ด่วน!กฐินสามัคคี ปฏิสังขรณ์องค์ พระอัฏฐารสยืนคู่ เดียวในโลก อายุ 700 กว่าปี

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย por410, 22 มีนาคม 2011.

  1. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=750><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD>บุญที่แท้

    [​IMG]
    คนไทยหายใจเข้าออกเป็นบุญ นึกถึงการทำบุญอยู่เสมอ ขาดบุญไม่ได้ แต่มักไม่เข้าใจความหมายของ "บุญ" อย่างเช่นเวลาพูดว่า "ทำบุญทำทาน" เรามักเข้าใจว่า ทำบุญ คือ ถวายข้าวของแก่พระสงฆ์ ส่วนทำทาน คือ ให้ข้าวของแก่คนยากคนจน และยังเข้าใจจำกัดแต่เพียงว่าต้องทำกับพระสงฆ์เท่านั้นจึงจะเป็นบุญ
    บุญ แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด หรือ คุณสมบัติที่ทำให้บริสุทธิ์ คำว่า "ทาน" แปลว่า การให้ การสละ การเผื่อแผ่แบ่งปัน จะมอบของให้ใคร หรือจะถวายของให้ใครก็เป็นบุญทั้งนั้น จะต่างกันก็เพียงว่าได้บุญมากบุญน้อยเท่านั้นเอง
    ฉะนั้น เวลาพูดว่า ไปทำบุญทำทาน จึงหมายความว่าไปชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการแบ่งปันสิ่งของ (ทานมัย) ซึ่งเป็นการแบ่งปันให้ใครก็ได้ และการทำบุญก็ไม่ได้มีความหมายแคบๆ แต่เพียงแค่การให้ทานบริจาคสิ่งของ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    [​IMG]
    [​IMG]ทำบุญอย่างมีความหมาย

    บุญ มาจากศัพท์ภาษาบาลีว่า "ปุญญะ" แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ บุญเป็นเครื่องจำกัดสิ่งเศร้าหมองที่เรียกว่า กิเลส ดังนั้นการทำบุญจึงเป็นการช่วยลดละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีใจคับแคบ ตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหน ยึดติดลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของความทุกข์ให้ออกไปจากใจ ทำให้ใจเป็นอิสระ พร้อมจะก้าวต่อไปในคุณความดีอย่างอื่น หรือเปิดช่องให้นำเอาคุณสมบัติอันดีงามอื่นๆ มาใส่เพิ่มเติมแก่ชีวิต เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
    ขณะเดียวกันบุญก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะน่าบูชา คนที่ทำบุญมักเป็นคนน่าบูชา เพราะเป็นบุคคลผู้มีคุณธรรม มีความดี บุญทำให้เกิดภาวะน่าบูชา แก่ผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอและเมื่อได้ทำบุญแล้ว จิตใจก็อิ่มเอิบเป็นสุขที่ประณีตลึกซึ้งขึ้นไป เป็นความสุขที่ยั่งยืนยาวนาน และเป็นความสุขที่สงบประณีต
    [​IMG]หลวงพ่อพุทธทาสพูดถึงวิธีทำบุญ ๓ แบบ ว่า เปรียบเหมือนกับคน ๓ คน เอาน้ำ ๓ ประเภทมาอาบชำระล้างตัว คือ
    ๑) บุคคลทำบุญเหมือนเอาน้ำโคลนมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ และเอาเนื้อสัตว์เหล่านั้นมาจัดงานบุญเลี้ยงกัน รวมทั้งมีเลี้ยงสุรายาเมาด้วย จนบางครั้งเกิดการทะเลาะวิวาททำร้ายกัน เหล่านี้เป็นการทำบุญด้วยการทำบาป เหมือนกับเอาน้ำโคลนมาชำระตัว จะสะอาดได้อย่างไร
    ๒) บุคคลทำบุญเหมือนเอาน้ำเจือด้วยแป้งหอมมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในบุญเป็นอย่างมาก เมาสวรรค์ เมาวิมาน เป็นการทำบุญด้วยกิเลสหรือความยึดติดอย่างรุนแรง ทำแล้วหวังผลเช่นนั้นเช่นนี้ เหมือนเอาน้ำที่เป็นเครื่องหอมมาอาบชำระกาย จะสะอาดได้อย่างไร
    [​IMG]๓) บุคคลทำบุญเหมือนเอาน้ำสะอาดมาอาบ คือ คนที่ทำบุญด้วยใจสงบร่มเย็น ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น ว่าเป็นตัวเราของเรา (อาจจะมีบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นเหตุจริงจังให้จิตฟุ้งซ่าน สั่นไหว หรือยึดติดเป็นอุปาทาน) เหมือนคนเอาน้ำสะอาดมาอาบ ย่อมสะอาดกว่าบุคคล ๒ ประเภทแรก
    เราทำบุญแล้วเป็นแบบไหน หรือ จะเป็นแบบไหน ต้องเลือกพิจารณาดูให้ดี ๆ

    บุญคือการสร้างสรรค์ชุมชน

    [​IMG]มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชาวบ้านกำลังร่วมกันทำงานในชุมชน อย่างขมักเขม้น มฆมาณพช่วยงานอยู่แถวนั้น ก็ทำความสะอาดที่พัก เพื่อเตรียมตัวจะพักกลางวัน จนสะอาดเรียบร้อยน่าพักผ่อน ต่อมามีคนเห็นว่า จุดที่มฆมาณพทำความสะอาด เป็นสถานที่น่าพักผ่อนก็เข้ามาใช้ มฆมาณพก็ต้องออกไปแต่ไม่โกรธ จากนั้นมฆมาณพ ก็ไปชำระทำความสะอาด ที่จุดอื่นต่อ แล้วถูกคนอื่นแย่งเอาที่ไปอีก ก็ไม่โกรธ คงย้ายที่ไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ พร้อมกับคิดว่าคนเหล่านี้ได้รับความสุขก็ดีแล้ว เขามีความสุขจากที่ของเราจากการกระทำของเรา การกระทำของเราเป็นการกระทำที่เป็นบุญ บุญนี้จึงให้ความสุขแก่เราด้วย
    มฆมาณพทำความสะอาดที่สาธารณะเช่นนี้ เป็นเหตุให้กลับบ้านค่ำมืด เพื่อนบ้านถามว่าไปทำอะไรมา ก็ตอบว่า "ไปทำบุญชำระทางสวรรค์" ต่อมามีชายหนุ่มในหมู่บ้านเห็นด้วยกับวิธีการทำบุญแบบนี้ ก็มาช่วยมฆมาณพมากมายรวมเป็นกลุ่มถึง ๓๓ คน
    ตัวมฆมาณพเอง ต่อมาก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มทำบุญ ด้วยการสร้างสรรค์ชุมชน ก็ได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้านเป็นอย่างดี เขาจึงชักชวนชาวบ้านให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันกันและกัน และร่วมกันละเว้นจากอบายมุข สุรายาเมา สิ่งเสพติดและการพนัน จนชาวบ้านหันมาถือศีลกันทั่วหน้า
    ยังไม่หมดแค่นั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ยังรวมตัวกันพัฒนา ปรับถนนหนทาง สร้างศาลาที่พักตามทาง ขุดบ่อน้ำ สร้างสะพาน ปลูกไม้พุ่มไม้กอ ไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ จนเกิดความสวยงาม
    มฆมาณพและเพื่อน ๆ ผู้เป็นนักทำบุญทั้งหลายได้ทำบุญด้วยการสร้างสรรค์ชุมชนเช่นนี้ เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ ตัวมฆมาณพผู้เป็นหัวหน้านักทำบุญ ไปเกิดเป็นท้าวสักกะ คือพระอินทร์ในกาลต่อมา
    แม้แต่การช่วยกันบริการสถานที่สาธารณะในชุมชนให้เกิดความสะอาด สะดวกสบาย ก็ยังเป็นบุญ การทำบุญจึงสามารถทำได้ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดกาล และยังมีรูปแบบวิธีการที่สร้างสรรค์มากมาย
    [​IMG]
    บุญ ๑๐ วิธี

    [​IMG]ตามหลักพุทธศาสนา มีการทำบุญด้วยกัน ๑๐ วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ) คือ
    ๑. ให้ทาน แบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ ไม่ว่าจะให้ใครก็เป็นบุญ (ทานมัย) การให้ทาน เป็นการช่วยขัดเกลา ความเห็นแก่ตัว ความคับแคบ ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดยึดในวัตถุ นอกจากนี้สิ่งของที่เราแบ่งปันออกไป ก็จะเป็นประโยชน์กับบุคคล หรือชุมชนโดยส่วนรวม

    [​IMG]๒. รักษาศีล ก็เป็นบุญ (ศีลมัย) เป็นการฝึกฝนที่จะ ลด ละ เลิก ความชั่ว ไม่ไปเบียดเบียนใคร มุ่งที่จะทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นการหล่อเลี้ยงบ่มเพาะให้เกิดความดีงาม และพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่ให้ตกต่ำ

    [​IMG]๓. เจริญภาวนา ก็เป็นบุญ (ภาวนามัย) การภาวนา เป็นการพัฒนาจิตใจ และปัญญา ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีเรื่องเศร้าหมอง เห็นคุณค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ผู้ที่ภาวนาอยู่เสมอย่อมเป็นหลักประกันว่า จิตจะมีความสงบ ชีวิตมีความสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น สูงขึ้น

    [​IMG]๔. อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงออกในความมีเมตตาต่อผู้น้อย และต่างก็อ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ทั้งในความคิดความเชื่อ และวิถีปฏิบัติ ของบุคคลและสังคมอื่น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน ก็เป็นบุญ (อปจายนมัย)
    [​IMG]
    ๕. ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ช่วยเหลือสละแรงกายเพื่องานส่วนรวม หรือช่วยงานเพื่อนบ้าน ที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็เป็นบุญ (ไวยาวัจจมัย)

    [​IMG]๖. เปิดโอกาสให้คนอื่น มาร่วมทำบุญกับเรา หรือในการทำงาน ก็เปิดโอกาสให้คนอื่น มีส่วนร่วมทำ - ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการอุทิศส่วนบุญ ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ก็เป็นบุญ (ปัตติทานมัย)

    [​IMG]๗. ยอมรับและยินดีในการทำความดี (หรือทำบุญ) ของผู้อื่น เป็นการเปิดโอกาสร่วมใจอนุโมทนา ในการกระทำความดีของผู้อื่น ก็เป็นบุญ (ปัตตานุโมทนามัย)

    [​IMG]๘. ฟังธรรม บ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว ฟังธรรมะ ฟังเรื่องที่ดี มีประโยชน์ต่อสติปัญญา หรือมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ (ธรรมสวนมัย)

    [​IMG]๙. แสดงธรรม ให้ธรรมะ และข้อคิดที่ดี กับผู้อื่น แสดงธรรม นำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ (ธรรมเทศนามัย)

    ๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้อง และเหมาะสม มีการปรับทิฏฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น - ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม ให้เป็นสัมมาทัศนะอยู่เสมอ เป็นการพัฒนาปัญญาอย่างสำคัญก็เป็นบุญ (ทิฏฐุชุกรรม)
    [​IMG]
    ทิฏฐุชุกรรม หรือ สัมมาทัศนะ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำบุญทุกชนิด และทุกโอกาส จะต้องประกบและประกอบเข้ากับบุญกิริยาวัตถุข้ออื่นทุกข้อ เพื่อให้งานบุญข้อนั้น ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย พร้อมทั้งได้ผลถูกทาง
    [​IMG]

    บุญและความมุ่งหมายแห่งบุญ ๓ ระดับ

    ๑. เราทำบุญก็เพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน (ทิฏฐธัมมิกัตถะ) คือ เพื่อให้เกิดลาภบริวาร สถานภาพความเป็นอยู่ ความสุข คำชมเชย สนองตอบกลับมา นั่นคือคุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจที่ดี และการยอมรับที่ดีจากสังคมรอบข้างที่เราอยู่ ที่สุดก็เพื่อให้คนเรารู้จักเห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือกันฉันพี่น้อง คนที่เดือดร้อนก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ไม่ถูกทอดทิ้ง มีชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่มีความสุข เพราะคนเราในโลกต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน จะอยู่แบบตัวใครตัวมันไม่ได้
    ๒. เราทำบุญเพื่อประโยชน์สุขที่สูงขึ้น (สัมปรายิกัตถะ) นั่นคือในระดับจิตที่สูงขึ้นไป เพื่อเราจะได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง ให้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอบอุ่นซาบซึ้งสุดใจด้วยศรัทธา ภาคภูมิใจ อิ่มใจ แกล้วกล้ามั่นใจในชีวิตที่ได้ทำบุญ โดยกินความรวมถึงจุดหมายต่อมาเมื่อละโลกนี้ไปแล้วด้วย
    ๓. เราทำบุญเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง (ปรมัตถะ) คือ ประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต ได้แก่ การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เท่าทันคติธรรมดาของโลกของสังขารธรรม ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต มีจิตเป็นอิสระปลอดโปร่งผ่องใส ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต หรือการพรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักในชีวิต ไม่ถูกบีบคั้นโดยความยึดมั่นของตนเอง เย็นสว่างไสวโดยสมบูรณ์
    ความมุ่งหมายของบุญทั้ง ๓ ระดับนี้ เราจะเห็นได้จาก พิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่มุ่งประโยชน์ทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านวัตถุ หรือความเป็นอยู่ ด้านสังคม ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่เกื้อกูลกัน ความสัมพันธ์ด้านจิตใจ และด้านปัญญา ทั้งหมดนี้ล้วนมีคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตและสังคม อันไม่อาจขาดด้านใดด้านหนึ่งไปได้ พูดง่าย ๆ คือพิธีกรรมทางพุทธศาสนามุ่งให้เกิดประโยชน์ครบถ้วน อย่างเป็นองค์รวมตามความมุ่งหมาย
    ประโยชน์ทั้ง ๔ ด้านนี้เรายังเห็นได้จากประเพณีพิธีกรรมของชุมชน เช่น ลอยกระทง บุญบั้งไฟ กล่าวคือ ไม่เพียงแต่มีจุดมุ่งหมายอนุรักษ์ลำน้ำหรือเพื่อให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่โดยตรงเท่านั้น ยังเอื้อให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในชุมชน และมีกิจกรรมทางศาสนาเพื่อให้เกิดความมั่นใจในชีวิต รวมทั้งมีการปลูกฝังตอกย้ำทัศนคติที่เคารพธรรมชาติ และจิตสำนึกต่อชุมชน ซึ่งล้วนเป็นคติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
    โดยสรุปแล้ว ปุถุชนคนเราทำบุญก็เพื่อ "ตัวเอง"
    แต่คงดีกว่าถ้าเราทำบุญเพื่อ "พัฒนาจิต"
    และคงดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเราทำบุญเพื่อพัฒนา "สติปัญญา" ไปด้วย
    และคงดีที่สุด ถ้าเราช่วยกันทำบุญทุกรูปแบบ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐)
    เพื่อช่วยเหลือสังคมให้สงบสุข และดีไปด้วยพร้อม ๆ กัน

    [​IMG]
    [​IMG]การตรวจสอบผลแห่งบุญ

    การวัดว่าได้บุญมาก - บุญน้อย มีหลักเกณฑ์สำหรับวัดอยู่ ๓ ประการ คือ
    ๑. ปฏิคาหก คือ ผู้รับ เป็นผู้มีศีล มีคุณธรรม มีความดเราก็ได้บุญมาก ทั้งนี้ไม่จำกัดว่า ปฏิคาหกจะต้องเป็นพระสงฆ์เสมอไป อาจเป็นสามเณร แม่ชี หรือคฤหัสถ์ชาวบ้านก็ได้ แต่หากปฏิคาหกเป็นคนไม่มีศีล เราก็ได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลจากของที่เราให้ไปทำไม่ดี เช่น ได้อาหารไปกิน มีแรง ก็หันไปทำการร้ายได้อีก อย่างนี้เราก็ได้บุญน้อย
    ๒. วัตถุสิ่งของที่มอบให้ มีความบริสุทธิ์ ได้มาโดยสุจริต เป็นของดีมีประโยชน์ มีคุณค่า และมีความเหมาะสมกับผู้รับ เช่น ถวายจีวรแก่พระสงฆ์ ให้เสื้อผ้าแก่เด็ก ๆ เช่นนี้ย่อมได้บุญมาก
    ๓. ทายกคือผู้ให้ เป็นผู้มีศีล มีธรรม มีเจตนาที่เป็นบุญเป็นกุศล ตั้งใจดี ยิ่งถ้าเจตนานั้นประกอบด้วยปัญญาก็มีคุณสมบัติดีประกอบมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นบุญมากขึ้น
    [​IMG]
    ยังมีวิธีตรวจสอบบุญที่สมบูรณ์อีกวิธีหนึ่ง โดยการตรวจสอบด้านจิตใจของผู้ให้ว่ามีเจตนาเป็นอย่างไรบ้าง คือ
    ๑. เจตนาก่อนให้ (บุพเจตนา) ตั้งแต่ตอนแรก เริ่มต้น ตั้งใจดี มีศรัทธา มีความเลื่อมใส จิตใจเบิกบาน ตั้งใจทำจริง มีศรัทธามาก
    ๒. เจตนาขณะให้ หรือขณะถวายของให้ ก็จริงใจจริงจัง ตั้งใจทำด้วยความเบิกบาน ผ่องใส มีปัญญา รู้ เข้าใจ (มุญจนเจตนา)
    ๓. เมื่อมอบของไปแล้ว หรือถวายของให้แล้ว หลังจากนั้นระลึกขึ้นเมื่อใด จิตใจก็อิ่มเอิบผ่องใสขึ้น เกิดความภูมิใจในทานที่ให้ไปว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้รับจริง ๆ ระลึกได้เมื่อใดก็ได้บุญเพิ่มขณะนั้นแล (อปราปรเจตนา)
    ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบที่จะทำให้เราได้บุญมากหรือน้อย

    [​IMG]

    ละบาปก่อนทำบุญ

    เมื่อเราไปทำบุญที่วัดไม่ว่าจะเป็น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ถวายพระพุทธรูป หรือแม้แต่นิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน รวมทั้งงานพิธีกรรมต่าง ๆ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการสมาทานศีล ๕ เสียก่อนทุกครั้ง นั่นเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งว่า จะทำบุญทั้งทีก็ต้องเริ่มต้นละบาปกันก่อน คือการเข้ามาอยู่ในศีลในธรรม เพื่อว่าการทำบุญนั้นจะได้เกิดอานิสงส์สูง
    การสมาทานศีลก่อนทำบุญทุกครั้ง ก็เปรียบได้กับการเตือนสติคนทำบุญ ให้ระมัดระวังการทำชั่วทำบาป เมื่อตั้งใจทำบุญแล้ว ก็มิควรพลัดหลงกลับไปทำบาป เบียดเบียนใครอีก หรืออีกนัยหนึ่งคือละบาปก่อนทำบุญนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาทำบุญ หรือหนทางใด ๆ ที่จะเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เพียงเพื่อจะนำเหตุปัจจัยเหล่านั้นไปทำบุญก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นการทำบุญที่ขาดทุนคือได้บาปมากกว่าได้บุญ
    แม้แต่ โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ในการปฏิบัติตนไปสู่พระนิพพาน ที่มีใจความ ๓ ประการ ว่า
    • ๑. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
    • ๒. การบำเพ็ญแต่ความดี
    • ๓. การทำจิตของตนให้ผ่องใส
    คำสอนดังกล่าวนี้ยังต้องเริ่มต้นด้วยการละเลิกทำชั่วก่อนเช่นกัน หาไม่แล้วการทำบุญไปด้วย ทำบาปไปด้วยก็คงไม่มีความหมายอะไรแก่ชีวิต
    [​IMG]
    สังฆทาน

    [​IMG]

    สังฆทานคืออะไร

    คือ การถวายสิ่งของแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการถวายกลาง ๆ ไม่จำเพาะเจาะจงภิกษุรูปหนึ่งรูปใด เมื่อถวายให้แล้วก็ถือว่า พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปมีสิทธิ์ใช้สอยสิ่งของเหล่านั้นตามสะดวก อาจจะมีเพียงตัวแทนสงฆ์เพียงรูปเดียวมารับประเคน ก็ถือว่าเป็นสังฆทานเหมือนกัน
    มีทานอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้าย ๆ สังฆทาน เป็นทานที่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่า คือ ทานที่ให้แก่หมู่พวกที่ไม่เฉพาะกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เรียก สาธารณทาน เป็นทานที่ไม่จำกัดเฉพาะในรั้ววัด เป็นการให้ที่ไม่มีขอบเขต สังฆทานเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณทานเช่นกัน
    ส่วนการถวายทานที่ให้เฉพาะพระภิกษุสงฆ์รูปนั้นรูปนี้ เรียก ปาฏิปุคคลิกทาน มีอานิสงส์น้อยกว่าทานสองประเภทข้างต้น เพราะเป็นการจำกัดเฉพาะบุคคลว่าต้องเป็นคนนั้นคนนี้ การให้ทานแก่ส่วนรวมย่อมได้อานิสงส์มากกว่า
    คราวที่พระนางปชาบดีโคตมี พระแม่น้าของพระพุทธเจ้าปั่นฝ้ายทอเป็นจีวร แล้วนำไปย้อมตั้งใจถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ ตรัสว่าให้ถวายแก่สงฆ์คือหมู่พระแทน พระนางเสียใจ แต่เมื่อทราบว่าถวายแก่สงฆ์มีผลมาก นางจึงคลายความเศร้าโศก
    พระสงฆ์บางรูป แม่ชีบางท่าน ฆราวาสบางคน ทำงานให้กับชุมชนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยความคิดในทางสะสมเพื่อตัวเองไม่มี บางท่านก็เลี้ยงเด็กกำพร้า บางท่านทั้งเลี้ยงทั้งสอน เมื่อเราบริจาคทรัพย์ให้ท่าน ท่านก็ใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์ ไปกับกิจการช่วยเหลือสังคมที่อยู่ ท่านเป็นเพียงคนกลางที่คอยแบ่งปันจากคนมั่งมีเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ขาดแคลน การทำบุญกับผู้ทำประโยชน์แก่ชุมชน นับเป็นสังฆทานที่ได้บุญไม่ใช่น้อย เพราะบุญได้แผ่ขยายกว้างออกไป ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ทุกข์ยากเหล่านั้นดีขึ้น และเป็นการช่วยสังคมไปด้วยในตัว
    เดี๋ยวนี้เวลาพูดถึง "สังฆทาน" พวกเราจะนึกถึงถังสีเหลือง ๆ ภายในบรรจุข้าวของเครื่องใช้เยอะแยะมากมาย จนล้นออกมาปากถัง แล้วมีพลาสติคใสหุ้มทับอีกที
    แท้จริงแล้วของที่จะถวายหมู่พระสงฆ์โดยไม่เจาะจงที่เรียกว่า สังฆทาน นั้น คืออะไรก็ได้ที่เหมาะกับชีวิตสมณะ ไม่จำเป็นต้องเป็นถังเหลือง ๆ ที่วางขายตามหน้าร้านสังฆภัณฑ์เสมอไป
    แต่สำหรับ "สังฆทานถังเหลือง" ที่ชาวพุทธนิยมซื้อไปถวายพระสงฆ์นั้น ท่านทราบหรือไม่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ในนั้น เรามาดูซิว่าในถังสังฆทานสีเหลือง ๆ หนึ่งใบ มีอะไรอยู่ข้างในนั้นบ้าง
    [​IMG]"ถังเหลือง ๆ" ที่มีวางขายตามร้านสังฆภัณฑ์นั้น บางร้านจะยัดหนังสือพิมพ์ หรือกระดาษแข็งเข้าไว้เต็มกระป๋อง ส่วนที่เป็นสังฆทาน หรือข้าวของเครื่องใช้จริง ๆ จะถูกบรรจุไว้แถวขอบปากถัง เพื่อให้ดูว่ามีของใช้มากมายจนล้นปากถัง แล้วเอาพลาสติคใสหุ้มอีกที เพื่อไม่ให้ของล้นจนหก แท้จริงแล้วมีของใช้ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
    ข้าวของเครื่องใช้ที่บรรจุมักเป็นของคุณภาพต่ำ เช่น หางผงซักฟอก ธูปเทียนคุณภาพต่ำ แปรงสีฟันที่ขนแปรงแข็งโป๊ก ผ้าอาบน้ำฝนที่บางเบา จนน่าวิตกว่า พระนุ่งสรงน้ำเมื่อใดคงได้โป๊แต่ไม่เปลือยเมื่อนั้น หรือบางทีอาจเป็นผ้าอาบน้ำฝนสีเหลือง ที่ใส่มาพอเป็นพิธี คือขนาดกว้างยาวไม่เกิน ๑ เมตร ที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ น้ำปลาราคาถูกที่ดูออกว่าเป็นน้ำสีดำละลายเกลือ ข้าวสารที่ใส่มาแค่ถุงเล็ก ๆ หยิบมือเดียวพอเป็นพิธีเหมือนกับผ้าอาบน้ำฝนที่ถูกใส่มา และบางครั้งก็เป็นเศษข้าวสารหัก ถ้าสังเหตุดูดี ๆ บางกระป๋องจะมีเกลือป่นใส่มาให้เป็นสิบถุง ใส่เพื่อเกลือป่นจะได้กินพื้นที่เยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องใส่ของใช้อื่นเพิ่มเติม
    นอกจากนี้ข้าวของที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ ก็มีใบชารสเข้มข้นที่ความเป็นจริงแล้ว พระและสามเณรไม่ค่อยชงฉันกันเลย และมักจะถูกทิ้งไปอย่างไม่ได้ประโยชน์ น้ำขวดที่มีกลิ่นผงซักฟอก อันเนื่องมาจากการบรรจุอยู่ในกระป๋องที่อับ พร้อมด้วยผงซักฟอก ๑ กล่อง เมื่ออากาศร้อนทำให้กลิ่นของผงซักฟอกเข้าไปในขวดน้ำ กลายเป็นน้ำที่มีกลิ่นผงซักฟอก ไม่เหมาะแก่การบริโภคในเวลาต่อมา กล่องสบู่ก็เป็น "บริขารล้นวัด" อีกชิ้นหนึ่ง มีกล่องหนึ่งก็ใช้ได้เกือบตลอดชีวิตของการเป็นพระ ไม่จำเป็นต้องถวายบ่อยก็ได้ ได้มาก็ล้นวัดไม่รู้จะเอาไปไว้ไหนดี
    ความไม่ชอบมาพากลของ "สังฆทานถังเหลือง" เกิดจากความที่เราไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรไปถวายพระดี เลยต้องอาศัยเครื่องสังฆทานที่มีจำหน่ายตามร้านบรรจุให้สำเร็จรูป เพื่อจะได้ไม่ต้องเล่นเกมส์เดาใจพระ อีกทั้งการบรรจุกระป๋องก็ทำมาให้เรียบร้อยสวยงาม ซื้อปุ๊ปก็ถือไปถวายปั๊บ เข้ากับยุคสมัยบริโภคนิยมพอดี ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อหามาประกอบให้ลำบาก
    แต่ความที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ ก็เลยเป็นช่องว่าง ที่เปิดโอกาสทองให้กับร้านค้า เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอัตโนมัติ คนซื้อไม่มีทางรู้หรอกว่า "สังฆทานถังเหลือง" ที่ซื้อไปถวายพระ ข้างในมีของที่จำเป็นสำหรับพระจริง ๆ สักกี่อย่าง มีของที่มีคุณภาพมากแค่ไหน หรือมีจำนวนสิ่งของที่คุ้มกับราคาที่ร้านค้าตั้งไว้หรือไม่
    ส่วนพระสงฆ์นั้นเล่า เมื่อรับประเคนสังฆทานเสร็จ โยมลากลับเปิดกระป๋องออกดู เจอแต่สิ่งของที่ใช้ได้เพียงไม่กี่ชิ้น ซ้ำของบางอย่างก็ไม่มีคุณภาพ บ่อยครั้งที่ต้องจ่ายปัจจัยไปซื้อหามาใช้เอง หรือบางครั้งก็มีแต่ม้วนกระดาษชำระใส่มาเต็มใต้กระป๋อง จะบอกให้โยมรับรู้แต่โยมก็กลับบ้านไปเสียแล้ว
    [​IMG]
    ถวายสังฆทานอย่างไรให้ได้บุญ

    [​IMG]ถึงเวลาต้องมา ทบทวน การทำสังฆทาน กันเสียที สังฆทานที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีของถวายมากมาย ขอเพียงเป็นของจำเป็น และมีคุณภาพเท่านี้ก็พอ และการเลือกซื้อของ มาประกอบเป็นสังฆทานเอง จะได้ของดีมีคุณภาพกว่าการไปซื้อ "ถังเหลือง ๆ" ตามร้านสังฆภัณฑ์
    จัดสังฆทานให้ได้ประโยชน์

    ข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อหามาจัดเป็นสังฆทานได้
    สบู่ จัดเป็นเครื่องประทินผิว แต่พระก็ใช้ได้เพื่อทำความสะอาด และระงับกลิ่นกาย
    ยาสีฟัน ชนิดผง หรือแบบหลอดก็ได้ ยาสีฟันสมุนไพรก็น่าสนใจ
    แปรงสีฟัน เลือกที่เป็นชนิดขนแปรงอ่อน ๆ จะได้สบายเหงือก
    ยาสระผม เอาไว้ใช้เวลาโกนศีรษะจะได้โกนได้ง่ายขึ้น
    ใบมีดโกน เป็นของจำเป็นมาก เพื่อใช้โกนศีรษะ
    เครื่องดื่มสมุนไพรพร้อมชง ขิงผง ชารางจืด มะตูม เดี๋ยวนี้ผลิตออกมาหลายประเภท หรือจะใส่เครื่องดื่มรสช็อคโกแล็ตก็ได้ อย่าลืมดูวันหมดอายุก่อนซื้อด้วย
    ผ้าอาบน้ำฝน เลือกที่เนื้อหนา ๆ หรืออาจเลือกซื้อเป็นสบง (ผ้านุ่ง) หรือจะเป็นอังสะก็ได้ เพราะพระท่านมักจะมีผ้าอาบน้ำฝนอยู่มากแล้ว จะขาดแคลนก็คือสบง อังสะ ถ้าถวายให้สามเณรก็จัดเหมือนพระเช่นกัน
    ถวายสังฆทานแม่ชี ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลืองเป็นชุดแม่ชี ซึ่งหาซื้อได้จากวัดบวรนิเวศหรือที่ สถาบันแม่ชีไทย หากหาซื้อไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นผ้าขาวเนื้อดีตามร้านขนาด ๒ - ๔ เมตรแทน จากนั้นแม่ชีท่านจะนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าถุง ผ้าครอง ตามสมควร
    หนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ หรือหนังสือความรู้ต่าง ๆ ที่คิดว่าพระสงฆ์ควรรับรู้เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่ญาติโยมได้
    ยาสมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งยาแผนปัจจุบัน
    เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ รวมทั้งซองจดหมาย แสตมป์
    ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย วัดชนบทและวัดป่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก
    จาน ชาม ช้อน ส้อม อาจสอบถามดูว่าวัดนั้น ๆ ต้องการจำนวนมากหรือไม่ จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายเป็นของสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านหยิบยืมได้ด้วยในงานบุญประเพณีต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องมืองานช่างต่าง ๆ เช่น ค้อน ตะปู ไขควง หรืองานเกษตร เช่น จอบ เสียม พลั่ว และงานทำความสะอาด เช่น ไม้กวาดอ่อน ไม้กวาดแข็ง ถังขยะ ที่ตักผง ฯลฯ
    ของอื่น ๆ ที่มักนิยมใส่ก็มี ข้าวสาร หัวหอม กระเทียม น้ำมันพืช ที่จัดว่าเป็นของแห้งเก็บไว้ได้นาน ของเหล่านี้ถ้าพระท่านใช้ไม่ทันท่านก็มักจะเก็บรวบรวมนำไปบริจาคต่างจังหวัดอีกที นับเป็นวงจรบุญไม่มีที่สิ้นสุด
    จัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาลงในภาชนะซักผ้าที่ซื้อมาต่างหาก อาจจะเป็นถังหรือกะละมังก็ได้ แล้วนำไปถวายได้ทันที
    [​IMG]
    ของที่ควรลดละเลิกในสังฆภัณฑ์

    ข้าวของบางอย่างที่ควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาประกอบเป็นสังฆทาน
    บุหรี่ ยาเสพติด เครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท
    ผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุด้วยโฟม เพื่อหลีกเลี่ยงมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
    อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง เพราะเป็นอาหารที่มีสารกันบูด สารเคมี ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ใส่เป็นผลไม้สดจะดีกว่า ถ้าในวัดมีครัวอาจซื้อผักสดเข้าครัวก็ได้
    ใบชาคุณภาพต่ำ พระไม่ค่อยได้ชงฉัน ควรเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ให้ประโยชน์กับสุขภาพมากกว่า
    กล่องสบู่ ปรกติพระท่านมีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซื้อถวายอีก
    บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารบิณฑบาตในตอนเช้าเป็นอาหารสด และมีคุณค่ากว่า ไม่ควรส่งเสริมให้ท่านฉันอาหารที่มีคุณค่าน้อย
    น้ำอัดลม น้ำที่ผ่านการปรุงแต่งใส่สี
    [​IMG]
    <IMG alt="-->" align=absMiddle src="http://www.khonnaruk.com/images/ar_o_right.gif"> [SIZE=-1]ฉลาดทำบุญ ตอนที่ [SIZE=+1]๑[/SIZE] [/SIZE]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- #EndEditable -->
    [SIZE=-1]ห้องพระ > ฉลาดทำบุญ > <!-- #BeginEditable "bottom" -->ตอนที่ ๑ บุญที่แท้และสังฆทาน<!-- #EndEditable -->[/SIZE] ​
    </TD><TD vAlign=top width=180><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180><TBODY><TR><TD width=25>[​IMG]</TD><TD width=155 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=155 align=right><IMG border=0 name=menu2 alt=">ห้องพระ" src="http://www.khonnaruk.com/images/common/menu2-oo.gif" width=155 height=30></TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=155 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=260 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=260 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=155 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=155 align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=25> </TD><TD width=155 align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6j673ofBVDg&playnext=1&list=PL467E97A85F9026F2]YouTube - ‪พระอรหันต์-พระในบ้าน-จีวันแบนด์.wmv‬&rlm;[/ame]
     
  3. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    มารู้จักกรรม

    กรรม คือ อะไร? กรรม คือ การกระทำ การกระทำนั้นมี ๒ อย่าง
    คือ.........
    ๑. การกระทำกรรมดี
    ๒. การกระทำกรรมชั่ว
    การกระทำกรรมดี เป็นการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นกุศล
    การกระทำกรรมชั่ว เป็นการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นอกุศล
    ถ้าหากบุญกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความสุข ความเจริญ
    รุ่งเรือง ความสำเร็จ ความสมหวัง ความคล่องตัว มีกำไร ป่วยอยู่ก็จะ
    หายป่วย ที่หน่ายอยู่ก็จะกลับมารัก ฯลฯ ......
    ถ้าหากบาปอกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความทุกข์ ความ
    เสื่อม ความล้มเหลว ความผิดหวัง การติดขัด ขาดทุน ป่วยอยู่ก็จะ
    ตาย ที่รักอยู่ก็แหนงหน่าย ฯลฯ ......
    ฉะนั้นคำว่า " กรรม " หมายถึงความดีและความไม่ดีด้วยเพราะกรรม
    คือการกระทำ ส่วนการส่งผลของกรรมนั้น มีทั้งกรรมหนักและกรรมเบา
    กรรมจะส่งผลหนักหรือจะส่งผลเบานั้นขึ้นอยู่กับว่า การประกอบกรรมหรือ
    ทำกรรมนั้นมีเจตนาทำ(ตั้งใจหรือจงใจทำ) หรือ ไม่มีเจตนาทำ(ไม่ตั้งใจ
    ทำ) ถ้าหากเราตั้งใจทำความดีผลของความดีก็จะส่งผลมาก ตรงกันข้าม
    ถ้าหากเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำความดี ผลของความดีก็จะส่งผลน้อยหรือไม่
    ส่งผลเลย ถ้าเราตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะประกอบกรรมชั่วหรือทำความชั่ว
    ผลของการกระทำความชั่วของเราก็จะส่งผลให้กับเรามาก แต่ถ้าหากเราไม่
    มีเจตนาหรือไม่มีความตั้งใจที่จะทำความไม่ดีหรือความชั่ว เราก็จะได้รับผล
    ของความชั่วหรือความไม่ดีน้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความดี (บุญ
    กุศล)หรือการกระทำความไม่ดี(บาปอกุศล)ของเรามาจากการกระทำของเรา
    ได้ ๓ ทางคือ ......
    ๑. การกระทำทางกาย
    ๒. การกระทำทางวาจา
    ๓. การกระทำทางใจ

    การกระทำทางกาย หมายถึง การใช้ร่างกายทำกรรมหรือประกอบ
    กรรมหรือลงมือทำนั่นเอง
    การกระทำทางวาจา หมายถึง การใช้วาจา คำพูด ทำกรรม
    หรือประกอบกรรม
    การกระทำทางใจ หมายถึง เกิดจากความนึกคิดหรือการใช้ความ
    นึกคิดทำกรรมหรือประกอบกรรม

    ผลของกรรมจะเกิดก็ต่อเมื่อ การกระทำกรรมหรือประกอบกรรมนั้นๆ
    ของตัวเราและหรือคนอื่นๆ ทำให้ตัวของเราและหรือคนอื่นเดือดร้อน ไม่
    สบายใจและเป็นทุกข์ จุดเริ่มต้นของการประกอบกรรมหรือการทำกรรมนั้น
    จะเริ่มจากทางใจหรือทางความนึกคิดของเราก่อน พอคิดบ่อยๆเข้า ก็จะ
    ส่งผลไปให้วาจาทำกรรมหรือประกอบกรรมขึ้น พอพูดบ่อยๆเข้าทีนี้ก็ใช้กาย
    หรือร่างกายของเราทำกรรมหรือลงมือทำเลย การประกอบกรรมโดยการ
    กระทำทางกายและทางวาจาทำให้เกิด เจ้ากรรมนายเวร ส่วนการประกอบ
    กรรมที่ใช้หรือเกิดจากความนึกคิดของเรา ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร แต่จะเป็น
    วิบากรรม กรรมที่เกิดจากหรือมีเจ้ากรรมนายเวรนั้น เราสามารถที่จะทำ
    การแก้ไขได้ ถ้าหากบุคคลคนนั้นมีอภิญญาจิต มีศีลที่บริสุทธิ์และมีธรรม
    เพราะจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่ใช้ในการเจรจาหรือชี้แนะให้กับเจ้ากรรมนายเวร
    ไม่เช่นนั้นเจ้ากรรมนายเวรเขาจะไม่ยอมและเชื่อฟังเรา ถ้าหากเจ้ากรรมนาย
    เวรของใครที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต้องแก้เอง แก้โดยทั้งคู่อโหสิกรรมให้ซึ่ง
    กันและกัน เพื่อผลของกรรมจะไม่ได้ต่อเนื่องและก็ข้ามภพข้ามชาติต่อไป
    อีก ถ้าเราขอหรือให้อโหสิกรรมกับเขาแล้วแต่เขาไม่ยอม เราไม่คิดติดใจ
    อะไรแล้ว แต่เขายังมีและคิดผูกโกรธ อาฆาตพยาบาทอยู่คนเดียวมันก็จะ
    กลายเป็นมโนกรรมของเขาและจะเป็นวิบากกรรมติดตัวเขาคนเดียวต่อไปถ้า
    หากเขาไม่หยุดนึกคิดนั้นเสีย กรรมทางกายและทางวาจานั้นกระทำไปแล้ว
    ยังมีคนรู้เทวดาเห็น ส่วนกรรมทางจิตใจ ทางความรู้สึกนึกคิดของเรานั้น
    ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น นอกจากตัวของเราเองเท่านั้น ใครจะคิดดีหรือคิด
    ไม่ดีมันก็จะเก็บเอาไว้ในจิตในใจของคนๆนั้นตลอดไป สะสมกันไปดีบ้างไม่
    ดีบ้าง เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้างแล้วแต่อะไรจะมากกว่ากัน ถ้าอะไรมี
    มากกว่าอันนั้นก็ส่งผลก่อนและก็ทำให้อย่างอื่นรอบข้างที่มีพลังอำนาจ
    เหมือนกันส่งผลเพิ่มเข้ามาอีก นี่เเหละวิบากกรรม วิบากกรรมนี้แก้ไม่ได้
    ดังคำกล่าวในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า " ทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลอย่าง
    นั้น ปลูกพืชชนิดไหนก็ย่อมได้ผลของพืชชนิดนั้น " เป็นกรรมที่ทำให้เรา
    ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จบและส่งผลให้เราทั้งทุกข์และสุขคละกันอยู่
    ในทุกวันนี้ จึงเป็นเหตุที่ต้องให้มีพระพุทธเจ้า จึงต้องมีการเรียนรู้และ
    ศึกษาธรรม จึงต้องมีการฝึกจิตฝึกสมาธิกัน เพื่อยกจิตให้สูงขึ้นไม่ให้ตก
    ต่ำ ฝึกจิตมุ่งสู่การหลุดพ้น ( พระนิพพาน ) กรรมชนิดนี้ถ้าเข้าพระนิพพาน
    เมื่อไรก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมทันที วิบากกรรมนี้ทุกคนต้องแก้เอง ไม่มี
    ใครช่วยเราได้เลย ไม่ต้องวิ่งเสาะแสวงหาให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ตนเป็นที่
    พึ่งแห่งตนนี่แหละ เพราะบุญกุศลบารมีต้องสร้างและทำเอาเอง ไม่มีวาง
    ขายไม่มีแจกและไม่มีแถม คนอื่นๆเป็นได้แค่คนที่ชี้แนะแนวทางให้เราเท่า
    นั้น นอกจากนี้ยังมีกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ของเราอีก เรารับมาทั้งสอง
    ฝ่ายๆละ ๒๕% รับเมื่อเราเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา รวมเป็น ๕๐% ติด
    ตัวของเรามาอีก ๕๐% รวมก็เป็น ๑๐๐% มีทั้งส่วนที่เป็นกุศล(ดี) และ
    อกุศล(ไม่ดี) ถ้าหากเกิดมามีส่วนที่ดีมากเราก็จะสบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร
    แต่ถ้าหากตอนนี้เราทุกข์ยากลำบาก ไม่สบาย มีปัญหา ก็แสดงว่าอกุศล
    (ไม่ดี) มันส่งผลให้กับเราแล้ว วิธีแก้ของเราก็คือการสร้างบุญสร้างกุศล
    สร้างความดีให้มากๆเพื่อจะได้ไปกดทับพลังที่ไม่ดี(อกุศล)ไม่ให้มันส่งผลเท่า
    นี้เองก็หมดปัญหา แต่การกระทำตรงนี้เราต้องมีและใช้ความเพียรพยายาม
    และความอดทนมากจึงจะสำเร็จ ไม่เหมือนกับการทำความไม่ดีหรือทำ
    ความชั่วใช้ความเพียรน้อยแต่ส่งผลมากและเร็ว พอกรรมวิบากที่เป็นฝ่ายไม่
    ดีนี้ส่งผลเมื่อไร อย่างอื่นที่ไม่ดีก็จะแทรกทันที เช่น เจ้ากรรมนายเวรที่รอ
    จังหวะที่จะเล่นงานเราอยู่ มารหรือซาตานก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น คุณไสยมนต์
    ดำ ลมเพลมพัดก็จะเข้าแทรกได้ทันที จิตวิญญาณต่ำก็เข้าแฝง ที่เขา
    เรียกว่า " ดวงตก " พอดวงตกผีก็ซ้ำ มารก็ขวาง วิญญาณก็แทรก
    ทุกข์ทั้งกายทั้งใจเลยละทีนี้ อย่าวิ่งไปหาและขอความช่วยเหลือจากใคร
    เลย เร่งสร้างบุญบารมีกันเถอะ จะได้หมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขกัน
    ทุกๆคนเสียที .........
     
  4. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  5. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    บุญ กับ กุศล

    เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่าง
    สิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ" กับ สิ่งที่เรียกว่า "กุศล" บ้างไม่มากก็น้อย
    แล้วแต่ความสามารถ ในการพินิจพิจารณา แต่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว
    บุญ กับ กุศล ควรจะเป็น คนละอย่าง หรือ เรียกได้ว่า ตรงกันข้าม
    ตามความหมาย ของรูปศัพท์ แห่งคำสองคำ นี้ทีเดียว

    คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น,
    ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมาย
    เช่นนี้ เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง

    บุญ เป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจพอใจชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม
    แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือ แม้ที่สุดแต่รู้สึกว่า ตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก ในกรณีที่
    ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้บุญ เหมือนกัน แม้จะ
    เป็น บุญชนิดที่ไม่สู้จะแพ้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์
    มีความปรารถนาอย่างนั้น อย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่
    การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ ตนจะปรารถนา ไม่ออก
    ไปจาก การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฎสงสาร ได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติ
    อย่างไรก็ตาม ฉะนั้น ความหมายของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ฟูใจ
    และ เวียนไปเพื่อความเกิดอีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้

    ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ ทำหน้าที่ แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
    ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจ เช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่ง
    สิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุ ให้พัวพัน อยู่ใน กิเลสตัณหา อันเป็น เครื่องนำให้ เกิดแล้ว
    เกิดอีก และมีจุดมุ่งหมาย กวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ในเมื่อบุญต้องการ
    โอบรัด เข้ามาหาตัว ให้มีเป็น ของของตัว มากขึ้น ในเมื่อฝ่ายที่ถือข้างบุญยึดถือ
    อะไรเอาไว้มากๆ และพอใจ ดีใจนั้น ฝ่ายที่ถือข้างกุศล ก็เห็นว่า การทำอย่างนั้น
    เป็นความโง่เขลา ขนาดเข้าไป กอดรัดงูเห่า ทีเดียว ฝ่ายข้างกุศล หรือ ที่เรียกว่า
    ฉลาด นั้น ต้องการจะ ปล่อยวาง หรือ ผ่านพ้นไป ทั้งช่วยผู้อื่น ให้ปล่อยวาง หรือ
    ผ่านพ้นไปด้วยกัน ฝ่ายข้างกุศล จึงถือว่า ฝ่ายข้างบุญนั้น ยังเป็นความมืดบอดอยู่

    แต่ว่า บุญ กับ กุศล สองอย่างนี้ ทั้งที่มี เจตนารมณ์ แตกต่างกัน ก็ยังมี การกระทำ
    ทางภายนอกอย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลในคำสองนี้อย่างฟั่นเฝือ เพื่อจะให้
    เข้าใจกันง่ายๆ เราต้องพิจารณา ดูที่ตัวอย่างต่างๆ ที่เรา กระทำกัน อยู่จริงๆ คือ
    ในการให้ทาน ถ้าให้เพราะจะเอาหน้าเอาเกียรติ หรือ เอาของตอบแทน เป็นกำไร
    หรือ เพื่อผูกมิตร หาพวกพ้อง หรือ แม้ที่สุดแต่ เพื่อให้บังเกิดในสวรรค์ อย่างนี้
    เรียกว่า ให้ทานเอาบุญหรือได้บุญ แต่ถ้าให้ทาน อย่างเดียวกันนั่นเอง แต่ต้องการ
    เพื่อขูดความขี้เหนียว ของตัว ขูดความเห็นแก่ตัว หรือให้เพื่อค้ำจุนศาสนา เอาไว้
    เพราะเห็นว่า ศาสนาเป็น เครื่องขูดทุกข์ ของโลก หรือ ให้เพราะ เมตตาล้วนๆ
    โดยบริสุทธิ์ใจ หรืออำนาจเหตุผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง ปัญญาเป็นผู้ชี้ขาดว่า
    ให้ไปเสีย มีประโยชน์มากกว่าเอาไว้อย่างนี้ เรียกว่า ให้ทานเอากุศล หรือได้กุศล
    ซึ่งมันแตกต่างๆ ไปคนละทิศ ละทางกับการให้ทานเอาบุญ เราจะเห็นได้กันสืบไป
    อีกว่า การให้ทานเอาบุญนั่นเอง ที่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม ฝ่ายผู้รับทาน
    จนกลายเป็นผลร้ายขึ้น ในวงพระศาสนาเอง หรือในวงสังคมรูปอื่นๆ เช่น มีคน
    ขอทานในประเทศมากเกินไป เป็นต้น การให้ทาน ถูกนักคิดพากันวิพากษ์วิจารณ์
    ในแง่เสื่อมเสีย ก็ได้แก่ การให้ทานเอาบุญนี้เอง ส่วนการให้ทานเอากุศลนั้นอยู่สูง
    พ้นการที่ถูกเหยียดอย่างนี้ เพราะว่ามีปัญญาหรือเหตุผลเข้าควบคุม แม้ว่าอยากจะ
    ให้ทาน เพื่อขูดเกลา ความขี้เหนียว ในจิตใจ ของเขา ก็ยังมีปัญญา รู้จักเหตุผลว่า
    ควรให้ ไปในรูปไหน มิใช่เป็นการให้ไปในรูปละโมบบุญหรือเมาบุญ เพราะว่ากุศล
    ไม่ได้เป็นสิ่งที่หวานเหมือนกับบุญ จึงไม่มีใครเมา และไม่ทำให้เกิดการเหลือเฟือ
    ผิดความสมดุลขึ้นในวงสังคมได้เลย นี่เราพอจะเห็นได้ว่า ให้ทานเอาบุญ กับ
    ให้ทานเอากุศลนั่น ผิดกันเป็นคนละอันอย่างไร

    ในการรักษาศีล ก็เป็นทำนองเดียวกันอีก รักษาศีลเอาบุญ คือรักษาไปทั้งที่ไม่รู้จัก
    ความมุ่งหมายของศีล เป็นแต่ยึดถือในรูปร่างของการรักษาศีล แล้วรักษาเพื่ออวด
    เพื่อนฝูง หรือ เพื่อแลกเอาสวรรค์ ตามที่ นักพรรณนาอานิสงส์ เขาพรรณนากันไว้
    หรือ ทำอย่างละเมอไปตามความนิยมของคนที่มีอายุล่วงมาถึงวัยนั้นวัยนี้ เป็นต้น
    ยิ่งเคร่งเท่าใด ยิ่งส่อความเห็นแก่ตัว และความยกตัว มากขึ้น เท่านั้น ยิ่งมีความ
    ยุ่งยากในครอบครัว หรือวงสังคม เกิดขึ้นใหม่ๆ แปลกๆ เพราะ ความเคร่งครัด
    ในศีลของบุคคลประเภทนี้อย่างนี้ เรียกว่ารักษาศีลเอาบุญ ส่วนบุคคลอีกประเภท
    หนึ่ง รักษาศีลเพียงเพื่อให้เกิดการบังคับตัวเอง สำหรับจะเป็นทางให้เกิดความ
    บริสุทธิ์ และความสงบสุขแก่ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เพื่อใจสงบ สำหรับเกิดปัญญา
    ชั้นสูง นี้เรียกว่า รักษาศีลเอากุศล รักษามีจำนวน เท่ากัน ลักษณะเดียวกัน ในวัด
    เดียวกัน แต่กลับเดินไป คนละทิศละทาง อย่างนี้เป็นเครื่องชี้ ให้เห็นภาวะ แห่ง
    ความแตกต่าง ระหว่างคำว่า บุญ กับคำว่า กุศล คำว่า กุศลนั้น ทำอย่างไรเสีย ก็
    ไม่มีทางตกหล่ม จมปลักได้เลย ไม่เหมือนกับคำว่า บุญ และกินเข้าไป มากเท่าไร
    ก็ไม่มีเมา ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นพิษ ในขณะที่ คำว่า บุญ แปลว่า เครื่องฟูใจนั้น คำว่า
    กุศล แปลว่า ความฉลาดหรือ เครื่องทำให้ฉลาด และ ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์

    ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญ ก็ได้ เอากุศลก็ได้
    สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่ ติดต่อกับ คนโน้นคนนี้ ที่โลกอื่น ตามที่ ตนกระหาย จะทำให้
    เก่งกว่าคนอื่น หรือ สมาธิ เพื่อการไปเกิด ในภพนั้น ภพนี้ อย่างนี้เรียกว่า
    สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมัน
    นั่นเอง ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่า ทำอันตราย แก่เจ้าของ ถึงกับต้อง รับการรักษา
    เป็นพิเศษ หรือ รักษาไม่หาย จนตลอดชีวิต ก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่า สมาธิเช่นนี้
    มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุดก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสาร
    ตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไป เพื่อนิพพาน ส่วนสมาธิ ที่มีความมุ่งหมาย
    เพื่อการบังคับใจตัวเอง ให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้าง กิเลส อันกลุ้มรุมจิตให้
    ราบเตียน ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิ อันจรมา ในปริมณฑลของจิต ทำจิตให้ผ่องใส เป็น
    ทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล
    ไม่ทำอันตรายใคร ไม่ต้องหาหมอรักษา ไม่หลงวนเวียน ในวัฎสงสาร จึง
    ตรงกันข้าม จากสมาธิเอาบุญ

    ครั้นมาถึงปัญญา นี้ไม่มีแยกเป็นสองฝ่าย คือไม่มีปัญญาเอาบุญ เพราะตัว
    ปัญญานั้น เป็นตัวกุศล เสียเองแล้ว เป็นกุศลฝ่ายเดียว นำออกจากทุกข์
    อย่างเดียว แม้ยังจะต้อง เกิดในโลกอีก เพราะยังไม่แก่ถึงขนาด ก็มีความ
    รู้สึกตัว เดินออกนอกวัฎสงสาร มีทิศทางดิ่งไปยังนิพพานเสมอ ไม่วนเวียน
    จนติดหล่ม จมเลน โดยความไม่รู้สึกตัว ถ้ายังไม่ถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า
    ปัญญาในกองธรรม หรือ ธรรมขันธ์ ของพุทธศาสนา ดังเช่น ปัญญาในทาง
    อาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นต้น

    ตามตัวอย่าง ที่เป็นอยู่ในเรื่องจริง ที่เกี่ยวกับ การกระทำ ของพวกเราเอง
    ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราเห็นได้ว่า การที่เราเผลอ หรือ ถึงกับหลงเอา
    บุญ กับ กุศล มาปนเป เป็นอันเดียวกันนั้น ได้ทำให้เกิด ความสับสนอลเวง
    เพียงไร และทำให้คว้าไม่ถูกตัวสิ่งที่เราต้องการ จนเกิดความยุ่งยากสับสน
    อลหม่าน ในวงพวกพุทธบริษัทเองเพียงไร ถ้าเรายังขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอา
    ของสองอย่างนี้ เป็นของอันเดียวกัน อย่างที่ เรียกกัน พล่อยๆ ติดปากชาวบ้านว่า
    "บุญกุศลๆ" เช่นนี้อยู่สืบไปแล้ว เราก็จะไม่สามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ อันเกี่ยวกับ
    การทำบุญกุศล นี้ ให้ลุล่วงไป ด้วยความดี จนตลอดกัลปาวสาน ก็ได้

    ถ้ากล่าวให้ชัดๆ สั้นๆ บุญเป็นเครื่องหุ้มห่อ กีดกั้นบาป ไม่ให้งอกงาม หรือ
    ปรากฏ หมดอำนาจบุญเมื่อใด บาปก็จะโผล่ออกมา และงอกงามสืบไปอีก

    ส่วนกุศลนั้น เป็นเครื่องตัด รากเหง้าของบาป อยู่เรื่อยไป จนมันเหี่ยวแห้ง
    สูญสิ้นไม่มีเหลือ ความต่างกัน อย่างยิ่ง ย่อมมีอยู่ ดังกล่าวนี้

    คนปรารถนาบุญ จงได้บุญ คนปรารถนากุศล ก็จงได้กุศล
    และปลอดภัย ตามความปรารถนา แล้วแต่ใคร จะมองเห็น
    และจะสมัครใจ จะปรารถนาอย่างไร ได้เช่นนี้ เมื่อใดจึงจะชื่อว่า
    พวกเรารู้จัก บุญกุศล กันจริงๆ รู้ทิศทางแห่งการก้าวหน้า และ
    ทิศทางที่วกเวียน ว่าเป็นของที่ไม่อาจจะเอามาเป็นอันเดียวกัน
    ได้เลย แม้จะเรียกว่า "ทางๆ" เหมือนกัน ทั้งสองฝ่าย

    วัดธารน้ำไหล
    ๒๕ มิ.ย. ๒๔๙๓
     
  6. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    • ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้องอ้อนวอน
      ขอพร กะใคร ให้กวน
    • พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือนลมหวน
      อวลไป อวลมา อย่าหลง
    • พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืนยืนยง
      ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
    • อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ- เพ็ญบุญ กุศลนำ
      ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
    • ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดีมีจน
      เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
    • ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเกรง บาปชั่ว กลัวเกรง
      ทำแต่ กรรมดี ทวีพร ฯ
     
  7. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  9. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    การบริหารธุรกิจแบบพุทธช่วงที่6
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=-nx3SeKiz7M"]YouTube - ‪?????????????????????????????6‬&rlm;[/ame]
     
  10. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  11. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  12. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  13. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    อนุโมทนากับทุกท่านครับ ข้าพเจ้าขอร่วมจำนวนเงิน 50 บาท ป้าวันดี 50 บาท ครับ

    และขออุทิศให้แก่พ่อแม่พี่น้องและญาติของข้าพเจ้าในชาติปัจจุบันและอดีตชาติทุกๆชาติ
    และขอให้ญาติของข้าพเจ้าในปัจจุบันและอดีตชาติทุกๆชาติได้เกิดมาพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆชาติ จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    หากไม่ได้เพียงใดขอให้ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระพุทธศาสนาทุกๆชาติจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    และขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงมีภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไป และขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้
    และขออุทิศให้แก่พระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งทหารและข้าราชบริวารที่จงรักภักดีต่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์ไทย
    และขออุทิศให้พรหม เทวดา ทั้งหลายที่ปกปักรักษาประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนา พระบรมสารีริกธาตุ วัดวาอาราม
    และขออุทิศเทวดาที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าและขออุทิศให้แก่ทานพญายมราช ขอให้พญายมราชจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ของข้าพเจ้า
    และขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับผลบุญเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับเทอญ
    ด้วยผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ หากไม่ถึงเพียงใดขอคำว่าไม่มีอย่าได้เกิดกับข้าพเจ้าในทุกๆชาติเทอญ



    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="left"><table width="100%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="0"><tbody><tr><td> </td> <td align="left"> บัญชีผู้รับเงิน</td> <td class="bd_en_blk11" align="left"> </td> </tr> <tr> <td> </td> <td class="bd_th_blk_11_rtlt_10" align="left"> เลขที่บัญชี</td> <td class="bd_th_blk_11" align="left"> 2072211930 - นาย สมเกียรติ ชวดชุม</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td valign="middle" align="left" height="15">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" align="left"> <table width="100%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="30">
    </td> <td class="hd_th_blk11_bld" width="189" align="left"> จำนวนเงิน</td> <td class="bd_en_blk11" width="355" align="left"> </td> </tr> <tr> <td> </td> <td class="bd_th_blk_11_rtlt_10" align="left"> จำนวนเงินที่ต้องการโอน</td> <td class="bd_th_blk_11" align="left"> 100.00 บาท</td> </tr> <tr> <td> </td> <td class="bd_th_blk_11_rtlt_10" align="left"> ค่าธรรมเนียม</td> <td class="bd_th_blk_11" align="left"> 0.00 บาท</td> </tr> <tr> <td> </td> <td class="bd_th_blk_11_rtlt_10" align="left"> วันที่ทำรายการ</td> <td class="bd_th_blk_11" align="left"> 16/06/2554 - 12:03:09</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  14. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
    ขอร่วมบุญครั้งนี้ด้วยนะครับเพื่อดำรงและสืบต่อพระพุทธศาสนา โอนไปแล้ววันนี้จำนวน ๓๐๐ บาทครับ
    หากเหตุปัจจัยและกุศลใดที่ข้าพเจ้าทำในครั้งนี้มีจริงแล้วขอให้เหตุปัจจัยที่เป็นจริงนั้นดลบันดาลให้คำที่ข้าพเจ้าอธิฐานอุทิศบุญกุศลของข้าพเจ้าจงสำเร็จเป็นผลจริงทุกประการด้วยเทอญ
    __________________
     
  15. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  16. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  17. oamiamgod

    oamiamgod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +3,223
    ขอร่วมบุญด้วยคนครับ ๕๐.๐๐ บาท
     
  18. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  19. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39
  20. por410

    por410 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    535
    ค่าพลัง:
    +39

แชร์หน้านี้

Loading...