ตะลึง ขุดพบหลักฐาน UFO ที่เมืองจีน !!!!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย aeker, 6 กรกฎาคม 2011.

  1. aeker

    aeker สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +5
    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr height="25"><td class="all_padding" align="left" bgcolor="#FFF0FF">
    </td></tr><tr><td id="edit_area">
    </td></tr><tr valign="top"><td class="all_padding" align="left"> [​IMG]"ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว สิ่งประหลาด กลุ่มหนึ่งซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดที่นี่..."

    " พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนี เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถํ้า ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่อง บรรณาการมา ให้เป็นสัญญาณสันติภาพ"

    "เมื่อสิ่งประหลาดกลุ่มนั้นก้าวออกมา จากถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขา น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปนั่นเอง..."

    ทั้งหมดนี้และอีก มากเป็นข้อความในเอกสาร ซึ่งนักโบราณคดีชาวจีนรวบรวมเขียนขึ้น จากตำนานโบราณ และตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน เป็นครั้งแรกในปี 1962

    ว่า กันว่าเป็นเอกสารกล่าวถึงการมาเยือนพิภพ ของมนุษย์ต่างดาวครั้งแรกเริ่มที่สุด และเป็น เอกสารแรกเหมือนกันที่เปิดเผยให้โลกรู้ว่า จานบินและมนุษย์ต่างดาว ก็เคยมาเยือนหลังม่านไม้ไผ่ ด้วยเหมือนกัน

    ผู้รวบรวมเขียนเอกสารนี้ ขึ้นเป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่สถาบันวิจัยก่อนประวัติศาสตร์ ของปักกิ่ง ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือจีนแดงอย่างที่เราๆ เรียกติดปากกัน ศาสตราจารย์ นี้คือ ซัม อัม นุย หรือเขียนเป็น ภาษาฝรั่งว่า Tsum Um Nui

    [​IMG]ศาสตราจารย์ นุย มีงานประจำอย่างหนึ่งคือ รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์และ ตำนานเก่าแก่ของจีนเป็นหมวดหมู่ แต่งานสำคัญที่สุดของท่านผู้นี้ก็คือแปล และรวบรวมเรื่องราวที่ได้มาจากแผ่นศิลาจารึกโบราณ ซึ่งได้มาจากการขุดสำรวจถํ้าลี้ลับ แห่งหนึ่งในป่าลึกทางตะวันตกของจีน

    ก็การสำรวจอันนี้แหละที่นับว่าเป็นการเปิดเผยความลับที่ซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นนานนมเต็มทีแล้ว ออกสู่หูตานักปราชญ์จีนเป็นครั้งแรก


    ท่านผู้อ่านคง ทราบแล้วว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา คนข้างนอกล่วงรู้ความเป็นไปภายในประเทศจีนน้อยเต็มที แม้เมื่อจีนเปิดประตูออกรับ นักท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี่แล้ว แต่ความลับต่างๆ ของจีนก็ยังถูกปกปิดอยู่นั่นเอง หลังจากเอกสารของศาสตราจารย์นุยตีพิมพ์ในเยอรมันแล้วก็ไม่มีเอกสารอื่นใด กล่าวถึงการค้นพบ อันสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งที่ถํ้าลึก ในโขดเขา เปเยง อรา อูลา (Bayan-Kara-Ula Mountain) ของจีนเพิ่มเติมอีกเลย


    <table style="width: 248px; height: 397px;" align="left" border="0" cellspacing="10"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]
    ภาพ นี้ถ่ายโดย Dr. Karyl Robin-Evans ในปี 1947 ระหว่างที่เขาสำรวจชนเผ่าดรอปา เป็นภาพหัวหน้าเผ่าและภรรยา ซึ่งทั้งสองมีส่วนสุงแค่ 4 ฟุต และ 3 ฟุต เท่านั้นเอง ซึ่งผิดจากคนอื่นๆ ในชนเผ่าดรอปาที่สูงเกิน 5 ฟุตทั้งนั้น คาดว่าหัวหน้าชนเผ่านี้แหละคือผู้ที่สืบเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว ?</td> </tr> </tbody> </table> ผู้ค้นพบถํ้าแห่งความลับนี้ เป็นนักโบราณคดีชื่อ ชิ ปู ไต๋ (Chi Pu Tai) เขาเริ่มการสำรวจทาง โบราณคดีในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา ในระหว่างปี ค.ศ. 1937-38 อันว่าภูเขานี้อยู่ประชิดติด กับแดนทิเบตเลยเชียวครับ ระหว่างที่ทำการขุดสำรวจอยู่นั่นเอง โปรเฟสเซอร์ไต๋ก็พบถํ้าใหญ่เข้าถํ้าหนึ่ง

    "พวกเราคิดว่าในถํ้านั้นคงมีความลับเกี่ยวกับชนเผ่าดรอปา (Dropas) ซุกซ่อนอยู่บ้าง" ศาสตราจารย์ไต๋อธิบาย "จึงพากันดีใจมาก เพราะชนเผ่าดรอปานี้เป็นเผ่าเก่าแก่ก่อน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ ในบริเวณเทือกเขานี้เท่านั้น"

    แต่สิ่งที่ท่านโปรเฟสเซอร์พบน่ายินดีปรีดาเกินความคาดหมายเสียอีก

    แทน ที่จะเป็นเศษเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งที่ประจักษ์แก่ตา คณะนักโบราณคดีกลับลํ้าสมัยและน่าตื่นตามาก
    สิ่งแรกที่กระทบสายตาก็คือ จิตรกรรมฝาผนัง ที่เป็นรูปท้องฟ้า มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวต่างๆ ครบครัน มองไปแล้วเหมือนแผนที่ดาราบนฟากฟ้าโดยฝีมือคนสมัยใหม่ยังไงก็ยังงั้น เพราะมันไม่ใช่รูปเขียนหยาบๆ ด้วยฝีมือมนุษย์ถํ้ายุคก่อนประวัติศาสตร์เลย นอกจากฝีมืออันดีเด่นทันสมัยแล้ว การวาดรูปดาวเดือนต่างๆ ยังบอกให้รู้ว่า ผู้วาดมีความรู้ทางดาราศาสตร์พอตัวทีเดียว

    คนมีความรู้ที่ไหนกันจะ มาเขียน รูปเหล่านั้นไว้ บนผนังและ เพดานถํ้าในป่าลึกเปล่าเปลี่ยว ปราศจากผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนาน นับร้อยนับพันปีมาแล้ว?


    <table style="width: 239px; height: 347px;" align="right" border="0" cellspacing="10"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]
    เมื่อ หมุนจานหินนี้ด้วยเครื่องจักรในลักษณะเดียวกับแผ่นเสียง จานหินจะส่งเสียงครวญครางเหมือนฮัมเพลงออกมาเบาๆ เป็นท่วงทำนองที่แปลกประหลาดเอาการสำหรับหูของมนุษย์อย่างเรา และเมื่อลองส่งกระแสไฟฟ้าผ่านจานหินเหล่านี้ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทำนองเดียวกับเราปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านวงจรอิเล็ค ทรอนิคส์อีกด้วย </td> </tr> </tbody> </table> ด้วยความตื่นเต้น ระคนพิศวงงงงัน คณะนักโบราณคดีขุดพื้นถํ้ากันเป็นการใหญ่ ด้วยความระมัดระวังอย่างเต็มที่ คราวนี้สิ่งที่พบน่าสนใจยิ่งกว่าจิตรกรรมฝาผนังเสียอีก เพราะขุดพบแผ่น ศิลากลมๆ รูปร่างเหมือน จานเสียง จำนวนมากฝังอยู่ที่นั่น อะไรก็ไม่น่าประหลาดเท่าบนแผ่นหินนั้น มีลวดลายเป็นวงตั้งแต่ขอบเข้า ไปถึงจุดศูนย์กลางเหมือนแผ่นเสียงสมัยใหม่ แล้วก็มีอักขระหรือสัญลักษณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก หรือเคยพบเห็นจารึกอยู่จนเต็ม จำนวนที่ขุดพบนั้นมีมากถึง 716 แผ่น

    การ ขุดค้นยังนำไปสู่สิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะตรงที่ที่พบแผ่นศิลาจารึกนั่นแหละ ศาสตราจารย์ไต๋และ คณะพบหลุมศพจำนวนมาก แน่ละในหลุมย่อมมีศพอยู่ด้วยเป็นของตาย แต่ศพเหล่านั้นนักโบราณคดีเห็นแล้วก็งงเต็กไปตามๆ กัน

    ไม่ใช่น่าเกลียดน่ากลัวอะไรนักหนาหรอก เพราะเป็นแค่โครงกระดูกที่ปราศจากเนื้อหนังแล้ว ลักษณะของโครงกระดูกนั่นแหละ ที่น่าประหลาดใจ เพราะเป็นโครงที่แบบบางสเลนเดอร์ เกินมนุษย์ธรรมดา นับว่าไม่ใช่โครงกระดูกของสัตว์หรือคนในตระกูลใดๆ ที่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย กะโหลกศีรษะอันใหญ่โตก็ผิดส่วนกับขนาดร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่เหมือนมนุษย์มนากะเขาเลย

    มัน ย่อมต้องไม่ใช่โครงกระดูกของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา หรือชนชาวพื้นเมืองเผ่าไหนๆ ของดินแดนแถบนี้แน่นอน เพราะชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ของจีนโบราณล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ และขนาดศีรษะ ธรรมดาๆ ทั้งนั้น

    ลักษณะของโครงกระดูกเหล่า นี้คล้ายคลึงกับกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่บินได้ หรือสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความดึงดูดตํ่า?

    <table style="width: 331px; height: 272px;" align="center" border="0" cellspacing="10"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]
    ลวดลายบนแผ่นหินปริศนา ที่ Dr. Karyl Robin-Evans ได้คัดลอกเอาไว้</td> </tr> </tbody> </table> อย่าง ไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไต๋และคณะได้พากันออกจากถํ้าสำคัญนั้นกลับสู่ปักกิ่ง โดยไม่มีรายงานเพิ่มเติมถึงการค้นพบดังกล่าว ไม่มีใครทราบว่าเขานำโครงกระดูก และแผ่นศิลาจารึก ติดตัวไปด้วยทั้งหมด หรือทิ้งไว้ในถํ้าลึกลับมืดตื๋อของเทือกเขาพรมแดนนั้น? โครงกระดูกอันแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาก็ดูเหมือนหายสาบสูญไปเลย...สูญจาก ความทรงจำ และความรับรู้ของผู้สนใจ เพราะไม่มีใครกล่าวถึงมันอีกเลย

    อย่างไรก็ตาม ในตำนานเก่าแก่โบรํ่าโบราณของจีนกล่าวถึงมนุษย์ผิวเหลืองตัวน้อย หรือ "Little Yellow Creatures" ซึ่งมีหัวโตตัวเล็กไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่ใช่คนธรรมดา และยังมีตำนานประจำท้องถิ่นอันเก่าแก่กว่านั้นอีก กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่สูญเสีย "ยาน" ของพวกเขาบนภูเขาสูงของจีน จนไม่อาจซ่อมแซมได้... ชะรอยจะเป็นภูเขาเปเยง อรา อูลา ที่พบซากดึกดำบรรพ์นี้เสียละกระมัง?

    บรินสลีย์ เลอ โปเอร์ เทร้นช์ เจ้าของทฤษฎี "โลกกลวง" กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เขาเคยพบเอกสารโบราณมากของจีน กล่าวถึงมนุษย์มีผิวกายสีอ่อน ซึ่งลงมาเยือนพิภพจากดวงจันทร์

    <table align="center" border="0" cellspacing="10"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]
    ภาพศพมนุษย์ตัวจิ๋วที่ Dr.Chi Pu Tai ได้ค้นพบบริเวณถ้ำ</td> </tr> </tbody> </table> อย่าง ไรก็ตาม นักจานผีวิทยาที่ค้นคว้าเรื่องนี้จับเอาตำนานเก่าแก่ของมนุษย์จากโลกอื่น ซึ่งคนจีนจดบันทึกไว ้เป็นเรื่องราวโบราณกับโครงกระดูกมนุษย์ในถํ้าเทือกเขาทิเบตมารวมกัน กลายเป็นตำนานของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกและยานอวกาศประสบอุบัติเหตุ กลับบ้านเกิดไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยอยู่ในถํ้านั่นไป ความลับในเรื่องนี้ก็คือ เจ้าของโครงกระดูกประหลาดในถํ้านั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เดินทาง มาจากโลกอื่นจริงๆ หรือ?

    ไม่ มีใครตอบคำถามนี้ได้ นอกจากจะนำเอาโครงกระดูกเหล่านั้นมาตรวจวิเคราะห์ ตามกรรมวิธีชันสูตรแบบสมัยใหม่เสียก่อน แต่ใครล่ะจะทำอย่างนั้นได้ ในเมื่อเจ้าของประเทศไม่เปิดเผยวี่แววเรื่องนี้ออกมาเลย


    <table align="center" border="0" cellspacing="10"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]
    แผ่นหินปริศนา</td> </tr> </tbody> </table> อย่าง ไรก็ตาม (อีกที) มีรายงานเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผ่นศิลารูปเหมือน จานที่จารึกอักขระประหลาดนั้นบ้าง กล่าวคือ มีผู้วิเคราะห์วิจัยดูแล้วปรากฏว่า มันไม่ใช่หินแท้ แต่มันเป็นส่วน ประกอบของหินแกรนิตกับโคบอลต์ อันว่าหินแกรนิตนี้เป็นหินอัคนีที่แข็งมาก ประกอบด้วยซิลลิเคทเป็นส่วนใหญ่ ส่วน โคบอลต์ เป็นส่วนประกอบของโลหะ ที่มีคุณสมบัติ เป็นแม่เหล็กด้วยการผสม ผสานกันอย่างนี้ ทำให้แผ่นจารึกอยู่ยง คงกระพันต่อ สภาพธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อมได้นานเท่านาน

    มีข่าวเล่าลือ ไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับแผ่นหินกลมนี้ บ้างก็ว่ามันมีคุณสมบัติพิเศษ คือชาร์จไฟได้ในตัว และบ้างก็ว่ามันมีปฏิกิริยาต่อเสียงและความถี่ของเสียงด้วยครับ บางคนอธิบายเสริมว่า มันไม่ใช่แผ่น ศิลาธรรมดา แต่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของ มนุษย์ที่มีความเจริญทางวิทยาการสูงต่างหากเล่า

    [​IMG]แน่ นอนที่เชื่อได้แหงๆ ก็คือ แผ่นดินกลมอันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุตครึ่ง และหนาเกือบ 1 นิ้ว นี้ย่อมไม่ใช่ผลงานของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา คนด้อยพัฒนาเหล่านั้น ต้องไม่รู้วิธีกะเทาะหินอัคนีชนิดนี้ออกมาและตกแต่งเป็นรูปกลมดิกได้อย่าง นั้นเป็นแน่ จึงคิดกันไปว่าผู้ที่นำหินแกรนิต ผสมโคบอลต์มาใช้นี้ คงจะเป็นคนที่รู้จักคุณสมบัติของมันมาก่อน ซึ่งก็คงได้แก่มนุษย์ต่างดาวที่ยานมาตกในเทือกเขานั้นแหละเป็นผู้ค้นพบ และนำมาทำเป็นแผ่นจารึกด้วยความมุ่งหมายบางประการ บางทีข้อความที่จารึกอยู่ในนั้น อาจเป็นเทคโนโลยีและวิชาการที่มนุษย์ต่างดาวจารึกลงไว้ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นจดบันทึก ประจำวันที่มนุษย์เหล่านั้น บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ตลอดเวลาที่ยานอับปางนั้นเอง
    ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย ผู้ศึกษาแผ่นจารึกที่นักโบราณคดีขุดมาได้นี้อย่างอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุดก็พอจะเข้าใจความหมายของแผ่นจารึกแผ่นหนึ่งได้ เขาได้นำข้อความมาเปรียบเทียบ กับพงศาวดารและตำนานโบราณดึกดำบรรพ์เห็นว่า ข้อความไปกันได้ดังนี้

    "ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว..." (เป็นข้อความในพงศาวดารจีนครับ)

    "...กลุ่มสิ่งประหลาดซึ่งน่าเกลียดน่ากลัว..." (เป็นตำนานประจำเผ่าดรอปา)

    "...ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดเพราะว่า..." (เป็นการตีความหมายจากแผ่นศิลาจารึกน่ะครับ เหตุผลของการลงจอดไม่ได้ระบุไว้)

    "...พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ..." (เป็นตำนานท้องถิ่น)

    "...ต่อมาภายหลัง ชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่องบรรณาการ มาให้เป็นสัญญาณสันติ..." (ตีความจากแผ่นศิลาจารึก)

    "...เมื่อพวกเขาโผล่ออกมานอกถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป..." (จากตำนานของท้องถิ่น)

    [​IMG]ศาสตราจารย์ ซัม อัม นุย บอกว่า เขาสามารถตีความหมายของจารึกได้แผ่นเดียว ส่วนจารึก แผ่นอื่นๆอีก 715 แผ่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จึงมีข่าวลือว่า โซเวียตรัสเซียได้มาแอบขน ไปมอสโกแล้ว ซึ่งตามความจริงน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะนอกจากจีนแดงกับโซเวียต จะตึงเครียดต่อกัน ทางการเมืองแล้ว การขนแผ่นหินแกรนิต หนักอึ้งกว่า 30 ตัน ข้ามเขากลับไปรัสเซียนั้นทำได้ยากเย็น เหมือนเข็นครกขึ้นเขาจริงๆ

    จาก โครงกระดูกอันแปลกประหลาด ผิดมนุษย์ในถ้ำบนเขาสูง บางส่วนจากพงศาวดารดึกดำบรรพ์ บางตอนของตำนานท้องถิ่น และส่วนน้อยที่ตีความได้จากแผ่นศิลาจารึกนำมารวมกันเข้า ดังข้อความที่ปรากฏอยู่นี้ ก็ทำให้ ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย เขียนถึงประวัติการมา ประสบอุบัติเหตุยานอวกาศตก ในโลกของ มนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนพอควร

    สิ่งน่าคิดต่อมาก็คือ ถ้ามีมนุษย์ต่างดาว มาอยู่บนถ้ำ แห่งเทือกเขาเปเยง อรา อูลา หลายคนจริงแล้ว เขาก็น่าจะแพร่พันธุ์ต่อๆ มา ณ ดินแดน ที่ไม่มีใคร ย่างกรายเข้าไปนั้น ได้อย่างปราศจากการรบกวน ใครจะรู้ว่าสืบมาจนถึงสมัยใหม่นี้ ลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวที่แพร่พันธุ์ กันต่อมาอาจจะยังคงอาศัยอยู่ ณ ดินแดนลี้ลับ แห่งนั้นก็ได้!

    ก่อนจบ ขอตบท้ายด้วยข้อเขียนของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส อังเดร มิโกต์ ซึ่งเขาผู้นี้ได้สำรวจหาโบราณวัตถุในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา เหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับยัง ไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่เปิดเผยก็คือเรื่องประหลาดที่เขาประสบในเช้าวันหนึ่ง

    " ผมตื่นแต่เช้าขี่ม้าขึ้นไปบนชะง่อนเขาเพื่อชมธรรมชาติ" มิโกต์เล่า"ทุกสิ่งรอบตัวสงบงาม อยู่ในยามเช้าอันสดชื่น แต่ทันทีทันใดนั้นผมก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งแผดดัง ขึ้นในความเงียบห่างออกไปข้างหน้า"

    "มันไม่ ใช่เสียงของสิ่งที่หูเราเคยได้ยินเลยครับ ไม่ใช่เสียงลม เสียงสัตว์ เสียงคน หรือเสียงธรรมชาติอะไรทั้งนั้น เป็นเสียงที่บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ม้าของผมก็ตกใจจนหกหน้าหกหลัง ผมต้องรีบลงจากหลังของมัน พอเสียงนั้นสงบเงียบไป ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ม้าของผมก็หายตื่น"

    อังเดร มิโกต์ ได้ยินเสียงอะไรกันแน่ครับ...เสียงของมนุษย์ต่างดาวใช่หรือไม่?

    เพราะว่าจุดที่เขายืนชมวิวและ ได้ยินเสียงประหลาดนั่นน่ะมันเป็นจุดที่ ศาสตราจารย์ ไต๋ขุดพบแผ่นหินจารึกอักขระประหลาดพอดิบพอดีนี่เอง





    เครดิต : เว็บ ภาษาญี่ปุ่น ที่ดีที่สุด

    </td></tr></tbody></table>
     
  2. aeker

    aeker สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +5
    บทวิเคราะห์เชื่อมโยง : ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงไม่ยอมปรากฏตัวต่อชาวโลกโดยตรง ลงจากยานเพื่อติดต่ออย่างใกล้ชิด

    อ้างอิง
    "ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว สิ่งประหลาด กลุ่มหนึ่งซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดที่นี่..." >>>อาจเป็นยุคบุกเบิกที่พวกเขาพยายามติดต่อกับพวกเราในฐานะสิ่งมีชีวิตท้อ
    งถิ่นที่พอมีภูมิปัญญา


    " พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนี เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถํ้า >>> พวกเขามาโดยที่ไม่มีอาวุธติดตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่อง บรรณาการมา ให้เป็นสัญญาณสันติภาพ"

    "เมื่อสิ่งประหลาดกลุ่มนั้นก้าวออกมา
    จากถํ้า >>> ต้องใช้ความกล้าอย่างมาก เพราะพวกเขาอาจสามารถติดต่อกับมนุษย์โลกได้โดยสันติเป็นครั้งแรก ก็ถูกฆ่าตายทันที >>> มนุษย์ยุคนั้นทำลายความพยายามนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เสียแล้ว เพราะว่าพวกเขา น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปนั่นเอง..."



    แน่นอนว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง มนุษย์ต่างดาวที่รู้เรื่องนี้เข้าจะต้องคลางแคลงใจในความเจ้าเล่ห์และความโหดเหี้ยมของมนุษย์อย่างพวกเราแน่นอนครับ ที่บินวนสังเกตการณ์อยู่ตอนนี้คงเพื่อศึกษาและสอดแนมว่าเผ่าพันธุ์ของเรามีแนวโน้มที่จะอันตรายต่อเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในอวกาศรึเปล่า และแน่นอนครับ พวกเราอันตรายจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2011
  3. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    อ้อเหมือนกับกระดุมทองในเรื่องจริงของไซอิ๋วเลย
    แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นเทคโนโลยีของโลกเรานี่แล่ะ
    ถ้ามัวมองหาว่าเป็นของต่างดาว555+
    โดยลืมว่ามนุษย์เคยเจริญมากมายมาก่อน ชาตนี้คงยากจะเจอคำตอบ
     
  4. ล้มเหลว

    ล้มเหลว วีชิคเชียงใหม่ รถเช่าราคาถูก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +92
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    เคยได้ยินว่า บนเขาสูงในประเทศจีน มีทะเลสาปซึ่งเป็นน้ำเค็มอยู่บนยอดเขา แล้วจีนพยายามหาก้นทะเลสาป แต่ก็ยังหาไม่เจอ
     
  6. ควายเผือก

    ควายเผือก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +48

    มันคงลึกมาก หรือ มันจะไม่มีก้น
     
  7. aeker

    aeker สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้าไม่มีก้น แล้วมันเชื่อมต่อไปไหนล่ะ
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถ้ามันมีก้นมันก็เหมือนทะเลทั่วๆไปน่ะซิ แต่เพราะไม่มีก้นมันจึงเป็นทะเลที่อยู่บนยอดเขา มันอาจเป็นประตูมิติก็ได้ซิเนี่ยblack_pig
     

แชร์หน้านี้

Loading...