อยากให้มีการรวมตัว ของคนที่ปรารถนาพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย PalmPalmnaraks, 24 มกราคม 2005.

  1. pitipornsn

    pitipornsn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +95
    คุณไร้้ศาสนา ขอบคุณสำหรับความคิดนะครับ มันก็ถูกครับบางทีผมอาจะยึดติดกะสิ่งที่ทำมากไป แต่เราเชื่อในกฎของการเกิดดับ จนบางคนเบื่อที่จะต้องเกิด เพราะเกิดมาก็ต้องตายใช้ไหมครับ เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าไหมครับ
     
  2. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,186
    จากการคาดเดาของผม คุณไร้้ศาสนา ก็ปรารถนาพุทธภูมิ
    ชาตินี้บำเพ็ญ อุเบกขาบารมี เนื่องด้วยข้อสอบวัดกำลังใจ
    ของอุเบกขาบารมีมันหนักมากจนทำให้คุณไร้้ศาสนาละทิ้ง
    การทำบารมีไป

    สนามสอบยังเปิดต้อนรับเสมอนะครับจะมาสอบเมื่อไหร่ก็ได้
    หากยังเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ก็ต้องเจอข้อสอบแบบนี้ตลอด
    ยังงั้ยก็ต้องทำครับ เพราะทุกข์มันเป็นของคู่โลกเป็นความจริง
    ของการเกิด
     
  3. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    โลกนี้มันคือแดนกรรม เป็นแดนที่องค์พระศาสดาทั้งหลาย พระปัจเจกทั้งหลาย
    พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่จะต้องลงมาโปรดมนุษย์โลก
    เพื่อให้เข้าใจถึงสภาวะแห่งพลังชีวิตที่จะสะท้อนให้เห็นกรรมบันดาล ทั้งกรรมหยาบและกรรมปราณีต


    มนุษย์เกิดมาก็ต้องตายกันทุกคน หากจะเกิดมาทั้งที ไม่คิดจะสร้างกรรมดี

    ก็เหมือนดาวที่อับแสง บางคนเบื่อหน่ายที่จะเกิด จะพยายามหาหนทาง
    สร้างพลังแห่งชีวิตให้มีความเป็นอมตะ หลุดพ้นจากพันธการด้วยวิถีต่างๆ

    หากคุณมีความเป็นทิพย์ หากคุณย้อนอดีตและระลึกชาติได้
    คุณจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดกับคุณ ณ ชาติปัจจุบัน มันก็คือ
    ร่องรอยของอดีตทั้งสิ้น แต่เราจะเข้าถึงสภาวะนั้นได้อย่างไร?
    แล้วเราจะปล่อยวางด้วยการถ่างกรรมเหล่านั้นได้อย่างไร?
    เราคิดแต่อย่างเดียวว่า เราอยากจะเป็นโน้นเป็นนี้ตามมรรคผลที่ต้องการ?
    มรรคผลเหล่านี้ ชี้วัดและยอมรับได้บ้างไหม? หรือทึกทักกันเอาเอง

    ยิ่งอยาก เราก็ยิ่งห่างไกล ทั้งๆ ที่มันก็ใกล้แค่เอื้อม

    ทำไมต้องกลัวการเกิดหรืออุบัติในโลกมนุษย์ ผมว่า มันสนุกจะตายไป
    ได้รับรู้รสชาติทุกรูปแบบ ได้สร้างบารมี ได้กระทำบางอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังทำไม่ได้เลย


    ดูเหมือนผมจะเพ้อไปหน่อย

    สงสัยอยู่นานเกินไป เห็นมาก รู้มาก ปัญญามาก สังสัยมาก ก็เท่านั้น
    แก่แล้ว หาที่จะตายสงบๆ ดีกว่า
     
  4. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    สอบอย่างไรครับ?
    แล้วใครจะเป็นคนสอบเรา หรือว่าให้เราสอบเองวัดผลเอง?
    อย่างเช่น ...
    สอบสังโยชน์สิบความเป็นพระอริยะเจ้า?
    แล้ววัดผลอย่างไรครับ?
    ใครจะรับรองครับ?

    สอบความเป็นพระโพธิสัตว์?
    แล้ววัดผลอย่างไรครับ?
    ใครจะรับรองครับ?

    สอบความเป็นพระปัจเจก?
    แล้ววัดผลอย่างไรครับ?
    ใครจะรับรองครับ?

    สอบความเป็นตันตระ?
    แล้ววัดผลอย่างไรครับ?
    ใครจะรับรองครับ?

    สอบความเป็นราชาโยคะ?
    แล้ววัดผลอย่างไรครับ?
    ใครจะรับรองครับ?

    สำหรับผมแล้ว บททดสอบในชีวิต ไม่มีครูครับ
    ผมสอบตามสัญชาติญาณ จากจิตใต้สำนึก มันทำได้แค่นี้จริงๆ
    หากคุณมีแบบฝึกหัดทดสอบ ก็ขอได้ชี้แนะให้ผมที
     
  5. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,186
    ผู้ทดสอบและออกข้อสอบไม่ใช่คน
    ข้อสอบที่ออกมาคือสภาพชีวิตที่เป็นอยู่
    เพื่อวัดกำลังใจว่าสามารถทำบารมีได้หรือไม่

    "ผมสอบตามสัญชาติญาณ จากจิตใต้สำนึก มันทำได้แค่นี้จริงๆ"
    ผมถือว่าคุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

    "ทำไมต้องกลัวการเกิดหรืออุบัติในโลกมนุษย์ ผมว่า มันสนุกจะตายไป"
    "ได้รับรู้รสชาติทุกรูปแบบ ได้สร้างบารมี ได้กระทำบางอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังทำไม่ได้เลย "
    ความคิดเห็นนี้ผมก็เห็นด้วยทุกประการครับ เพียงแต่ว่า
    เราทุกข์ไม่เป็นไร แต่คนอื่นมาทุกข์เพราะเรานี้ตะหากครับเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้
    หากยังมีความรู้สึกแบบนี้ในใจ ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นปรารถนาพุทธภูมิ
     
  6. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอบคุณที่เข้าใจเจตนารมย์
    อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะเห็นกองทุกข์ทั้งกายและใจในเบื้องหน้า
    แต่สำหรับผมแล้ว เหตุแห่งทุกข์มาจากใจที่เห็นแก่ตัวเองมากกว่าครับ

    อุปมาดั่งปลาแซลมอล ที่ต้องฝ่าฟันคลื่นกรรมในมหานทีระลอกแล้วระลอกเล่า
    เพื่อข้ามขอบมหานทีไปให้ถึงถิ่นเกิด
    รู้ว่าน้ำนั้นเค็ม รู้ว่าน้ำนั้นกร่อย รู้ว่าปลายน้ำลำธาร
    รู้ว่าน้ำต้นลำธาร รู้ว่าถึงแหล่งถิ่นเกิดด
    พ้นแล้วซึ่งพันธการ หมดกิจแล้ว

    ปลาแซลมอลน้อยเอ๋ย เจ้าจะเหลือพวกเพียงน้อยนิด
    ต้องฝ่าฟันนานานับประการ กลับสู่ถิ่นเกิดด้วยสัญชาติญาณที่เรียกร้อง
    จิตใหญ่รอเจ้าอยู่ รอวันแบ่งอณูอีกน้อยร้อยพันแสนโกฎิ

    ขอให้ท่านเจริญในธรรม
     
  7. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    เห้อๆๆๆๆ
    ท่านไดปราถนาสิ่งได หากเป็นสิ่งดีขอให้สมปราถนาทุกท่านเทอญ

    ผู้ปารถนาพุทธะ สาวกะ ปัจเจกกะ มีอยู่เต็มโลก ทั้งอยู่พรหมโลกเทวโลก กำลังเป็น มนุษย์ กำลังเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน และอยู่ใน นรกก้อมาก ผู้ปารถนามาแล้วตั้งแต่สมัยพระเจ้าองค์แรกและองค์ต่อๆมาจนถึงองค์ปัจจุบัน มากกว่าเม็ดดินเม็ดทรายในโลกก้อนนี้ ผู้ที่ยังไม่ปราถนาจะปราถนาในอนาคตการข้างหน้ายิ่งมาก
    แต่ผู้ที่ตั้งใจ บารมีก้อเต็มไวหน่อย ผู้ไม่รีบก้อ นรกบ้างสวรรค์บ้างสัตว์บ้างคนบ้าง นานๆแล้ว บางชาติ ลาที่เคยปราถนาไว้บ้าง เกิดใหม่ลืมแล้วตั้งใจปราถนาใหม่บ้างจนกว่าจะกำลังใจดีเต็มที่ คือ เป็นเวนัยชน หรือเวนัยสัตว์(คนมีวินัยในดวงใจหรือสัตว์ที่รู้ผิดชอบชั่วดี) ขั้นนี้แล้วประคองใจได้เริ่มสร้างบารมีได้พอตัวบ้าง ขั้นนี้จะอธิฐานเกิดในโลกมนุษย์เท่านั้น จะเวียนแค่คนและสัตว์เป็นส่วนมาก การเสียสละเต็มหัวใจจะไปนรกและสวรรค์น้อยลง ไปเรื่อยๆหลายกัปลืหลายกัลล์เจอพระพุทธะเจ้าพระอรหันต์นับไม่ไหวจนบารมีมากพอและมั่นใจว่าตนเองนั้นเป้นพระพุทธเจ้าได้ถึงได้เข้าไปขอปราถนาต่อหน้าพระพุทธเจ้าค์ให้ท่านพยากรณ์
    ถึงกระนั้นยังผ่านไปพระองค์แล้วพระองค์เล่าจนเป้นที่แน่แท้ไม่ละแน่จะมีพระองค์หนึ่งตรัสพยากรณ์ให้ ว่าแน่แท้ โพธิสัตว์โต จะเป็นพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งข้างหน้า
    ณ.ตอนนั้นเรียกได้ว่าพระโพธิสัตว์การสร้างบารมีเริ่มนับแต่ตอนนั้น ถ้าน้ำใจดี ก้อขอ วิริยะธิกะ จะทนทุกข์ทรมาณมากน้อยยาวนานกี่อสงขัยไม่ใส่ใจขอแค่ได้ขนสัตว์ออกจากวัฏธสงสารมากที่สุดเต็มกำลังของตน
    ทุกดวงจิตดวงใจ ล้วนแล้วแต่ถึงนิพพานเป็นที่สุด เริ่มจากมนุษย์มีศีลบริสุทธิ์ และมั่นคงในพุทธศานาไม่คลอนแคลน นับว่ามีคิวไว้้แล้วแต่จะถึงอีกกี่กัปล์กี่อสงขัยแล้วแต่บารมี ส่วน สัตว์ในโลกันตระนรก และ แบคทีเลีย จุรินทรีย์ ต้องเลื่อนภูมิขึ้นมาให้สุงก่อนจนเป็นสัตว์เป็นปุถุชนรู้จักทุกรู้จักสุขเสียก่อนข้างหน้าค่อยว่ากัน
    (สัตว์หรือคนซึ่งไม่รู้อดีตอันยาวไกลของกันและกันประมาทกันไม่ได้)

    ส่วนผม กิเลสเต็มหัวใจไม่ขอกล่าวถึง หุหุ
     
  8. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,186
    ผมขอโมทนาบุญกับท่าน JOMKAMUNG ด้วยนะครับ
    บุญใดที่ท่านทำแล้วและได้แล้วผมขอได้ซึ่งบุญนั้น

    โมทนาสาธุ
     
  9. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,186
    "เพื่อข้ามขอบมหานทีไปให้ถึงถิ่นเกิด
    รู้ว่าน้ำต้นลำธาร รู้ว่าถึงแหล่งถิ่นเกิด
    กลับสู่ถิ่นเกิดด้วยสัญชาติญาณที่เรียกร้อง
    จิตใหญ่รอเจ้าอยู่ รอวันแบ่งอณูอีกน้อยร้อยพันแสนโกฎิ"

    จากข้อความที่ตัดมานี้ท่าน ไร้ศาสนา
    คงเชื่อถือในเรื่อง พระธรรมบิดาของแสงทิตย์ เป็นแน่
    ถ้าเชื่อแบบนั้นผมก็จนใจ
     
  10. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    โมทนา สาธุ กับบทความที่แสดงถึงปฏิปธาอันแน่วแน่ของเหล่าพุทธภูมิ
    ที่มีต่อองค์พระศาสดา
    สำหรับผม ยังคงต้องค้นหาตัวตนต่อไปด้วยพลังแห่งสัญชาติญาณ
    หนทางยังอีกยาวไกล
    ขอให้ศรัทธาและความภักดีจงนำพาให้ทุกท่านประสบผล
     
  11. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมไม่รู้แจ้งแห่งพระธรรมบิดาของแสงทิตย์ หรอกครับ
    ผมยังไม่รู้แจ้งตัวตนเลย แล้วจะไปรู้ผู้อื่นใดเล่า
    สู้ค้นหาความจริงในตัวตนดีกว่ามั่งครับ

    ผมรู้แต่จิตแห่งสากล ...
    ที่ไม่มีแบ่งศาสนา
    ไร้คตินิยม
    ไร้มิติ
    ไร้กาลเวลา
    เป็นสิ่งเหนือสามัญวิสัย
    ไม่ต้องจิตนาการหรือสร้างมโนทัศน์ที่ไกลเกินฝัน
     
  12. 26

    26 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +374
    <TABLE class=tborder id=post4906591 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_4906591 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">
    ผมรู้แต่จิตแห่งสากล ...
    ที่ไม่มีแบ่งศาสนา
    ไร้คตินิยม
    ไร้มิติ
    ไร้กาลเวลา
    เป็นสิ่งเหนือสามัญวิสัย
    ไม่ต้องจิตนาการหรือสร้างมโนทัศน์ที่ไกลเกินฝัน<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("4906591")</SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นี่มันอารมณ์ อรูปณาณนี่ครับ ตะก่อนผมก็ชอบเล่นอรูปนะ
     
  13. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    มองมุมมองและวิถีทางของหลายๆกระทู้ในห้องพุทธภูมินี้

    อย่างเก่งสุดๆ ก็คงได้อรูปญาณชั้นสูงที่สุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งจะไปลอยเท้งเต้งเนิ่นช้าโดยหาแก่นสารสิ่งใดมิได้นอกจากรอหมดบุญหรือหมดวาระไปตามวิบาก

    คงพูดได้แค่นี้ว่า " ถึงกาลฉิบหายแล้วจากนิพพานอันเป็นคุณยิ่ง "
     
  14. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    อารมณ์อรูปฌาน ย่อมว่างไร้ขอบเขต
    ฌาน 5-8 สู่ความเป็นสมาบัติ
    เป็นบาทให้กับวิปัสสนา อภิญญา

    เรามักจะกำหนดอากาศเป็นความว่าง
    ใส่วิญญาณ ไม่มีแก่นสาร เกิดดับเป็นธรรมดา

    แต่อารมณ์นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างไรครับ?
    แล้วจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดสภาวะนี้ครับ?

    ขอความกระจ่างหน่อยครับ
     
  15. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมคิดว่า คนในนี้ บางคนได้สูงกว่านี้ก็มีครับ
    เช่น กึ่งนิโรธกึ่งสมาบัติ หรือบางคนก็เคยได้นิโรธสมาบัติก็มีครับ
    สำหรับพรหมลูกฟัก ขออ้างอิง

    นวก อํ ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐ ..สรุปโดยย่อได้ดังนี้

    รูปภพ ที่ภิกษุผู้อริยสาวก กำลัง ...แล้วแลอยู่ ตามที่ตรัส คือ เจริญ ปญมฌาน
    ภิกษุ น่าจะคือ "ธาตุ ๖ ประการ" ที่กำลัง ปรุงแต่ง "กรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม" ( กุกกุโรวาทสูตร ตรัส กรรม ๔ ประเภท / เจตนา คือ กรรม ตามนิพเพธิกสูตร / เจตนา หก คือ สัญเจตนาหก....ความคิดนึกในเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ คือ สังขารทั้งหลาย)

    เป็นอันว่า
    ในปฐมฌานนั้น มี (กอง - ขันธ์) ธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ปฐมฌาน คือ อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่ อุปจารสมาธิ
    รูป ในปฐมฌานนั้น ได้แก่ รูป ? .....เมื่อเทียบกับ

    ส่วน
    อรูปฌานที่ ๑ ตามที่ตรัสว่า .. ในอากาสานัญจายตนะนั้น (ฌาน เพ่งอรูป แน่วแน่ด้วย สติในอัปปนาสมาธิคือรูปฌานที่ ๔ แล้ว แลอยู่)
    มี ธรรม (ขันธ์ ๔) คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (กิริยาที่รู้แจ้งอามรณ์คือ ขันธ์ทั้ง ๔ ที่กำลังทำหน้าที่เช่นนั้นอยู่

    สรุปว่า
    รูปฌานที่ ๑ ( ๒ ๓ ๔ ด้วยกระมัง)...กำหนดตามที่ตรัสในพระสูตรนี้ว่า = มี ๕ ขันธ์
    อรูปฌานที่ ๑ ..กำหนดตามที่ตรัสในพระสูตรนี้ ว่า = มี ๔ ขันธ์

    เมื่อ รูปภพ (รูปฌาน) อรูปภพ (อรูปเาน) ....ที่ยังไม่เกี่ยวกับ หลังจากตายเข้าโลงแล้ว ...........กำหนด ขันธ์ ได้ ๕ ขันธ์ กับ ๔ ขันธ์

    ตกลง
    ขันธ์เดียว ตามที่อ้างว่า ได้แก่ ส่วนสัตว์ขันธ์เดียว คือ อสัญญีพรหม
    (คือมีแต่รูปอย่างเดียว.. มักเรียกกันว่าพรหมลูกฟัก) นั้น ....

    ....กำหนด สัตว์ที่มีขันธ์เดียวนั้น ว่า เป็นสัตว์ที่เนื่องกับ ภพ อะไร ?

    เมื่อ พระพุทธองค์ตรัสว่า

    ภิกษุทั้งหลาย
    ภพ เป็นอย่างไรเล่า?
    ภิกษุทั้งหลาย
    ภพ มี สาม เหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ
    ภิกาษุทั้งหลาย นี้ เรียกว่า ภพ


    สรุป
    ส่วนสัตว์ขันธ์เดียว คือ อสัญญีพรหม ....ตามพระพุทธวจนะ คือ อะไร ที่เนื่องกับ ภพ อะไร?

    ถ้า คำตอบมีว่า คือภิกษุอริยสาวกผู้เจริญ อรูปฌานใดในอรูปฌาน ๔ ประเภทนั้น (หรือ เกินไปจาก อรูปฌานทั้ง ๔ ก้ย่อมคือ เจริญ สัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ)
    แหละ คือ ...อสัญญีพรหม (ตามที่ คคห 1 เสนอฯ)

    อสัญญีพรหม ที่คือ คือภิกษุอริยสาวกในธรรม วินัยนี้ คือผู้เจริญ อะไร? ใช่ สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือไม่

    ถ้าใช่ (อสัญญีพรหม = ภิกษุผู้เจริญสัญญาเวทยิตนิโรธ (ตามที่ตรัส อนุปุพพวิหาร ๙) .....นั่นแหละ

    มีพระสูตรไหน ตรัส "คำว่า มีขันธ์เดียว"

    ถ้าไม่มี ก็ = ไม่มี

    ทีนี้
    เมื่อ อรูปฌาน ตรัสว่า มี ขันธ์ ๔ คือ ไม่มีรูป มีแต่ นาม คือ ..คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (หรือ เจตสิก จิต )

    สัญญา เวทยิตนิโรธ ที่เนื่องกับ อนุปุพพวิหาร ๙ (ดูโปฏปาทสูตร ประกอบ) คือเป็นสภาวธรรม คือความมีความเป็น (ภว หรือ ภพ) ขันธ์ ๔ แล้ว มิใช่หรือ?

    ถ้าใช่

    อสัญญี พรหม คือ ภิกษุอริยสาวก อนาคามี ผู้สามารถในสัญญาเวทยิตนิโรธ "จะกำหนด รูป ที่ อะไร ..ในเมื่อ อรูปฌาน ก็ไม่ทรงกำหนด รูป เสียแล้ว"

    ช่วยกัน พิจารณา เรื่อง อสัญญีพรหม = ขันธ์เดียว ..ให้ทั่วถึง ไม่ประมาท อาศัย พระพุทธวจนะแปลไทย ฯลฯ + อรรถกถาแปลไทยด้วยได้ ฯลฯ

    นี้คือ คติพุทธ ที่มักจะกล่าวอ้างถึงพรหมลูกฟัก
    แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีหรอกนะครับ พรหมลูกฟักแตงโม
    เช่นเดียวกับคำว่า นิพพาน

    หากคุณได้ศึกษา ศาสนะสถานแห่งบุโรพุทโธ วิหารพระพุทธเจ้าหมื่นองค์
    เขาจะแบ่งเพียง กามภพ รูปภพ และอรูปภพ เท่านั้น
    กล่าวคือ อรูปภพ นั้นก็คือสูญตา ที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง ไม่ได้ว่างเฉยๆ

    หากเปรียบได้กับคติพุทธมหายาน
    ระดับธรรมกาย = อรูปภพ
    ระดับสัมโภคกาย = รูปภพ
    ระดับนิรมานกาย = กามภพ

    ไม่มีนิพพานเป็นแดนสรวง ไม่มีวิมานขององค์อมิตาภะ
    ไม่มีอะไรเลยในห้วงแห่งจักรวาล มีเพียงแต่พลังงานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสากล
    มีกาแลคซี่และดวงดาวน้อยใหญ่อันประมาณมิได้


    นิพพานของคุณ มีเพียงแค่ สะอาดด้วยศีล สงบด้วยสมาธิ สว่างด้วยปัญญา เท่านั้น
    สำหรับคำจำกัดความอื่นๆ ผมไม่เห็นด้วย

    คติพุทธนิยม ทำให้ทุกอย่างไกลเกินฝันไปหรือเปล่า
    สู้รู้ความจริงอย่างธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ รักธรรมชาติ
    ศาสนาเป็นเพียงละอองเพียงน้อยนิดในเอกภพแห่งนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กรกฎาคม 2011
  16. คนนะ

    คนนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +221
  17. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    อิอิ ขอกล่าวสักนิดตามประสาคนรู้น้อยครับ

    ผู้หวังสร้างบารมีท่านจะยอมเสียเวลาไปพรหมทำไมครับ
    ท่านย่อมศึกษาหนทางหลุดพ้นอย่างรอบคอบและแยบคาย
    รู้สังโยชน์สาม สังโยชน์ห้า สังโยชน์สิบ อย่างดีวิธีละอย่างแยบคายแต่ไม่ละเพราะจะเป็นครูและสัตว์ ต้องรู้และเดินหนทางนั้นแต่ไม่ยอมให้ถึงที่สุด
    ย่อมรู้ทุกอย่างเกิดดับอย่างชัดเจนในใจ
    อารมย์ในองค์ชาญก้อคล่องเป็นพิเศษ ทั้งรูปชาญสี่ และอรูปสี่ คือได้สมาบัติทั้งแปดมาหลายชาติ แต่ไม่ยอมเข้าชาญเวลาตายเสียเวลาไปเป็นพรหมหรอกครับยกไว้ชาติที่เกิดเป็นนักบวชนอกศานนาหรือสมัยไม่มีศาสนา
    แต่เกิดช่วงนั้นดันเป็นผู้ภาวนาและยังไม่คล่องในการเข้าออกองค์ชาญต่างๆบังเอิญกรรมเก่ามาทันต้องตายตอนนั้นหรือเผลอเข้าชาญตายมันก้อช่วยไม่ได้รอชาณเสื่อมค่อยลงมาเกิดใหม่หากบังเอิญเป็นสุญกัปล์
    ไม่มีศาสนายุคมิคสัญญีถ้าบารมีอ่อนหลงทำผิดก้อไปนรกบ้างสัตว์บ้างหลายร้อยหลายพัันหลายหมื่นหลายแสนหรือหลายล้านๆชาติก้อไม่เป็นไร สำหรับผู้บารมีแก่กล้าแล้วท่าจะตั้งตนได้ไม่หลง มันเป็นธรรมดาของผู้สร้างบารมี อันยาวไกล บุญย่อมสั่งสมมายาวนาน และบาปก้อย่อมมีเผลอทำและสั่งสมบาปมายาวนานเหมือนกัน มันเป็นธรรมดาที่ท่านเหล่านั้นเข้าใจดีและยอมรับแล้วอย่างเต็มใจ
    และผู้สร้างบารมีทุกท่านจะมีกฏเหล็กทุกท่าน คือเชื่อกรรม
    กรรมคือ การกระทำ
    กฏแห่งกรรมคือกฏของการกระทำ ท่านยอมรับกฏและผลกรรมหรือผลของการที่ท่านทำทุกอย่างๆเต็มใจไม่ว่าทำอย่างเต้มใจหรือเผลอทำไม่ว่าบาปหรือบุญท่านหลีกไม่หลบ เรียกว่าน้ำใจผู้สร้างบารมี

    ส่วนผมไม่ใช่ผู้อยากเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้เหมือนหลายๆท่านเวลานี้
    จะเป็นอะไรก้อตามกรรมของตนเอง ก้อมัน ปัจจัตตังเนาะ คริๆๆๆๆๆ
     
  18. 26

    26 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +374
    อรูปญาณเเต่ก่อนชอบไช้ เดี๋ยวนี้เกาะนิพพานครับ วันไหนซวยมากเกาะนิพพานไม่ได้
    ค่อยเล่นอรูปครับ
     
  19. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาด้วยนะครับ
    เก่งจัง แค่ม.๕ เอง
     
  20. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิอิ
    น้องแซม ลงสมัครเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...