นิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ความว่างสูญ และจูนสิ่งอื่นให้นิพพานตามได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 5 มิถุนายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สรรพสิ่งมีรากเหง้าพื้นฐานของมัน เรียกว่า "ธาตุแท้ของสิ่งนั้นๆ"
    หรือสั้นๆ คือ "ธาตุ" เช่น น้ำ ก็มีธาตุแท้พื้นฐานของความเป็นน้ำ
    เรียกว่า "ธาตุน้ำ" หรือ พลังงานทิพย์ชนิดหนึ่งที่เป็นรากเหง้าของ
    สิ่งที่ก่อเกิดเป็นน้ำทั้งมวล สรรพสิ่งที่เกิดและดับล้วนมีธาตุแท้ของ
    มัน เรียกว่า "ธาตุ" อย่างนี้ อ้างอิงกันได้ เช่น ธาตุน้ำเป็นไฉน? ก็
    สามารถอ้างอิงได้จากการพิจารณาน้ำบนโลกก็ได้ ทว่า " นิพพาน"
    นั้น ไม่อาจอ้างอิงเปรียบเทียบกับสิ่งใดได้เลย จึงไม่อาจมีธาตุแท้
    หรือสิ่งที่เป็นผลจากธาตุแท้นั้นได้ (ไม่มีนิพพานเป็นเหตุเพื่อก่อให้
    เกิดสิ่งใด นิพพานจึงไม่อาจดำรงฐานะธาตุแท้ของสิ่งใดได้ และก็
    ไม่อาจอ้างอิงสิ่งใดมาพิจารณาเบื้องต้นเป็นนิพพานได้)


    นิพพานไม่ใช่ความว่างสูญ ความว่างสูญเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
    ที่สามารถอ้างอิงได้ เช่น อ้างอิงจากความรู้สึกว่าง, รูปที่เว้นว่าง
    ไป เพื่อจะกำหนดจิตน้อมนำไปสู่ธาตุแห่งความว่าง (อากาสธาตุ)
    ได้ แต่ความว่างสูญที่เรียกว่า "สุญตา" ก็อยู่ใกล้ เป็นเหตุใกล้กับ
    ธรรมชาติที่เรียกว่า "นิพพาน" มากที่สุดกว่าธาตุอื่นใด (แต่ก็ไม่
    ใช่สิ่งเดียวกัน) นอกจากนี้ นิพพานยังเป็นธรรมชาติที่สามารถจูน
    ธรรมชาติอื่นๆ ให้น้อมนำไปสู่นิพพานได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าว
    ทางวาจา เพียงแต่บางครั้งจำต้องใช้วาจาเพื่อเปิดใจผู้ฟัง ให้รับ
    ก่อน เมื่อเปิดใจรับแล้ว ไม่ว่าคำพูดไร้สาระอะไร ก็สามารถเข้าถึง
    ซึ่งนิพพานได้ ด้วย "ธรรมสู่ธรรม" หรือ "นิพพานสู่ธรรมชาติอื่น"
    ดังนี้ "นิพพาน" จึงเหนือพ้นแล้วจากสมมุติบัญญัติและการพูดทั้ง
    ปวง ภาษา, ศัพท์, หลักธรรม, ตำรา ฯลฯ อะไร ล้วนไม่อาจคุม
    นิพพานให้อยู่ภายใต้มันได้ เพราะนิพพานพ้นแล้วทุกสภาวะ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จิตเป็นตัวกลางในการ "จูน" ให้ธรรมชาติอื่น นิพพานตามกันไป


    ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว หากบรรลุแบบ "ปัญญาวิมุติ" ภายในของเขาจะไม่มี
    การนิพพานของสิ่งใด แต่ด้วยปัญญาบารมีเก่า มีมาก ก็ล่วงรู้ถึงนิพพาน
    ก่อนได้ ทว่า สำหรับผู้บรรลุแบบ "เจโตวิมุติ" แล้วบางอย่างในร่างนั้นจะ
    นิพพานไปก่อนได้ เช่น กายทิพย์นิพพานไปก่อน ทำให้จิตวิญญาณที่อยู่
    ในร่าง ไม่เหมือนเดิม จิตวิญญาณประกอบอยู่ด้วยกันในสังขาร เมื่อเดิน
    ธรรมถึงที่สุดแล้ว กายทิพย์สลายนิพพานไป ทำให้เหลือแต่ "ดวงจิต" ที่
    สว่างไสวอยู่ในสังขาร ก็มีได้เป็นได้ โดยจิตดวงนี้จะจุติภายใน ๗ วัน ถ้า
    ได้บวชห่มผ้าเหลืองแล้ว จะมี "จิตวิญญาณ" จรมาคุ้มครองร่าง ประสาน
    เป็น "นิรมาณกาย" หรือ "จิตวิญญาณดวงที่สอง" หรือ "เจตภูต" ที่คอย
    คุ้มครองดวงจิตดวงนี้ จนกว่าจะชำระวิบากกรรมหมดหรือทำกิจโปรดสัตว์
    สำเร็จ ก็จะจรออก ปล่อยให้สังขารตายลงแล้ว ดับขันธปรินิพพานไป จึง
    เรียกว่า "นิรมาณกาย" (ด้วยการเพ่งกายทิพย์ เห็นซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดย
    กายทิพย์ชั้นในสุดที่บรรลุธรรม เรียกว่า "ธรรมกาย" ชั้นนอกสุดที่ไม่ได้มี
    ธรรม ทำหน้าที่คุ้มครองร่าง เรียกว่า "นิรมาณกาย") ในกรณีที่สองนี้เอง
    ที่มีการนิพพานของบางอย่างในสังขารนั้น "ธรรมชาติที่เรียกว่านิพพาน"
    จึงมีอยู่ในสังขารนั้นๆ และสามารถถ่ายทอด, แผ่ออกมาสู่ธรรมชาติอื่นๆ
    รอบตัวได้ ทำให้ "สิ่งที่มีจิต" ใด เปิดรับแล้ว ก็สามารถเข้าถึงนิพพานได้
    ตามๆ กันไป (ธรรมชาติใดจะนิพพานได้ ต้องผ่าน "จิต" เป็นเครื่องปรับ
    จูน) ดังนี้ บุคคลจะบรรลุธรรมและนิพพานได้จริง จึงต้องได้รับธรรมจาก
    ผู้ที่บรรลุธรรมจริงๆ ไม่อาจได้รับผ่านการอ่านเอา, ฟังต่อๆ กันมาได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มิถุนายน 2011
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ผู้มีอำนาจจิตสูงในการ "เล่นแร่แปรธาตุ" สามารถแปรธาตุลงถึงนิพพานได้


    ผู้มีอำนาจจิตสูงในการ "เล่นแร่แปรธาตุ" ถ้ากำหนดจิตให้มีอำนาจแล้ว แปรธาตุต่างๆ
    จากธาตุหนึ่งให้ละเอียดลงไปเรื่อยๆ จนถึง "นิพพาน" ได้ (ถ้าท่านผู้นั้นบรรลุนิพพาน)
    เช่น เห็นว่า "พระขรรค์ทิพย์" มีภัย สัตว์ใดนำไปใช้ก็ก่อกรรมไม่สิ้นสุด แล้วกำหนดจิต
    "สลายพระขรรค์ทิพย์" แปรธาตุจาก "พระขรรค์มีรูป" ให้กลายเป็น "อรูป" หรือ สลาย
    พระขรรค์ทิพย์ กลายเป็น "มวลปราณ" หรือ พลังทิพย์ (อรูป) แล้วแปรธาตุพระขรรค์
    ให้ละเอียดลง จนถึง "นิพพาน" ก็ได้ พระขรรค์ทิพย์ก็จะเข้าถึงนิพพาน ตามไปด้วยได้
    ไม่เหลือค้างทิ้งไว้ในสามภพให้เป็นเหตุก่อกรรมใดๆ อีกเลย ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ ก็จะ
    ต้องสำเร็จทั้ง "รูปฌาน", "อรูปฌาน", "จตุธาตุวัฏฐาน" และ "อรหันต์" อีกด้วย


    นอกจากนี้ ยังสามารถ "แปรพลังจิต" สายดำต่างๆ ให้ย่อยสลาย ละเอียดลง แล้วแปร
    จากธาตุมาร (พลังดำ) เป็นธาตุอื่นๆ ละเอียดลงจนถึงนิพพาน ก็สามารถกระทำได้
     
  4. amsomegal

    amsomegal Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92
    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ อยากจะกด like ซักสิบที เพราะที่ผ่านมาหลวงปู่ทวดก็ใช้วิธีสลายกายหยาบไปสู่กายทิพย์และกลับคืนสู่นิพพานเลย เหตุการณ์ทางโลกก็คือ คืนหนึ่งท่านลงกลอนลงประตูอย่างแน่นหนาของกุฎิท่าน และเช้าวันต่อมาท่านและเํํ๊ํณรอีกรูปหนึ่งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ประตูยังลงกลอนอยู่เหมือนเดิม
    เรืื่องนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่า คืออภิญญาค่ะ คนธรรมดาท่านก็ว่าทำได้ เป็นการแปรสภาพกายหยาบให้เป็นกายทิพย์ ไปไหนก็ไปทั้งตัวได้เลย ไม่ต้องถอดจิตไป

    "เมื่อเปิดใจรับแล้ว ไม่ว่าคำพูดไร้สาระอะไร ก็สามารถเข้าถึง
    ซึ่งนิพพานได้ ด้วย "ธรรมสู่ธรรม" หรือ "นิพพานสู่ธรรมชาติอื่น"
    ดังนี้ "นิพพาน" จึงเหนือพ้นแล้วจากสมมุติบัญญัติและการพูดทั้ง
    ปวง ภาษา, ศัพท์, หลักธรรม, ตำรา ฯลฯ อะไร ล้วนไม่อาจคุม
    นิพพานให้อยู่ภายใต้มันได้ เพราะนิพพานพ้นแล้วทุกสภาวะ "

    อันนี้ก็ใช่ค่ะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่าต่อให้กินข้าวหรือนั่งขึ้อยู่ ใจก็ถึงนิพพานได้ แม้แต่เข้าญาณ 4 ใช้อภิญญาก้อได้ ชอบมากค่ะ ที่มีคนเอาความจริงที่ไม่ใช่พิํ๊ํธีรีตองมาโพส
     
  5. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    ท่านเอา "นิพพาน" แบบนี้มาจากไหนครับ ?
    จากพระพุทธเจ้าองค์ไหน พระรูปไหน อาจารย์คนไหน
    มีกล่าวไว้ในพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎก หรือคิดเอาเองเรื่อยเปื่อย...
    <O:p

    "นิพพานธาตุ" คือ ความไม่เกิดไม่มีไม่เป็น นั้นมีอยู่ เป็น "อสังขตธาตุ" ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความเป็นไป เรียกว่า "ธรรมเป็นอดีต"


    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์)
    [๖๘๔] ธรรมเป็นอดีต เป็นไฉน ?
    ธรรมเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว อัสดงคตแล้ว ถึงความ
    ดับสูญแล้ว เกิดขึ้นแล้วปราศไป ล่วงไป สงเคราะห์ด้วยส่วนที่ล่วงไปแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอดีต

    <O:p
    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)
    ความกำจัดราคะ เป็นชื่อนิพพานธาตุ

    [๓๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค
    ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ ดังนี้
    คำว่าความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งอะไรหนอ ? พระผู้มี
    พระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ คำว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้
    เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ

    ความสิ้นราคะ ชื่อว่าอมตะ
    [๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อมตะๆ ดังนี้ อมตะเป็นไฉน ? ทางที่จะให้ถึงอมตะเป็นไฉน ?
    พ. ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอมตะ อริยมรรค
    อันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึง อมตะ
    [๒๗๕] คำว่า พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง ความว่า พระองค์ทรงทราบ คือ
    ทรงรู้ ทรงเทียบเคียง ทรงพิจารณา ทรงให้แจ่มแจ้ง ทรงให้ปรากฏแล้วแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
    พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า มุนีนั้นเป็นผู้
    ดับไปแล้ว หรือมุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่ามุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง ขอพระองค์ผู้
    เป็นพระมุนีโปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง
    [๒๗๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอุปสีวะ
    บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด กิเลส
    นั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น เมื่อธรรมทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง
    บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว
    [๒๗๗] คำว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ความว่า บุคคลผู้ดับไปแล้ว คือ
    ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมไม่มี ย่อมไม่ปรากฏ ย่อมไม่ประจักษ์ประมาณ
    แห่งรูป ประมาณแห่งเวทนา ประมาณแห่งสัญญา ประมาณแห่งสังขารประมาณแห่งวิญญาณ
    ประมาณแห่งรูปเป็นต้นนั้น อันบุคคลผู้ดับไปแล้ว ละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว ให้สงบแล้ว ระงับแล้ว
    ทำให้ไม่อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อม ไม่มีประมาณ

    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ
    อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง
    ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป
    เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้
    นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์

    (ผู้เขียน)
    จึงอาจกล่าวได้ว่า "ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุปัจจัย นิพพาน คือความดับแห่งเหตุปัจจัยนั้น"
    ดังนั้นนิพพานของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็คือความดับแห่ง อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป
    สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาได้ ก็ด้วยอาศัยเหตุปัจจัยที่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว
    ปรุงแต่ง ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง ชื่อว่า "สังขตธรรม"
    สังขตธรรม คือ ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัย ธรรมที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ธรรมที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งได้ ธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยต่อสิ่งอื่นได้
    และเป็นไปด้วยเหตุปัจจัย เป็นสภาวะของธรรมที่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือรูปธรรมและอรูปธรรม(นามธรรม)นั่นเอง
    เมื่อเหตุปัจจัยดับ ความเกิดมีเกิดเป็นก็ไม่อาจมีได้อีก เมื่อไม่เกิดจึงไม่ตาย เป็น "อมตะ" นี่คือ "อมตะนิพพาน" ของแท้
    เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตนเราเขา เมื่อเหตุปัจจัยปัจจัยดับ จึงกล่าวไม่ได้ว่า "ใครดับ" หรือ "ใครไปนิพพาน" ดังคำกล่าวที่ว่า
    "นิพพานมีอยู่ แต่ผู้ไปนิพพานไม่มี" <O:pกล่าวได้แต่เพียงว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เท่านั้น

    "ผู้ไม่รู้ทั่วถึงธรรม ย่อมถูกชักนำไปในคำพูดของผู้อื่นได้ง่าย"

    ขอสัมมาทิฏฐิจงปรากฏแด่ผู้มีโยนิโสมนสิการ




    </PRE>


    </PRE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  6. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    นิพพานเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติหรือไม่ ?

    ธรรมชาติ คืออะไร ในภาษาไทย ?
    คำว่า “ธรรมชาติ” ในภาษาไทย เป็นคำสมาส ที่ประกอบด้วยคำว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ”
    กับคำว่า “ชาติ” หรือ “ชาตะ” มาสมาสกัน

    ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพ.ศ.2525 ให้ความหมายของคำว่า “ธรรมชาติ” ไว้ว่า
    ธรรมชาติ คือ สิ่งที่เกิดมีและเป็นอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้นๆ(คำนาม) , ที่เป็นไปเองโดย
    มิได้ปรุงแต่ง เช่น สีธรรมชาติ (คำวิเศษณ์)

    ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)
    ให้ความหมายของคำว่า “ธรรมชาติ” ไว้ว่า
    ธรรมชาติ คือ ของที่เกิดขึ้นเองตามวิสัย ของโลก เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น

    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์
    คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความหมายของคำว่า “ธรรมชาติ” ไว้ว่า
    [FONT=Cordia New]ธรรมชาติ[/FONT][FONT=Cordia New]ประกอบไปด้วย 2 คำ นั่นคือ [/FONT][FONT=Cordia New]ธรรมะ [/FONT][FONT=Cordia New]กับ [/FONT][FONT=Cordia New]ชาตะ [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ธรรมะ [/FONT][/COLOR][COLOR=#333333][FONT=Cordia New]คือความจริง คือสิ่งที่ปรากฏจับต้องได้ รับรู้ได้ [/FONT][/COLOR][/FONT]
    [COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][SIZE=5]อย่างที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ[COLOR=#333333][FONT=Cordia New]เจ้าท่านทรงตรัสรู้ และนำมาสั่งสอนพวกเราก็คือการรู้ซึ่งความจริง ก็คือ ธรรมะ [/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ชาตะ[/FONT][/COLOR][COLOR=#333333][FONT=Cordia New] คือ การเกิด ซึ่งเป็นวัฏจักร เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ มีตาย [COLOR=#333333][FONT=Cordia New]ใบไม้ก็ต้องร่วงนั่นคือ[/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][COLOR=#333333][FONT=Cordia New][SIZE=5]วัฏ[COLOR=#333333][FONT=Cordia New]จักร ดังนั้น [/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ธรรมชาติ[/FONT][/COLOR][COLOR=#333333][FONT=Cordia New] ก็คือ วิถีหรือวัฏจักรของความจริงที่เกิดขึ้น[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]

    ธรรมชาติ คืออะไร ในพระไตรปิฎก ?
    <O:pคำว่า “ธรรมชาติ” ในภาษาไทยนั้น มีความหมายตรงกันกับคำว่า “ธมฺมา ชาตา” ในภาษาบาลี </O:p
    <O:pแปลว่า “ธรรมที่เกิดแล้ว” ดังปรากฏใน พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์ ความว่า
    </O:p
    <O:pกตเม ธมฺมา อุปฺปนฺนา เย ธมฺมา ชาตา ภูตา สญฺชาตา นิพฺพตฺตา อภินิพฺพตฺตา </O:p
    <O:pปาตุภูตา อุปฺปนฺนา สมุปฺปนฺนา อุฏฺฐิตา สมุฏฺฐิตา อุปฺปนฺนา [FONT=Cordia New]อุปฺปนฺนํเสน[/FONT][FONT=Cordia New] สงฺคหิตา[/FONT]</O:p
    <O:p[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][SIZE=5]รู[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]ปา[/FONT][/COLOR][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New] เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณํ อิเม ธมฺมา อุปฺปนฺนา ฯ[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    </O:p
    <O:p[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ธรรมเกิดขึ้นแล้ว[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New](ธมฺมา[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New] อุปฺปนฺนา) [/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]เป็นไฉน[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]? [/FONT][/COLOR][/SIZE]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#000000]ธรรมเหล่าใด(ธมฺมา) เกิดแล้ว(ชาตา) เป็นแล้ว(ภูตา) เกิดพร้อมแล้ว(สญฺชาตา) [/COLOR][/SIZE][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][SIZE=5]บังเกิด[FONT=Cordia New]แล้ว(นิพฺพตฺตา) บังเกิดเฉพาะแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New](อภินิพฺพตฺตา)[/FONT][FONT=Cordia New] ปรากฏแล้ว(ปาตุภูตา) [/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]เกิดขึ้นแล้ว(อุปฺปนฺ[FONT=Cordia New]นา) เกิดขึ้นพร้อมแล้ว(สมุปฺปนฺนา) ตั้งขึ้นแล้ว(อุฏฺฐิตา) ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว(สมุฏฐิตา) [/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]เกิดขึ้นแล้ว[FONT=Cordia New](อุปฺปนฺนา) สงเคราะห์ด้วยส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว(อุปฺปนฺนํเสน สงฺคหิตา) คือ รูป เวทนา [/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]สัญญา [FONT=Cordia New]สังขาร วิญญาณ [COLOR=black]สภาวธรรม[/COLOR]เหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเกิดขึ้นแล้ว[/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]กตเม[/FONT][/COLOR][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New] ธมฺมา ปจฺจุปฺปนฺนา เย ธมฺมา ชาตา ภูตา สญฺชาตา นิพฺพตฺตา [/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][SIZE=5]อภินิพฺพตฺตา [COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]ปาตุภูตา[/FONT][/COLOR][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New] อุปฺปนฺนา สมุปฺปนฺนา อุฏฺฐิตา สมุฏฺฐิตา ปจฺจุปฺปนฺนา ปจฺจุปฺปนฺนํเสน [/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][SIZE=5]สงฺค[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]หิตา[/FONT][/COLOR][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New] รูปา เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณํ อิเม ธมฺมา ปจฺจุปฺปนฺนา ฯ[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]

    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ธรรมเป็นปัจจุบัน(ธมฺมา[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New] ปจฺจุปฺปนฺนา) เป็นไฉน ?[/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#000000]ธรรมเหล่าใด ซึ่งเกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว [/COLOR][/SIZE][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]บังเกิดเฉพาะแล้ว [/SIZE][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][SIZE=5]ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว [FONT=Cordia New]เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว[/FONT][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]สงเคราะห์ด้วยส่วนที่เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ [/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]

    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][FONT=Cordia New][COLOR=black]สภาวธรรม[/COLOR][/FONT][FONT=Cordia New]เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นปัจจุบัน[/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    <O:p
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]จะเห็นได้ว่าความหมายของคำว่า “ธรรมชาติ” นั้นจำกัดอยู่แค่เพียง[FONT=Cordia New]ธรรมที่ [FONT=Cordia New]เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว(ธมฺมา ชาตา) [/FONT][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][FONT=Cordia New]และยังคงมีอยู่ ในปัจจุบันขณะ(ธมฺมา[/FONT][FONT=Cordia New] ปจฺจุปฺปนฺนา)[FONT=Cordia New]เท่านั้น [FONT=Cordia New]ไม่ครอบคลุมไปถึง [/FONT][/FONT][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ธรรมที่ยังไม่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมา [FONT=Cordia New]และธรรมที่เป็นอดีต(เคยเกิดมีเกิด[FONT=Cordia New]เป็นขึ้นมาแล้วและดับสูญไปแล้ว) [/FONT][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ธรรมยังไม่เกิดขึ้น(ธมฺมา[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New] อชาตา)[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New] เป็นไฉน ?[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][SIZE=5][FONT=Cordia New]ธรรมเหล่าใด[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เป็นแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดพร้อมแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่บังเกิดแล้ว [/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ยังไม่[FONT=Cordia New]บังเกิดเฉพาะแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่ปรากฏแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดขึ้นพร้อมแล้ว[/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][SIZE=5][FONT=Cordia New]ยังไม่ตั้งขึ้นแล้ว[/FONT][FONT=Calibri] [FONT=Cordia New]ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว[/FONT][FONT=Cordia New]สงเคราะห์ด้วยส่วนที่ยังไม่เกิดขึ้น[/FONT][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][SIZE=5]คือ [FONT=Cordia New]รูป[/FONT][FONT=Cordia New]เวทนา[/FONT][FONT=Cordia New]สัญญา[/FONT][FONT=Cordia New]สังขาร[/FONT][FONT=Cordia New]วิญญาณ[/FONT][FONT=Cordia New]สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า[/FONT][FONT=Cordia New]ธรรมยังไม่เกิดขึ้น[/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=olive]ธรรมเป็นอดีต เป็นไฉน ?[/COLOR][/SIZE][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ธรรมเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว อัสดงคตแล้ว ถึงความ[/SIZE][/FONT]
    [FONT=Cordia New][SIZE=5]ดับสูญแล้ว เกิดขึ้นแล้วปราศไป ล่วงไป สงเคราะห์ด้วยส่วนที่ล่วงไปแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา[/SIZE] [/FONT][SIZE=5][FONT=Cordia New]สังขาร วิญญาณ [/FONT][/SIZE]
    [SIZE=5][FONT=Cordia New]สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า [COLOR=olive]ธรรมเป็นอดีต[/COLOR][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#808000]นิพพาน [COLOR=black]ชื่อว่า[/COLOR] ธรรมเป็นอดีต [COLOR=black]ซึ่งนิยามความหมายของคำว่า[/COLOR] "ธรรมชาติ" [/COLOR][COLOR=black]ไม่ครอบคลุมถึง นิพพานจึงไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติครับ แต่เป็น "ธรรม" อย่างหนึ่ง ชื่อว่า "อสังขตธรรม" [/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=olive]อสังขตธรรม [/COLOR][FONT=Cordia New]คือ ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย ธรรมอันเหตุปัจจัยไม่ได้ปรุงแต่งขึ้น [/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ธรรมอันเหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่เป็นเหตุปัจจัยต่อสิ่งใดๆ และไม่มีความเป็นไปด้วย[COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New]เหตุปัจจัย[/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]</O:p[/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Calibri][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]เป็นสภาวะของธรรมที่ไม่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาได้อีกแล้ว [/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]

    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][SIZE=5]คำว่า [COLOR=olive]“ธรรมะ”[/COLOR] ที่หมายถึง สภาวธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง [FONT=Cordia New]นั้นมีความหมายกว้างขวางและครอบคลุม[/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][SIZE=5]มากกว่าคำว่า[COLOR=olive] “ธรรมชาติ”[/COLOR] ที่หมายถึงเฉพาะ [FONT=Cordia New]สภาวธรรมที่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว และยังคงมีอยู่ในปัจจุบันขณะ เท่านั้น [/FONT][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ส่วน [COLOR=olive]“ธรรมะ”[/COLOR] ที่หมายถึง คำสั่งสอนของ[FONT=Cordia New]พระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงถึงสภาวธรรมต่างๆไว้นั้น [/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]มีทั้งส่วนที่มีอยู่ในธรรมชาติ[FONT=Cordia New](ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว) และสิ่งที่ไม่อยู่ในธรรมชาติ (ธรรมที่ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว(นิพพาน) [FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New]และธรรมที่[FONT=Cordia New]ยังไม่เกิดขึ้น)[/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]ซึ่งท่านไม่ได้บอกสอนถึงสภาวธรรมและธรรมชาติทั้งหมด [FONT=Cordia New]แต่ท่านทรงเลือกเฟ้น[/FONT][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]สั่งสอนเฉพาะสภาวธรรมที่ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด [/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5]เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เท่านั้น [/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New]</O:p[/FONT]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]<O:p[/FONT][/COLOR]

    [SIZE=5][COLOR=black]ดังพุทธพจน์ที่ว่า[/COLOR][/SIZE]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][SIZE=5]“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน[/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New] ?”[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][SIZE=5][COLOR=#000000]ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า [/COLOR][COLOR=#e36c0a]“ข้าแต่[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์ [/FONT][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New][SIZE=5]มีประมาณ[COLOR=#e36c0a][FONT=Cordia New]น้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า”[/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/FONT][/FONT][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=olive][SIZE=5]"[COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]อย่างนั้นเหมือนกัน [/FONT][/COLOR][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมี [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]มาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก [/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR]
    [COLOR=olive][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]มิใช่พรหมจรรย์[COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]เบื้องต้น [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย [/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR]
    [COLOR=olive][SIZE=5][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New][COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ความคลายกำหนัด [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง [COLOR=#76923c][FONT=Cordia New]ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก”[/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR]

    [/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  7. amsomegal

    amsomegal Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +92
    คุณ TKKH เราว่าคุณเจ้าของกระทู้พูดถูกเลยค่ะที่ว่านิพพานจริงๆแล้วไม่สูญ

    บทความจาก

    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    ..........อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน

    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นิพพาน ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว

    แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)

    ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ
    แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ
    ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่


    ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธ

    เรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อ สดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก

    รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์์.........<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มิถุนายน 2011
  8. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ผมอ่านแล้วรู้สึกแหม่ง ๆ
    มาเขียนเรื่องนิพพานด้วย พระเก่ง ๆ เขายังอธิบายไม่ได้เลย
    ส่วนใหญ่พูดกันเฉียด ๆ ด้วยตรรกะเท่านั้น
    แต่กระบวนการคิดของคุณเจ้าของกระทู้ที่ผมอ่านดู
    มันคล้ายกับวิธีคิดของนิกายในอดีต ที่ชื่อว่า cittamantra

    มากกว่าที่จะเป็นของ madyamika และแม้ของเถรวาทเราเอง
    เหตุเพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณเจ้าของกระทู้ก็แค่สามารถที่จะยืนยันได้ว่า
    "นิพพานดำรงอยู่"

    แต่ส่วนตัว ผมมองและเชื่อพุทธดำรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา มากกว่า
    อนัตตาตัวนี้ มันดำรงอยู่หรือไม่ คุณคงน่าจะทราบดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...