พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................มูซาได้เล่าอธิบายให้ความกระจ่างแก่บันตาฟังว่า

    ............................"โนรี คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ....ผู้หญิงที่ในตำนานแดนมลายูเล่า

    ขานบันทึกไว้ว่า..เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว..เคยมีผู้หญิงจันทร์เพ็ญบังเกิดขึ้นในแดนมลายู..

    เป็นผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อดับร้อนให้แก่ชาวโลก..ผู้หญิงจันทร์เพ็ญจะมีประกายแห่งความเย็น

    ปรากฎออกมาทางดวงตาและร่างกาย......จะมีประกายเรืองรองสีทองดุจดวงจันทร์เพ็ญ

    ปรากฎขึ้นตลอดเวลา..แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นประกายเรืองรองนั้นได้โดยปราศจาก

    แสงจันทร์เพ็ญสาดส่องร่างกายของนาง....นางเกิดมาในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ คือ วัน

    จันทร์เพ็ญที่ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงอันเจิดจ้า...ยามใดที่ตัวของนางกระทบกับแสง

    จันทร์เพ็ญในคืนจันทร์เพ็ญ....ประกายเรืองรองสีทองอันสวยงามเย็นตาเย็นใจที่เปล่งออก

    มาจากร่างกายของนางจะปรากฎออกมา.........ยามใดที่ผู้หญิงจันทร์เพ็ญปรากฎกายขึ้น

    ณ ที่ใด..ที่นั้นจะปราศจากการทำร้ายกัน สงครามจะยุติเมื่อนางปรากฎกายขึ้น...ผู้ที่พบ

    เห็นนางจะเกิดแต่ความสุขใจ....ในตำนานกล่าวไว้ว่า ..มีการคำนวณการกำเนิดของผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญว่า..จะบังเกิดขึ้นอีกในปี พ.ศ.2448 ณ ชายฝั่งทะเลเหนือแดนมลายูบนแผ่นดิน

    สยาม......สิ่งที่ข้าพูดมานี้เจ้าคิดว่า..มันตรงกับโนรีลูกของเจ้าไหม"

    ....................บันตาไม่อาจปฏิเสธคำแจงของพ่อเฒ่า...เพราะแผ่นดินที่กำเนิดโนรี

    และปี พ.ศ.เกิดมันตรงกับที่พ่อเฒ่ากล่าวถึง...และ..สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของนาง

    เมื่อคืนนี้...คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า "โนรี คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ตาม

    ตำนานที่พ่อเฒ่ากล่าวถึงอย่างแน่นอน.บันตาจึงตั้งใจฟังพ่อเฒ่าต่ออย่างใจจดจ่อ

    ............................"ข้าเองตามหาผู้หญิงจันทร์เพ็ญและผู้ที่จะสืบทอดวิชาเป่าขลุ่ยที่

    ข้าได้คิดค้นมาโดยตลอด........ไม่เคยนึกฝันว่าจะพบผู้หญิงจันทร์เพ็ญเมื่อวัยชรา 63 ปี..

    ข้าจึงรู้สึกดีใจมาก..ทั้งยังดีใจที่ศิษย์ของข้า คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

    นี้...และข้าเชื่อว่า..เสียงขลุ่ยที่นางเป่าขึ้นจะต้องไพเราะและงดงามน่าฟังเกินกว่าข้ายิ่ง

    นัก..ด้วยประกายแห่งความเย็นในจิตใจของนาง....จะต้องสร้างเพลงขลุ่ยที่เยือกเย็นให้

    ปรากฎขึ้นบนโลกใบนี้เพื่อดับร้อนให้แก่ผู้คน"

    ....................บันตาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดรู้สึกทึ่งในตัวพ่อเฒ่าและภูมิใจในตัวลูกสาว

    ของตน...นางจึงบอกทางแก่พ่อเฒ่าให้เดินทางไปหาโนรีและโมลีในสวน...และอนุญาตให้

    พ่อเฒ่าสอนการเป่าขลุ่ยให้แก่ลูกทั้งสอง...โดยหารู้ถึงวิชาเป่าขลุ่ยอันหนึ่งที่เรียกว่า

    "เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ"ที่มูซาคิดค้นขึ้นนั้น ..ไม่เคยมีใครเป่าได้มาก่อนเลย..

    จึงเป็นเรื่องที่จะวัด ความสามารถ หรือ วัดวาสนา ระหว่าง โนรี กับ โมลี ว่า "ผู้ใด

    คือ ผู้สืบทอด หรือเป็น "ทายาทเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ" .."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      159
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................มูซาขี่ม้าเดินเข้าสวนไปอย่างช้า ๆ ปล่อยให้บันตาเลือกดูผ้าทั้ง

    สามชิ้นเพื่อพิจารณาว่า จะตัดเสื้อผ้าแบบใดให้แก่ลูกทั้งสองของนาง..

    ....................ในสวน...โนรีกับโมลีกำลังจัดผลรางสาดลงกระบุง..เพื่อเตรียมเอาขึ้น

    เกวียน..ในขณะที่โนรีเงยหน้าขึ้นมองดูไปที่ทิศทางเข้าสวน....ก็พบม้าสีน้ำตาลกำลังเดิน

    ตรงเข้ามา...นางเลื่อนสายตาขึ้นมองดูผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็ต้องตกตะลึง....จึงได้เรียก

    โมลีน้องสาวที่กำลังสาละวนกับการจัดเรียงรางสาดลงกระบุงอย่างเบา ๆ...โดยที่สายตา

    ยังจับจ้องอยู่กับบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังม้า.....

    ............................."โมลี...โมลี".......................

    .....................โมลีมองหน้าพี่สาวที่เรียกตน..ก็เห็นโนรีกำลังจ้องดูบางสิ่งบางอย่างอยู่.

    โมลีจึงหันไปทางทิศที่โนรีกำลังจ้องมองดูอยู่...และโมลีก็ต้องตกตะลึงจ้องมองเช่น

    เดียวกับพี่สาว..พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา.......เมื่อจำได้ว่าผู้ที่อยู่บนหลังม้า

    คือใคร......

    ............................"พ่อเฒ่า"........................

    ....................สองพี่น้องทิ้งพวงรางสาดจากมือลงกระบุง..แล้วรีบวิ่งไปที่ม้าผู้

    มาเยือน..พลางตะโกนเรียกพ่อเฒ่าอย่างดีใจ...โนรีจับเชือกม้าแล้วจูงมาที่ศาลา

    หรือกระท่อมพักร้อนในสวน...ในขณะที่มูซายังคงนั่งอยู่บนหลังม้า...พ่อเฒ่าก็

    ยินดีไม่น้อยที่เจอเด็กทั้งสอง...เขาลงจากหลังม้าแล้วเดินกอดประคองที่บ่าของ

    โนรีและโมลีให้เดินตาม..พลางเอ่ยขึ้น..

    ............................"พ่อเฒ่ามาสอนเจ้าทั้งสองเป่าขลุ่ย..และจะมาที่นี่ทุกวัน

    จนกว่าเจ้าทั้งสองจะเป่ามันได้"

    ............................"พ่อเฒ่ารู้ได้อย่างไรว่าหนูสองคนอยู่ที่นี่" โนรีเอ่ยถาม

    ด้วยใจยินดีที่ฟังคำพ่อเฒ่า

    ............................"เจ๊ตันหยงบอกที่อยู่...ส่วนแม่บันตาของเจ้าบอกที่ที่เจ้า

    ทั้งสองคนไป"

    .....................โมลีหยิบรางสาดในกระบุงส่งให้โนรี..เพื่อปลอกเปลือกและส่งให้

    พ่อเฒ่ากิน....

    .....................พ่อเฒ่าหยิบขลุ่ยขึ้นมาสามเลาวางลงพื้นศาลาพักร้อน.....แล้ว

    เอ่ยขึ้น

    ............................."โนรี และ โมลี..เจ้าเลือกเอาขลุ่ยไว้หัดเป่าคนละหนึ่ง

    เลา..ส่วนเลาที่เหลือพ่อเฒ่าจะใช้เป่าสอนพวกเจ้าทั้งสอง"

    .....................โนรีมองหน้าน้องสาวแล้วบอกให้เป็นผู้เลือกขลุ่ยก่อน...ซึ่งโมลีก็

    เลือกเอาขลุ่ยที่สวยที่สุดในจำนวนสามเลา...ยังความพอใจให้แก่มูซาที่เห็นความมี

    น้ำใจของผู้เป็นพี่....แต่ก็ได้เอ่ยให้ข้อคิดแก่โมลีถึงการเรียนรู้เรื่องการเลือกขลุ่ย..

    ............................"เจ้าจะเลือกขลุ่ยด้วยความสวยงามอย่างเดียวหาได้ไม่..

    หัวใจของการเลือกขลุ่ยไม่ได้อยู่ที่ความสวยงาม...แต่อยู่ที่เสียงอันไพเราะของมัน

    ต่างหาก..ก่อนที่เจ้าจะเลือกขลุ่ย..เจ้าต้องฟังเสียงของมันเป็นเบื้องแรก..โดยการ

    ลองเป่าไล่เสียงของมันดู..จำไว้โมลี"...

    ............................"แต่หนูชอบว่ามันสวย..และรู้ว่ามันต้องมีเสียงที่ไพเราะ..

    ไม่เช่นนั้นขลุ่ยเลานี้..พ่อเฒ่าคงไม่เลือกนำมาให้พวกหนูหัดเป่า"...โมลีตอบด้วย

    ปัญญาและเหตุผล...

    ....................มูซาทึ่งในคำตอบของเด็กน้อยวัย 7 ขวบ.....ที่มีความคิดอ่าน

    เฉลียวฉลาด..สามารถหยั่งรู้และเข้าใจสถานการณ์อันเป็นความจริงได้...

    ....................คำชี้แนะของมูซาทำให้โนรีหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งที่เหลืออยู่สองเลา..

    ขึ้นมาเลาหนึ่ง..แล้วลองเป่าทันที..โดยไล่เสียงเปิดปิดรู้จากต่ำไปหาสูง..และจาก

    สูงไปหาต่ำหลายรอบ...ทำให้มูซาเห็นข้อบกพร่อง..จึงเอ่ยสอนต่อทันที..พร้อมกับ

    หยิบขลุ่ยเลาที่เหลืออีกเลาหนึ่ง..ขึ้นสอนการจับขลุ่ยให้สองพี่น้องดู

    ............................."การจับขลุ่ย..มือซ้ายจะอยู่เหนือมือขวา..และอุดรูด้าน

    บนเปิดปิดเพียง 3 รู...ส่วนนิ้วหัวแม่มือซ้ายเปิดปิดรูด้านล่าง....สำหรับมือขวาอยู่

    ใต้มือซ้ายนิ้วทั้งสี่ปิดเปิดรูอีก 4 รู นิ้วหัวแม่มือขวาจับด้านล่างขลุ่ย...แล้วเจ้าจง

    ลองเป่าไล่เสียงโดยเปิดปิดที่ละรูจะพบเสียงมันมีอยู่ 8 เสียงใหญ่ ๆ แต่ใน 8 เสียง

    นั้นเจ้าสามารถเป่าให้มันเป็นครึ่งเสียงได้เมื่อมีความชำนาญ"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      156
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2011
  3. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    แวะมาทักทายครับ ตอนนี้อ่านถึงหน้าสิบแปดเองพี่
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ............รับทราบครับท่าน...ผมอ่านธรรมที่ท่านแสดงในกระทู้

    ท่านพระยาเดโชแล้วลึกซึ้งกินใจ.......สง่างามเหมือนภาพท่าน

    "อาวุโสพรรคมาร" ชุดเขียวครับ.........
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................มูซาสอนในเบื้องต้นพร้อมกับการลองเป่าไล่เสียงให้ดูเป็น

    ตัวอย่าง...และให้ทั้งสองพี่น้องลองเป่าดู...ก็มีเหตุใสงสัยว่า "ทำไมโนรีจึงไม่นำขลุ่ยอีก

    เลามาลองเป่าเทียบเสียงเพื่อเป็นตัวเลือก"..จึงได้สอบถามโนรีขึ้น

    ............................"เจ้าจะไม่ลองเป่าขลุ่ยเลาอื่นเพื่อเลือกมันหรือ"

    ............................"หนูยังไม่มีความชำนาญในการเป่า..จึงไม่อาจรู้ได้ว่าควรเลือก

    ขลุ่ยแบบใดเสียงใดจึงจะไพเราะ...แต่ถ้าจะให้หนูเลือก..หนูอยากได้ขลุ่ยเล่าที่พ่อเฒ่า

    เป่าอยู่และมีเสียงประสานกันเหมือนเสียงขลุ่ยหลายเลาเป่าออกมาพร้อมกัน" โนรี

    หมายถึงขลุ่ยฟ้าผ่า...นางพูดพร้อมกับก้มมองดูขลุ่ยฟ้าผ่าของมูซาที่เหน็บอยู่ที่

    ผ้ารัดเอวของมูซา....

    .....................มูซาหยิบขลุ่ยฟ้าผ่าออกมาจากเอว......และส่งให้โนรีพร้อมกับ

    พูดขึ้น..

    ............................"ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงลองเป่ามันดู".......

    .....................โนรีส่งมอบขลุ่ยที่อยู่ในมือให้น้องสาว..และลูบคลำขลุ่ยสีดำที่มีลวด

    ลายอันวิจิตรที่รับจากมูซาอย่างชื่นชม...มันเป็นความสวยงามคนละอย่างกับขลุ่ย

    ที่โมลีน้องสาวนางเลือก..มันเป็นความสวยงามที่ดึงดูดตาและใจผู้พบเห็น...โนรี

    ลองใช่ลมปากผิวแผ่วเข้าไปในลำขลุ่ยทันที......

    .....................เสียงของขลุ่ยประสานออกมาอย่างนุ่มนวลหมดจด..โดยที่ผู้เป่า

    ไม่เคยเรียนรู้บทเพลงขลุ่ยใด ๆ มาก่อนเลย...โนรีเป่าไปด้วยความเพลิดเพลินโดย

    ที่นางไม่คิดสิ่งใด...แต่กลับเป่าได้ไพเราะ...

    .....................ความไพเราะของเสียงขลุ่ยทำให้ มูซาและโมลีที่ฟังอยู่ถึงกับตก

    ตะลึงและเคลิบเคลิ้ม..........โนรีไล่เป่าเสียงต่ำอ่อนโยนไปโยนมา..และเลื่อนเป็น

    เสียงกลางสูงสลับไปมา..........แต่เสียงขลุ่ยก็มีเสียงประสานขับตามออกมาเป็น

    ระยะ ๆ ........นางเป่าอยู่นานจนรู้สึกอิ่มเอม จึงได้ส่งขลุ่ยกลับคืนไปให้มูซา...

    .....................มูซายกมือขึ้นอันเป็นกริยาที่ยังไม่รับขลุ่ย แต่ได้พูดขึ้นอย่าง

    ฉงนและเอาจริงเอาจัง....

    ............................"เจ้าลองเป่าเพลงที่เจ้าเป่าเมื่อกี้นี้อีกครั้งได้ไหม"..

    ............................"พ่อเฒ่าหนูจำไม่ได้หรอก..ก็หนูเพิ่งเคยเป่าขลุ่ยครั้ง

    แรก....และไม่เคยเรียนเพลงขลุ่ยมาจากไหน...แล้วหนูจะจำได้อย่างไร"

    ....................มูซาพยักหน้าอย่างเข้าใจ..และเริ่มประหลาดใจที่เพียงแค่โนรี

    สัมผัสและเป่าขลุ่ยเลานี้..นางสามารถเป่าเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำได้..ช่างเป็น

    เรื่องอัศจรรย์ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญอย่างเหลือเชื่อ.....

    ....................เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำอันนี้มูซาคิดค้นและหาผู้สืบทอดอยู่จน

    วัยชรา..แต่ก็ไม่มีผู้ใดฟังและเข้าใจวิธีการเป่าของเขาเลย...แต่โนรี..พ่อเฒ่ายังไม่

    เคยแนะนำหรือเริ่มสอนการเป่าขลุ่ยชนิดนี้เลย........แต่โนรีกลับทำได้ในเบื้องต้น

    หรือว่า..."ขลุ่ยฟ้าผ่าเลานี้พร้อมกับเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ..มันเป็นสมบัติของ

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญมาแต่เดิม"...และเขาเป็นเพียงผู้เก็บรักษาขลุ่ยเลานี้และวิธีการ

    เป่าเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำนี้ไว้ให้ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" เท่านั้น...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      153
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ในขณะที่มูซาคิดอยู่ ..โมลีสามารถจดจำเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าได้

    อย่างแม่นยำ โมลีจึงเอ่ยขึ้น..

    ............................."แต่หนูจำเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าเมื่อกี้นี้ได้"

    .....................มูซาและโนรีหันมาทางโมลีที่กำลังจะเป่าขลุ่ยที่นางเลือกไว้..โมลีหลับ

    ตาสนิทแล้วเริ่มนึกไล่เสียงเพลงของโนรีที่เป่าเมื่อกี้นี้..และก็ไล่เป่าอย่างช้า ๆ ไปตามที่

    นางจดจำ....แต่พ่อเฒ่าฟังดูแล้วว่า"มันคือเสียงขลุ่ยที่เป็นบทเพลงที่โนรีได้เป่าเอาไว้"..

    ในขณะที่โนรีซึ่งเป็นผู้เป่าเบื้องแรกกลับจำไม่ได้ว่า .....เสียงขลุ่ยที่โมลีได้เป่านั้น คือ

    เสียงขลุ่ยที่นางเคยเป่า....

    ....................โมลีเป่าเรียนเพลงของเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าจนครบถ้วน...พ่อเฒ่า

    ถึงกับทึ่งในตัวผู้น้องที่มีความจำเป็นเลิศ...และ "โมลี" ก็คือ ตัวเด่นของเรื่องที่เป็น

    บุคคลที่มีความจำเป็นเลิศและเป็นผู้ที่มีศิลปะในการวาดรูปและปั้นหุ่นในการต่อมา.

    ....................พ่อเฒ่ามูซาคิดว่า "การสอนโมลีให้เป่าขลุ่ยนั้น..น่าจะสอนการเป่า

    บทเพลงตามที่ปรมาจารย์เพลงขลุ่ยแต่งเอาไว้"....ส่วน"โนรีเขาตั้งใจถ่ายทอดวิธี

    การเป่าเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำให้..ซึ่งในเบื้องแรกโนรีและโมลีทำเอาพ่อเฒ่า

    ประทับใจมาก...โดยพ่อเฒ่าได้กลับที่พักไปอย่างมีความสุขพร้อมกับนำเอาขลุ่ย

    ฟ้าผ่าและขลุ่ยที่เหลืออีกหนึ่งเลากลับไปด้วย...และทิ้งขลุ่ยสองเลาไว้ให้สองพี่น้อง

    หัดเป่าตามที่ตัวเองได้อธิบายและสั่งสอนเอาไว้...

    .....................สองพี่น้องกลับมาบ้านอย่างมีความสุข..พร้อมกับนำขลุ่ยที่พ่อ

    เฒ่าให้ไว้มาอวดบันตา..ทำให้ผู้เป็นแม่สุขใจด้วยยินดี..ที่ลูกรักทั้งสองมีความสุข

    ในสิ่งที่ชอบ...ซึ่งบันตาก็ได้เล่าเรื่องราวผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่ได้ฟังจากพ่อเฒ่าให้

    แก่ลูกทั้งสองฟัง..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      151
  7. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    บอกกล่าวให้ทราบครับ
    หลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงปู่ปาน ท่านปรารถนาพุทภูมิ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ชั้นดุสิตรอคิวลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครับ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ต่อมาท่านขอลาพุทธภูมิเข้าสู่พระนิพพานแล้วครับ โมทนาสาธุ ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........สาธุครับ..ที่มาบอกกล่าวให้ทราบ..เป็นบุญกุศลแก่

    ท่านแล้วครับ...ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกในทางที่

    ชอบและทางธรรมดังที่ตั้งใจไว้ครับ.........
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ................ตอนที่ 45 พ่อเฒ่ามูซาผู้จากไป..........


    .....................พ่อเฒ่ามูซาเพียรพยายามสอนการเป่าขลุ่ยให้กับสองพี่น้องอยู่

    ราวเดือนกว่า...และวันจันทร์เพ็ญก็เวียนมาถึง..มูซาบอกกับบันตาและศิษย์ทั้งสอง

    ว่า.......... "เขาเองอยากจะเห็นร่างที่แท้จริงของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ยามที่สัมผัส

    กับแส่งจันทร์เพ็ญในคืนจันทร์เพ็ญ.......เพื่ออยากทราบความรู้สึกของตนเองที่มี

    ศรัทธาความเชื่อในตำนานผู้หญิงจันทร์เพ็ญอย่างหมดใจ.......จนตามหานางมา

    ตลอดชีวิตเพียงพบนางก็รู้สึกยินดีไม่น้อย....แต่หากให้เขาสมปรารถนา....เขาจะ

    ต้องเห็นร่างที่แท้จริงของผู้หญิงจันทร์เพ็ญให้ได้.....เพราะเขาเหมือนตัวแทนทวด

    ของเขาที่เก็บรักษาตำนานในคัมภีร์มานาน.....เพียงเพื่อปรารถนาจะพบกับผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญสักครั้งหนึ่ง....แต่ทวดของเขาก็สิ้นลมลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว.....แต่ได้

    ทิ้งความหวังไว้ว่า"มูซา"เหลนของตน...ที่จะต้อง.......มีอายุได้ทันพบเห็นผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญอย่างแน่นอน"......

    ....................มูซาต้องการนำเรื่องราวการพบเห็นร่างแท้จริงของ..."ผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญ"... ไปเล่าสู่ในแผ่นดินมลายู.........เขาจึงขอทั้งสามแม่ลูกให้....เขา

    มาดู ......"โนรีปรากฎกายภายใต้แสงจันทร์เพ็ญในคืนจันทร์เพ็ญ"....ซึ่งทั้งสาม

    แม่ลูกก็ยินยอม....

    ....................และแล้วในคืนแห่งจันทร์เพ็ญ..โนรีก็ปรากฎกายขึ้น ณ ชานเรือน

    ของบ้านที่แสงจันทร์สาดส่องถึง.............ร่างของโนรีก็ปรากฎมีแสงจันทร์เรือง

    รองกระจายออกมาอย่างนวลตา.......และนางนั้นงามจับตาจับใจยิ่งนักแม้จะเป็น

    เพียงเด็กน้อยอายุ 12 ปีเท่านั้น.......มูซาเกิดความสุขใจเย็นตาเย็นใจปลื้มปิติ...

    พลางเอ่ยต่อศิษย์รักอย่างแผ่วเบา .....

    ..........................."โนรี..เจ้างามผุดผ่องจริง ๆ..สมกับที่เจ้าคือผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ...ในโลกนี้ไม่มีใครที่สวยงามเกินเจ้าอีกแล้ว"......

    ....................ว่าพลางมูซาก็ได้เล่าเหตุการณ์ในวันเกิดของโนรี......ที่เป็น

    ปรากฎการณ์ของดวงจันทร์เพ็ญ....ที่เขาพบเห็นให้กับสามแม่ลูกฟังว่า

    ............................"คืนที่โนรีเกิด..พ่อเฒ่าได้นั่งดูจันทร์เพ็ญพร้อมกับเป่า

    ขลุ่ยฟ้าผ่าเลานี้...พ่อเฒ่าได้เห็นดวงจันทร์เพ็ญที่งามสดใสในคืนวันลอยกระทง..

    มีรัศมีเรืองรองแผ่ออกมา...และรัศมีเรืองรองนั้นได้ไหลส่องหมุนวนกลับไปที่ศูนย์

    กลางของดวงจันทร์เพ็ญ...พร้อมกับหมุนวนจนเกิด..."ดวงจันทร์เพ็ญดวงน้อย

    อีกดวงหนึ่งขึ้นที่ศูนย์กลางดวงจันทร์เพ็ญนั้น"..เสมือนกับดวงจันทร์เพ็ญได้คลอด

    ลูกของนางออกมา...และส่งดวงจันทร์เพ็ญน้อยดวงนั้นลงมายังชายฝั่งทะเลเหนือ

    แดนมลายู..เดิมทีพ่อเฒ่าคิดว่ามันคือเมืองปัตตานีจึงวนเวียนสืบเสาะหาอยู่ที่นั้น..

    แต่แท้จริงดวงจันทร์น้อยดวงนั้นได้พุ่งมาที่เมืองสุราษฎร์และกำเนิดเป็นโนรีผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญในตำนานของคัมภีร์แดนมลายู"......

    ....................มูซาได้กลับไปที่พักด้วยความสุขใจ...และได้ให้ความรักและความเอ็นดู

    ศิษย์ทั้งสองดังลูกหลานของตนเอง....เช่นเดียวกับเด็กน้อยทั้งสองก็ให้ความรักและเคารพ

    ในผู้เฒ่าดุจญาติผู้ใหญ่ของตน.....

    ....................พ่อเฒ่าให้โมลีเป่าบทเพลงที่สอนไว้ทิ้งสิ้นให้ฟังเพื่อทบทวนทั้งบท

    เพลงจากแผ่นดินสยามและแดนมลายูที่เขาสอนไว้ทั้งหมด...โมลีสามารถเป่าได้ไพเราะ

    และไม่ผิดทำนองบทเพลง....แม้กระทั่งเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าและจำไม่ได้..แต่โมลี

    สามารถไล่เป่าตามได้อย่างอัศจรรย์ยิ่งนัก....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Full_Moon[1].jpg
      Full_Moon[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      35
    • m118679.jpg
      m118679.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................และวันสุดท้ายก่อนที่มูซาจะจากไป..โนรีและโมลีอยู่ในสวน..มูซา

    ได้จูงม้าเดินเข้ามาหา...และพ่อเฒ่าได้มอบขลุ่ยฟ้าผ่าที่เขารักและหวงแหนยิ่งนัก

    ให้กับโนรี และขอขลุ่ยที่นางหัดเป่ากลับคืน..และเอ่ยขึ้น

    ............................."บัดนี้ ขลุ่ยฟ้าผ่าเลานี้เป็นของเจ้า..เจ้าจงจำเอาไว้..ปุถุชน

    ทั่วไปไม่อาจหนีพ้นห้วงแห่งความรักได้..ยามใดที่เจ้ามีความรักจะทำให้เจ้ามีความ

    ทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวของเจ้ากับคนรักของเจ้า...เจ้าจงอย่าได้พยายามเป่าเสียง

    ขลุ่ยไร้ความทรงจำอีก..จงลืมมันเสีย....เพราะเมื่อใดเจ้ามีความรัก..ดวงใจของ

    เจ้าจะถูกกักขังไว้ในความรักและความทรงจำ..ไม่อาจหลุดพ้นได้...เสียงขลุ่ยเจ้า

    จะไม่เป็นอิสระไม่เป็นหนึ่งเดียว..มันไม่ใช่เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำอีกต่อไป...ที่พ่อ

    เฒ่าไม่ยอมมีความรักจนถึงเฒ่าชราเช่นนี้..ก็เพราะต้องการรักษาเสียงขลุ่ยไร้

    ความทรงจำนี้ไว้ให้แก่ศิษย์ผู้สืบทอด...สิ้นเจ้าไปแล้วในโลกนี้จะไม่มีใครเป่าเสียง

    ขลุ่ยไร้ความทรงจำได้อีกต่อไป....."

    ....................โนรีฟังพ่อเฒ่าด้วยความตื้นตันใจ...ตามธรรมดาของปุถุชนย่อมอยากมี

    ความรักและคนรักเคียงข้างจนถึงเฒ่าชรา....เพื่อจะได้มีลูกหลานไว้คอยดูแลยามแก่เฒ่า..

    แต่เพราะพ่อเฒ่ารักที่จะหาคนสืบทอดเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำของเขา...เขาจึงเสียสละตน

    เองไม่ยอมมีลูกเมียไว้เป็นที่รักที่พึ่ง....เพื่อรักษาเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำนี้ไว้ให้กับศิษย์ก็

    คือ..โนรีผู้ซึ่งมาค้นพบยามตนเองเริ่มชรา.....

    ....................เหตุนี้โนรีจึงคิดจะรักษาเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำให้อยู่กับนางตลอด

    ไป..เพราะถือว่า..สิ่งที่พ่อเฒ่าค้นพบและสร้างขึ้น คือ ขลุ่ยฟ้าผ่าที่มูซาได้เล่าเรื่อง

    การกำเนิดของมันให้ฟัง และ เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำที่มูซาคิดค้นขึ้นและรักษา

    มันไว้จนเฒ่าชรา..ด้วยความรักในของสองสิ่ง..และด้วยความเหนื่อยยากจนมาถึง

    นาง..คือ "ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พ่อเฒ่ามอบให้แก่นางดุจญาติผู้ใหญ่ผู้มีเมตตา

    อารีต่อลูกหลาน".....

    .....................โนรีมองขลุ่ยที่อยู่ในมือพร้อมกับหยาดน้ำตาของเด็กน้อยเริ่ม

    คลอเบ้าพูดอย่างสะอื้นในลำคอ..

    ............................."แล้วพ่อเฒ่าจะเป่าขลุ่ยเลาใดอีก..ให้เหมือนกับเสียงขลุ่ย

    นี้"

    ............................."พ่อเฒ่าเลิกเป่าขลุ่ยอีกนับแต่นี้เป็นต้นไป..เพราะเสียง

    ขลุ่ยทั้งหลายแหล่มันดังก้องอยู่ในหัวใจของพ่อเฒ่าแล้ว....เจ้าจงจำไว้อีกอย่าง

    หนึ่ง ว่า "เจ้าคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ซึ่งคู่ปรปักษ์ของดวงจันทร์เพ็ญ คือ "ดาวราหู"

    หรือ "ดาวจันทคราส" หรือ "ดาวสุริยคราส" หรือ "บุรุษผู้สู้กับดวงจันทร์" หรือ

    "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"...ความหมายคือผู้ที่เกิดในฤกษ์ราหูอมดวงจันทร์หรือ

    ดวงอาทิตย์ดังกล่าวเรียกว่า "ดาวราหู"..เจ้าจงอย่าเข้าใกล้เขาหรือให้เขาเข้ามา

    ใกล้เจ้า....เพราะเขาจะข่มเจ้าจนเจ้าอับแสง....และเจ้าจะรู้สึกอึดอัดที่ธรรมชาติใน

    ตัวเจ้าผิดปกติ........เหมือนกับราหูอมจันทร์..........นั้นคือ"เขาจะเป็นคู่ปรปักษ์

    ของเจ้า" .......แต่เงื่อนไขความเป็น"ปรปักษ์ของกันและกันจะหมดลงไปได้.....

    โดย "บุรุษดาวราหูนั้นต้องรักเจ้าอย่างจริงใจเท่านั้น" ความเป็นคู่ปรปักษ์จะหมด

    ไป..ถึงแม้เขาจะเข้าใกล้เจ้า...เจ้าก็ไม่อับแสง.............และคืนใดที่เกิดจันทคราส

    หรือสุริยคราสเจ้าจงอย่าออกมาดูและห้ามเป่าขลุ่ย........เพราะวันนั้น คือ ......

    "วันเดือนดับ".....เจ้าอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป".....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • m118679.jpg
      m118679.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      42
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีเอ่ยพร้อมกับร่ำไห้....เมื่อรู้ว่า"วันนี้พ่อเฒ่าต้องจากไปแล้ว"

    เช่นเดียวกับโมลีที่ยืนร้องไห้น้ำตาอาบล้นมาที่แก้มทั้งสอง..และมองดูพ่อเฒ่าโดย

    ไม่พูดสิ่งใด....

    ............................"พ่อเฒ่าพวกหนูรักพ่อเฒ่า อยู่กับพวกหนูเถิด..พวกหนู

    สองคนจะดูแลพ่อเฒ่าเอง"

    ....................ทั้งโนรีและโมลีไม่เคยรู้จักคุณตาหรือพ่อเฒ่าของตนเองมาก่อนเลย..

    ด้วยท่านตายก่อนที่เด็กทั้งสองจะเกิด...เมื่อเด็กน้อยทั้งสองผู้อาภัพคุณตา..ได้มาอยู่ร่วม

    กับพ่อเฒ่ามูซาและคลุกคลีอยู่ทุกวัน...ทำให้รู้สึกถึงความรัก ความเมตตาอารีที่พ่อเฒ่ามี

    ต่อเด็กน้อยทั้งสอง...เด็กน้อยทั้งสองจึงรักและผูกพันกับพ่อเฒ่ามูซาที่เป็นทั้งอาจารย์และ

    คุณตาพร้อมกันในคราวเดียวกันมาก.....

    ....................พ่อเฒ่ามูซาเห็นอาการเด็กน้อยทั้งสองและฟังคำพูดของศิษย์ที่ตนเอง

    รักเหมือนลูกหลาน...ก็ให้สลดใจจนกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่....เพราะตนเองก็รักและผูกพันกับ

    เด็กน้อยทั้งสองไม่น้อย..จนรู้สึกว่า "ตนเองไม่สามารถกลับไปเป่าขลุ่ยเสียงขลุ่ยไร้ความ

    ทรงจำได้อีกแล้ว"....เพราะบัดนี้พ่อเฒ่าได้รับรู้ถึงความรัก...แม้มันจะไม่ใช่ความรักความ

    เสน่หาระหว่างหนุ่มสาว....แต่มันก็ทำให้เขามีความทรงจำ.......และเพิ่งรู้ประจักษ์

    ถึง"คุณค่าแห่งความรัก" ...ว่ามันมีค่าเกินกว่าเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำของเขา

    มากนัก.....เช่นนี้นี่เอง"ปุถุชนทั้งหลายจึงพยายามขวนขวายหาความรัก และทิ้ง

    สิ่งที่มีค่าอย่างอื่นไปเมื่อพบรัก"............มูซาสังหรณ์ใจว่า "เสียงขลุ่ยไร้ความ

    ทรงจำของเขาคงจะไม่มีผู้ใดได้ยินอีก..เมื่อสิ้นโนรี หรือ เมื่อโนรีมีความรัก...มันจะ

    เป็นเพียงตำนานเรื่องราวของการเป่าขลุ่ย "เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำเท่านั้น"

    ....................พ่อเฒ่าดึงร่างเด็กน้อยทั้งสองมากอดไว้แนบอก..และพูดอย่าง

    สะอื้นน้ำตาคลอเบ้า....

    ............................"พ่อเฒ่าก็รักเจ้าทั้งสองคน..แต่พ่อเฒ่าจะต้องกลับดิน

    แดนมลายู...พ่อเฒ่าจะจดจำพวกเจ้าทั้งสองไว้ตลอดกาล"..

    ....................พ่อเฒ่าละจากเด็กทั้งสองพร้อมกับจูงม้าเดินจากไปอย่างช้า ๆ

    ปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองสะอื้นร่ำไห้ด้วยความอาลัยอยู่ที่ศาลาภายในสวน..

    ....................โมลีร้องไห้วิ่งตามพ่อเฒ่ามาพอประมาณ......และตะโกนเรียก

    อย่างดัง...

    ....................................."พ่อเฒ่า".............................

    ....................สิ้นเสียงของโมลี ..ก็มีเสียงขลุ่ยพลิ้วแผ่วดังแว่วมาจากด้านหลัง

    ของโมลี...มันคือ..เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำที่โนรีเป่าขึ้นตามอารมณ์ของนางเพื่อ

    ส่งใจถึงพ่อเฒ่า....ให้เสียงขลุ่ยเป็นเพื่อนเดินทางไปกับพ่อเฒ่ายามพ่อเฒ่าเดินไป

    อย่างเดียวดายกับม้า.....มูซาได้ยินเสียงขลุ่ย..เขาหยุดชะงักเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม

    อย่างเศร้าสร้อย..แล้วก้าวเดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับไปมอง......

    ....................โนรีเป่าขลุ่ย..เสียงขลุ่ยของนางดังแทรกเข้าไปในใจของทุกคนที่

    ได้ยินเสียงมัน...มันไพเราะแต่เต็มไปด้วยความเศร้าสลด....จับความหมายทำนอง

    ของเสียงขลุ่ยได้ว่า....


    ......................."ลาก่อนพ่อเฒ่า...ผู้อารี...นักดนตรี...แสนดีน่าสงสาร.........

    ...............จากแดนมลายูร่อนเร่...มานาน...จึงพบพาน...ความรักอันแท้จริง....

    ..............พบรักและอุ้มชู...ด้วยเหนื่อยยาก...ต้องลำบาก...ใช้ชีวิตแสนเข็ญ....

    .............ใกล้จุดจบถึงวัยชรา...ช่างยากเย็น...ชีวิตเป็น...เช่นผู้ให้ตลอดกาล...

    ............ขอพ่อเฒ่าโชคดี...มีความสุข...อย่ามีทุกข์ให้หม่นหมอง...ตรอมใจหนา

    ..........ศิษย์ทั้งสอง...วอนพระให้เมตตา...ขอมูซาจงอยู่รอด...และปลอดภัย...."



    ....................เสียงขลุ่ยล่องลอยตามสายลม..ตามประคองมูซาไปไกล..จนถึง

    ที่พักที่ชานเมือง...

    ....................มูซายกสินค้าและขลุ่ยที่เหลือทั้งหมด..พร้อมกับเกวียนสองเล่มให้กับ

    ลูกน้องของเขาให้นำไปขายแบ่งปันกันไป...พร้อมกับแบ่งเงินที่เหลืออยู่บางส่วนให้...

    ....................คงเหลือเพียงเกวียนเล่มเดียวกับม้าสองตัวที่มูซาใช้เป็นพาหนะเดิน

    ทางกลับไปแดนมลายู.....และเมื่อเขาเดินทางถึงมลายูเขาได้เล่าขานถึงตำนานในคัมภัร์

    แดนมลายูที่บันทึกไว้เกี่ยวกับเรื่องของ"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ว่ามีการคำนวณการบังเกิดขึ้น

    ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่ชายฝั่งทะเลเหนือแดนมลายูในปี พ.ศ.2448 บนแผ่นดินสยามนั้น

    เป็นความจริง....และเขาได้พบกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญตามตำนานแล้ว...พร้อมกับเขาได้ถ่าย

    ทอดการเป่าขลุ่ย"เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ".....ที่ไม่มีใครเรียนรู้หรือเข้าใจมันได้..ให้กับ

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ.....

    ....................ชีวิตของเขาพบกับความสมหวังแล้ว..พร้อมกับมีความรักอัน

    บริสุทธิ์ของเด็กน้อยทั้งสองที่มอบให้แก่เขา...เขาจึงภูมิใจในชีวิตของเขามาก..

    มูซาไม่เคยกลับมายังแผ่นดินสยามอีกเลยนับจากวันที่เขาจากโนรีและโมลี..เขา

    ใช้ชีวิตอยู่มาได้อีกไม่นานก็จบชีวิตลงในคืนเดียวกันกับ........คืนที่โนรีเสียชีวิต

    ในคืนเดือนดับ..หรือ คืนจันทคราส.."ราหูอมจันทร์"

    ...................มูซาก็คือ "บุรุษหนึ่งเป็นดุจบรมครูการเป่าขลุ่ย"..ที่ถูกบันทึกไว้ใน

    ตอนต้นของเรื่องเล่าครับ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      310
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........ตอนที่ 46 เสียงขลุ่ยผู้หญิงจันทร์เพ็ญ........


    .....................คำพูดของพ่อเฒ่ามูซาที่เอ่ยกับบันตาแม่ของสองพี่น้องว่า......

    ....................."ข้าเชื่อว่าเสียงขลุ่ยที่นางเป่าขึ้น.....จะต้องไพเราะและงดงาม

    น่าฟังเกินกว่าข้ายิ่งนัก ......ด้วยประกายแห่งความเย็นในจิตใจของนาง..จะต้อง

    สร้างเพลงขลุ่ยที่เยือกเย็นให้ปรากฎขึ้นบนโลกใบนี้..เพื่อดับร้อนให้แก่ผู้คน" นั้น

    .....................บัดนี้..ได้ปรากฎเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว..เสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้นมี

    ความไพเราะและเยือกเย็นที่สะกดให้ผู้คนเมืองสุราษฎร์ธานี..ที่ได้ยินเสียงขลุ่ยนี้ต้องหยุด

    ฟังมันจนจบ...แม้ผู้อยู่ไกลจะได้ยินเพียงเสียงแว่ว..พลิ้วแผ่วมาตามสายลมพวกเขาก็ต้อง

    หยุดฟัง...เพราะยามใดที่พวกเขาได้ฟังเสียงขลุ่ยของโนรี..พวกเขาจะเกิดความเคลิบเคลิ้ม

    และสุขใจอย่างประหลาด...จนไม่อยากที่จะทำสิ่งใดต่อ..มันทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังเกิด

    ความเย็นจนรู้สึกว่า "พวกเขาไม่มีทุกข์ยามได้ฟังเสียงขลุ่ยนี้"

    ....................และยิ่งเสียงขลุ่ยที่ดังกังวานในคืนจันทร์เพ็ญด้วยแล้ว..จะทำให้

    ผู้คนถึงกับหลงใหลเคลิบเคลิ้มในเสียงขลุ่ยอย่างมาก....


    ....................สองปีผ่านไปอยู่ในปี พ.ศ.2462 ...โนรีอายุ 14 ปีเศษโมลี 9 ปี

    เศษ..สองพี่น้องยังคงทำงานเก็บผลไม้ในสวนเหมือนเช่นเคย...และโนรีได้เติบโต

    ขึ้นเข้าวัยสาวแรกรุ่น..นางมีความสวยงามเยือกเย็นลึกล้ำอย่างประหลาด..เรียกได้

    ว่า "ผู้คนที่ได้พบเห็นนางไม่ว่าชายหรือหญิง...เด็กหรือผู้เฒ่า..ต่างก็นึกรักและชื่น

    ชมตัวนาง...ด้วยอานุภาพแห่งผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...มองนางครั้งใดความทุกข์ร้อน

    ภายในใจดับสิ้น..เหมือนกับการได้มองจันทร์เพ็ญขึ้น 15 ค่ำบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

    ....."จันทร์เพ็ญที่ไม่เคยทำร้ายผู้ใด.....นอกจากส่องแสงเย็นสวยงามให้ความสุข

    แก่ชาวโลก"

    ....................โนรีและโมลีเมื่อโตขึ้น.......บันตาไม่ได้มาส่งผลไม้ในตลาดกับลูกทั้ง

    สอง.....โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองพี่น้อง...ที่ส่งผลไม้ให้แก่ป้าตันหยงที่ตลาดและ

    ซื้อข้าวของกลับมา....โนรีและโมลีมีเพื่อนที่เป็นลูกคนจีนที่ขายของในตลาด คือ "ตี๋เล็ก"

    และ "หมวยเล็ก" ตี๋เล็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโนรี...ส่วนหมวยเล็กเป็นน้องของตี๋เล็ก

    อายุรุ่นราวคราวเดียวกับโมลี.....

    .....................เณรน้อยวัดโนรีนรารามอายุได้ 16 ปี ได้สึกออกมา ..และเป็นผู้

    หนึ่งที่คอยช่วยเหลือครอบครัวของบันตาในการเก็บผลไม้ในสวน..ติดตามโนรีและ

    โมลีไปตลาดโดยช่วยขับเกวียน..ช่วยยกเข่งหรือกระบุงผลไม้ลงจากเกวียน..และ

    ยกข้าวของที่โนรีและโมลีซื้อมาใส่เกวียน...จนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดรู้สึกว่า "เณรที่

    ชื่อ"เณร"ที่สึกออกมาแอบชอบโนรี" ซึ่งความรู้สึกของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนั้น

    คือ ความจริง....แม้บันตาก็รู้สึกเช่นนั้นแต่นางไม่ได้ห้ามปรามหรือว่ากล่าวกระไร..

    ด้วยรู้จักลูกสาวของตนเองดีว่า....."โนรีนั้นรักนับถือพี่เณรอย่างพี่ชายที่คอยดูแล

    ปกป้องนาง..รวมทั้งโมลีก็คิดเช่นนี้"...ซึ่งเณรเองเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมา

    ตั้งแต่เด็ก..และเป็นศิษย์ของพ่อท่าน..อีกทั้งครอบครัวของบันตาก็เคยใส่บาตร

    ตอนที่ตนเองเป็นเณรมาบิณฑบาตกับพ่อท่าน...จึงมีกริยาวาจาเรียบร้อยและคิดใน

    สิ่งที่ดีงามต่อโนรีและครอบครัว...และถึงจะสึกจากเณรก็ยังอยู่ที่วัดโนรีนราราม

    และเป็นลูกศิษย์วัดคอยรับใช้พ่อท่านและพระในวัด.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เกวียนเล่มเล็กบรรทุกผลไม้นานาชนิดมุ่งสู่ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี..โดยมีพี่

    เณรขับเกวียน..โนรีและโมลีคอยจับประคองกระบุงหรือตาเข่งอยู่ข้างหลัง

    ....................โมลีได้ส่งเสียงร้องเตือนคนขับเกวียน

    ............................."พี่เณรขับช้า ๆ ส้มหล่นหมดแล้ว"

    ............................."น้องโมลีเอ๋ย...ทางของบ้านเรามันขรุขระแบบนี้ ..ขับช้าอย่างไรมันก็โยก

    ไปโยกมาอยู่ดี" พี่เณรโต้ตอบแกมบ่น..พร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    ............................."รู้แล้วน่า..แต่ถ้ามันช้ากว่านี้..มันก็หล่นไม่มาก"

    ............................."ได้ ได้ พี่เณรจะขับช้าให้ถึงตลาดตอยเพลเลย"

    .....................โนรีเห็นการโต้เถียงระหว่างพี่เณรกับน้องสาวก็อมยิ้มหัวเราะเบา ๆก่อนเอ่ยขึ้น

    .............................."ถ้าพี่เณรขับจนถึงเพลนะ..ป้าตันหยงได้บ่นพวกเรายับเยินแน่"

    .............................."ป้าตันหยงก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ..พอเห็นหน้าน้องโนรีแกก็ยิ้มแฉ่งแล้ว"

    .............................."ทำไมแกต้องยิ้มแฉ่ง" โมลีผู้น้องรู้อยู่แล้วแต่แกล้งถาม

    .............................."อ้าวก็แกชื่นชอบ..น้องโนรีผู้น่ารัก..ผู้เป่าเพลงขลุ่ยของพ่อเฒ่ามูซาได้

    ไพเราะอย่างจับใจนะซิ...เห็นน้องโนรีทีไรแกก็ยิ้มแฉ่งทุกที..นี่ถ้าแกมีลูกมีหลานคงขอน้องโนรีเอาไป

    เป็นลูกสะใภ้หรือหลานสะใภ้แล้ว...เพื่อแกจะได้นั่งดูนั่งฟังเสียงขลุ่ยโดยไม่ต้องทำอะไรนะสิ"

    ....................สองพี่น้องหัวเราะในคำอธิบายของพี่เณร..และโมลีจึงพูดกระเส้าขึ้น

    ..............................."แม้อธิบายเสียชัดเจนเลยนะพี่เณร..แล้วถ้าป้าตันหยงเกิดมีลูกหรือหลาน

    มาขอโนรีจริง ๆ แล้วพี่เณรไม่ร้องไห้กลับไปบวชใหม่หรือ"

    ....................โมลีพูดพร้อมกับมองหน้าพี่สาวอย่างทะเล้น..ทำให้โนรีขยิบตาและค้อนน้องสาว

    จอมเจ้าเล่ห์..แล้วจึงหยิบผลส้มในตะเข่งใบหนึ่งยัดใส่ปากโมลีก่อนที่จะอ้าปากเอ่ยอะไรต่อมา

    .....................คำพูดของโมลีทำให้พี่เณรหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ..แล้วหันหลังกลับมามองดูโมลีซึ่ง

    กำลังหยิบผลส้มในปากออกอยู่อย่างหน้าเป็น..พลางเอ่ยแกมหยอกขึ้น

    ................................"ตกลงวันนี้น้องโมลีจะแบกตะเข่งผลไม้ลงจากเกวียนคนเดียวใช่ไหม"

    ................................"ว้าย..ไม่เอาด้วยหรอก" โมลีตอบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าแกมทะเล้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      202
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี ร้านผลไม้ป้าตันหยง...ทันทีที่เสียงเกวียน

    มาจอดอยู่ข้างหลังร้าน...ป้าตันหยงหันกลับไปดูพลางเอ่ยขึ้นอย่างยินดี

    ............................"มาถึงกันแล้วหรือ..มาลงมาทั้งสามคนนั่นแหละมาลองชิมผล

    แอปเปิ้ลของพวกฝรั่งดูหน่อยเร็ว"

    .....................ป้าตันหยงเพิ่งได้ผลไม้แอปเปิ้ล.....ซึ่งถูกส่งเข้ามาขายในเมือง

    สยามได้ไม่นาน..ผลไม้ชนิดนี้ผ่านมาทางแดนมลายูแล้วส่งเข้าสู่สยาม..ป้าตันหยง

    เห็นว่า"เป็นของใหม่ในเมืองสุราษฎร์ธานี"..จึงคิดซื้อมาลองขาย..ซึ่งแกก็ขายจน

    เกือบหมด...แต่เพราะความมีน้ำใจ..แกต้องการฝากไปให้บันตาชิมรสชาดของมัน

    ด้วยจึงเก็บไว้ 5 ผลเพื่อให้โนรีนำไปฝากแม่.......แต่ผลแอปเปิ้ลที่แกเรียกผู้มากับ

    เกวียนทั้งสามมาชิมรส..เป็นผลที่แกปลอกเปลือกและใส่จานกำลังกินอยู่....

    ....................ทั้งสามยกมือไหว้ป้าตันหยงและลองหยิบผลแอปเปิ้ลที่ป้าตันหยง

    ผ่าเป็นชิ้น ๆ ไว้ในจานใส่ปากทันที...

    ............................"รสชาดเป็นยังไงบ้าง" ป้าตันหยงมองหน้าผู้ชิมทั้งสาม..

    และรอฟังคำตอบอย่างตื้นเต้น..

    ............................"หวานไม่มาก กรอบเคี้ยวง่าย อร่อยดีจ้ะป้า" โมลีเอ่ยตอบ

    เป็นคนแรกด้วยกินหมดก่อน..

    ............................"อืม..จริงอย่างน้องโมลีว่าเลย" พี่เณรสนับสนุนคำพูด

    โมลีหลังจากชิมรสเสร็จ

    ....................ป้าตันหยงหันมาทางโนรี แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    ............................"แล้วโนรีล่ะ..ชิมแล้วเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"

    ....................โนรีพยักหน้าก่อนตอบ

    ............................"หนูว่า มันหวานกรอบคล้ายมันแก้ว..แต่เนื้อมันนุ่มกว่า

    แล้วรสอมเปรี้ยวนิด ๆ..แต่ก็อร่อยและแปลกดีจ้ะป้า"

    ............................"นั่นนะสิ..ถึงมันจะค่อนข้างแพง..ป้าก็อยากลองมาขาย

    เพราะมันไม่มีให้ชิมได้ง่าย ๆ ในเมืองเรา..ป้าเก็บไว้ให้แม่ของหนู 5 ลูก..หนูเอาไป

    ฝากแม่ด้วย"

    .....................ป้าตันหยงพูดพร้อมกับส่งถุงแอปเปิ้ลให้โนรีรับไว้....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีและโมลีพากันเดินไปซื้อของในตลาดตามคำสั่งของบันตาผู้

    เป็นแม่....และหาซื้อของที่ตนเองชอบไปด้วย.....ปล่อยให้พี่เณรนั่งรออยู่ที่ร้านป้า

    ตันหยง...

    .....................ป้าตันหยงนึกถึงเรื่องข่าวลือที่มีคนเชื้อสายจีนในเมืองสุราษฎร์ธานีและ

    ใกล้เคียงได้มาติดต่อหาที่ฝั่งศพบรรพบุรุษ..และพบว่า"ที่วัดโนรีนรารามมีลักษณะภูมิประ

    เทศหรือฮวงจุ้ยหรือฮวงซุ้ยในการตั้งหลุมศพได้ดี..และติดต่อขอเช่าที่ดินป่าช้าวัดเพื่อฝัง

    ศพบรรพบุรุษของตน"..จึงได้ถามเอาความจริงจากเณร...

    ............................"เณร..มีข่าวเขาว่าคนจีนไปหาพ่อท่านที่วัดโนรีเพื่อขอเช่าที่ดิน

    ฝังศพหรือ"

    ............................"ใช่ป้า...เขาบอกกับพ่อท่านว่า คนจีนนับถือบรรพบุรุษของพวก

    เขามาก..ถ้าหาที่อยู่ให้กับศพที่จะฝังดี..จะทำให้ลูกหลานเจริญและอยู่เย็นเป็นสุข ค้าขาย

    ร่ำรวย และฮ้วงจุ้ยที่ฝังศพของวัดโนรีดีมาก...เขาบอกว่ามันเป็นที่เนินสูงใหญ่อยู่ด้านหลัง

    เหมือนภูเขาในลักษณะที่โอบล้อมมายังหลุมฝังศพ...เหมือนกับอ้อมกอดของเทพเจ้าโอบ

    รับบรรพบุรุษของเขาไว้..ศพที่ฝังอยู่ที่วัดโนรีเหมือนกับมีเทพคุ้มครองอารักขา" เณร

    อธิบายตามที่ได้ฟังมา....

    ............................"แล้วพ่อท่านว่าอย่างไร"

    ............................"พ่อท่านบอกว่า..ไม่ต้องเช่าหรือซื้อหรอก..วัดเป็นที่พึ่งพาของ

    คนทุกชาติทุกภาษา..ถ้าวัดจะทำให้ชาวจีนที่ทั้งมีชีวิตอยู่หรือสิ้นชีวิตไปแล้วมีความสุขสม

    หวังได้..ก็จงทำเถิด"

    ............................"แล้วคนจีนพวกนั้นว่าอย่างไร"

    ............................"ก็กราบขอบคุณพ่อท่านเป็นการใหญ่..และบอกว่าฮวงจุ้ยวัดนี้ดี

    จริง ๆ จึงทำให้พ่อท่านใจดี"

    ....................ป้าตันหยงหัวเราะหึ ๆ แล้วถามต่อ..

    ............................."แล้วตกลงพวกคนจีนเขาจะเอาศพมาฝังเมื่อไร"

    ............................."เมื่อสัปเหร่อและกรรมการวัดโนรีก่ออิฐทำกำแพงและขุดหลุม

    เสร็จนะสิป้า"

    ............................."หมายความว่าอย่างไร"

    ............................."โธ่ป้าตันหยง..ก็เขาจ้างพวกเราทำให้..แล้วเขากะย้ายหลุมศพ

    หลาย ๆหลุมที่ฝังอยู่ป่าช้าวัดในเมือง...มาฝังที่วัดโนรีทั้งหมดเลยรู้ไหม"

    ............................."หา" ป้าตันหยงอุทานอย่างตกใจ..ด้วยคิดว่าคนจีนมาเพื่อ

    ติดต่อขอฝังศพเป็นราย ๆ และเป็นศพเพิ่งตามใหม่..แต่ป้าตันหยงคิดผิดเมื่อฟังคำอธิบาย

    ของเณร....ป้าตันหยงจึงเอ่ยต่อ....

    ............................."นี่พวกคนจีนเขากะย้ายป่าช้าเหมือนย้ายบ้านเลยหรือ"

    ............................."ใช่แล้วป้า..พวกเขาเชื่อถือฮวงจุ้ยฝังศพคนตายมาก..นี่ถ้าข้า

    ช่วยน้องโนรีเอาของที่ซื้อไปส่งบ้านเสร็จ..ก็ต้องกลับไปช่วยกรรมการวัดกับสัปเหร่อทำที่

    ตั้งฮวงจุ้ยอีกหลายหลุม...เพราะพ่อท่านสั่งให้ช่วยกันหลาย ๆ คน จะได้เสร็จพร้อมกัน..

    แล้วพวกคนจีนเขาจะเดินขบวนแห่ขนย้ายตามฤกษ์ของเขาคราวเดียวกันเลย"...

    ............................."มันคงเป็นขบวนศพที่ยาวมาก" ป้าตันหยงนึกภาพที่น่าจะเป็น

    ............................."ข้าคำนวณดูแล้วมีไม่ต่ำกว่า 50 ศพ ที่ย้ายหลุมมาไว้ที่

    ป่าช้าวัดโนรี"......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................โนรีและโมลีเดินกลับมาที่เกวียนพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังที่

    แขนทั้งสองข้าง....และนำใส่เกวียน

    ......................พี่เณรกระโดดขึ้นบนเกวียนเข้าประจำที่คนขับ..และรอโนรีซึ่งกำลังรับ

    เงินจากป้าตันหยงเป็นค่าผลไม้เพื่อนำไปให้แม่ของตน...

    ......................ระหว่างทางบนเกวียนน้อย พี่เณรนั่งหน้า โนรีและโมลีนั่งขนาบซ้าย

    และขวา ..พี่เณรสังเกตเห็นสิ่งของที่สองพี่น้องซื้อมาแปลกไปกว่าที่แล้ว ๆ มา จึงเอ่ย

    ถามอย่างสงสัย...

    ............................."กระดาษขาวแผ่นใหญ่ จะเอาไปทำอะไรหรือ"

    ............................."ของหนูเอง..หนูจะเอาไปวาดภาพ" โมลีตอบขณะที่สายตา

    เพ่งมองทิวทัศน์ข้างทาง

    ............................."โอ้โฮ..เลิกเป่าขลุ่ยแข่งกับพี่สาวแล้วหรือ..ถึงมาเอาดีทาง

    วาดภาพ"

    ............................."อืม..แล้วมีอะไรหรือเปล่า" โมลีหันมามองหน้าพี่เณรแล้ว

    ตอบอย่างกวนใจคนฟัง

    ............................."ไม่มีหรอกจ้า...น้องคนเล็ก...แต่อยากถามว่าจะรีบกลับบ้าน

    กันหรือเปล่า"

    ............................."มีอะไรหรือพี่เณร" โนรีเอ่ยถามพร้อมกับมองหน้าอย่าง

    สงสัย

    ............................."เปล่าหรอก......พี่เณรกะว่าถ้าไม่รีบกลับจะพาไปเที่ยวที่

    ป่าช้าวัด"

    ............................."ป่าช้าวัด" โนรีและโมลีทวนสถานที่ที่เณรชักชวน

    ............................."ถูกต้อง"

    ............................."นี่พวกหนูยังไม่ตายนะ..ป่าช้าวัดโนรีมันเป็นที่เที่ยวหรือ" โมลี

    เอ่ยค้าน...

    ....................พี่เณรหัวร่อก่อนเอ่ยอธิบาย

    .............................."ก็มันเป็นที่เที่ยวนะสิ...และไปได้โดยที่ไม่ต้องตาย

    ก่อน..จะลองไปไหมล่ะ"

    ....................โนรีและโมลีคิดว่า "ที่ป่าช้าต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าดู..ไม่เช่น

    นั้นพี่เณรคงไม่เอ่ยชวน"..จึงตกลงที่จะแวะเข้าไปในป่าช้าวัดโนรีก่อน ...เพราะวัด

    โนรีเป็นทางผ่านไปบ้านอยู่แล้ว....
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เณรขับเกวียนผ่านศาลาวัดและโบสถ์ไปทางทิศตะวันตก..อันเป็น

    ที่ตั้งของป่าช้าและถึงป่าช้าราวสี่โมงเย็น...

    ....................สิ่งที่สองพี่น้องพบเห็นสถานที่ดังกล่าวถึงกับตกตะลึง..ด้วยเนินเขาสูง

    ภายในอ้อมโค้งของเนินซึ่งเป็นที่ฝังศพหรือเก็บศพโดยทั่วไป...บัดนี้มีผู้คนพลุกพล่านไป

    ทั่ว..มีทั้งคนจีนและสยาม...ต่างก็กำลังดูกำหนดหลุมศพ.......และขุดหลุมกันอย่างขมัก

    เขม้น....ส่วนที่ไม่ได้ขุดหลุมก็ก่ออิฐทำเป็นรูปกำแพงโค้งหน้าที่ตั้งหลุม...ซึ่งโนรีมอง

    พิจารณานับดูมีถึง 54 หลุม...และจัดตั้งหลุมเรียงกันเป็นแถวเป็นระเบียบอย่างงดงาม..

    และมีคนอีกพวกหนึ่ง..นำเอาต้นไม้ที่ออกดอก........และหญ้าอ่อนมาปลูกที่หน้ากำแพง

    ตั้งหลุมนั้น..

    .....................โนรีไม่เคยพบเห็นมาก่อน..จึงได้เอ่ยถามพี่เณรที่กำลังลงจากเกวียน

    เป็นคนแรก...

    ............................"พี่เณร..พวกเขากำลังทำอะไรน่ะ"

    ............................"ทำสิ่งสวยงามให้บรรพบุรุษของเขาที่เป็นคนจีน..ที่เขาเรียกว่า

    ฮวงจุ้ยหรือฮวงซุ้ยนั่นแหละ" เณรอธิบาย

    ............................"หมายความว่าอย่างไรล่ะจ๊ะ"

    ............................"คนจีนเขามาขอพ่อท่านทำฮวงจุ้ย..เขาจะย้ายศพจากวันใน

    เมืองมาไว้ที่ป่าช้าวัดเรา"

    ....................โนรีพิจารณามองไปที่หลุมที่กำลังขุดอยู่จนทั่วแล้วเอ่ยถาม

    ............................"ย้ายมาไว้ทุกหลุมที่ขุดนี่นะหรือจ๊ะ"

    ............................"ใช่แล้ว" เณรตอบในขณะที่เห็นพ่อท่านเดินลงมาจากเนิน

    เขา..ผ่านหลุมศพที่กำลังขุด..จึงได้พาสองพี่น้องเดินไปหาพ่อท่าน...

    .....................โนรีและโมลียกมือไหว้..พ่อท่านที่มีสีหน้าเคร่งเครียด.....ขณะกำลัง

    เดินลงมา....แล้วเอ่ยขึ้น..

    ............................"มาเที่ยวดูกันหรือหนูสองคน"

    ............................"จ้ะพ่อท่าน" โนรีเอ่ยรับ

    ............................"คนทำงานของเขาและของเรามันมีน้อย..จะเร่งให้เสร็จทันฤกษ์

    ย้ายของซินแส(หมอดูชาวจีน)เขา..ไม่รู้จะทันหรือเปล่า" พ่อท่านเอ่ยกับโนรีและโมลี

    ............................"แล้วฤกษ์ย้ายที่ซินแสให้มา..วันไหนหรือจ๊ะพ่อท่าน" โนรีถาม

    ด้วยอยากรู้

    ............................"อีก 5 วัน ตรงกับวันพระขึ้น 8 ค่ำ..พวกเขาบอกเลข 8 เหมือน

    เลขโป๊ยเซียน...พวกเขาจะขุดหลุมเอาโลงศพขึ้นมาในตอนแสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรกมา

    ที่หลุมศพ...แล้วเอาขึ้นรถลาก ......แห่เป็นขบวนจากวัดในเมืองมาพร้อมกันทั้งหมดคราว

    เดียว 54 โลงศพ"

    .....................คำแจงของพ่อท่าน...ทำให้ผู้ฟังทั้งสามทึ่ง...และหันไปมองดูการก่อ

    สร้างที่ยังเหลืออีกมาก...แต่เมื่อคำนวณดูระยะเวลาที่จะต้องทำให้เสร็จเพียง 4 วันไม่นับ

    วันที่ 5 คือวันแห่....ทำให้เห็นถึงความหนักใจของคนทำ...ทั้งสามจึงเข้าใจในความเคร่ง

    เครียดของพ่อท่าน......

    .....................เณรเริ่มรู้สึกสะดุ้งอยู่ในใจเมื่อรู้เวลาใกล้เข้ามา...และตนเองแทนที่จะ

    อยู่ช่วยคนในวัดอีกแรง..แต่กลับไปช่วยโนรี..จึงเอ่ยขึ้นอย่างหน้าเจี๊ยม ๆ ด้วยรู้สึกผิด..

    ............................"น้องโนรีกับน้องโมลี..เดินดูชมไปก่อนนะ..เบื่อเมื่อไรก็กลับ

    บ้านไปก่อนไม่ต้องรอพี่เณรนะจ๊ะ...เดี๋ยวพี่เณรจะไปช่วยพวกเขาก่อน" เณรพูดพร้อมกับ

    จะเดินหนีแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักแกมดุของพ่อท่าน

    ............................"เดี๋ยวก่อนเณร..พาน้องไปเที่ยวดูให้ทั่ว....แล้วพาไปส่ง

    บ้านด้วย..แล้วระหว่างทางถ้าเจอเพื่อนของเณร หรือญาติโยมที่ว่าง ๆ ก็ชวนเขา

    มาช่วยทำฮวงจุ้ยในวันพรุ่งนี้ให้คนจีนเขาหน่อย..คนเยอะมันจะได้เสร็จทันเวลา"

    ............................"ได้ขอรับพ่อท่าน" เณรตอบรับพระอาจารย์ซึ่งเป็นญาติ

    ผู้ใหญ่ของตนด้วยความเกรงกลัว..

    .....................พ่อท่านสั่งเสร็จก็เดินเลี่ยงมุ่งหน้าไปที่โบสถ์ เพื่อเตรียมนำพระ

    ลูกวัดทำวัตรสวดมนต์ตอนเย็น....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ri.jpg
      ri.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...ตอนที่ 47 พลังแห่งผู้หญิงจันทร์เพ็ญในวันแห่ศพ...


    ....................วันแห่ศพแทบจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในแผ่นดินสยาม..ที่

    บันทึกไว้ที่วัดโนรีนรารามในปี พ.ศ.2462 ว่ามีการย้ายศพของชาวจีนจากป่าช้า

    วัดในเมืองสุราษฎร์ธานีมาไว้ที่ป่าช้าวัดโนรีนรารามเป็นจำนวนมากถึง 54 ศพ...

    ....................ฮวงจุ้ยที่เก็บศพถูกทำขึ้นอย่างเร่งด่วน..เพื่อให้ทันฤกษ์ของซินแสที่

    กำหนดไว้สำหรับการย้ายศพ...การก่อสร้างเสร็จเอาในตอนเย็นก่อนวันแห่หนึ่งวัน..ซึ่งทั้ง

    โนรีและโมลีต่างก็มาช่วยทำ...ร่วมกับคนงานในวัด และคนที่พี่เณรไปบอกกล่าวขอร้องให้

    มาช่วยพ่อท่านด้วย..ด้วยเห็นความสำคัญ และจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยพ่อท่าน..ที่รับ

    ปากกับทางซินแสและชาวจีนเอาไว้..ทำให้ฮวงจุ้ยเสร็จเรียบร้อยทันการณ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s_sohu01.jpg
      s_sohu01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.1 KB
      เปิดดู:
      27
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ศพบรรพชนชาวจีนบนแผ่นดินสยาม..พวกเขา คือ ผู้ที่ลำบากยาก

    จนข้นแค้นมาแต่เดิม..ทำให้ต้องจากแผ่นดินจีนแผ่นดินแม่ของพวกเขามาทำงานรับจ้างหา

    เงินบนแผ่นดินสยาม..และกินอย่างอดอยากเพื่อเก็บหอมรอมลิดเงินเอามาทำทุนในการค้า

    ขายอยู่หลายปีดีดับ...อันเป็นคุณธรรมของความเพียรขยันขันแข็ง..จนสร้างฐานะร่ำ

    รวยให้ลูกหลานของเขาได้สุขสบาย..และรับช่วงการค้าขายต่ออันเป็นอาชีพที่

    สุจริตและมั่นคง...บุญคุณของพวกเขาจึงถือว่า "ยิ่งใหญ่สำหรับลูกหลาน"...เพราะ

    อดทนต่อความลำบากตรากตรำ..และ เพียรพยายามเหนื่อยกายเหนื่อยใจ..เพื่อความสุข

    สบายของลูกหลาน....แต่ชีวิตช่างอาภัพยิ่งนัก..ที่ไม่มีโอกาสให้แผ่นดินจีนซึ่งเป็นแผ่น

    ดินแม่ได้กลบฝังร่างของตนตอนสิ้นลมหายใจเอาไว้..

    ....................ชีวิตของพวกเขามีหรือที่ไม่อยากจะกลับไปอยู่ภายในอ้อมกอด

    ของแผ่นดินแม่ของพวกเขา...พวกเขาจากแผ่นดินแม่ของเขา...เหมือนลาจากชั่ว

    นิรันดร์.............

    ....................เพื่อตอบแทนบุญคุณและความดีของพวกเขา..ลูกหลานจึงไม่คิด

    ที่จะทำลายร่างหรือศพของพวกเขา...ทุกคนต่างทะนุถนอมร่างนั้นถึงแม้ว่า....มัน

    จะเป็นร่างที่น่ารังเกลียดเมื่อมันแปรสภาพเน่าเปื่อยผุพัง...แต่มันกลับเป็นร่างที่รัก

    และเคารพยิ่งของพวกเขา.......พวกเขาจึงจัดหาทำเลที่ตั้งศพให้ร่มเย็นเหมือนกับ

    บ้าน.....

    ....................ยามใดที่พวกเขาคิดถึง "ผู้ที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้แผ่นดิน"..พวก

    เขาก็จะมากราบไหว้พูดคุย ประดุจหนึ่งว่า "ผู้ที่อยู่ใต้หลุมนั้นยังมีชิวิตอยู่และรับรู้

    ในคำพูดของพวกเขา"

    ....................ป่าช้าวัดโนรีนรารามบนเนินที่อยู่ด้านหน้าของเนินสูงใหญ่คล้ายภูเขา

    ขนาดย่อม ..ได้ถูกจัดพื้นดินเป็นชั้น ๆ อันเป็นที่ตั้งฮวงจุ้ยหลุมศพ..ชั้นละ 10 ศพ..มีคน

    งานประจำเตรียมพร้อมอยู่ทุกหลุมทั้ง 54 หลุมเพื่อเตรียมยกโลงศพลงหลุมและกลบฝัง

    ดิน...

    .....................ชาวบ้านใกล้เรือนเคียง......ของวัดโนรีต่างก็มาร่วมงานในพิธีฝังศพ

    บรรพบุรุษของชาวจีนกันมากมาย..แต่พิธีนี้หาได้เป็นพิธีที่มีความเศร้าสลดไม่...แต่มันคือ

    "พิธีที่เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มของคนจีนและสยาม"...โดยเฉพาะคนจีนนั้น

    ถือว่า ..."ลูกหลานของเขากระทำในสิ่งที่เป็นการกตัญญูต่อบรรพบุรุษของเขาเป็น

    อย่างยิ่ง"....

    ....................ฮวงจุ้ยหลุมศพทั้ง 54 หลุมนั้น..ทำขึ้นด้วยความยากลำบากและ

    สิ้นเปลืองเงินทองไม่ใช่น้อย..แต่มันก็สำเร็จลุล่วงไปได้....

    ....................บันตาและบุตรทั้งสองได้มาร่วมงาน โดยรออยู่ที่ป่าช้าวัดโนรีร่วม

    กับชาวบ้านอื่น ๆ ที่พร้อมใจกันแต่งชุดสีขาวให้เหมือนกับคนจีน...เพราะเป็นการ

    ร่วมงานกับชาวจีน...และงานนี้แปลกตรงที่ "ทุกคนที่มาร่วมงานเพื่อแสดงความ

    ยินดี หาได้มาเพื่อแสดงความเสียใจเช่นงานฝังศพทั่วไป"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2011
  20. Armkae

    Armkae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ความรู้จริงค่ะเว็บนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...