เที่ยวเมืองบังบด บนถนนนวมินทร์

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย ~:*พนมวัน*:~, 21 กรกฎาคม 2011.

  1. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    [​IMG]


    เวลา 10 วัน ด้วยฐานะอาคันตุกะจร ภายในสันติอโศก ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนรู้วิถีชาวอโศก ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะเรียกว่า เมืองบังบดหรือลับแลแห่งโลกจริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหมู่ชนเหล่านี้เลย เพราะความที่ตีค่าพวกเขาตามสิ่งที่สายตามองเห็นว่า ช่างเป็นกลุ่มที่แปลกแยกแตกต่างจากสังคมโลก ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม กิริยาท่าทาง ไปจนถึงการกินอยู่



    [​IMG]


    แน่นอนว่าเรื่องที่คนนอกพอจะรู้กันคือ ชาวอโศก กินอาหารมังสวิรัติ ไม่สวมรองเท้ากินข้าวมื้อเดียว ยกเว้นคนชราและเด็ก แต่งตัวปอนๆ ด้วยชุดสีน้ำเงินชั่วนาตาปี ถือศีล 5 เคร่งครัด บางส่วนถือศีล 8 นอกจากนี้ ยังมีนักบวชชายหญิงเป็นของตนเองซึ่งดูจะมีอัตลักษณ์ที่ต่างออกไปจากพระสงฆ์ทั้งหลายในบางประการ อย่างน้อยๆ ก็เรื่องสีของเครื่องนุ่งห่ม


    [​IMG]


    โครงสร้างหลักที่ยึดโยงชุมชนแห่งนี้นอกจากปัญญาเชิงพุทธ ที่ไม่เอาสาระกับการรดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก เครื่องรางของขลังหวย แชร์ เหล้า บุหรี่ ละครชิงรักหักสวาท เกมโชว์ และสารพัดมายาทางโลกแล้วก็ยังมีระบบที่พวกเขาเรียกกันว่า สาธารณโภคี เพื่อให้เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนข้าพเจ้าจึงขอยกถ้อยคำที่ไม่กำกวมมาจากเนื้อความตามหนังสือ “ เราคิดอะไร “ ฉบับที่ 182 กันยายน 2548 ว่า...


    [​IMG]


    “ ในทุกชุมชนชาวอโศกทุกวันนี้ สมบัติทุกอย่างเป็นของกลาง ทุกคนช่วยกันทำแบ่งปันกินใช้ไม่มีอดอยากปากแห้ง ไม่มีใครผลาญเพราะหมู่บ้าน ปลอดอบายมุขทุกชนิด ทุกคนถูกล้างสมองให้ขยันกล้าให้ ไม่กล้าเอามาก เพราะไม่หนาพอ เหมือนคนใหญ่คนโตในวงการไหนๆ ใครจะเข้าใหม่เข้าเก่า รายได้เท่าเทียมกัน เพราะ กระจาย รายได้ ไม่มีใครเหมือน ต่างมีสิทธิ์กินใช้เหมือนได้อยู่ในครอบครัวใหญ่ทั้งชุมชน…

    ระบบสาธารณโภคี เป็นวิถีแก้จน ให้คนไม่ตกงาน ทั้งประกันอนาคตชีวิตเบ็ดเสร็จอีกต่างหากโดยเฉพาะ หลักประกัน สาธารณโภคี นับวันยิ่งงอกงาม ด้วยความสามารถของขบวนการกลุ่มอาริยชน รุ่นต่อรุ่น สืบทอดเจตนารมณ์กันไป ไม่ขาดสาย “


    [​IMG]



    รวมความว่า ผู้คนที่นี่ทำงานต่างๆ โดยไม่รับค่าจ้างค่าแรงแต่อาศัยกินใช้สาธารณูปโภคส่วนกลาง ไม่มีการสั่งสมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว จำพวกโทรทัศน์ พัดลม ฯ ส่วนชีวิตในวันหนึ่งๆ สำหรับชาวอโศกนั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการตื่นตี3 เพื่อร่วมทำวัตรเช้า ต่อด้วยฟังเทศน์ฟังธรรม จากสมณะ (นักบวชชาย) โดยมีสิกขมาตุ (นักบวชหญิง) ร่วมฟังด้วยที่ศาลา จนถึงตี 5 ก่อนที่สมณะและสิกขมาตุท่านจะออกบิณฑบาตร


    [​IMG]


    จบการทำวัตรเช้า ญาติโยมจะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่จากนั้นราวๆ 7 นาฬิกา เมื่อทั้งสมณะและสิกขมาตุ ท่านกลับจากบิณฑบาตรแล้ว ชาวอโศกที่ไม่ติดภารกิจอื่นก็จะมาช่วยกันเตรียมอาหารถวายท่าน

    ซึ่งก่อนท่านจะฉันอาหารในเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง ตัวแทนสมณะ 1 รูป จะแสดงธรรมก่อน ตั้งแต่เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเป็นต้นมาซึ่งรอบนี้ เด็กๆ ของโรงเรียนสัมมาสิกขา อันเป็นโรงเรียนวิถีพุทธของชุมชนจะร่วมฟังธรรมด้วย จากนั้นจึงเป็นเวลาอาหาร แล้วค่อยแยกย้ายกันไปทำภารกิจประจำวัน


    [​IMG]


    การบวชเป็นสมณะและสิกขมาตุของชาวอโศก เป็นเรื่องน่าสนใจเพราะมีขั้นตอนที่เข้มงวด โดยในส่วนของสมณะนั้น ต้องเริ่มจากมาทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ก่อน เป็นการสำรวจสภาวะภายในภายในของตัวเองว่ารับได้กับแนวนี้ไหม จากนั้นต้องปรับพฤติกรรมมาถือศีล 5อย่างเข้มข้นและกินอาหารปลอดเนื้อสัตว์ทุกประเภทแล้วค่อยเข้ามาพักค้างในนามของอาคันตุกะจร

    ก่อนจะเลื่อนมาเป็นอาคันตุกะประจำหากอยู่เกิน 4 เดือน ต่อด้วยการแจ้งความประสงค์ว่าต้องการบวช ซึ่งต่อมาจะอยู่ในฐานะอารามิก หรือคนวัดซึ่งจะอยู่ในสายตาของหมู่สมณะ สิกขมาตุ รวมถึงชาวอโศกทุกคน เมื่อเป็นคนวัดได้ 1 ปีก็จะเลื่อนมาเป็นประ ใช้เวลาในขั้นนี้ 4เดือนเป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับความประพฤติ

    หากแน่วแน่ว่าต้องการบวชจะต้องแจ้งกับหมู่สมณะ ซึ่งต้องพิจารณาอีกด้านการปฏิบัติ แล้วจึงเลื่อนขึ้นเป็นนาคมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องสละออกจากทรัพย์สิน หรือพันธะทางโลกทั้งหมด แล้วมาใช้ชีวิตเป็นนาค 4 เดือนขึ้นไปก่อนเลื่อนเป็นสามเณร

    และท้ายสุด จะมีการโหวตในหมู่สมณะว่าสามเณรผู้นี้สมควรจะเป็นสมณะหรือไม่ ครั้นเป็นสมณะแล้วระยะแรก ต้องไปใช้ชีวิตในที่กันดารคือชุมชนสันติอโศกซึ่งอยู่บนดอยทางภาคเหนือ อีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี แล้วจึงเวียนไปตามอโศกแห่งอื่นๆในลักษณะไม่ประจำ


    [​IMG]


    ทางด้านการบวชเป็นสิกขมาตุ ก็มีความยากลำบากไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ยังมีกฏด้วยว่าต้องมีอัตราส่วนของสมณะบวชใหม่ 4 รูป จึงจะบวชสิกขมาตุได้ 1 รูป

    สำหรับวัตรปฏิบัติของนักบวชชาวอโศกนั้น ได้แก่ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันวันละมื้อเดียวเว้นสิ่งเสพติดทั้งหลาย เช่น บุหรี่ ฯ ไม่จำวัดหรือนอนกลางวันตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นรูปที่อาพาธ ไม่สวมรองเท้า ไม่ใช้ย่าม ไม่ใช้ร่มไม่ครอบครองเงินทอง เช็ค ธนาณัติ ไม่รดน้ำมนต์ ไม่เจิม ไม่เสกเป่า ไม่ทำพระเครื่องพระบูชา ไม่เจิม ไม่เสกเป่า ไม่ทำของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ ไม่บูชาด้วยไฟ ด้วยควันด้วยน้ำเป็นสื่อ ไม่รับเงินค่าเทศน์ ค่าสวด


    [​IMG]


    อีกประเด็นที่ข้าพเจ้าเคยสงสัยและคนคุ้นเคยก็รู้สึกคล้ายกันก็คือ เรื่องชาวอโศกกับการเมืองซึ่งมีคำอธิบายที่ข้าพเจ้าตัดตอนมาจากข้อเขียนของท่านสมณะรูปหนึ่ง ในหนังสือดอกหญ้าฉบับที่ 145 ว่า...

    “ หลายปีผ่านมาคนไทยมักได้เห็นกลุ่มนักปฏิบัติธรรมชาวอโศก ทั้งนักบวชและญาติโยมออกมาเคลื่อนไหวท้วงติงความไร้จริยธรรมของนักธุรกิจ นักเลือกตั้ง แม้ของรัฐบาลบ่อยครั้ง ถามว่าเกินบทบาทนักปฏิบัติธรรมของพุทธหรือไม่ศาสนากับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกันจริงหรือ ?

    ประเด็นที่ต้องพินิจก็คือการปฏิบัติธรรม บทบาทนักปฏิบัติธรรม และการเมือง จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ในวงการปฏิบัติธรรมทุกสาย สรุปตรงกันว่า ปฏิบัติธรรมคือ ลดโทสะ โลภะ ราคะหรือกิเลส เพื่อจิตวิญญาณพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ดังนั้นสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่อยู่ป่า อยู่วัด หรืออยู่หน้าทำเนียบ แต่อยู่ที่การเป็นอยู่และสิ่งที่ทำไป กิเลสได้ลดลงหรือไม่

    แต่แม้จะอยู่ที่ไหนเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบผัสสะแล้วมีสติรู้ สังวรณ์ศีลของตนอยู่ ใส่ใจสงบจิตอย่างรู้จักพินิจไตรลักษณ์ กระทั่งโทสะ โลภะ ราคะ หรือกิเลสลดลงอย่างนี้ใครว่า...ไม่ปฏิบัติธรรม ?

    พระพุทธองค์ตรัสไว้...ดูกรภิกษุทั้งหลายเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งบ่วงทิพย์ บ่วงมนุษยื แม้พวกเธอก้พ้นแล้วดังนั้นจงจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อเกื้อกูลสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ เพื่ออนุเคราะห์โลก...บอกชัดว่าผู้ทำประโยชน์ให้สังคมโลกได้ เพราะตนไม่ติดอยู่ในบ่วง เป็นผู้มาถูกในทางธรรมเพราะว่างแล้วในงานของตน จึงไปช่วยงานคนเหล่าอื่นได้ พราะไม่เห็นแก่ตน จึงไปทำประโยชน์เพื่อโลกหล้าฟ้าดินได้

    คำว่าจาริกไปพระพุทธองค์คงไม่หมายถึงตะวันตก ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แต่หากผู้มีธรรมจาริกไปสู่วงการเมืองการค้า การศึกษา การเกษตร หรือทุกสาขาอาชีพ เพื่อให้อาชีพเหล่านั้น มีสัมมา มีจริยธรรมขึ้นมาอย่างนี้ย่อมเป็นประโยชน์สุขแก่โลกอย่างแท้จริง อย่างนี้ใครว่าไม่ควรจะเป็นบทบาทของนักปฏิบัติธรรม ?

    ด้วยโลกกว้างใหญ่มนุษย์ทำหน้าที่ต่างกันไป พอนานวัน คนก็ติดอยู่ในกรอบขอบแคบของตน ชาวนามุ่งทำนาพ่อค้ามุ่งค้าขาย คนหนุ่มสาวมุ่งสร้างฐานะฯ ตรงนี้ก่อให้เกิดโลกแยกส่วน ขาดความเป็นภราดรขาดสำนึกรู้และรับผิดชอบต่ององค์รวมไปทีละน้อย

    จากนั้นสรุปกันเป็นสามัญว่า พระอยู่ส่วนพระ นิสิตนักศึกษาก้เรียนให้จบ พ่อค้า ชาวนาก็ทำมาหากิน ฐานะใดๆก็ยุ่งกับการเมืองเพียงหย่อนบัตรเลือกตั้งก็พอ แล้วปล่อยบ้านเมืองให้อยู่ในมือนักเลือกตั้งเขาทำหน้าที่กันแล้วแปะป้ายว่าประชาธิปไตย “


    [​IMG]


    แม้ทั่วไป รูปแบบการใช้ชีวิตของอโศก จะย้อนยุค เหมือนนาฬิกาที่นี่เดินช้ากว่าข้างนอกราวๆ70 – 80 ปี แต่เด็กๆ สัมมาสิกขา ก็ได้เรียนรู้อย่างบูรณาการ ไม่ต่างจากโรงเรียนแนวChild Center ทั้งหลาย โดยมีอาจารย์ทั้งสมณะและฆราวาสคอยถ่ายทอดองค์ความรู้


    [​IMG]


    สำหรับคนสูงอายุของที่นี่มองผ่านๆ อาจคิดว่าเป็นป้าลุงบ้านๆ วันๆ ก็เด็ดผัก หักฟืน กวาดใบไม้กันไป แต่พอเข้าไปคุยด้วยป้าๆ ลุงๆ เหล่านี้แหละ ที่มีถ้อยคำธรรมะสะดุดคิด ทำเอาข้าพเจ้าหัวทิ่มหัวตำเลยทีเดียวโดยส่วนใหญ่ พูดคล้ายๆ กันว่า

    การแสวงหาความร่ำรวยไม่ช่วยอะไร มีแต่เป็นภาระให้หนักจิตหนักใจไม่เบาสบาย เหมือนการวางสมบัติพัสสถาน แล้วหันมาปฏิบัติธรรม เพราะชีวิตที่เกิดมาแล้วถ้าหายใจทิ้งไปวันๆโดยไม่พัฒนาสภาวะภายในให้เจริญงอกงาม ถือว่าไม่มีสาระแก่นสารอะไรต้องกลับไปมือเปล่า

    และการปฏิบัติธรรมของชาวอโศก คือทำงานให้กับส่วนรวม ลดละความเห็นแก่ตัว เมื่อเจอสิ่งกระทบของจริง ก็ฝึกตามรู้อารมณ์แล้วปล่อยวางอย่างไม่กดข่ม ก่อนจะอภัยให้ลงปลงให้เป็น ซึ่งหลายคน ที่ข้าพเจ้าได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยนั้น ก็เคยใช้ชีวิตอย่างชาวโลกธรรมดาสามัญมาก่อน แต่พอมาสู่วิถีอโศกแล้ว ก็ยั่งยืนยาวนานกันไปคนละเป็นสิบปี หากจะนับจากพศ. แรกก่อตั้งชุมชน ในปี 2519
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2011
  2. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    เรื่องการเว้นอาหารจากเนื้อสัตว์ สมณะท่านบอกค่ะว่า ในศีลที่ให้ญาติธรรมรับไป ข้อ 1 บอกชัดว่าห้ามฆ่าสัตว์ ซึ่งจริงอยู่ ที่เดี๋ยวนี้คนทำอาหารมักจะไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่ไปซื้อที่เค้าฆ่าแล้วมาปรุง นั่นก็คือ 1 ในวงจรที่ส่งเสริมให้เกิดการเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกค่ะ

    10 เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์



    1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯ

    2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

    3. ข้อเสื่อม
    เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

    4. ก้าวร้าวรุนแรง
    คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

    5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

    6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

    7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

    8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงและยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

    9. สมองไบร์ท เมื่อร่างกายสดใสระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้นสมองไบท์ขึ้น

    10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผักผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

    (จาก นสพ. มติชน)




    [​IMG]

    ก๋วยเตี๋ยวหลอด

    เครื่องปรุง

    1. ก๋วยเตี๋ยวแผ่น 1 กก. 6. หอมใหญ่ 1/2 กก.

    2. ถั่วงอก 1/2 กก. 7. กระเทียม 300 กรัม

    3. เต้าหู้ขาว 4 แผ่น 8. พริกไทย 1 ช้อนชา

    4. เห็ดฟาง 1/2 กก 9. น้ำตาลปี้บ 1 ช้อนโต๊ะ

    5. เห็ดหูหนู 200 กรัม 10. เกลือ 1 ช้อนชา

    11. ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ 13. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ

    12. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 14. ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ

    15. หัวไชโป๊วสับ 200 กรัม

    วิธีทำ

    1. โขลกรากผักชี กระเทียม(100กรัม) พริกไทยให้ละเอียด

    2. เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ตัดโคน ล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นเล็กหรือสับหยาบๆ ก็ได้

    3. เต้าหู้ขาวหั่นเป็นชิ้นยาว หอมใหญ่หั่นตามยาวแล้วขาวงอีกครั้ง

    4. รากผักชี กระเทียมพริกไทยที่โขลกไว้ ผัดกับน้ำมันพืชจนเหลืองใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลปี้บ ผงพะโล้ เกลือ ผัดจนหอมดีแล้ว จึงใส่เต้าหู้ขาว เห็ดฟางเห็ดหูหนู หอมใหญ่ ผัดให้เข้ากัน อย่าให้มีน้ำในมาก ชิมรสตามต้องการ

    5. สับกระเทียมแล้วเจียวพอเหลือง เตรียมไว้

    6. ล้างถั่วงอกให้สะอาดจัดใส่จานเตรียมไว้

    7. ตักเครื่องที่ผัดวางลงบนแผ่นก๋วยเตี๋ยวพับหัวท้ายแล้วห่อม้วนให้มีลักษณะกลมยาว ขนาดเล็กใหญ่ตามชอบ แล้วนำไปนึ่ง จนร้อนจัด ใส่จานใช้ถั่วงอกรองก้นจาน (หรือจะใช้ผักกาดหอมก็ได้)

    หมายเหตุ ซีอิ้วดำที่ใช้ราด ผสมกับน้ำสุกเล็กน้อยเพื่อเจือจาง ใส่น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าแดง เหลือง แกะกระเทียม เอาเปลือกออก คั่วพอสุก (เพื่อไม่ให้เหม็นเขียว) นำมาโขลก ให้ละเอียด ใส่เกลือเล็กน้อย ผสมน้ำส้มเป็นเครื่องปรุง

    [​IMG]


    [​IMG]

    แกงเขียวหวาน เจ

    วัตถุดิบ

    1 ข่า 1 ท่อน

    2 ตะไคร้ 5 ต้น

    3 กระชาย 8 ต้น

    4 รากผักชี 8 ราก

    5 พริกขี้หนูเขียว 3 ช้อนโต๊ะ

    6 กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ

    7 มะกรูด 1 ลูก

    8 กะทิชาวเกาะ 1ส่วน 2 กิโลกรัม

    9 เห็ดนางฟ้า 1 ขีด

    10 เห็ดฟาง 1 ขีด

    11 โปรตีน 1 ขีด

    12 พริกชี้ฟ้าแดง, เหลือง อย่าง 2 เม็ด

    13 โหระพา

    14 น้ำตาลปี๊บ

    15 เกลือ - ซีอิ้ว -ซอส

    16 มะเขือเปราะ หรือฟัก

    17 ปลากรายเจ หรือโปรตีนเกษตร

    วิธีทำ

    - นำส่วนผสมข้อ 1 - 6 ปั่นให้เป็นพริกแกง

    - นำกะทิหรือน้ำเต้าหู้ ตั้งให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงลงไปเคี่ยว

    - พอหอมใส่ปลากรายจกับโปรตีนเกษตร

    - ปรุงรสดว้ยน้ำตาลปี้บ เกลือ ซอส ชิมรสหวานมันเค็ม ใส่มะเขือเปราะลงไป

    - ใส่เห็ดทั้งสองลงไป

    - พอเดือดยกลง ใส่โหระพาและพริกซี้ฟ้าซอย

    [​IMG]

    [​IMG]

    ทอดมันสามสหาย

    เครื่องปรุง

    1.ถัวฝักยาว 10 ฝัก

    2.แครอท 2 หัว

    3.ข้าวโพดใหญ่ 5 ฝัก

    4.แป้งทอดกรอบสำเร็จรูป 500 กรัม

    5.น้ำมันพืช 1000 กรัม

    6.น้ำพริกเครื่องแกงเผ็ด 50 กรัม

    น้ำจิ้ม

    1.น้ำตาลทราย 300 กรัม

    2.น้ำส้มสายชู 100 กรัม

    3.เกลือป่น 50 กรัม

    4.พริกชี้ฟ้าแดง 5 เม็ด

    วิธีทำ

    นำถั่วฝักยาวมาหั่นหนาประมาณ1 ซม. แครอทหั่นเป็นลูกเตำ ข้าวโพดฝานเป็นเม็ดใหญ่ นำมารวมกัน ผสมแป้ง,เกลือป่นเล็กน้อย แล้วจึงนำไปทอดไฟกลางจนกรอบได้ที่ สีออกสีทองๆ ใกระชอนตักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

    วิธีทำน้ำจิ้ม

    น้ำส้มสายชู พริกชี้ฟ้าแดง เกลือป่นเล็กน้อย รวมกันใส่ในเครื่องป่นให้พริกละเอียดแล้วจึงนำไปเทรวมกับน้ำตาลทราย ใส่หม้อเคี่ยวไฟอ่อนๆ ให้มีลักษณะ ข้นๆ รสหวาน เปรี้ยวเค็มตาม

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขนมปังหน้าหมู (เจ)

    เครื่องปรุง

    1.ขนมปังปอนด์ 1 แถว

    2.โปรตีนป่น,เห็ดฟาง 2 ขีด

    3.แป้งโกกิ 3 ช้อนโต๊ะ

    4.รากผักชี 7 ราก

    5.กระเทียม 7 กลีบ

    6.พริกไทย 10 เม็ด

    7.น้ำมันพืช 2 ถ้วย

    วิธีทำ

    โปรตีนป่น เห็ดฟาง สับให้ละเอียด แป้งโกกิใส่น้ำพอสมควร โขลกพริกไทย รากผักชี กระเทียมให้ละเอียด ผสมให้เข้ากัน กะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันร้อนปานกลาง เอาส่วนผสม ตักใส่แผ่น ขนมปัง ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กะทะ ทอดพอเหลือง ตักลงใส่ตะแกรง

    อาจาด

    ผสมส่วนเหมือนกับแกงกะหรี่

    [​IMG]


    [​IMG]

    น้ำพริกอ่อง

    1.มะเขือเทศ 1/2 กิโลกรัม

    2.เต้าหู้แผ่น 1/2 กิโลกรัม

    3.เห็ดฟางบาน 1/2 กิโลกรัม

    4.พริกแห้ง 7 เม็ด

    5.หอมแดง 7 หัว

    6.กระเทียม 5 หัว

    7.รากผักชี 7 ราก

    8.ซีอิ๊ว 1-2 ช้อนโต๊ะ

    9.เกลือ 1 ช้อน

    10.น้ำมันพืชพอประมาณเพื่อผัดน้ำพริก

    วิธีทำ

    มะเขือเทศ (สีดา) หั่นผ่า 4หรือ 6 เห็ดฟางต้มปั่นละเอียด เต้าหู้ขยี้ให้ละเอียด
    พริกแห้งแช่น้ำ บีบเอาน้ำออก โขรกหอม กระเทียม รากผักชี ให้ละเอียด เอามะเขือเทศ โขลกทีหลังบุบๆ กะทะตั้งไฟใส่น้ำมัน นำเครื่องปรุง ที่เตรียมไว้ ลงผัดให้หอม
    ใส่น้ำปีบ ซีอิ๊ว เกลือ ชิมรสตามต้องการ

    [​IMG]


    [​IMG]

    ลาบอีสาน

    เครื่องปรุง

    1. เต้าหู้แข็ง 3 ก้อน

    2. โชเย็กซ์ 200 กรัม

    3. เห็ดฟาง 300 กรัม

    4. เห็ดหูหนู 200 กรัม

    5. แผ่นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ 1 แผ่น

    6. ข้าวคั่ว 100 กรัม

    7. ซีอิ้วขาว 5 ช้อนโต๊ะ

    8. พริกขี้หนูป่น 100 กรัม

    9. น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ

    10. ผักชีฝรั่ง 1 มัด

    11. ต้นหอม 5 ต้น

    ผักรับประทานกับลาบ กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใบสะระแหน่ ใบโหระพา

    วิธีทำ

    - นำเต้าหู้แข็งมาบี้ให้ละเอียดคล้ายหมูสับ นำลงไปต้มพอให้เดือด ประมาณ 15 นาที ใช้กระชอนตักพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

    - นำเห็ดฟางสับพอหยาบๆลงไปผัดให้สุก เห็ดหูหนูหั่นประมาณครึ่งนิ้ว ลงไปผัดตามเห็ดฟาง หั่นแผ่นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กๆ ลวก

    - นำเครื่องปรุงทั้งหมด คลุกเคล้าให้เข้ากัน เติมซีอิ้ว น้ำมะนาว พริกขี้หนูป่นแล้วจึงใส่ผักชีฝรั่งต้นหอมที่หั่นไว้ เด็ดใบสะระแหน่ โรยหน้ารับประทานได้

    [​IMG]

    [​IMG]

    ห่อหมกมังสวิรัติ

    เครื่องปรุง

    1. หัวกะทิ,น้ำกะทิ 1000 กรัม

    2. เห็ดฟาง 500 กรัม

    3. น้ำพริกแกงเผ็ด 300 กรัม

    4. ใบโหระพา 1 มัด

    5. ใบยอ 3 มัด

    6. ใบมะกรูด 10 ใบ

    6. พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด

    6. โชเย็กช์ 200 กรัม

    6. แป้งสาลี 100 กรัม

    6. เกลือป่น 100 กรัม

    วิธีทำ

    - นำหัวกะทิ เห็ดฟาง น้ำพริกแกงเผ็ด แป้งสาลี โชเย็กช์มาผสมกันใช้ไม้พายคนให้เข้ากันใส่เกลือป่นเล็กน้อยให้มีรสกลมกล่อม

    - . จากนั้นใส่ใบยอที่หั่นเป็นเส้นประมาณ 1 นิ้วลวกน้ำพักให้สะเด็ดน้ำ

    - ใบโหระพา ใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอยเตรียมไว้ จากนั้นจึงนำมาตักใส่กระทงที่เตรียมไว้ เคี่ยวหัวกะทิ ไว้หยอดหน้าห่อหมก

    - นำไปนึ่งไฟกลางประมาณ 20 นาทีพอสุกดีแล้วจึงเอาหัวกะทิหยอดหน้าโรยด้วยพริกชี้ฟ้าแดง ใบมะกรูดหั่นฝอย ให้สวยงาม เสร็จขั้นตอนการปรุง

    [​IMG]

    [​IMG]


    ต้มยำเห็ดมะพร้าวอ่อน น้ำข้น

    เครื่องปรุง

    1. เห็ดฟาง 500 กรัม

    2. มะพร้าวอ่อน 1 ลูก

    3. ตะไคร้ 5 ต้น

    4. ข่า 1 แง่ง

    5. ใบมะกรูด 1 ก้าน

    - มะนาวประมาณ 3 ลูก

    - พริกขี้หนู 25 เม็ด

    - ผักชีฝรั่ง 1 มัด

    - นมสด 1 กระป๋อง

    - น้ำพริกเผา 1 ขีด

    - แครอท 1 หัว

    - มะเขือเทศ 2 ลูก

    วิธีทำ

    - ปอกมะพร้าวแยกน้ำไปต้ม ใชช้อนตักเอาชิ้นขนาดพอประมาณ

    - จากนั้นใส่เห็ดลงต้ม ใส่ข่า ตะไคร้ แครอทตามลงไป

    - พอเดือดจึงใส่นมสด น้ำพริกเผา เกลือป่นเล้กน้อย ซีอิ้วขาว น้ำมะนาว พริกขี้หนู ให้ได้รสเปรียวเค็มเผ็ดก่อนปิดไฟ แล้วจึงใส่ผักชีฝรั่ง ตามลงไป เสร็จขั้นตอนการปรุง


    [​IMG]

    [​IMG]


    ผัดพริกขิงถั่ว

    เครื่องปรุง

    1. ถั่วฝักยาว 500 กรัม

    2. โปรตีนเกษตร 500 กรัม

    3. น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม

    4. น้ำพริกแกงเผ็ด 200 กรัม

    5. เกลือ 100 กรัม

    6. ใบมะกรูด 1 ก้าน

    7. น้ำมันพืช 1000 กรัม

    วิธีทำ

    - นำโปรตีนเกษตรลงทอดน้ำมันไฟร้อนปานกลาง ทอดให้กรอบออกสีเหลืองทอง ใช้กระชอนตักพักไว้ ให้สะเด็ดน้ำมัน

    - จากนั้นจึงหั่นถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว ลงทอดในน้ำมันร้อนๆ ให้มีสีเขียวรีบตักขึ้นพักไว้ ให้สะเด็ดน้ำมัน

    - ต่อจากนั้น จึงใส่น้ำมันลงในกะทะประมาณ 100 กรัม นำพริกเครื่องแกงเผ็ดลงไป ผัดไฟอ่อนๆให้หอม ใส่เกลือ พอประมาณ ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป เคี่ยวสักครู่ จนเครื่องปรุง ละลายดีแล้ว จึงนำโปรตีนเกษตร ลงไปคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ให้ได้รสเค็ม หวาน เผ็ด เล็กน้อย

    - นำใบมะกรูดหั่นฝอยเป็นเส้นละเอียด ลงไปคลุกในขณะที่ยังร้อนอยู่ เสร็จขั้นตอนการปรุง

    [​IMG]

    [​IMG]


    ยำไก่ใส่ตะไคร้ (เจ)

    ส่วนผสม

    1. ตะไคร้สดซอยให้ละเอียด

    2. ไก่เจ

    3. มะนาว3 ลูก หอมใหญ่ซอยใส่มะนาวเล็กน้อย

    4.พริกสดหั่นใส่มะนาวเล็กน้อย

    5. ใบสะระแหน่

    วิธีทำ ไก่เจ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆทอดกรอบ นำเครื่องปรุงทั้งหมด คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยด้วยสะระแหน่

    [​IMG]

    [​IMG]


    ซุปเยื่อไผ่

    เครื่องปรุง

    1. รากผักชี รากคึ่นช่าย อย่างละ 3 ต้น ล้างแล้วทุบ

    2. แตงกวา 3 ลูกตัดหัวท้ายผ่า 4

    3. พริกไทยป่น 2 ช้อนชา

    4. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ

    5. เกลือป่น 1 ช้อนชา

    6. แป้งท้าว 2 ขีดละลายน้ำ

    7. น้ำมันงา 5 ช้อนโต๊ะ

    8. ซีอิ้ว 2 ช้อนชา

    9. ซ้อสภูเขาทอง 5 ช้อนชา

    10. เห็ดนางฟ้าฉีกเป็นเส้นๆ 2 ขีด

    11. เห็ดฟางบานหรือตูมก็ได้

    12. เห็ดหูหนูขาว (ลวกน้ำร้อน) 2 ดอก

    13. เยื่อไผ่

    14. เห็ดหอม 1 ขีด

    15. น้ำเปล่า 1 ถ้วย

    วิธีทำเยื่อไผ่

    - นำเยื่อไผ่แยกหัว-ตัวแล้วตัดแบ่ง 2-3 แล้วแต่ขนาดแยกหัวแช่น้ำอุ่นแล้วรีบล้างขึ้นส่วนตัวขยำเกลือแล้วล้างทิ้ง ลวกน้ำร้อนแล้วพักไว้

    - นำน้ำเปล่าเทลงหม้อตามด้วยรากผักชี คึ่นฉ่ายและแตงกวา ต้มให้เดือดพอประมาณแล้วช้อนขึ้นนำน้ำแช่เห็ดหอม

    - ใส่เกลือ น้ำตาล พริกไทย ผัดให้เข้ากัน พอเดือดแล้วใส่แป้งท้าวละลายน้ำค่อยๆคนให้เข้ากัน

    - เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า มาผัดใส่ซอส ซีอิ้ว พริกไทย ผัดให้เข้ากัน พอเห็ดสุกแล้วเทลงหม้อ ตามด้วยเห็ดหอมเห็ดหูหนู พอเดือด ใส่น้ำมันงา

    - ตอนเสิร์ฟโรยพริกไทย ผักชี จิกโช่ว

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขนมจีนน้ำยา

    เครื่องปรุง

    1. มะพร้าว 1 กก.

    2. เห็ดนางฟ้า 1 ขีด

    3. เห็ดฟาง 4 ขีด

    4. พริกแห้งเม็ดใหญ่ 1 ขีด

    5. หอมแดง 1/4 ถ้วยตวง

    6. กระชาย 4 ขีด

    7. กระเทียมกลีบเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ

    8. เกลือ1/2 ช้อนชา

    9. ซีอิ้ว 1/4 ถ้วยตวง

    วิธีทำ

    1. กระชายล้างให้สะอาดหอมแดงหั่น ต้มกับหางกะทิพักไว้ให้เย็นแล้วมาปั่นให้ละเอียด

    2. พริกแห้งกรีดกลางเอาเม็ดออกให้หมด ล้างน้ำแช่น้ำไว้สักครู่แล้วนำไปต้มให้นิ่มพอปั่นได้แล้วปั่นให้ละเอียด (อย่าใส่น้ำเยอะ)

    3. เอาหางกะทิที่ปั่นใส่กระชายตั้งไฟกลาง

    4. ตำเห็ดฟางและเห็ดนางฟ้าให้หยาบ กะทิเดือดแล้วใส่เห็ดที่ตำ

    5. รอให้เดือดอีกทีแล้วใส่พริกปั่นแล้วปรุงรสตามชอบ

    6. ใส่หัวกะทิรอให้เดือดแล้วเสร็จ (ใช้เห็ดนางฟ้าผสมเคี่ยว เวลาเคี่ยวจะปุยน่ารับประทาน)

    [​IMG]

    [​IMG]

    เต้าหู้ลูกเขย

    เครื่องปรุง

    1. เต้าหู้ขาวกลาง 6 ก้อน (ผ่าก้อนละ 6 ชิ้น)

    2. หอมแดงเจียว 1/4 ถ้วยตวง

    3. กระเทียมเจียว 1/4 ถ้วยตวง

    4. น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วยตวง

    5. น้ำมะขามเปียก 1/3 ถ้วยตวง

    6. ซีอิ้ว 1 ถ้วยตวง

    7. เกลือนิดหน่อย

    8. น้ำมันพืช

    9. พริกแห้งทอดไว้โรยหน้า

    วิธีทำ

    1. ทอดเต้าหู้พอเหลืองพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

    2. น้ำตาลปี๊บผสมซีอิ้วเคี่ยวพอเริ่มเหนียวเติมเกลือและน้ำมะขามชิมรสตามชอบ

    3. นำเต้าหู้ที่ทอดแล้วมาคลุก ใส่หอมแดง กระเทียมเจียวและพริกแห้งทอดโรยหน้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    ปอเปี๊ยะทอด

    เครื่องปรุง

    1. กะหล่ำปลี แครอท มันแกว

    1. ใบห่อปอเปี๊ยะ 3. แป้งข้าวจ้าว 4. ซีอิ้วขาว 5. น้ำส้ม

    6. น้ำตาลทราย 7. เกลือ 8. พริก,พริกไทย 9. หัวไชเท้า 1 หัวใส่น้ำจิ้ม

    วิธีทำ

    1. ซอยกะหล่ำปลี-แครอท-มันแกว

    1. ผัดกะหล่ำปลีพอสลบ (พักไว้) ผัดแครอทให้สุกใส่เกลือพริกไทยปิดไฟก่อนใส่มันแกวกะหล่ำปลีที่พักไว้

    1. ห่อใส่ใบปอเปี๊ยะ (นำแป้งข้าวจ้าวละลายน้ำข้นๆ) ห่อแล้วเอาแป้งปะปลายห่อแล้วม้วนห่อให้สวยนำลงทอด

    วิธีทำน้ำจิ้ม

    น้ำตาลทราย 1/2 กก น้ำส้มสายชูครึ่งขวด เกลือพอประมาณ คอยชิม พอเริ่มเหนียวใส่พริกตำลงไป หัวไชเท้าซอยใส่เล็กน้อย ตักเสิร์ฟคู่กับ ปอเปี๊ยะทอด

    [​IMG]

    [​IMG]

    มะระยัดไส้

    เครื่องปรุง

    1. มะระ 3 ลูก

    2. เห็ดหอม 1 ขีด

    3. แป้งหมี่กึน 1/2 กก.

    4. เห็ดฟาง 2 ขีด

    5. ผักชีมีรากด้วย 1 ขีด

    6. กระเทียมใหญ่ 5 ขีด

    7. พริกไทย 20 เม็ด

    8. เกลือ 1 ช้อนชา

    9. ซีอิ้วขาวพอประมาณ

    วิธีทำ

    1. เตรียมมะระล้างด้วยน้ำเกลือ (แช่ไว้ 2 นาที) พักไว้

    2. เตรียมเห็ดฟางให้สะอาดดีแล้วต้มให้สุก

    3. โขลกกระเทียมพริกไทยรากผักชี เสร็จแล้วเอามารวมกันกับแป้งหมี่กึน เคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงยัดใส่มะระ เอาไม้จิ้มฟันกลัดไว้ไม่ให้หลุด เวลาต้ม

    (น้ำที่เหลือ จากต้มเห็ดฟาง เอามาต้มให้เดือด ทำน้ำซุปต่อไป)

    พอเดือดแล้วก็เผยอปากหม้อไว้ จนกว่า มะระจะนุ่ม จึงตักเสิร์ฟ

    [​IMG]

    [​IMG]


    แหนมเห็ด

    เครื่องปรุง

    1. เห็ดนางฟ้า 1 กก. 2. แป้งหมี่กึน 1/2 กก.

    3. กระเทียม 1/2 กก. 4. เต้าหู้ยี้อย่างแดง 5-7 ก้อน

    5. เส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ ตามใจชอบ 6. ข้าวสุก 1 ถ้วยข้าวต้ม

    วิธีทำ

    1. ฉีกเห็ดนางฟ้าเป็นเส้นใส่รังถึงไม่หนาเกินไป โรยด้วยแป้งหมี่กึนบางๆจนทั่วอีกหนึ่งชั้นแล้วใส่เห็ดทับลงไป เป็นชั้นๆ โรยแป้ง แล้วนำไปนึ่งให้สุก พอสุกดี แล้วเทลง ใส่ภาชนะพักไว้

    2. โขลกกระเทียมตามด้วยข้าวสุกพักไว้

    3. โขลกเต้าหู้ยี้ให้ละเอียดเนียนดีแล้ว นำส่วนผสมทั้งหมดมารวมกันเค้ลาให้เข้ากันปรุงรสด้วยซีอิ้วก่อนแล้วจึงห่อ อย่าลืมใส่พริกสด ก่อนผนึกห่อ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผัดวุ้นเส้น

    เครื่องปรุง

    1. เห็ดหอม

    2. หอมใหญ่

    3. เห็ดฟาง

    4. วุ้นเส้นตราสิงห์โตเขียว

    5. ข้าวโพดอ่อน

    6. มะเขือเทศ

    7. ซีอิ้วขาว

    8. น้ำมันพืช

    วิธีทำ

    ใส่น้ำมันพืชเจียวกระเทียมกับเห็ดหอมใส่ข้าวโพดอ่อน เห็ดฟาง หอมใหญ่ มะเขือเทศเติมซีอิ้ว ผัดจนได้รสดีแล้วใส่วุ้นเส้น คลุกเคล้า ให้เข้ากัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    แกงเผ็ดเป็ดย่าง (เจ)

    เครื่องปรุง

    1. หมี่กึนสำเร็จหั่นชิ้นพอคำ 2 ถ้วย

    2. มะพร้าขูด 500 กรัม

    3. มะเขือเทศสีดาผ่าครึ่ง 7 ลูก

    4. โหระพาเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย

    5. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ

    6. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

    7. ซีอิ้วขาว 2-3 ช้อนโต๊ะ

    เครื่องแกง

    1. พริกแห้งแกะเม็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด

    2. พริกไทย 5 เม็ด ข่าหั่นละเอียด 3 แว่น

    3. ตะไคร้หั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

    4. ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1/2 ช้อนชา

    5. รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

    6. ลูกผักชีคั่ว 1/2 ช้อนโต๊ะ

    7. ยี่หร่าคั่ว 1/2 ช้อนชา กะปิเจ 1 ช้อนชา

    โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด

    วิธีทำ

    ต้มหมี่กึงกับน้ำและซีอิ้วดำให้เป็นสีคล้ายเป็ดย่าง ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

    คั้นมะพร้าว ให้ได้หัวกะทิ 1 ถ้วย หางกะทิ 2 ถ้วย

    ใส่หัวกะทิลงในกระทะเคี่ยวให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงผัดให้หอม ใส่ใบมะกรูด หมี่กึงที่ต้มแล้ว หางกะทิ ปรุงด้วยน้ำตาล ซีอิ้วขาว ใส่มะเขือเทศ มะเขือพวง คนให้ทั่ว ใส่ใบโหระพา คนพอทั่ว ปิดไฟ

    [​IMG]

    แกงเผ็ดเป็ดย่าง
    สูตร ๒

    เครื่องปรุง

    1. เป็ดเจหั่นชิ้นพอคำ 2 ถ้วย

    2. กะทิชาวเกาะ 1/2 กก.

    3. มะเขือเทศสีดาลูกลูกเล็ก 7 ลูก

    4. โหระพาเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย

    5. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ

    6. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

    7. ซีอิ้วขาว 2-3 ช้อนโต๊ะ

    8. สับปะรดลูกเล็ก 1 ลูกหรือลิ้นจี่กระป๋อง 1 กระป๋อง

    9. มะเขือพวง 1/4 ถ้วย

    เครื่องแกง

    1. พริกแห้งแกะเม็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด

    2. พริกไทย 5 เม็ด ข่าหั่นละเอียด 3 แว่น

    3. ตะไคร้หั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

    4. ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1/2 ช้อนชา

    5. รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

    6. ลูกผักชีคั่ว 1/2 ช้อนโต๊ะ

    7. ยี่หร่าคั่ว 1/2 ช้อนชา กะปิเจ 1 ช้อนชา

    โขลกเครื่องแกงทุกอย่างรวมกันให้ละเอียด

    วิธีทำ

    1. ทอดเป็ดเจให้เหลือง

    2. สับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอคำ

    3. แบ่งกะทิครึ่งหนึ่งใส่ลงในกระทะ เคี่ยวพอแตกมัน ใส่เครื่องแกง ผัดให้หอม ใส่ใบมะกรูด เป็ดเจที่ทอดแล้ว ใส่กะทิที่เหลือ เติมน้ำให้ท่วมเป็ดทอด

    4. ใส่สับปะรดปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ้วขาวใส่มะเขือเทศ มะเขือพวง คนให้ทั่ว ใส่โหระพา คนพอทั่วปิดไฟ

    [​IMG]

    www.asoke.info/veget/V001.html







     
  3. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    มนุษย์ควรกินพืช หรือกินเนื้อสัตว์

    [​IMG]


    นักสัตวศาสตร์รู้ว่า อาหารของสัตว์แต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับ โครงสร้างทางสรีระ การทำงานของอวัยวะต่างๆ และระบบการย่อยอาหารซึ่งจะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นักวิชาการได้แบ่งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังออกเป็น 30 กลุ่ม ตามประเภทอาหาร คือ กลุ่มกินเนื้อ กลุ่มกินหญ้าและใบไม้ และกลุ่มกินผลไม้

    ฟอน ลินเน่อ (Von Linne) นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ชาวสวีเดน กล่าวว่า


    "มองจากโครงสร้างของมนุษย์ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเปรียบเทียบกับของสัตว์อื่นแล้ว จะเห็นได้ว่า ผักและผลไม้จะต้องเป็นอาหารตามธรรมชาติของมนุษย์เป็นแน่"


    [​IMG]


    เราน่าจะมาลองพิจารณาดูว่า ระบบโครงสร้างทางสรีระของคน เทียบเคียงได้กับสัตว์กลุ่มใด มากน้อยเพียงใด ตามตารางต่อไปนี้ คลิ๊กที่ลิงค์ด้านล่าง

    www.geocities.com/mangsavirat/anatomy.htm



    [​IMG]


    เมื่อมนุษย์เริ่มมีศาสนา ศาสดาทั้งหลายรวมทั้งนักปราชญ์ใหญ่ๆ ของโลก จะสนับสนุนอาหารมังสวิรัติ และสั่งสอนให้งดเว้นอาหารเนื้อสัตว์ ชาวยุโรปมักจะยกนามพระเจ้าของศาสนาคริสต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ

    ปรัชญาเมธี ชาวกรีกโบราณ รวมทั้งของจีนด้วย เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความสามารถในการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ให้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ด้วยอาหารที่มนุษย์ควรกิน เช่น ศาสนาพุทธ

    พระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามสาวกไม่ให้บริโภคเนื้อสัตว์ เพราะเป็นการทำลายเมล็ดพันธ์แห่งเมตตาธรรม ดังที่มีพุทธพจน์ปรากฏใน ลังกาวตาลสูตร ว่า

    "บัณฑิตทั้งหลาย เรากำลังประกาศว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนอยู่ ดังนี้แล้วจะกล่าวไปอย่างไรได้ ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์"

    ศาสนาคริสต์

    ตัวอย่างจากคัมภีร์ไบเบิ้ล เล่มที่ 1 ปฐมกาล 1: 29 (Genesis 1: 29)

    "พระเจ้าตรัสว่า เราให้พืชที่มีเมล็ดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน และต้นไม้ทุกชนิด ที่มีเมล็ดในผลของมันแก่เจ้า เป็นอาหารของเจ้า" จะเห็นได้ว่าไม่มีการเอ่ยถึงเนื้อสัตว์เลย

    ตัวอย่างจากเอกสารโบราณ อายุประมาณ 2,000 ปี ที่เพิ่งค้นพบซึ่งเปรียบเสมือนภาคพันธสัญญาใหม่ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล (The Essene-gospel of peace) ยืนยันคำตรัสของพระเยซูเจ้าว่า

    "และเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย ในร่างกายคนจะกลายเป็นหลุมฝังศพของเขาเอง เพราะเราขอบอกเธออย่างจริงจังว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ผู้นั้นย่อมฆ่าตนเองด้วย และผู้ใดกินเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าผู้นั้นกำลังกินร่างแห่งความตาย"


    [​IMG]

    ศาสนาอิสลาม

    พระผู้พยากรณ์รุ่นแรกๆ ของอิสลามองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหลานของพระโมฮัมหมัด ได้แนะนำสาวกระดับสูงหลายท่านว่า

    "อย่าทำให้กระเพาะของเธอ กลายเป็นหลุมฝังศพของสัตว์ทั้งหลาย"

    ศาสนาฮินดู

    ชาวฮินดูในประเทศอินเดียโบราณ ห้ามการกินเนื้อสัตว์

    จะเห็นได้ว่าในหลายยุคสมัยในอดีต นักปราชญ์และผู้รู้ทั้งหลาย ได้ถือเอาทฤษฎีมังสวิรัติ เป็นทางปฏิบัติชอบอย่างหนึ่ง และได้ชักจูงให้คนอื่นกระทำตามด้วย

    ที่มา: www.geocities.com/mangsavirat/religion.htm


    [​IMG]



    โปรตีน

    แหล่งโปรตีนที่แท้จริงนั้นมาจากพืช ในพืชสีเขียว จะสร้างโปรตีนโดยการดูดซึมสารประกอบไนโตรเจนและแร่ธาตุอื่น ๆจากดิน โดยทางราก และคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยทางใบ


    โดยพืชจะสามารถสร้างกรดอะมิโนได้ 20 ชนิด ซึ่งประกอบด้วยคาร์บอน ออกซิเจน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และบางชนิดมีธาตุกำมะถัน

    ส่วนสัตว์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนได้ครบทั้ง 20 ชนิด กรดอะมิโนที่สัตว์สร้างไม่ได้มี 8 ชนิด เรียกว่า กรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID)

    ฉะนั้น สัตว์จะต้องรับกรดอะมิโนเหล่านี้โดยกินโปรตีนจากพืชโดยตรง หรือรับโดยทางอ้อมด้วยการกินสัตว์ที่กินพืชแล้ว โปรตีนเหล่านั้น จึงถูกย่อยไปเป็นกรดอะมิโนในร่างกายสัตว์ เนื่องจากโครงสร้างสรีระของคนนั้นเป็นพวกที่กินพืชผักผลไม้และธัญพืช


    ฉะนั้น การรับกรดอะมิโนจำเป็นจากการบริโภคพืช จึงเป็นวิธีที่เหมาะสม เพราะสามารถรับสารประกอบเหล่านั้นได้โดยตรง จากขบวนการย่อยและเผาผลาญในร่างกายระดับเดียวแต่ถ้ารับจากการกินเนื้อสัตว์จะต้องผ่านขบวนการย่อยและเผาผลาญหลายขั้นตอน

    นอกจากนั้นยังได้สารประกอบส่วนอื่นที่เกินความต้องการของร่างกายอีกมากมาย เช่น ไขมันอิ่มตัว และสารเคมีอื่น ๆ จากเนื้อสัตว์


    มีความเชื่อผิด ๆเกี่ยวกับการบริโภคอาหารว่า อาหารจากเนื้อสัตว์จะมีกรดอะมิโนจำเป็นมากกว่าอาหารจากพืช พบว่าใน Gelatin ที่ผลิตจากเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนที่ต่ำมาก

    ในขณะที่ถั่วเหลือง (SOYA BEAN) นั้น ให้สารอาหารโปรตีนในร่างกายมากและคุณภาพสูง แต่ในการบริโภคอาหารจากพืชนั้น ควรจะบริโภคทั้งผลิตภัณฑ์จากข้าว (WHEAS AND BEANS)

    ซึ่งจะให้ส่วนผสมของโปรตีนอย่างดี และพอเพียงสำหรับกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิด

    โปรดพิจารณาดูตารางเปรียบเทียบจากตาราง ตามลิงค์นี้

    www.agalico.com/board/showthread.php?t=476



    [​IMG]



    มังสวิรัติ

    "มังสวิรัติ" เป็นคำภาษาบาลี มาจากคำว่า "มังสะ" แปลว่าเนื้อสัตว์ และ "วิรัติ" แปลว่า งดเว้น, เลิก ดังนั้นมังสวิรัติคืองดเว้นการ กินเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติคืออาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่พืชผัก สำหรับไข่และนม บางคนก็กิน บางคนก็ไม่

    "เจ" เป็นคำมาจากภาษาจีน แปลว่า ไม่มีของคาว เป็นมังสวิรัติประเภทหนึ่ง นอกจากไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ยังไม่กินผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หอม หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย และใบยาสูบ ซึ่งเชื่อว่าทำให้จิตใจไม่สงบ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม

    คำว่าเจ นิยมเขียนด้วยอักษรสีแดงบนพื้นเหลือง ถือว่าสีแดงเป็นสีมงคล และสีเหลืองเป็นสีของผู้ปฏิบัติธรรม

    ทุกปีจะมีเทศกาลกินเจในช่วงวันขึ้น 1 - 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ประมาณ 2 สัปดาห์หลังออกพรรษา หรือช่วงวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม เช่นในปี 2549 เทศกาลกินเจตรงกับวันที่ 22 - 30 ตุลาคม

    อาหารมังสวิรัติดีอย่างไร

    1. สอดคล้องกับธรรมชาติ ร่างกายมนุษย์เหมาะแก่การกินพืชเป็นอาหารหลักมากกว่ากินสัตว์ เห็นได้ชัดจากลักษณะฟันที่ไม่แหลมคมเหมือนสัตว์กินเนื้อเช่น เสือ ฉลาม ฯลฯ และลำไส้ของมนุษย์นั้นเป็นแบบสัตว์กินพืชคือยาวคดเคี้ยวเพื่อช่วยในการย่อย ขณะที่ลำไส้ของสัตว์กินสัตว์จะสั้น ดังนั้นเมื่อเรากินมังสวิรัติ จึงรู้สึกเบาสบายตัว

    2. สุขภาพแข็งแรงและอายุยืน พืชมีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอสำหรับความจำเป็นของร่างกาย สามารถ ป้องกันและช่วยรักษาโรค เนื้อสัตว์มีไขมันและคลอเรสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคไขมันในเส้นเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯ นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรคเช่น โรควัวบ้า ไข้หวัดนก ฯ

    พัฒนาจิตใจ มีสติในการใช้ชีวิต มีความเข้มแข็ง ความมั่นใจ สามารถเอาชนะกิเลสตัณหา เกิดความสงบเย็น ความรักความเมตตา ความอ่อนโยน คิดถึงผู้อื่น ใจเขาใจเรา (สัตว์มีความรู้สึกเจ็บปวด กลัวตาย เช่นเดียวกับเรา)

    3. เป็นหลักธรรมของศาสนาต่าง ๆ ศีลข้อที่หนึ่งของศาสนาพุทธคือห้ามฆ่าสัตว์ แสดงถึงความสำคัญอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติเรื่องนี้เป็นศีลข้อแรก ถึงเราไม่ได้ฆ่าเอง แต่ถ้าเรายังกินเนื้อสัตว์ก็เท่ากับส่งเสริมให้มีการฆ่าสัตว์ ในคัมภีร์ลังกาวตารสูตรของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานกล่าวว่า

    “เนื้อย่อมเกิดมาจากเลือดและน้ำอสุจิ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งไม่ควรบริโภค”

    ศาสนายิว ศาสนาสิข ศาสนาเชนและศาสนาฮินดูนิยมกินมังสวิรัติ ศาสนาอิสลามห้ามการกินเนื้อสัตว์บางชนิด

    ศาสนาคริสต์พระเยซูสอนว่า “... ผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข”

    “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน”

    “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” (มัทธิว 5:7, 7:12, 9:13)

    4. ประหยัด พืชมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ มังสวิรัติจึงส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง

    5. รักษาสิ่งแวดล้อม ลดพื้นที่ทำลายป่าเพื่อปลูกพืชเป็นอาหารสัตว์ ลดมลพิษจากการเลี้ยงสัตว์และอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ช่วยลดโลกร้อน

    www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=307

    [​IMG]
     
  4. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    เรียน ท่าน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ระกาจันทร์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4900672", true); </SCRIPT> ​
    เรื่อง ขอข้อชี้แนะเรื่องที่ท่านกล่าว เพื่อประโยชน์ในการคลายความสงสัย ด้วยความบริสุทธิใจ ครับ
    [​IMG]
    1. หลายปีผ่านมาคนไทยมักได้เห็นกลุ่มนักปฏิบัติธรรมชาวอโศก ทั้งนักบวชและญาติโยมออกมาเคลื่อนไหวท้วงติงความไร้จริยธรรมของนักธุรกิจ นักเลือกตั้ง แม้ของรัฐบาลบ่อยครั้ง ถามว่าเกินบทบาทนักปฏิบัติธรรมของพุทธหรือไม่ศาสนากับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกันจริงหรือ ?

    _/|\_....ขอข้อชี้แนะเพิ่มครับ.....


    2. ประเด็นที่ต้องพินิจก็คือการปฏิบัติธรรม บทบาทนักปฏิบัติธรรม และการเมือง จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่?
    _/|\_....ขอข้อชี้แนะเพิ่มครับ.....

    3.ในวงการปฏิบัติธรรมทุกสาย สรุปตรงกันว่า ปฏิบัติธรรมคือ ลดโทสะ โลภะ ราคะหรือกิเลส เพื่อจิตวิญญาณพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ดังนั้นสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่อยู่ป่า อยู่วัด หรืออยู่หน้าทำเนียบ แต่อยู่ที่การเป็นอยู่และสิ่งที่ทำไป กิเลสได้ลดลงหรือไม่
    ก. ถ้าเข้าใจว่า...."อยู่และสิ่งที่ทำไป กิเลสได้ลดลงหรือไม่..." ข้อนี้ผ่านครับ
    แต่..
    ข. ถ้าเข้าใจไม่ตรงกัน...._/|\_....ขอข้อชี้แนะเพิ่มครับ.....

    4. แม้จะอยู่ที่ไหนเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบผัสสะแล้วมีสติรู้ สังวรณ์ศีลของตนอยู่ ใส่ใจสงบจิตอย่างรู้จักพินิจไตรลักษณ์ กระทั่งโทสะ โลภะ ราคะ หรือกิเลสลดลงอย่างนี้ใครว่า...ไม่ปฏิบัติธรรม ?


    ก. ถ้าเข้าใจว่า...."อยู่และสิ่งที่ทำไป กิเลสได้ลดลง...ถือว่าปฏิบัติธรรม..." ข้อนี้ผ่านครับ

    ข. ถ้าเข้าใจไม่ตรงกัน...._/|\_....ขอข้อชี้แนะเพิ่มครับ.....


    5 ขอแยกประเด็นดังต่อไปนี้ คือ?
    5.0 พระพุทธองค์ตรัสไว้...ดูกรภิกษุทั้งหลายเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งบ่วงทิพย์ บ่วงมนุษย์ แม้พวกเธอก้พ้นแล้วดังนั้นจงจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อเกื้อกูลสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ เพื่ออนุเคราะห์โลก...
    5.1บอกชัดว่าผู้ทำประโยชน์ให้สังคมโลกได้ เพราะตนไม่ติดอยู่ในบ่วง เป็นผู้มาถูกในทางธรรมเพราะว่างแล้วในงานของตน จึงไปช่วยงานคนเหล่าอื่นได้
    5.2เพราะไม่เห็นแก่ตน จึงไปทำประโยชน์เพื่อโลกหล้าฟ้าดินได้

    (คำว่าจาริกไปพระพุทธองค์คงไม่หมายถึงตะวันตก ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แต่หากผู้มีธรรมจาริกไปสู่วงการเมืองการค้า การศึกษา การเกษตร หรือทุกสาขาอาชีพ )
    5.3 เพื่อให้อาชีพเหล่านั้น มีสัมมา มีจริยธรรมขึ้นมาอย่างนี้ย่อมเป็นประโยชน์สุขแก่โลกอย่างแท้จริง อย่างนี้ใครว่าไม่ควรจะเป็นบทบาทของนักปฏิบัติธรรม ?

    5.4 ด้วยโลกกว้างใหญ่มนุษย์ทำหน้าที่ต่างกันไป พอนานวัน คนก็ติดอยู่ในกรอบขอบแคบของตน ชาวนามุ่งทำนาพ่อค้ามุ่งค้าขาย คนหนุ่มสาวมุ่งสร้างฐานะฯ ตรงนี้ก่อให้เกิดโลกแยกส่วน ขาดความเป็นภราดรขาดสำนึกรู้และรับผิดชอบต่ององค์รวมไปทีละน้อย

    5.5 จากนั้นสรุปกันเป็นสามัญว่า พระอยู่ส่วนพระ นิสิตนักศึกษาก้เรียนให้จบ พ่อค้า ชาวนาก็ทำมาหากิน ฐานะใดๆก็ยุ่งกับการเมืองเพียงหย่อนบัตรเลือกตั้งก็พอ แล้วปล่อยบ้านเมืองให้อยู่ในมือนักเลือกตั้งเขาทำหน้าที่กันแล้วแปะป้ายว่าประชาธิปไตย “
    คำถาม?
    ก. แยกประเด็น 5.0>>>> 5.5 ถูกไหมครับ?
    ข. ข้อ 5.0 เป็นพุทธดำรัส?
    ค. ข้อ5.1 , 5.2 , 5.3 เป็นข้อคิดเห็นและความเข้าใจส่วนบุคคล?
    ง. ข้อ5.4 เป็นข้อสรุปจากความเข้าใจส่วนบุคคล?
    จ. ข้อ 5.5 เป็นข้อสรุปรวบยอด ต่อจากเหตุข้อ 5.4?



    ............................................
    โปรดตอบเป็นข้อๆนะครับ เช่น
    ตอบ ข้อ 1
    ตอบ ข้อ 2
    ตอบ ข้อ 3ก ,3ข
    ตอบ ข้อ 4ก ,4ข
    ตอบ ข้อ 3ก ,3ข
    ตอบ ข้อ 5ก ,5ข ,5ค ,5ง ,5จ(ข้อ 5 ความชัดเจนเบื้องต้นก่อนเพื่อนำไปสู่การสนทนาต่อไปครับ)
    ......เจริญธรรมครับ......_/|\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2011
  5. mancity04

    mancity04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,346
    ขอบคุณครับ ได้ความรู้เยอะเลย แต่ยังงงๆ อยู่ เนื้อหากับหัวข้อที่ตั้ง
     
  6. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214

    คุณแอ๊บแบ้วคะ ถ้าส่งคำถามไปที่นี่ คิดว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากๆ แน่ค่ะ

    gongnunjariyatham@hotmail.com

    จาก www.roidao.com ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2011
  7. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    หัวข้อเมืองบังบดใช่มั้ยคะ ก็คือ เป็นการเปรียบเทียบกับชุมชนของชาวกายทิพย์ ที่ถือศีลเคร่งครัด ซึ่งเราเรียกกันว่าเมืองลับแล หรือเมืองบังบดค่ะ ความเป็นอยู่ของชาวลับแลก็จะประมาณชนบทสมัยก่อน ย้อนไปหลายสิบปีค่ะ
     
  8. ped2011

    ped2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,037
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ผมว่าเมืองบังบดยังอยู่นะ ตาเรามองไม่เห็นหรือเขาอาจไม่อยากให้เราเห็น
     
  9. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214

    ชุมชนชาวอโศก ก็คงคล้ายเมืองบังบดนะคะ เพราะอยู่บนถนนที่ทั้งรถทั้งคนมากมาย ผ่านไปผ่านมาทุกวัน แต่ยากที่ใครจะเข้าถึง และรู้ว่าในซอยนวมินทร์ 44 มีสถานที่อย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่คนก็จะผ่านเลยไปค่ะ
     
  10. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    เร็วๆ นี้ กำลังจะมีช่วงเวลาสั้นๆ ให้ผู้ที่สนใจเข้าไปลองใช้ชีวิตแบบชาวอโศกด้วยนะคะ



    " 19 - 21 ส.ค. 54 กิจกรรมศีล 8 ครั้งที่ 98 "

    ท่านที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้จาก ผู้ประสานงานโครงการ...


    คุณแตน 081 - 612 - 0899


    คุณตุ๊กตา 086 - 923 - 6921

    คุณเล็081 - 584 - 6334
     
  11. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    อยากทราบผ่านท่านที่กระทู้นี้แหละครับ...ท่านอื่นผ่านเข้ามาจะได้แยกออกว่าอันไหนเป็นพุทธพจน์อันไหนต่อเติมด้วยคำพูดที่คิดเอง..ถ้าหากท่านคัดลอกเขาต่อมาอีกต่อหนึ่งก็ไม่เป็นไรครับ....เอาเป็นว่าขอผ่านละกันครับ....
    ........................._/|\_ ...................................จบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...