบว่า แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่า พายุมันจะมาถึง 5 ลูก เพราะว่าตามสถิตินั้น มันอยู่ที่ 3 ลูก และอีกประการนึง เขื่อนภูมิพลนั้นก็สามารถพร่องน้ำได้แค่อยู่ที่ 38 เปอร์เซนต์ ถ้าพร่องต่ำกว่านี้จะมีผลเสีย

สุดท้ายที่สำคัญผมขอพาดพิงหน่อยว่า

คนทั้วไปส่วนมากมักจะชอบพูดกันเสมอเกี่ยวกับเรื่องน้ำในเขื่อนซึ่งมักจะออกมาพูดทีหลังจากที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้วว่าทำไมไม่พร่องน้ำไว้เยอะๆเพื่อรองรับน้ำที่มันมีมาเยอะอย่างนี้...

 

เรื่องน้ำกับการเมืองผมไม่ค่อยอยากให้ความสำคัญอะไรมากนักเพราะจะตายกันอยู่แล้วไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหน

สำหรับคนที่คิดว่า หน่วนงานกรมชล กับกฟผ. นั้นเป็นคนของใคร ?
ผมก็ขอถามกลับว่า แล้วคุณคิดว่าเป็นคนของใคร ?

ผมตอบแทนให้ก็ได้ว่า ก็เป็นของคนที่คุณคิดและเป็นของคนที่เหนือกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีก ไม่ต้องสงสัยหรอก

ไหน ๆ ผมก็ไถลมาเรื่องต่ำ ๆ แล้วขอต่ออีกหน่อย แม่ของผมนั้นเป็นแฟนตัวจริงของเสื้อแดงคุณรู้ไหม ตอนกลางปีที่น้ำท่วม หนัก ๆ แม่ผมเขาบอกว่า อดีตนายก เป็นตัวเสนียด จัญไร
พอมาน้ำท่วมตอนปลายปี แต่เปลี่ยนตัวนายกแล้ว แม่เขาก็ยังบอกเพิ่มเติมมาอีกว่า อ๋อน้ำมาล้างพวกประชาธิปัตย์

เป็นไงบ้างครับ คำพูดนี้ใช้ได้มั๊ยครับ ถูกใจมั๊ยครับ


...555 ยกกำลังสองถอดสแควรูทอีกต่างหาก แถมด้วยดิฟเฟรอเรนเทียลไปให้อีกที

 

ยุคนี้มันเสื่อมสุด ๆ แล้วล่ะครับพี่น้อง


ก็เพราะมันเป็นยุค


ข้าวไม่มียางแล้วล่ะ...ครับพี่น้อง
​

 

ขอเอาออกครับไม่อยากยุ่งกับกรรมของคนอื่น

 

ท่านเข้าใจถูกต้อง ครับ

เราถึงเห็นการบริหารจัดการวิกฤตครั้งนี้เป็นอย่างที่เห็น
มีตัวอย่างให้เห็นหลายอัน ขี้เกียจกล่าวถึงเดี๋ยวจะทะเลาะยืดยาว

ทำใจแหละครับ.....ขรก.

 

รู้ไหมใครสั่งมา รู้กาลเทศะมั่ง

 

อย่างน้อยในภาวะวิกฤต...เราก็รู้ว่ายังมีคนไทยอีกไม่น้อยที่ไม่ทิ้งกัน

 

EGO ของ ด๊อกเตอร์ครับ
เก่งจัง อยากให้ ดร.สมิท มาบริหารน้ำจังครับ น้ำมากขนาดนี้ถ้าได้ท่าน คงไม่ท่วม คงไหลลงทะเลอย่างหมดจด

 

สิ้นศึกใหญ่สู้กับน้ำครั้งนี้ ..สรุปว่าทั้งนักการเมือง,ข้าราชการฝ่ายบริหารแพ้ราบคาบ
ประชาชนเดือดร้อนเลือดตาแทบกระเด็นทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่ารวยว่าจน

หวังไว้แค่ว่าปีหน้าคงวางแผนอย่างระบบในระยะยาว และชาญฉลาดกว่านี้ ที่นิยมเรียกกันว่า แบบบูรณาการ อย่าให้เจ็บซ้ำซากนะครับ

ที่จริงเรื่องน้ำท่วมหนักเมืองโคราชและโซนอีสาน ปีที่แล้วน่าจะเป็นสัญญาณเตือนคนไทยฝ่ายบริหารบ้านเมือง ควรจะพึงสังวรไว้ล่วงหน้าแล้ว

เคยมีคนหลายคนเคยพูดว่าแถบโคราช(ที่ราบสูงโคราช) น้ำไม่มีวันท่วมหรอก...ถ้าท่วมนะ คนจมน้ำกันค่อนครึ่งประเทศแล้ว ผลที่ออกมาปีที่แล้วโซนภาคกลางผลกระทบน้อยมาก...

.....พอมาปีนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของใครอีกหลายคนที่เคยพูดไว้ขึ้นมาตะหงิดๆแฮะ!!!

 

วิกฤตพิสูจน์คนครับ ใครดีใครชั่ว ทำถูกทำไม่ถูกครั้งนี้เป็น บทเรียนราคาแพงครับ

 

ต้นปี พวกกรมชลฯยังบอกให้ชาวนาอย่าปลูกข้าวเพราะมีน้ำไม่พออยู่เลย

พวกข้าราชการที่ดูแลเรื่องน้ำ ดูแลมาหลายสิบปี ก็ยังเป็นแบบนี้ เพียงแต่ปีน้ำฤดูน้ำมีน้ำมากกว่าปกติมาก เขื่อนทั้งหลายก็จำใจเพิ่มทุกข์ให้ชาวบ้านด้วยการปล่อยน้ำลงมา ไม่ปล่อยก็ไม่ได้อีก ดังนั้นเสร็จงานนี้ คงมีคนบอกให้สร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้ายังทำกันแบบนี้ ครั้งต่อไปคงท่วมรุนแรงและหนักสาหัสกว่าเดิมแน่นอน

 

ถ้าอยากรอดอย่างยั่งยืน ต้องใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง

เพราะระบบทุนนิยม ที่เน้นสร้างวัตถุ ปูทางไปสู่เงิน เงิน เงิน เช่น โค่นป่าเพื่อสร้างเขื่อน ขุดทะเลหากาซธรรมชาติ สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ปลูกพืชทำเงินอย่างยูคา ยางพารา ปาล์มน้ำมัน

สร้างโรงงานอุตสาหกรรม สร้างสิ่งปลูกสร้างมาขวางทางน้ำ หรือว่า ถมพื้นที่รับน้ำเดิม อย่างห้วย หนอง คลอง บึง แล้วเอาพื้นที่ไปแปรสภาพ ให้เป็นเงินเป็นทอง

ก็จะได้เห็นกันว่า ระบบทุนนิยมกลืนกินสมดุลธรรมชาติ และสมดุลถูกผิดดีชั่วในจิตใจคน