พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สัมมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 1)


    -ดูการโต้ตอบในถ้อยคำที่สำคัญที่พระอานนท์กล่าวแก่นางโกกิลาภิกษุณีว่า

    "เวลานี้อาตมามีหน้าที่ต้องบำรุงพระศาสดาผู้เป็นนาถะของโลก..และพยายามทำหน้าที่

    กำจัดอาสวะในจิตใจ..มิใช่เพิ่มอาสวะให้มากขึ้น...เมื่ออาสวะยังไม่สิ้น..ย่อมต้องเวียน

    ว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีก..จะเป็นเวลานานเท่าใดก็สุดจะคำนวณ"

    -ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการเอ่ยถึงหน้าที่ของพระอานนท์ที่อยู่ในฐานะพระอุปัฏฐากพระ

    พุทธเจ้า..และฐานะนักบวชที่มีหน้าที่กำจัดกิเลส.......

    -.........คำว่า .."ผู้เป็นนาถะของโลก"......."นาถะ" , "นาถา" และ "นาโถ" แปลว่าเป็น

    ที่พึ่ง.....ผู้เป็นนาถะของโลก ...จึงหมายถึง...ผู้เป็นที่พึ่งของโลก.....

    -.........คำว่า..."เมื่ออาสวะยังไม่สิ้น"..."อาสวะ" หมายถึงกิเลสที่หมักหมนอยู่ใน

    สันดาน.........คือ....เมื่อกิเลสยังไม่สิ้นย่อมต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีก

    -ถ้อยคำต่อไปเป็นคติเตือนใจได้ดีมากพระอานนท์กล่าวว่า

    "พระศาสดาตรัสว่า..การเกิดบ่อย ๆ เป็นความทุกข์..เพราะเมื่อมีการเกิด... ความแก่ ความ

    เจ็บ และความทรมานอื่น ๆ ก็ติดตามมาเป็นสาย.........นอกจากนี้ผู้วนเวียนอยู่ใน

    วัฏสงสารอาจจะมีบางชาติที่ประมาทพลาดพลั้งไปแล้วต้องตกไปในอบาย...เป็นการถอย

    หลังไปอีกมาก...กว่าจะตั้งต้นได้ใหม่ก็เป็นการเสียเวลาของชีวิตไปมิใช่น้อย"

    -...........เป็นคำกล่าวที่ดีมาก...ผมขอแนะนำว่านอกจากเป็นคติเตือนใจแล้ว.....น่าที่

    จะ "จดจำนำมาพูดกล่าวเตือนตนเอง..และกัลยามิตร...หรือบุตรหลาน".......เป็นความ

    จริงที่เห็นเด่นชัด.....เตือนใจให้วิถีชีวิตควรจะมุ่งเข้าหาพระธรรมครับ

    -......ถ้อยคำต่อมา......"............บุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์

    หรือศูทร....ย่อมตกอยู่ภายใต้กฏธรรมดาเหมือนกันหมด คือ เมื่อเกิดมาแล้ว...ก็ต้องแก่..

    ต้องเจ็บ..และในที่สุดก็ต้องตาย......."ความตาย"..ย่อมกวาดล้างสรรพสัตว์ไปโดยมิ

    ละเว้นใครไว้เลย..และใคร ๆ ไม่อาจต่อสู้ด้วยวิธีใด ๆ ได้"

    -เป็นถ้อยคำที่สละสลวยในเชิงให้ได้คิด....และมีถ้อยคำที่ฟังแล้วสะท้อนถึงตัวเราได้

    ทันที...คือ.."ความตายย่อมกวาดล้างสรรพสัตว์ไปโดยมิละเว้นใครไว้เลย..และใคร ๆ ไม่

    อาจต่อสู้ด้วยวิธีใด ๆ ได้ "....ฟังแล้วค่อนข้างน่ากลัว...สำหรับผู้ที่ติดข้องอยู่ในโลก...รัก

    ชีวิตความเป็นอยู่บนโลก...แต่ไม่อาจหนีจากความตายไปได้ครับ"

    -..........อีกถ้อยคำที่โดดเด่นให้ความจริง คือ...."มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดในวรรณใด...เมื่อ

    ประพฤติดีก็เป็นคนดีเหมือนกันหมด....เมื่อประพฤติชั่วก็เป็นคนชั่วเหมือนกันหมด"

    -.....เมื่อนำมาเทียบเคียงกับสังคมของเราในยุคนี้ก็คือ......ไม่ว่าจะเป็นคนมียศ

    ฐาบรรดาศักดิ์...เป็นผู้ดีมีตระกูล....เป็นคนร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคม....หรือเป็นคนฐานะ

    ต่ำต้อยยากจนเข็ญใจ...ฯลฯ............เมื่อประพฤติดีก็เป็นคนดีเหมือนกันหมด....เมื่อ

    ประพฤติชั่วก็เป็นคนชั่วเหมือนกันหมด...

    -............จึงสรุปได้ฐานะต่าง ๆของคนที่มีขึ้นในสังคม...จะเป็นคนดีหรือคนเลว...อยู่ที่

    การประพฤติกระทำตัวครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สัมมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 2)



    -ในตอนจบของตอนที่ 15 พระอานนท์นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางครั้งรู้สึก

    สงสารภิกษุณีโกกิลาอย่างจับใจ แต่ด้วยอัธยาศัยแห่งมหาบุรุษประดับด้วยบารมีธรรมนั้น

    ต่างหากเล่า จึงสามารถข่มใจและสลัดความรู้สึกสงสารอันนั้นเสีย และท่านได้ปรารภกับ

    ตนเอง ดังนี้

    "อานนท์ เธอเป็นเพียงโสดาบันเท่านั้น ราคะ โทสะ และโมหะยังมิได้ละเลย เพราะ

    ฉะนั้นอย่าประมาท อย่าเข้าใกล้ หรือยอมพบภิกษุณีโกกิลาอีก........ธรรมชาติของจิต

    เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกลับกลอกง่ายบางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน....อานนท์ จงเอาสติ

    เป็น"ขอ"สำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง คือ จิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ......บุคคลผู้มีอำนาจมากที่

    สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้น...คือ..ผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้....

    สามารถชนะตนเองได้........พระศาสดาตรัสว่า "ผู้ชนะตนเองได้"ชื่อว่า...เป็นยอดนักรบ

    ในสงคราม....เธอจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด...อย่าเป็นผู้แพ้เลย"

    -.........อธิบายถ้อยคำว่า "เธอเป็นเพียงโสดาบันเท่านั้น...."ราคะ...โทสะ..และโมหะยัง

    มิได้ละเลย"........หมายความว่าคุณธรรมของพระโสดาบันคือ...มีศรัทธาที่มั่นคงใน พระ

    รัตนตรัย...มีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ ละกิเลสได้เพียงบางอย่าง........แต่ไม่สามารถละกิเลสตัว...

    ราคะ...โทสะ....และโมหะได้"

    -........อธิบายถ้อยคำว่า "เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าเข้าใกล้ หรือยอมพบกับภิกษุ

    โกกิลาอีก".........หมายถึง...พฤติกรรมที่พึงปฏิบัติเพื่อป้องกันกิเลสข้อ "ราคะ" เท่านั้น

    ที่พระอานนท์ปรารภกับตนเองว่า.......อย่าเข้าใกล้หรือยอมพบกับภิกษุณีโกกิลาอีก

    -.......เพราะ..การที่ชายหญิงใกล้ชิดกันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด...ตัณหาราคะได้...ซึ่งข้อนี้

    พระพุทธองค์ได้กล่าวข้อพึงปฏิบัติแก่พระภิกษุสงฆ์ที่พึงปฏิบัติต่อมาตุคามหรือสตรีเพศ

    หลักใหญ่ ๆ ว่า......พึงอย่าเห็น(คือไม่มอง).....หากต้องเห็นพึงอย่าพูด.....หากต้องพูด

    พึงตั้งสติ...ฯลฯ.........พระอานนท์ท่านเปล่งวาจาแก่ตนเองที่จะปฏิบัติในการ"อย่าเข้า

    ใกล้หรือยอมพบ"....ก็คือในหลักที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ว่า "พึงอย่าเห็น"...ทั้งนี้น่าจะ

    เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด..ดีกว่าสองข้อหลังครับ

    -........"ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งที่ดิ้นรนกลับกลอกง่าย" อธิบายได้ว่า..จิตของปุถุชนที่

    ยังมีกิเลสอยู่...ย่อมซัดส่ายไปมา..หาสิ่งที่ชอบที่ถูกใจเลื่อนไหล...ไปตามอายตนะทั้ง6

    ไม่มีความตั้งมั่น..จึงเป็นสิ่งที่กลับกลอกง่าย

    -........"จิต.....บางคราวเหมือนช้างตกมัน....จงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง..คือ

    จิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ".......

    -...อธิบาย"ช้างตกมัน"..คือพฤติการณ์ที่มีกามราคะมีความใคร่กำหนัดทางเพศอย่าง

    รุนแรง.........ประโยคคำนี้จึงชี้ชัดไปที่ "จิตที่มีกามราคะอย่างรุนแรง"

    -...."จิตที่มีกามราคะอย่างรุนแรง"....ท่านให้เอาสติเป็นขอเหนี่ยวรั้งจิตดังกล่าวที่เหมือน

    กับช้างตกมันและคิดดิ้นรนอยู่นี้ให้อยู่ในอำนาจ...............อธิบายได้ว่า...คือการให้สติ

    กำหนดรู้อย่างเข้มแข็ง......เพราะสติที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะปราบจิตที่พยศกรณีนี้ได้ครับ

    -............บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุด..และควรแก่การสรรเสริญนั้นคือ...ผู้ที่สามารถเอา

    ตัวของตนเองไว้ในอำนาจได้..สามารถชนะตนเองได้...ถือว่าเป็นยอดนักรบใน

    สงคราม..

    -..........อธิบายได้ว่า..การที่ผู้ใดมีอำนาจมากที่สุดแต่ไม่สามารถชนะตนเองได้..ก็ไม่น่า

    ที่จะได้รับการสรรเสริญ

    -........แต่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดและสามารถเอาตนเองไว้ในอำนาจของตนเองได้

    หรือชนะตนเองได้...จึงควรแก่การสรรเสริญ.

    -.........คำว่า"ตนเอง"ในที่นี้น่าจะหมายถึง....ตนเองที่มีตัณหาความทะยานอยากหรือมี

    กิเลส.....อีกนัยหนึ่งก็น่าจะหมายถึง..........ชนะตัณหาความทะยานอยากหรือกิเลสนั่น

    เองครับ.......จึงได้ชื่อว่าเป็น"ยอดนักรบ"ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1242320048.jpg
      1242320048.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.5 KB
      เปิดดู:
      51
    • 3116.jpg
      3116.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.1 KB
      เปิดดู:
      47
    • 630.jpg
      630.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.2 KB
      เปิดดู:
      46
    • 20071272218371(1).jpg
      20071272218371(1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.6 KB
      เปิดดู:
      48
    • a_mun(2)(1).gif
      a_mun(2)(1).gif
      ขนาดไฟล์:
      99.5 KB
      เปิดดู:
      57
    • NNN.jpg
      NNN.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  3. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    มาเชียร์พี่ชายครับ สู้ต่อไปเป็นธรรมทานครับ
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สัมมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 3)



    ...................หลังจากที่พระอานนท์กราบทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่พระพุทธองค์

    แล้ว ทรงประทานสาธุการแก่พระอานนท์ แล้วตรัสให้กำลังใจว่า

    ..................."อานนท์ เธอเป็นผู้มีบารมีอันได้สั่งสมมาดีแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

    แห่งเธอ เรื่องที่เธอจะตกไปสู่ฐานะที่ต่ำกว่านี้นั้นเป็นไม่มีอีก"

    ...................แล้วพระศากยมุนีก็ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ เมื่อพระอานนท์ทูลถาม

    สาเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น จึงตรัสว่า

    ..................."อานนท์ เธอคงลืมไปว่า พระโสดาบันนั้นมีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา

    จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง เธออย่าวิตกทุกข์ร้อนไป

    เลย"

    ...................อธิบายถ้อยคำที่ว่า.."พระโสดาบันนั้นมีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา"...

    หมายความว่า..ผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันนั้น...เป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน

    แล้ว...จะเกิดอีกเพียงไม่เกิด 7 ชาติ..ก็จะได้บรรลุอรหัตตผล หรือ สำเร็จเป็นพระ

    อรหันต์............พระโสดาบันจะไม่มีทางไปทุคติภูมิ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือ

    สัตว์เดรัจฉาน...อย่าแน่นอนครับ

    ....................ถ้อยคำที่ว่า "จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน" นั้นผมขอ

    แสดงความเห็น......โดยความเคารพต่อท่านอาจารย์วศินเป็นอย่างสูง...และเคารพผู้ที่

    เคารพศรัทธาในตัวท่านทุกท่าน...และขอกราบขอขมาด้วยความเคารพอย่างสูง......ผม

    ขอท้วงติงคำในถ้อยคำนี้ว่าน่าจะใช้คำว่า "จะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์อย่างแน่

    นอน"...หรือ..."จะต้องได้บรรลุอรหัตตผลอย่างแน่นอน"

    ...................เหตุผลเพราะว่า...คำว่า "ตรัสรู้" น่าจะใช้กับ"พระพุทธองค์"เพียงผู้เดียว

    เท่านั้น.....เพราะเป็นคำที่สูงส่งและเป็นคำเฉพาะสำหรับพระพุทธองค์...พระอรหันต์ไม่น่า

    จะใช้คำนี้..เพราะเป็นผู้รู้ธรรมตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนครับ.....ก่อนที่ท่านอาจารย์จะ

    เรียบเรียงผมคิดว่าท่านคงมิได้ตรวจทานโดยละเอียดครับ

    .....................ในขณะที่พุทธบริษัทมานั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้ว.......พระองค์ทรง

    ส่งข่ายแห่งพระญาณของพระองค์ไปสำรวจพุทธบริษัทว่า.....ใครหนอจะสามารถบรรลุ

    ธรรมเบื้องสูงได้บ้างในวันนี้......ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุณีโกกิลาว่า..มีญาณแก่กล้า

    พอจะบรรลุธรรมได้....พระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ..ด้วยพระ

    สุรเสียงอันไพเราะกังวาน ดังนี้

    ....................."ดูก่อนท่านทั้งหลาย ทางสองสาย คือ ..กามสุขัลลิกานุโยค การ

    หมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่ง.......และ...อัตตกิลมาถานุโยค การทรมานกายให้ลำบาก

    เปล่าสายหนึ่ง......อันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสีย.........ควรเดินทาง

    สายกลาง....คือ..เดินตามอริยมรรคมีองค์ 8 คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูด

    ชอบ การทำชอบ การประกอบอาชีพในทางสุจริต ความพยายามในทางที่ชอบ การตั้งสติ

    ชอบ และ การทำสมาธิชอบ"

    ......................อธิบายประโยคเกี่ยวกับทาง 3 สาย ดังกล่าว มูลเหตุแห่งพระธรรมนี้

    พระพุทธองค์ทรงได้ข้อคิดในเหตุการณ์ตอนที่....พระพุทธองค์ ..ก่อนตรัสรู้..ในขณะที่

    เป็น"นักบวชสิทธัตถะ" ได้ปฏิบัติธรรมโดยการทรมานกายให้ลำบาก...........ซึ่งอยู่ใน

    "ข้ออัตตกิลมถานุโยค"....และยังไม่อาจบรรลุธรรมได้เลย........ขณะที่พระชนม์ชีพจวน

    เจียนจะแตกสลาย..........ท้าวสักกเทวราชทรงดำริขึ้นว่า.."หากปล่อยให้พระโพธิสัตว์

    ทรงทรมานตนเองอยู่อย่างนี้...อาจถึงแก่ชีวิตในที่สุด...เห็นทีเราจะต้องทำอะไรสัก

    อย่าง...เพื่อให้พระองค์หยุดความคิดเช่นนี้เสีย"

    ....................."นักบวชสิทธัตถะ"กำลังข่มจิตอยู่กับความทุกข์ทรมานของร่าง

    กายอย่างสาหัส.....พระองค์ก็ได้ยินเสียงพิณที่กำลังจะตั้งสายปรับเสียงอยู่...เสียงแรก..

    เป็นเสียงที่หย่อนยาน...ฟังไม่ไพเราะใช้เล่นไม่ได้........ต่อมาเสียงที่สอง....เป็นเสียงที่

    ถูกปรับตั้งให้ตึงขึ้นไปเรื่อย ๆ....จนกระทั่งเสียงสายขาด......และเสียงที่สามต่อมา...เป็น

    เสียงที่ตั้งฟังแล้วไม่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป...ปรากฏว่าเสียงไพเราะเล่นได้ดี

    ....................ท่านยกสายที่ถูกตั้งจนตึงและขาดพิจารณาได้ว่า...."เราทรมานร่างกาย

    มากเกินควร....ธรรมชาติของกายทนได้เพียงเท่านี้....หากจิตของเรายังเคี่ยวเข็ญมันจน

    เกินกำลัง...ร่างกายคงมิอาจทนได้เหมือนสายพิณที่ขาดไป........เพราะถูกตั้งให้ตึงขึ้นไป

    เรื่อยโดยไม่ยอมหยุด"

    .....................ท่านยกสายที่ถูกตั้งอย่างหย่อนยานพิจารณาได้ว่า..."ในอดีตท่านเสวย

    สุขอยู่ในกามไม่อาจปฏิบัติให้บรรลุได้...เหมือนกับสายพิณที่หย่อนยาน...ไม่อาจนำมาดีด

    หรือใช้งานได้"

    .....................ท่านยกสายที่ถูกตั้งอย่างพอดีไม่ตึงไม่หย่อนมาพิจารณา.."ในอดีตใน

    งานแรกนาขวัญขณะเป็นพระราชกุมารผู้เยาว์วัยอยู่...เคยนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นหว้า..งดเว้น

    เรื่องทางโลกและสิ่งมัวหมองทั้งหลายจนบรรลุฌานเบื้องต้น..รู้ทันจิตและเป็นสุขจากการรู้

    นั้นอันเป็นผลจากความสงบจากกิเลสทั้งปวง......ท่านจึงคิดได้ว่าทางนี้คือการบำเพ็ญ

    เพียรทางจิต..น่าจะเป็นหนทางที่จะตรัสรู้ได้เรียกว่า..ทางสายกลาง"

    ....................เสียงพิณดังกล่าวท้าวสักกเทวราชบันดาลให้เกิดขึ้น...และเป็นมูลเหตุ

    ให้เห็นหนทางที่"นักบวชสิทธัตถะ"ได้บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็น"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ

    เจ้า"

    ....................พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้....ด้วยข้อคิดมาจากเรื่องทางสามสาย....เหตุนี้

    จึงนำไปแสดงให้แก่ปัญจวัคคีย์ได้รู้ธรรมตาม.........และในที่นี้ก็นำมาแสดงธรรมโปรด

    โกกิลาภิกษุณีให้ได้บรรลุธรรมขั้นสูงอีกครั้งโดยกำหนดเรียกทางสายกลางนี้ว่า..อริยมรรค

    มีองค์ 8 ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1276765982.jpg
      1276765982.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.1 KB
      เปิดดู:
      347
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.3 KB
      เปิดดู:
      51
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.3 KB
      เปิดดู:
      68
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  5. เถ้าถ่าน

    เถ้าถ่าน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +2
    อนุโมทนา สาธุครับ
    อานิสงส์การตั้งมั่นการทำดี เราต้องตั้งมั่นนี่เอง สาธุ....
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สัมมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 4)


    ...................พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมต่อพุทธบริษัทต่อไปว่า..............

    ..................."ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่ง...ที่ชีวิตทุก

    ชีวิต...จะต้องประสบบ้างไม่มากก็น้อย.....ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง......ท่านทั้ง

    หลาย....ความเกิดเป็นความทุกข์....ความแก่..ความเจ็บ..ความตาย..ก็เป็นความทุกข์..

    ความแห้งใจ..หรือความโศก..ความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า...ความทุกข์กาย..ความ

    ทุกข์ใจ...ความคับแค้นใจ...ความพลัดพรากจากบุคคลหรือ...สิ่งของอันเป็นที่รัก.....

    ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ....ความปรารถนาอะไรไม่ได้ดัง

    ใจ..ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น...ความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น.........เมื่อกล่าวโดย

    สรุป..."การยึดมั่นในขันธ์ 5 ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง...เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่"

    ....................ตาม"คำตรัสสอน"หรือ"ถ้อยคำ" ดังกล่าวมีความชัดเจนครอบคลุม

    เกือบทั้งหมดในการอธิบายความหมาย "ชีวิตที่ต้องประสบทุกข์" ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ปฏิเสธ

    ไม่ได้เลยว่า...ชีวิตนั้นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ....พวกเราควรทำความเข้าใจ..ในชีวิตของเรา...

    ว่าชีวิตเรานั้นเป็นธรรมชาติที่อยู่กับความทุกข์.....ดังนั้น..พวกเราไม่ควรที่จะหนีความ

    ทุกข์...แต่ควรที่จะทำความเข้าใจในทุกข์...และฝึกฝนตนเองให้เคยชินในการรับทุกข์ที่จะ

    บังเกิดขึ้นในชีวิต...เพราะบางครั้งการหลบหนีความทุกข์โดยไม่สนใจใยดี..ฝึกฝนให้ตน

    เองอยู่กับความสุขสบาย..โดยหนีทุกข์..จะทำให้เราเป็นคนอ่อนแอและจะอยู่ด้วยความ

    หวาดกลัวความทุกข์..ทั้งที่มันคือธรรมชาติของเรา

    ...................ยกตัวอย่างเช่น..เมื่อก่อนนี้ไม่มี ...."เครื่องปรับอากาศให้ความเย็น"

    แต่พวกเราก็สามารถทนได้...ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านซึ่งมีอากาศร้อน...ในรถซึ่งไม่มีเครื่องปรับ

    อากาศแต่ก็สามารถเปิดกระจกหน้าต่างรถรับลมได้..อันเป็นธรรมชาติ...หรืออยู่กลางแจ้ง

    ใต้ลมไม้แม้จะร้อนแต่ก็มีลมเย็นโชยมา....เราอยู่กับธรรมชาติเช่นนี้จน"เคยชิน"และ"ทน

    ได้"...............แต่พอเรามาฝึกตนเองให้ได้รับความเย็นสบายโดยอยู่ในห้องติดเครื่อง

    ปรับอากาศ...รถยนต์ปรับอากาศ...."จนเคยชิน"....พอเราไปสัมผัสอากาศร้อน..."เราก็

    ทนกันไม่ได้"...ต้องวิ่งเข้าหาแอร์หรือเครื่องปรับอากาศให้ความเย็น

    ...................ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า...การยอมรับความทุกข์นั้น......มาจากการฝึกฝนรับ

    ทุกข์จนเคยชิน

    ...................อีกตัวอย่างหนึ่งครับ.......บุคคลที่มี..ผู้ที่เคารพรักตายจากไปอย่างบ่อย

    ครั้ง..เขาจะทุกข์โศกเศร้าบ่อย ๆครั้งจนเคยชิน...ผู้ที่เคารพรัก"คนล่าสุด" ตายไป..เขาก็จะ

    มีความเสียใจไม่เท่าไร..เพราะเคยรับเรื่องราวแบบนี้มาแล้ว

    ...................แต่บุคคลที่..."ผู้ที่เคารพรักเพิ่งตายจากไปเป็นคนแรก"...เขาก็จะรับไม่

    ได้กับการสูญเสีย.....จะโศกเศร้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง.....เพราะเหตุที่เขาไม่มีตัวอย่าง

    ให้ฝึกฝนให้เคยชินเช่นคนแรก

    ...................ดังนั้นการฝึกฝนให้เคยชินจึงเป็นสิ่งสำคัญ............................

    ...................แนวการสอนใน"ทัศนคติ"ทางพุทธศาสนา..เป็นแนวทางการฝึกความ

    เคยชิน....เพื่อเปลี่ยนนิสัย"ความเคยชินอันเก่า"มาเป็น"ความเคยชินใหม่"ของเราให้รับกับ

    ทุกข์ได้.....คือ ..กำหนดรู้ทุกข์...ฝึกฝนที่จะอยู่อย่างรับทุกข์...จนเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

    อันเดียวกันได้....แล้วเราจะพบว่า...ชีวิตที่เป็นสุข..คือการทำใจให้รับทุกข์ได้นั่นเอง

    ......................"คำตรัส"หรือ"ถ้อยคำ" .....ที่ว่า.."เมื่อกล่าวโดยสรุปการยึดมั่นใน

    ขันธ์ 5 ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง...เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่"

    ......................อธิบาย"ขันธ์ 5" ถูกกำหนดมาจาก "กายกับใจ" ของคนเรา โดยแบ่ง

    แยกออกเป็น 5 กอง คือ รูป...เวทนา...สัญญา....สังขาร...และ...วิญญาณ

    ......................."รูป"..คือ ธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกันเป็น.."กาย"..

    เรียกว่า...รูป

    ......................."เวทนา" คือ.ความรู้สึกทางอารมณ์..ว่า..เป็นสุข คือ สบายกาย

    สบายใจ ...หรือ เป็นทุกข์...คือไม่สบายกาย ไม่สบายใจ...หรือ..เฉย ๆ..คือ..ไม่ทุกข์ไม่

    สุข....เรียกว่า..เวทนา

    ........................"สัญญา" คือ ความจำได้หมายรู้..คือ จำรูป..เสียง...กลิ่น...รส...

    โผฏฐัพพะ(สัมผัส)..อารมณ์ที่เกิดกับใจ...ได้....เรียกว่า...สัญญา

    ........................"สังขาร" คือ..อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ เรียกว่า.เจตสิกธรรม..อารมณ์

    ที่เกิดขึ้นกับใจในส่วนดีเรียกว่า "กุศล"....อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจในส่วนชั่วเรียกว่า

    "อกุศล"......อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจในส่วนกลาง ๆ คือไม่ดีไม่ชั่วเรียกอัพยากฤต...ทั้ง

    หมดนี้เรียกว่า...สังขาร

    ..................."วิญญาณ" คือ ความรู้อารมณ์ในเวลา"รูปมากระทบตา..เสียงมากระทบ

    หู..กลิ่นมากระทบจมูก....รสมากระทบลิ้น....สัมผัสมากระทบกาย....ธรรมารมณ์กระทบ

    ใจ" การรู้อารมณ์เหล่านี้เรียกว่า...วิญญาณ

    .....................อธิบาย "ตัณหา" คือ..ความทะยานอยากดิ้นรนมีอยู่ 3 ลักษณะซึ่งมี

    คำตรัสบรรยายอยู่ในนิยายแล้ว..ผมขอนำเสนอในตอน(ต่อ 5)ครับ

    .....................อธิบาย "อุปาทาน" คือ "ความยึดมั่น"..... ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา

    ของเขา

    .....................ดังนั้น"การยึดมั่นในขันธ์ 5 ด้วยตัณหาอุปาทาน" จึงหมายถึง...การ

    เอาใจเข้าไปยึดผูกติดในขันธ์ 5 หรือกายกับใจ..ว่าเป็น"ตัวเราของเรา"และมีความ

    ทะยานอยากดิ้นรนไปรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ..ว่าโดยย่อเป็นเช่นนี้ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1365.JPG
      IMG_1365.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      63
    • AZ(1).gif
      AZ(1).gif
      ขนาดไฟล์:
      54.6 KB
      เปิดดู:
      67
    • DSC06504.gif
      DSC06504.gif
      ขนาดไฟล์:
      78.6 KB
      เปิดดู:
      52
    • sangwanandbua.jpg
      sangwanandbua.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.7 KB
      เปิดดู:
      50
    • 6140.jpg
      6140.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      54
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ...ขอบคุณมากครับ"น้องชาย"...
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สัมมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 5)


    .....................พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้แก่พุทธบริษัทฟังอีกว่า................

    ...................."ท่านทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า..ความทุกข์ทั้งมวล...ย่อมสืบเนื่อง

    มาจากเหตุ...ก็อะไรเล่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น...เรากล่าวว่า.."ตัณหา" นั้นเป็นเหตุเกิด

    ทุกข์............ตัณหา คือ ความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสาม....คือ..ดิ้นรน

    อยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เรียก "กามตัณหา"อย่างหนึ่ง......ดิ้นรนอยากเป็น

    นั่นเป็นนี่เรียกว่า.."ภวตัณหา" อย่างหนึ่ง.......ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีแล้วเป็นแล้ว..เรียก

    "วิภวตัณหา" อย่างหนึ่ง.....นี่แลคือสาเหตุแห่งทุกข์ขั้นมูลฐาน"

    ....................จาก"คำตรัส"หรือ"ถ้อยคำ" ดังกล่าว...ในสิ่งที่ชี้เหตุให้เกิดทุกข์..แตก

    ต่างจาก "สัมนานิยายธรรมโกกิลาภิกษุณี บทที่ 6 (ต่อ 4)

    ....................ในตอน(ต่อ 4) นั้น...หมายถึง"ความทุกข์อันยิ่งใหญ่"...ท่านกล่าวว่ามี

    เหตุมาจาก..."การยึดมั่นในขันธ์ 5 ด้วยตัณหาอุปาทาน"

    ....................แต่ "เหตุเกิดทุกข์"ใน(ต่อ 5)นี้...นั้น..หมายถึงทุกข์ทั่วไปหรือขั้น

    มูลฐาน..ท่านว่าเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ....คือ "ตัณหา" เพียงตัวเดียว

    ....................อธิบาย "ตัณหา" คือ ความทะยานอยากดิ้นรนมีลักษณะเป็น 3 อย่าง

    คือ "กามตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวตัณหา" จำความหมายย่อ ๆ เรียงตามลำดับ คือ

    "อยากได้" อย่างหนึ่ง..... "อยากให้คงอยู่" อย่างหนึ่ง..... และ "อยากให้หมดไป" อย่าง

    หนึ่ง....... ในส่วนของคำอธิบายที่ละเอียดมีอยู่ใน"คำตรัส"หรือ"ถ้อยคำ"ที่บรรยายแล้ว

    ....................ท่านว่า "ตัณหา" คือหมายรวมทั้ง 3 อย่าง คือ........ สาเหตุแห่งทุกข์

    ขั้นมูลฐาน ......ซึ่งจะเทียบเคียงกับตัวเราได้ว่า.."เวลาที่เรามีความอยากแต่ละอย่างเกิด

    ขึ้นในใจ" ...ลักษณะอาการของเราจะเกิด..."ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ" เกิดขึ้น

    ...................ซึ่งจะตรงกับคำตรัสสอนเรื่องอริยสัจจ์ 4 ในข้อ.... "ทุกข์" คือ ความไม่

    สบายกาย ไม่สบายใจ .....เพราะความอยากทำให้ดิ้นรนแสวงหา..เมื่อยังไม่ได้ก็เป็น

    ทุกข์.....เมื่อได้มาแล้วอยากให้มันคงอยู่แต่มันกลับแตกสลายหรือสูญหายก็เป็นทุกข์...

    เมื่อได้มาปรากฏว่าสิ่งนั้นไม่ดีก็อยากจะให้มันไปให้พ้นจากตัวเรา..ก็เป็นทุกข์อีก

    ....................ด้วยเหตุนี้..เมื่อเรารู้ว่าทุกข์เกิดจากตัณหา..เราก็ควรหาทางดับตัณหา

    หรือความอยากนั้นเสีย....เพื่อปิดหนทางทุกข์......ดังคำตรัสสอนต่อมา

    .....................พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อมาว่า.......................................

    ....................."ท่านทั้งหลาย...การสละคืนโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่าง ๆ ดับ

    ตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแล..เราเรียกว่า "นิโรธ" คือ ความดับทุกข์ได้ ...ทางที่

    จะดับทุกข์ดับตัณหานั้น....เราตถาคตแสดงไว้แล้ว คือ อริยมรรคมีองค์ 8"

    .....................หากกล่าวโดยร่วมของถ้อยคำในส่วนของตอน(ต่อ 5)ที่กล่าวมาจะเห็น

    ว่าพระองค์ท่านทรงแสดงธรรมโดยย่อในเรื่องของ "อริยสัจจ์ 4" นั่นเอง....อันได้แก่

    ....................."ทุกข์" คือ..ความไม่สบายกายไม่สบายใจ............................

    ....................."สมุทัย" คือ..เหตุให้เกิดทุกข์...........................................

    ....................."นิโรธ" คือ..ความดับทุกข์.............................................

    ....................."มรรค" คือ..ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์........

    ......................พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนแสดงเป็นโอวาทท้ายสุดในนิยายคือ........

    ....................."ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย.เรา

    ตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้..ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น...ส่วน

    ความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล..ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ..ทางมีอยู่..เราชี้แล้ว

    บอกแล้ว....ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง"

    ....................พระพุทธองค์ให้พวกเรา"มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด"...ในข้อธรรมเป็นที่พึ่งผม

    ขอน้อมอธิบายว่า...พระธรรมของพระพุทธองค์..ไม่ได้จำกัดมุ่งสอนแต่นักบวชให้บรรลุ

    ธรรมเท่านั้น.....แต่ยังมีคำสอนให้แก่ฆราวาส..ที่ไม่ต้องการบรรลุธรรม...แต่หวังความ

    เจริญในชีวิตทางโลก...ซึ่งผมขอแนะนำหนังสือ "คู่มือนวโกวาท ฉบับชาวบ้าน" แต่ไม่รู้ว่า

    จะมีขายที่ไหน......หนังสือเล่มนี้จะมีธรรมที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านมาก...โดยได้แสดงเหตุ

    และผลในธรรมแต่และข้อว่า...เมื่อประพฤติปฏิบัติแล้วได้อะไร เช่น

    .....................ธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่าง.1.สติ คือ ความระลึกได้ 2.สัมปชัญญะ

    คือ ความรู้ตัว จะอธิบายว่า สติ ช่วยให้บุคคลไม่ประมาทเลินเล่อเผลอตัว...สัมปชัญญะ

    เตือนให้รู้สึกตัวในการประพฤติ ปฏิบัติสู่ลู่ทางที่ดีที่ชอบ ถูกต้อง ไม่เสียหาย ตั้งมั่นอยู่ใน

    คุณงามความดี.............บุคคลที่ปฏิบัติธรรมหรือประพฤติธรรมนี้จะเป็นบุคคลผู้มีสติ

    สัมปชัญญะประจำสันดาน จะกระทำการใดย่อมผิดพลั้งน้อย ถูกต้องมาก เป็นปัจจัยนำไปสู่

    ความเจริญด้วยความมั่นคง...

    ......................และยังมีข้อธรรมอื่น ๆอีกมากมาย เช่น ธรรมคุ้มครองโลก 2 ได้แก่

    หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป ......หรือ ธรรมอันทำให้งาม 2

    ได้แก่ ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยมเจียมตน เป็นต้น

    ......................เป็นหนังสือคู่มือที่"เป็นธรรมชี้นำในการประพฤติปฏิบัติตัวของพวกเรา

    ได้" สามารถแก้ไขเหตุการณ์ที่มีปัญหาแต่ละเหตุการณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อนำมา

    ปฏิบัติ"

    ................ซึ่งผมก็ใช้เป็นคู่มือมาโดยตลอดในการปฏิบัติธรรมของฆราวาส ผมได้ซื้อ

    เล่มใหม่มาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2544 ราคา 25 บาทเท่านั้น..แต่ให้คุณธรรมแก่ผมมากจน

    ประมาณค่ามิได้เลยครับ

    ......................ก็คงเป็นบทสุดท้ายสำหรับการยกข้อธรรมที่เด่น ที่สำคัญนำมาอธิบาย

    ให้เกิดปัญญาสำหรับท่านผู้อ่านในการกำหนดวิถีชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์ต่อไปครับ.

    .....................หากบุญในการอธิบายธรรมให้ปัญญาเกิดมีขึ้น ขอน้อมนำให้ถึงแด่ท่าน

    ผู้อ่านทุกท่านได้สมปรารถนาในทางที่ชอบและเจริญในธรรมยิ่ง ๆขึ้นไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ประวัติโดยย่อของท่านอาจารย์วศิน อินทสระ


    ...................ก่อนที่จะนำเรื่อง..พระโพธิสัตว์ช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าใน

    อนาคต...ซึ่ง"พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็น"พระติสสพุทธเจ้า"ในอนาคต

    องค์ที่ 9" มานำเสนอต่อ...ก็ขอเอ่ยถึงประวัติท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ไปด้วยครับ.

    ....................ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาหรือพระไตรปิฎก........มิได้เอ่ยถึงเลยว่า

    "ช้างนาฬาคิรี"ในสมัยพระพุทธองค์เมื่อสิ้นชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดที่ใด...ซึ่งผมพยายามค้น

    หาติดตามมานำเสนอ

    ..................ได้ทราบประวัติซึ่งควรพิจารณาว่าท่านได้มาบำเพ็ญบารมีใน"สมัยของ

    พวกเราแล้ว" มีที่หลวงปู่สิม พุทธจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยตน

    เองว่า "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง..." อย่างหนึ่ง

    ...................ต่อมาผมก็มาทราบเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งว่า.."ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ หรือ

    อาจารย์เจิม คุณาบุตร) วัดเกตุมดีศรีวราราม ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัด

    สมุทรสาคร ........."ท่านก็เคยได้ระลึกชาติด้วยญาณของท่านว่า.....ท่านเคยเกิดเป็น

    ช้างนาฬาคิริง" เช่นกัน

    ...................ทั้งหลวงปู่สิมผู้ที่สำเร็จบรรลุธรรมขั้นสูงไปแล้ว.............เมื่อพูด

    ถึง"ครูบาขาวปี"ย่อมมีน้ำหนัก............แต่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์..ท่านก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม

    อย่างมั่นคง..และมีสัจจวาจา

    ...................ทำให้เห็นข้อขัดแย้งกันขึ้น......แต่เพราะกระทู้นี้ได้นำเสนอเรื่องของ

    "พระโพธิสัตว์ช้างนาฬาคิรี"..จึงจำเป็นต้องนำประวัติทั้งสองท่านมานำเสนอให้ท่านผู้อ่าน

    ได้พิจารณา...ด้วยความเคารพ.....และพึงอย่าเพิ่งตัดสินว่า.."ใครน่าเชื่อกว่าใคร"....

    เพราะอนาคตเหตุการณ์จริงยังไม่บังเกิด......ตัดสินยังไม่ได้ครับ.

    ................................................................................................

    ...................ขอนำเสนอประวัติโดยย่อของ"ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ" ต่อครับ

    ...................ท่านเป็นชาวบ้านท่าศาล อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เริ่มสนใจธรรมะ

    หลังจากบวชเป็นเณรเมื่ออายุ 13 ปี ที่วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ ตามคำชักชวนของพี่ชาย

    ...................ท่านได้ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร"ซีเคร็ต" ฉบับเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

    ว่า ................"ตอนนั้นไม่ทราบว่าการบวชดีหรือไม่ดีอย่างไร เมื่อบวชแล้วถึงได้รู้ว่า

    ได้อะไรเยอะมาก เพราะเป็นคนชอบทดลอง.........โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนของพระ

    พุทธเจ้า ได้อ่านและทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ......จนเกิดความสนใจใฝ่รู้ในระดับที่ลึก

    ขึ้นเรื่อย ๆ.......ผมบวชเป็นเณรอยู่ 7 ปี เมื่ออายุ 20 ปีก็บวชพระ...จนสอบได้ธรรมเอก

    แล้วเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย..และเตรียมศาสนศาสตร์ รวม 3 ปี

    แล้วจึงสมัครสอบ ม.8 และเป็นนักศึกษาต่ออีก 4 ปี จนจบหลักสูตรปริญญาตรี สาขา

    ศาสนศาสตร์....และไปศึกษาปริญญาโท สาขาปรัชญา ที่บานารัสฮินดูยูนิเวอร์ซิตี้...หรือ

    ที่คนทั่วไปเรียกว่า..มหาวิทยาลัยพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย"

    .................ท่านอาจารย์วศิน เขียนหนังสือธรรมะเล่มแรกเมื่ออายุ 29 ปี เล่มแรก คือ

    "แสงเทียน" เป็นนวนิยายอิงหลักธรรม.....อายุได้ 30 ปี เขียนเรื่อง "พระอานนท์พุทธ

    อนุชา" เป็นนวนิยายอิงหลักธรรมและชีวประวัติ เล่มหลังนี้คนนิยอมอ่านกันมาก ...และได้

    รับการยกย่องให้เป็น"วรรณกรรมของโลก"......ซึ่ง"โกกิลาภิกษุณี" ที่หลวงพ่อสุรศักดิ์

    เขมรังสี ..ตัดตอนนำมาแสดงเผยแผ่..และผมมาน้อมนำเสนอในกระทู้นี้ก็มาจากเล่มนี้

    ..................รวมทั้ง"สารานุกรมวรรณกรรมโลกในศตวรรษที่ 20" ชี้ทางออกให้แก่

    สังคมไทยที่กำลังสับสนวุ่นวายด้วยปัญหานานัปการ

    ..................ทุกวันนี้ท่านเขียนหนังสือธรรมะไว้ถึงจำนวน 130 เล่ม แต่ละเล่มมีวิธีการ

    เล่าเรื่องต่าง ๆ กันไป....บางเรื่องเป็นแบบจดหมายจากพ่อถึงลูก..จดหมายถึงเพื่อน...

    จดหมายจากพี่ถึงน้อง...บางเรื่องเป็นการเล่าสู่กันฟัง..บางเรื่องเป็นการสนทนาของพระ

    2-3 รูป..... บ้างเป็นบทความ..เป็นการเขียนแบบที่เรียกว่า"ร้อยมาลัยธรรม" คือ ผูกเรื่อง

    จากเค้าโครงจริงบ้าง..แต่งขึ้นเองบ้าง แล้วค่อย ๆ ใช้ธรรมะแทรกเข้า

    .................ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ในชีวิตของผม ผมชอบแสดงธรรมมากกว่าแสดงตน

    และไม่เคยปรารถนารางวัลใด ๆ ทั้งสิ้น....แต่ในปี พ.ศ.2525 กรมการศาสนาได้มอบ

    รางวัลเสมาธรรมจักรให้ผม..ในฐานะเป็นฆราวาสผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพุทธศาสนา สาขา

    วรรณกรรม โดยในปีนั้นฝ่ายบรรพชิตที่ได้รับรางวัลนี้ คือ......... ท่านพระพรหมคุณาภรณ์

    (ป.อ.ปยุตฺโต)"

    ..................ท่านอาจารย์วศิน บอกว่า ...การเขียนหนังสือธรรมะของท่าน..ก็คือ..การ

    เผยแผ่ธรรมะ....โดยปวารณาตัวว่า......"จะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนลมหายใจ

    สุดท้าย" ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนนำเรื่อง สิ่งที่เป็นกรรมต่อพระโคดมพุทธเจ้า


    .....................ผมขอกล่าวย้อนไปถึงเรื่องราวของ"บทสวดพระคาถา...พระชัยมงคล

    คาถา(พาหุง)" บทสวดที่สาม..."นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจัก

    กะมะสะนีวะ สุทารุฌันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะ

    มังคะลานิ"

    .....................ตามคำแปลของบทสวดนี้..นอกจากจะกล่าวถึงชัยชนะของพระโคดม

    พุทธองค์ที่มีต่อพญาช้างนาฬาคิรีแล้ว......ยังแสดงชี้ให้เห็นเป็น"หลักฐาน"

    ..................ถึง.."กรรมหรือการกระทำ" .......ที่พญาช้างนาฬาคิรีที่คิดประทุษร้ายต่อ

    พระพุทธองค์........แม้จะเป็นพระโพธิสัตว์แต่เมื่อกระทำกรรมแล้วต้องได้รับผลของกรรม

    นั้น

    .....................เหตุการณ์ในตอนนั้น...พญาช้างนาฬาคิรีกำลังตกมันเมามายบ้าคลั่ง

    อาละวาดไปทั่ว ชาวเมืองพากันแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง และ

    พญาช้างมาฬาคิรีได้วิ่งกระโจนเข้าใส่หมายจะทำร้ายพระพุทธองค์ ....แต่ก่อนที่พญาช้าง

    นาฬาคิรีจะถึงพระพุทธองค์..พระอานนท์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ได้รีบเข้ามาขวางหน้าพระ

    พุทธองค์ไว้ด้วยความจงรักภักดี..หมายสละชีพแทนพระพุทธองค์"

    ...........พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า "อานนท์นั่นเธอจะทำอะไร หลีกไป

    เถอะ...อย่าป้องกันเราเลย"

    ...........พระอานนท์ตรัสตอบไปว่า "อันตรายพระเจ้าข้า..ข้าแต่พระองค์ชีวิตของ

    พระองค์มีค่ายิ่งนัก..ทรงเปรียบดังแสงสว่างสร้างคุณประโยชน์แก่ชาวโลก ถึงแม้ข้า

    พระองค์จะตายก็ไม่เสียดายชีวิตหรอกพระเจ้าข้า"

    ...........พระพุทธองค์ทรงเตีอนพระอานนท์ว่า "หลีกไปเถิดอานนท์ ไม่มีใครเอาชีวิต

    ตถาคตได้หรอก เราสร้างบารมีไว้ดีแล้ว"

    .....................พระอานนท์เชื่อฟังพระพุทธองค์....พระพุทธองค์ยืนสงบนิ่งอยู่ ณ ที่

    นั้น และแผ่เมตตาพร้อมบุญกุศลที่ได้ทรงสะสมมานับหลายชาติ ...ให้พญาช้างนาฬาคิรี..

    ทำให้พญาช้างนาฬาคิรีหยุดชะงักลงต่อหน้าเบื้องพระพักตร์พร้อมกับใจซึ่งเปี่ยมไปด้วย

    โมหะโทสะก็สงบลง

    ..........พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พญาช้างนาฬาคิรีว่า "นาฬาคิรีเอ๋ย ที่เธอกำเนิดเป็นสัตว์

    เดรัจฉานในชาตินี้เพราะเธอทำกรรมไม่ดีไว้ในชาติก่อน..เธออย่าทำกรรมหนักเช่นทำร้าย

    เราผู้เป็นพระพุทธเจ้าเลย..เพราะจะเป็นบาปติดตัวเธอไปชั่วกาลนาน"

    .....................พระพุทธองค์ตรัสจบลง...พญาช้างนาฬาคิรีที่ดูคลุ้มคลั่งเมื่อสักครู่สงบ

    ลงและแสดงอาการสำนึกผิด...โดยหมอบลงแทบเท้าต่อหน้าพระพักตร์แสดงความเคารพ

    ต่อพระพุทธองค์

    .....................พระพุทธองค์ทรงชนะพญาช้างนาฬาคิรีด้วยพระเมตตาบารมีของพระ

    พุทธองค์

    .....................มาพิจารณาเรื่องกรรม..แบ่งเป็น..การกระทำทางกาย...ทางวาจา..

    และทางใจ

    .....................จะเห็นจากการกระทำที่"พญาช้างนาฬาคิรีได้วิ่งกระโจนเข้าใส่หมายจะ

    ทำร้ายพระพุทธเจ้า" ....อธิบายคำว่า"หมาย" ในลักษณะนี้ คือ เป็นอาการทางใจที่มุ่ง

    ประสงค์คิดร้ายต่อพระพุทธองค์

    ................."เป็นกรรมทางใจของพญาช้างนาฬาคิรี"....ซึ่งพญาช้างนาฬาคิรีก็รู้สึกตัว

    ว่าได้ทำกรรมนี้.......จึงได้แสดงอาการสำนึกผิดโดยหมอบลงแทบเท้าต่อหน้าพระพักตร์

    แสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์"

    .....................ก็กรรมอันนี้...พระพุทธองค์ไม่ได้แสดงผลกรรมของพญาช้างนาฬาคิรี

    ให้แก่ผู้ใด..จึงไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก

    .....................และ..ก็ไม่ปรากฏว่าระหว่าง.............พญาช้างนาฬาคิรี กับ พระ

    พุทธองค์".........พระพุทธองค์ปรินิพพานก่อนพญาช้างนาฬาคิรีตาย....หรือพญาช้างนา

    ฬาคิรีตายก่อนพระพุทธองค์ปรินิพพาน

    .....................แล้วเมื่อ"พญาช้างนาฬาคิรี" ตายแล้วไปบังเกิดอยู่ที่ใด......ไม่มีคำ

    ตอบจากพระไตรปิฎก...หรือผู้ที่รู้เรื่องราว

    .....................แต่ท่านจะบังเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม..ท่านต้องได้รับผลกรรมที่คิด

    ประทุษร้ายพระพุทธองค์อย่างแน่นอน

    .....................เนื่องจากพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงวินิจฉัยไว้ว่า"ภพภูมิของพระโพธิสัตว์

    พญาช้างนาฬาคิรีจะไปที่ใด"..นอกจากพยากรณ์ว่า"พญาช้างนาฬาคิรี"จะบังเกิดเป็น"พระ

    ติสสพุทธเจ้า" พระพุทธเจ้าในอนคตองค์ที่ 9 เท่านั้น

    ......................แต่มีถ้อยคำของ"หลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง

    เชียงใหม่"กล่าวว่า "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง"

    ......................แต่ก็มีถ้อยคำของ "ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ หรือ อาจารย์เจิม คุณาบุตร

    วัดเกตุมดีศรีวราราม สมุทรสาคร" กล่าวว่า "ท่านระลึกชาติแต่หนหลังได้ว่า เกิดมาแล้ว 92

    กัลป์(บางแห่งว่า 29 กัลป์) เคยเป็นพระโพธิสัตว์มาตลอด ได้รับพยากรณ์จากสมณโคดม

    พุทธเจ้า ในชาติที่เกิดเป็นช้างนาฬาคิริง"

    ......................เป็นความขัดแย้งที่ผมจะนำเสนอให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน แต่ก่อนที่ผม

    จะเขียนเรื่องนี้ต่อไป ผมขอกล่าวคำขอขมาอภัยดังนี้

    ......................ผมขอกราบขอขมาอภัยต่อ..หลวงปู่สิม พุทธจาโร..ครูบาอภิชัยขาวปี

    หรือครูบาขาวปี ...ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์หรืออาจารย์เจิม คุณาบุตร...พระคุณเจ้าที่เป็นลูก

    ศิษย์ของท่านทั้งสาม...ลูกศิษย์ฆราวาสของท่านทั้งสาม...และผู้ที่เคารพรักและศรัทธา

    ท่านทั้งสาม.....................หากข้อเขียนของผมมีอันล่วงเกินเลยไปหรือผิดพลาดไป..

    ผมขอกราบขอขมาอภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  11. whimsicle

    whimsicle Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +36
    ร่วมอนุโมทนาด้วนนะคะ ขอบคุณที่นำเรื่องราวในชาดกมาเล่าให้ฟังเพื่อนเป็นเครื่องเตือนใจ
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวของครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี


    ....................ผมจะเขียนตอนที่ 1 เป็น"ประวัติครูบาขาวปีอย่างเดียว"...ก็อาจไม่

    สามารถสอดแทรกอย่างอื่นเข้าไปได้.............แต่ถ้าเขียนแบบเป็นเรื่องราวที่ยกไว้

    ใน"ชื่อตอน"..ดูน่าจะเขียนใส่อะไรไปได้มากกว่า...

    ....................ครูบาขาวปี..เดิมท่านชื่อ"จำปี" ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 7 เหนือ

    ปีฉลู (คำเมืองเรียกว่า "ปีกัดเป้า) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เมษายน 2443 อันเป็นวันมหา

    สงกรานต์ คำเมืองเรียกว่า"วันปากปี" ณ หมู่บ้านแม่เทย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    ....................บิดามารดาของท่าน คือ "นายเม่า" กับ "นางจันตา" ตอนนั้นยังไม่มี

    การใช้นามสกุล ไม่ปรากฏว่าท่านมี"น้อง"อีก

    .....................บิดามารดาของท่านอยู่ในฐานะยากจน..อาหารการกินขาดแคลน มี

    แต่"ผักกับกลอย"เป็นอาหารหลัก ..เมื่อท่านเกิดมาจึงต้องกินอาหารเช่นเดียวกัน ทำให้

    เด็กชายจำปี มีร่างกายบอบบางและอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อยครั้งแต่ไม่รุนแรง

    ......................เด็กชายจำปีมีแววฉลาดแต่ว่านอนสอนง่าย และเรียนรู้ประสบการณ์

    จากป่า ความสงบของธรรมชาติมาตลอดชีวิต

    ......................แม้ยากจนแสนเข็ญ แต่ครอบครัวของท่านก็มีความสุข อยู่ตามประสา

    พ่อแม่ลูก 3 ชีวิต

    ......................แต่บิดาของท่านทำงานหนักและล้มเจ็บลงเป็น"ไข้ป่า"(มาลาเรีย)ร้าย

    แรง ..ไม่มียาชั้นดีรักษา..นอกจากใช้สมุนไพรหรือยากลางบ้านต้มกิน..แต่อาการมีแต่ทรง

    กับทรุด....เด็กชายจำปีขณะนั้นมีอายุเพียง 4 ขวบนั่งอยู่ข้างบิดาแล้วถามบิดาอย่างไร้

    เดียงสาว่า "พ่อเป็นอะไร..ทำไมจึงไม่ลูกนั่ง..หอบอุ้มลูก..เหมือนเก่าก่อน"....แม่ท่านซึ่ง

    อยู่ข้าง ๆถึงกับน้ำตาซึม ได้แต่ภาวนาให้บิดาของเด็กชายจำปีหายป่วย

    ......................แต่แล้วบิดาของท่านก็ได้จากโลกนี้และจากแม่จันตาและเด็กชายจำปี

    ไปอย่างสงบ....ท่ามกลางความอาลัยรักของสองแม่ลูกและเพื่อนบ้าน

    ......................นับจาก"นายเม่า"บิดาของท่านตายจากไปแล้ว ชีวิตของสองแม่ลูก

    อยู่อย่างลำบากแสนเข็ญ กลางคืนก็นอนอย่างหวาดผวา ด้วยหมู่บ้านที่อยู่มีเพียง 9

    หลังคาเรือน อยู่กลางป่ามีขุนเขาล้อมดำทะมึน

    .......................เด็กชายจำปีได้เติบโตขึ้นด้วยความแข็งแกร่งอดทน ด้วยนผจญเหตุ

    ร้ายและอุปสรรคมาแต่เด็ก จนอายุ 16 ปี ท่านไม่ร่าเริงเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป แต่กลับดูสงบ

    เสงี่ยมเจียมตัว ชอบอยู่คนเดียวเงียบ ๆ และความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

    ........................สมัยนั้น"ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย" ยังอยู่ที่วัดบ้านปาง ..วันหนึ่งแม่จัน

    ตาเรียกเจ้าจำปีเข้ามาถามว่า "ลูกอยากบวชไหม"

    ........................เจ้าจำปีตอบว่า "อยากบวช แต่ยังห่วงแม่ เมื่อลูกบวชแล้วใคร

    ดูแล"

    .........................แม่จันตาตอบว่า "อยู่ได้ อย่าห่วงเลย อีกประการหนึ่งการบวชนี้เป็น

    การช่วยพ่อแม่ที่ดีที่สุด เพราะเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง เมื่อเห็นลูกนุ่ง

    เหลือง ก็นับว่าเป็นความสุขชื่นใจอย่างเหลือเกิน"

    ....................จากการชี้นำของแม่จันตา ท่านตกลงที่จะบวชทันที มารดาจึงพาท่าน

    ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย.....และในทันทีที่ท่านครูบาเห็นลักษณะ

    ของท่านก็รับไว้ทันที...เหมือนหยั่งรู้ว่า..เจ้าจำปีในอนาคตจะต้องยิ่งใหญ่ ในฐานะนักบุญ

    แทนท่าน และอีกไม่นานหลังจากร่ำเรียนสวดมนต์ อ่านเขียนอกขระทั้ง"ภาษา

    ไทย"และ"พื้นเมือง"จบแล้ว...ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงให้ท่านบรรพชาเป็น"สามเณร"

    ........................มีต่อครับ...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวของครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี (ต่อ 1)


    ....................ระหว่างเป็นสามเณร ท่านได้ปฏิบัติกิจอันพึงมีต่อพระอาจารย์ คือ ครู

    บาศรีวิชัยอย่างครบถ้วน ท่านจึงเป็นที่รักของพระอาจารย์อย่างยิ่ง ท่านจึงตั้งชื่อให้

    เหมือนกับพระอาจารย์ว่า "สามเณรศรีวิชัย"

    ....................สามเณรน้อยได้เฝ้าอุปัฏฐากพระอาจารย์ และร่ำเรียนกัมมัฏฐานและ

    อักษรสมัย..จนจบถ้วนด้วยความสนใจพร้อมกับปฏิบัติตามที่พร่ำสอนจนดวงจิตสงบ

    พร้อมกันนั้น

    ....................ได้รับถ่ายทอดในเชิงวิชาช่างก่อสร้างจากพระอาจารย์จนเกิดความ

    ชำนาญและติดตามครูบาไปก่อสร้างวัดวาอารามทุกหนทุกแห่งมิได้ขาด

    .....................ในด้านสถาปัตย์ท่านจึงนับว่าเป็นหนึ่ง ท่านชำนาญจนถึงขนาดว่า

    เพียงเดินผ่านเสาไม้ต้นไหน ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่า ........"เสาต้นไหนกลวงหรือตัน ทั้ง ๆ

    ที่ไม่ปรากฏว่าเสาต้นนั้นจะมีรอยกลวงให้ปรากฏแก่สายตา"

    ......................ท่านดำเนินชีวิตทั้งด้านการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน และด้านพัฒนาก่อ

    สร้างควบคู่กันไป จวบจนอายุได้ 22 ปี ..รวมเป็นสามเณร 6 ปี ท่านครูบาศรีวิชัยจึง

    อุปสมบทให้ แต่เพราะเหตุที่ท่านมีชื่อเหมือนกับพระอาจารย์...เมื่อเป็นพระภิกษุพระ

    อาจารย์จึงได้ตั้งเปลี่ยนฉายาให้ใหม่ว่า "อภิชัยขาวปี"

    ......................ท่านอุปสมบทไดเพียง 2 พรรษา ก็ได้กราบลาพระอาจารย์ เพื่อที่จะ

    แยกไปมุ่งงานก่อสร้างต่อไป..

    ......................พระอภิชัยเริ่มงานก่อสร้างในสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 24 ปี จนถึง

    อายุ 35 ปี ลางร้ายก็เริ่มปรากฏ......สมัยนั้นใช้เงินตราปราสาททอง ตรารูปช้างสามหัว

    และเริ่มมีธนบัตรใช้ควบคู่กันไป ขณะที่กำลังก่อสร้างกุฏิวัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัด

    ลำพูน แต่ยังไม่ทันเสร็จ

    ......................ปลัดอำเภอลี้สมัยนั้นก็มาสอบถามถึง.."ใบกองเกินการเกณฑ์ทหาร"

    จากท่าน...แต่ท่านไม่มี........ตำรวจจึงคุมตัวไปจังหวัดลำพูนและส่งตัวฟ้องศาล ...เมื่อ

    ถูกศาลไต่สวนถึงใบกองเกินว่า..."ทำไมถึงไม่ได้รับ" ท่านก็ให้การว่า "ขณะที่เริ่มมีการ

    เกณฑ์ทหารนั้น..ได้ระบุว่าให้ขึ้นทะเบียนตั้งแต่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ขณะนั้นอาตมาได้

    25 ปี....บัดนี้อายุอาตมาได้ 35 ปีแล้ว...จึงนับว่าพ้นเกณฑ์แล้ว"...ศาลจึงพักเรื่องนี้ไว้

    ก่อน

    .................หลังจากนั้นอีกไม่นาน..ท่านก็ต้องขึ้นศาลอีก และให้ท่านรับใบกอง...แต่

    ท่านก็ไม่ได้ไปแจ้งแก่ทางการให้มีการยกเว้นหรืออย่างไร ฉะนั้นท่านจึงมีความผิดให้จำ

    คุก 6 เดือน....แล้วให้จัดการสึกท่านออกจากการเป็นพระภิกษุก่อน...แต่ท่านก็ยังยืนยันว่า

    ท่านบริสุทธิ์...ท่านเป็นพระทั้งกายและใจ ...ชีวิตนี้อุทิศให้กับศาสนาแล้ว...............

    "ท่านไม่ยอมเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายของท่านด้วยมือของตัวเองเป็นอันขาด"

    ....................เมื่อยืนยันอย่างนี้..ศาลจึงให้ตำรวจคุมตัวท่านไปหาเจ้าคณะจังหวัด ให้

    จัดการสึกตามระเบียบ แม้กระนั้น..ท่านก็ยังยืนยันอย่างเด็ดเดียว ที่จะไม่ยอมสึก......

    และเมื่ออภิชัยภิกษุไม่ยอมสึก ...เจ้าคณะจังหวัดจึงต้องบังคับ...โดยให้ตำรวจจับเปลื้อง

    ผ้าเหลืองออกจากตัวท่าน...และสวมกุญแจมือท่านคุมตัวไปขังโรงพักคืนหนึ่ง

    .....................วันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย 4 โมงเย็น ก็ถูกส่งเข้าจองจำในเรือนจำจังหวัด

    ลำพูน...ซึ่งท่านต้องได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส

    .....................ท่านเล่าถึงชีวิตในคุกตอนนั้นว่า "คุกในสมัยนั้นสุดแสนสกปรก ยังเป็น

    คุกไม้ พื้นปูกระดาน..เวลานอนก็นอนทั้ง ๆ ที่ล่ามโซ่โดยสอดร้อยกับนักโทษคนอื่น...คือ

    ข้อเท้าทั้งสอง..ล่ามโซ่ตรวน มีโซ่เส้นใหญ่สอดร้อยตะขอพ่วงกับนักโทษคนอื่นอีกที

    .....................เรื่องจะนอนหลับสบายนั้น...ไม่ต้องพูดถึง..เพราะพอล้มตัวนอน ฝูง

    เลือดนับเป็นร้อย ๆ ก็รุมกัดดูดเลือดกิน....จะถ่ายหนักถ่ายเบาก็ตรงช่องกระดานตรงที่ใครที่

    มัน...กลิ่นเหม็นจึงคละคลุ้งไปหมด

    .....................ชีวิตประจำวันในห้องขังก็คือ...พอ 7 โมงเช้า เปิดประตูห้องขัง...ทำ

    งานถึงเวลา 8 นาฬิกา ผู้คุมเป่านกหวีดเลิกงาน...ทานข้าว..ซึ่งข้าวนี่ก็อย่าหวังว่าจะกินอิ่ม

    หมีพีมันและเอร็ดอร่อย ไม่มีทาง............ข้าวกระติ๊บเล็ก ๆ แกงถ้วยหนึ่ง..ต้องกินถึง 4

    คน พอหรือไม่พอกิน ก็มีให้เท่านั้น...ซึ่งเวลากินก็ต้องใช้ความว่องไว และกับข้าวแต่ละวัน

    นั้นเลือกไม่ได้ จะมีพวกผักเสียเป็นส่วนมาก เช่น ยอดฟักทอง ผักตำลึง แกงใส่ปลาร้า

    ค้างปี เหม็นหืน หาความอร่อยไม่มีเลย....แถมข้าวแข็งเหมือนกินก้อนกรวด เป็นข้าวแดง

    ใช้แรงนักโทษช่วยกันตำ...... จึงดีอยู่หน่อยที่มีวิตามินกินแล้วแรงดี............

    .............................................มีต่อครับ...................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี (ต่อ 2)


    ....................ท่านอภิชัยขาวปีทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกไม่นาน ก็ได้ไปเห็นโรง

    พยาบาลจังหวัดลำพูนในสมัยนั้นชำรุดทรุดโทรมเหลือเกิน .....ท่านจึงแจ้งให้กับผู้

    บัญชาการเรือนจำทราบว่ามีความประสงค์จะสร้างโรงพยาบาลหลังใหม่....ผู้บัญชาการ

    เรือนจำจึงได้ไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด..........ผู้ว่าราชการจังหวัดกลัวว่าจะสร้างไม่

    ทันเสร็จกับระยะเวลาที่ท่านอภิชัยขาวปีติดคุกในกำหนด 6 เดือนเท่านั้น ...จึงไม่อนุญาต

    ....................ท่านจึงถามว่า "ถ้าสร้างเหมาโรงพยาบาลนี้จะใช้งบประมาณเท่าไร

    อนึ่งถ้าสร้างภายใน 6 เดือนไม่เสร็จ เมื่อถึงคราวฉลองเมื่อไรก็จะร่วม"

    ....................ทางจังหวัดก็บอกว่า "ถ้ามีเงินถึง 1,600 บาทก็สร้างได้" (ในสมัยนั้นมี

    ค่ามาก) ...ท่านจึงออกเงินส่วนตัวมอบให้ทางจังหวัดเพื่อเป็นทุนสร้างโรงพยาบาลต่อไป

    เป็นจำนวน 1,600 บาท

    ....................ซึ่งหลังจากทางจังหวัดได้รับทุนแล้ว..ก็ดำเนินการก่อสร้างทันที...และ

    ผลแห่งความดีนั้น.....ทางจังหวัดก็สั่งให้ทางเรือนจำ...ส่งท่านให้ไปพำนักอยู่ในโรง

    พยาบาลหลังเก่า..เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานสร้างโรงพยาบาล...พร้อมกันนั้นก็ให้นัก

    โทษชาย 2 คน มาอยู่ด้วยเพื่อปรนนิบัติ อีกทั้งอาหารการกินก็กำชับให้ทำอย่างดีและ

    สะอาดเป็นพิเศษกว่านักโทษทั้งหลาย..............ท่านก็เลยพ้นจากการทรมานเพราะถูก

    เลือดยุงกัด

    .....................นับจากนั้นมา การก่อสร้างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว...ทั้งนี้ก็เนื่องมา

    จากบรรดาประชาชนทั้งหลายที่เลื่อมใสในตัวท่าน....เมื่อทราบข่าวว่า...ท่านมาเป็น

    ประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาล..ก็พากันมาช่วยและทำบุญด้วยอย่างคับคั่ง....และเงิน

    ที่ได้จากการบริจาคครั้งนั้นยังได้ถึง 2,000 กว่าบาท เกินกว่าที่กำหนดราคาก่อสร้างโรง

    พยาบาลที่ท่านใช้เงินส่วนตัวออกไปถึง 400 บาท

    ......................ครั้นถึงเดือน 9 เหนือ แรม 2 ค่ำ ก็เป็นวันที่ท่านพ้นโทษตามคำ

    พิพากษาครบ 6 เดือน....และโรงพยาบาลก็แล้วเสร็จก่อนถึง 10 วัน..

    ......................ในวันที่จะออกจากคุกนั้น...ท่านก็ได้ให้ทานแก่พวกนักโทษทั้งหลาย

    เป็น...ขนม.ส้มหวาน.ทั้งอาหารทั้งหลายอย่างเหลือเฟือ......จนพวกเขาอิ่มหมีพีมันไป

    ตาม ๆ กัน.......เมื่อตอนที่ท่านยังถูกจองจำอยู่ในคุกนั้น....ระยะหลังพวกนักโทษทั้งหลาย

    ก็อยู่กินสบายจากของไทยทานที่ประชาชนผู้เลื่อมใสมาถวายท่านถึงในคุกเป็นประจำทุกวัน

    อย่างมากมาย...............รวมความว่าผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในเรือนจำทั้งหมด...ล้วนแล้วแต่

    ได้รับความสบายในด้านอาหารกันไปตาม ๆ กัน

    ......................ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดวันพ้นโทษ...วันนั้น..นักโทษทั้งหลายต่างพากัน

    ปริเวทนา..บ่นพร่ำว่า..เมื่อท่านอภิชัยขาวปีพ้นโทษไปแล้ว....พวกเราทั้งหลายยังจะได้อยู่

    กินอิ่มอย่างนี้อีกหรือ..แล้วก็พากันร่ำไห้..ด้วยความอาลัยรักในตัวท่าน..เสียงระงม..เป็น

    ภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก....แม้ตัวท่านเองก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

    ......................พวกเขาพากันมารอที่ประตูคุกเป็นการส่งท่านด้วยใบหน้าที่นองไปด้วย

    น้ำตา...และจากปากประตูคุก..จนถึงวัดพระธาตุหริภุญชัยมีระยาทางประมาณ 70 วา ....ก็

    มีประชาชนมายืนเรียงรายถวายทานกับท่าน...ซึ่งได้เงินถึง 300 บาท...พอดีกับเงินที่ซื้อ

    ของถวายทานให้แก่นักโทษ..เหมือนกับเป็นการยืนยันว่า........"การทำบุญสุนทานนั้นไม่

    หายไปไหน"

    ......................เมื่อท่านเดินทางไปถึงประตูวัดพระธาตหริภุญชัย..ก็มีพระสงฆ์ 10 รูป

    มาสวดมนต์เป็นการลดเคราะห์สะเดาะภัยให้...แล้วให้ศีลให้พรให้อยู่ดีมีสุขสืบไป....จาก

    นั้นพอถึงเดือน 9 เหนือ แรม 4 ค่ำ........ ก็ร่วมฉลองโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน.

    ...........................................ยังมีต่อครับ....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี (ต่อ 3)


    .....................ในวันที่แล้วเสร็จงานฉลองสมโภชโรงพยาบาลจังหวัดลำพูน ท่านก็เดินทางไป

    นมัสการท่านพระอาจารย์ครูบาศรีวิชัย ที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

    .....................ในครานั้นท่านครูบาศรีวิชัยได้อุปสมบทท่านเป็นภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยมีครูบา

    แห่งวัดนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์........หลังจากได้กลับมาสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้ว.......ท่านอยู่จำพรรษา

    กับครูบาศรีวิชัยได้ 1 พรรษา..ก็ลาพระอาจารย์จาริกไปสร้างสถานที่ต่าง ๆ ต่อไป อีกหลายแห่ง..ทั้งวัด

    และโรงเรียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................และในคราวนั้นเมื่อสร้างพระเจดีย์ที่บ้านนาหลวง อำเภอตาก จังหวัด

    ตากเสร็จแล้ว.....ท่านก็มุ่งสู่แม่สอด..โดยเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรถึง 4

    วัน 4 คืนจึงถือ...แม่ระมาด....และเริ่มงานสร้างถาวรวัตถุอีกมากมาย....จากอายุ 36 ปี

    ถึง 42 ปี

    .....................ที่แม่ระมาดนี่เอง...ก็มีเรื่องน่าเศร้าใจเกิดขึ้นอีก..กล่าวคือ...เมื่อสร้าง

    โบสถ์แม่ระมาดนั้นเงินไม่พอ..........ยังขาดอยู่อีก 700 บาท.....เป็นค่าทองคำเปลว

    400 บาท กับค่านายช่างอีก 300 บาท......ท่านก็ปรึกษาเรี่ยไรเอาจากชาวบ้านจนครบ

    ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน.....แล้วช่วยกันสร้างต่อ จนแล้วเสร็จทันฉลอง
    .
    .....................เมื่อเรื่องการเรี่ยไรนี้ทราบถึงอำเภอ.....ทางอำเภอจึงได้เรียกกำนันไป

    สอบสวนว่า "อภิชัยภิกษุ..เรี่ยไรจริงหรือไม่"

    .............กำนันก็รับว่า "จริงแต่ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน..เพราะถ้าไม่ทำอย่าง

    นั้น...งานสร้างโบสถ์ก็หยุดชะงัก"

    .............ทางอำเภอก็ว่า "เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ผิด...เพราะเป็นพระเป็นเจ้าจะทำการ

    เรี่ยไรไม่ได้ ..ผิดระเบียบคณะสงฆ์"

    .......................แล้วทางอำเภอได้รายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าคณะจังหวัด ...เจ้าคณะ

    จังหวัดจึงตัดสินว่า..."ให้สึกพระอภิชัยเสีย"

    .......................ท่านจึงต้องจำยอมสึกจากภาวะความเป็นภิกษุอีกครั้ง......ท่ามกลาง

    ความสลดหดหู่ของผู้คนที่รู้เห็นเป็นอันมาก.ที่ท่านครูบาของพวกเขาต้องมารับกรรม...

    เพราะทำความดี....อย่างไม่ยุติธรรม

    ........................ท่านต้องนุ่งห่มแบบชีปะขาวอีกครั้งที่ใต้"ต้นประดู่แห้งที่ยืนตายซาก

    มานานเป็นแรมปี"...........ณ ที่นี้เอง...มีเรื่องที่น่าอัศจรรย์สมควรบันทึกไว้คือ....พอ

    ท่านเปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายมาครองผ้าขาวเท่านั้น...."ต้นประดู่ที่แห้งโกร๋น

    ปราศจากใบ..ก็ผลิตดอกออกใบฟื้นขึ้นมาอีก"....ท่ามกลางความอัศจรรย์ของบรรดา

    ประชาชนที่ร่วมชุมนุมอยู่เป็นอันมาก............เกือบทุกคนพากันหลั่งน้ำตา..ล้มตัวลง

    กราบท่านโดยพร้อมเพรียงกัน...นับเป็นปรากฏการณ์ที่จะไม่ได้เห็นอีกในชีวิต

    ....................ไม่นานจากนั้น...ท่านพร้อมกับผู้ติดตาม...ก็มุ่งกลับสู่อำเภอลี้...โดย

    รอนแรมมาเป็นระยะเวลา 10 วัน 10 คืน..ก็เดินมาถึงอำเภอลี้...พักอยู่ที่กลางทุ่งนาบ้าน

    ป่าหก..ได้ 4 คืน..............นายอำเภอลี้..จึงให้ตำรวจมาขับไล่ไม่ให้อยู่โดยไม่มี

    เหตุผล......ด้วยความใจดำเป็นอย่างยิ่ง.................ท่านจึงมาพักอยู่กลางทุ่งนาบ้าน

    แม่ตืน ณ ที่นี้ก็ถูกทางอำเภอกลั่นแกล้งอีก....โดยรายงานไปทางจังหวัดว่า.."ชีประขาวปี

    นำปืนเถื่อนมาจากแม่สอด..มาถึง 1,000 กระบอก

    .....................หลังได้รับรายงาน...ทางจังหวัดจึงมีบัญชาให้..นายร้อยตำรวจ 2 นาย

    กับพระครู 2 รูป...ขึ้นมาทำการตรวจค้น..ไต่สวนท่าน

    ............ท่านกล่าวว่า "ไม่เป็นความจริงหรอก อาตมาเดินทางผ่านมาตั้ง 2 จังหวัดแล้ว

    ยังไม่เห็นมีใครกล่าวหาเช่นนี้เลย....ถ้าท่านไม่เชื่อก็เชิญค้นดูเองเถิด"

    ......................ตำรวจทั้งสองก็ค้นสัมภาระของคณะติดตามดู...ก็พบปืนแก๊ป 1

    กระบอก...แต่ปรากฎว่า..เป็นปืนมีทะเบียนของชาวบ้านผู้ติดตามคนหนึ่ง....จึงไม่ว่า

    อะไร.........จากนั้นก็ไปค้นจนทั่ว....ลามปามเข้าค้นถึงในวัดแม่ตืน....จนพระเณรแตก

    ตื่นเป็นโกลาหล....แต่ก็ไม่พบอะไรอีก....จึงพากันเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง

    .......................ก่อนกลับก็ไปต่อว่าต่อขานทางอำเภอลี้เสียจนหน้าม้านหาว่า....

    หลอกให้เดินทางมาเสียเวลาเปล่า..เหนื่อยแทบตาย(เพราะสมัยนั้นไม่มีรถยนต์แม้แต่คัน

    เดียว).....ทางนายอำเภอจึงจำเป็นต้องออกค่าเดินทาง...พร้อมเสบียงอาหารให้คณะนาย

    ตำรวจดังกล่าวเดินทางกลับ

    ........................เสร็จจากเรื่องที่กล่าวหานั้น...ท่านพร้อมกับคณะก็เดินทางจากแม่

    ตืนไปหาท่านครูบาศรีวิชัย ที่วัดพระนอนปูคา บ้านแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง

    เชียงใหม่......ระหว่างทาง..พักที่วัดห้วยกานคืนหนึ่ง....เมื่อเข้าเขตกิ่งบ้านโฮ่ง....ชาว

    บ้านก็พาตำรวจมาดักจับอีก....ด้วยข้อหาอะไรไม่แจ้ง......แต่ตำรวจก็จับไม่ไหว..เพราะ

    คนตั้งมากมาย..ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร..จึงล่าถอยไป......ท่านจึงไปพักที่วัดดงฤาษีคืน

    หนึ่ง...แล้วมุ่งไปทางบ้านหนองล่อง ณ ที่นี้ก็ถูกคณะข้าหลวงดักจับอีก.......แต่ก็จับไม่

    ไหวเช่นกัน

    ..........................................มีต่อครับ..........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี (ต่อ 4)


    .....................เมื่อเดินทางถึงวัดท่าลี่ ขณะที่พักอยู่ที่ศาลาในตอนเย็น....ผู้ว่าราชการ

    จังหวัดเชียงใหม่ได้เดินทางไปพบกับท่านและสอบถามดังนี้

    ............ผู้ว่า ฯ "ท่านอยู่บ้านใด เกิดที่ใด"

    ............ครูบาฯ "เดิมอาตมาอยู่บ้านแม่เทย อำเภอลี้ ลำพูน นี่เอง"

    ............ผู้ว่า ฯ "อ้อท่านเป็นคนเมืองเราเหมือนกัน ก่อนมาถึงที่นี่ท่านไปไหนมา"

    ............ครูบาฯ "อาตมามาจากพม่า"

    ............ผู้ว่า ฯ "ไปอยู่นานไหม"

    ............ครูบา ฯ "5 ปีแล้ว"

    ............ผู้ว่า ฯ "อืม...ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรดังเขาเล่าลือ แต่ก็มีอีกอย่าง ขอให้

    ท่านเสียค่าประถมศึกษา 8 บาท ให้กับทางอำเภอเสีย...ตามระเบียบที่ทางการกำหนดไว้

    หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร"

    ......................ขณะนั้นกำนันกับชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นได้ยินดังนั้น...จึง

    ช่วยกันบริจาคเงินให้ท่านได้เงิน 15 บาท..ท่านจึงมอบให้กับนายตำรวจคนหนึ่งที่มากับผู้

    ว่าฯ ไป ...............แต่ก็นับว่าเป็นคราวเคราะห์ของตำรวจคนนั้น......ซึ่งพอรับเงินไป

    ได้สักครู่ก็ไปทำหายเสีย...จึงต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายแทนไปตามระเบียบ

    ......................หลังจากที่พักที่ท่าลี่คืนหนึ่งแล้ว.....ท่านพร้อมคณะก็ขนของข้ามแม่

    น้ำปิงไปขึ้นรถ...ไปจนถึงวัดพระนอนปูคาแล้ว..อยู่ร่วมฉลองวิหารพระนอนปูคา...ร่วมกับ

    ท่านครูบาศรีวิชัยจนแล้วเสร็จ....แล้วก็กลับมา...........หมายจะมาจำพรรษาที่วัดแม่ตืน

    อำเภอลี้อีก .............แต่นายอำเภอจอมเหี้ยม..ก็สั่งกำนันมาไล่ไม่ให้อยู่เป็นอันขาด...

    ท่านจึงสุดแสนที่อัดอั้นตันใจ.........และรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่ง.........ที่ถูกจองล้าง

    จองผลาญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    .......................ก็พอดีท่านคิดได้ว่ามีญาติทางพ่อของท่าน....เป็นกำนันอยู่ที่ตำบล

    ดอยเต่า...จึงให้คนไปบอกให้มาพบท่าน...........และเมื่อกำนันมาถึงแล้วท่านก็ถาม

    ว่า............."อาตมาจะไปอยู่ที่พระบาทตะเมาะได้หรือไม่".............กำนันดอยเต่าจึง

    ไปปรึกษากับทางอำเภอ.....ทางอำเภอบอกว่า "ดีแล้ว ให้ไปบอกท่านให้มาอยู่เร็ว ๆเถิด"

    ........................ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ไปอยู่พระบาทตะเมาะ ....โดยสร้างอารามขึ้น

    ที่นั้น..ด้วยความร่วมมือทั้งฝ่ายนายอำเภอและป่าไม้อำเภอ...ไปจองที่กว้าง 500 วา ยาว

    500 วา และที่พระบาทตะเมาะนี้เอง...........ท่านได้สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาท

    หนึ่งหลัง...มีเจดีย์ตั้งอยู่บนวิหารถึง 9 ยอด...นับเป็นศิลปะที่งดงาม..ปรากฏอยู่จนถึง

    ปัจจุบันนี้...ซึ่งท่านจะไปเที่ยวชมได้...นับเป็นวิเวกสถานที่...เหมาะกับผู้ใฝ่หาความสงบที่

    เหมาะมากอีกแห่งหนึ่ง

    ........................แต่ด้วยวิญญาณของนักพัฒนา..............ท่านก็อยู่จำพรรษาที่

    พระบาทตะเมาะไม่นาน...ขณะนั้นครูบาศรีวิชัยกำลังสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ เชียงใหม่

    อยู่................ท่านจึงพากะเหรี่ยง 500 คน..ขึ้นไปช่วยทำถนนขึ้นดอยสุเทพร่วมกับ

    พระอาจารย์จนแล้วเสร็จ.........จึงกลับลงมาพักกับพระอาจารย์ที่วัดพระสิงห์

    ........................ที่วัดพระสิงห์นี้...ท่านครูบาศรีวิชัยก็อุปสมบทให้ท่าน

    เป็น......"ภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 3"..แต่กระนั้นก็ตาม...ดูเหมือนว่าท่านไม่มีบุญพอที่จะอยู่ใน

    ผ้าเหลืองได้นาน ๆ ....พอท่านครูบาศรีวิชัยเกิดคดีต่าง ๆนานา ต้องเดินทางไป

    กรุงเทพฯ ..........คงทิ้งให้ท่านอยู่รักษาวัดพระสิงห์แต่เพียงผู้เดียว

    .........................ด้วยจิตใจที่เป็นห่วงในตัวพระอาจารย์ของท่านยิ่งนัก...แล้วก็มีมาร

    มาผจญอีกจนได้...เมื่อ"มหาสุดใจ" วัดเกตุการาม กับ "ท่านพระครูวัดพันอ้น"รูปหนึ่ง...มา

    หลอกท่านว่า.."ให้ท่านสึกเสีย..เพราะมิฉะนั้นท่านจะเอาครูบาศรีวิชัยจำคุก"

    ....................ท่านจึงสึกเป็น"ชีปะขาว"อีกครั้งหนึ่ง....นับเป็นครั้งสุดท้าย...แล้วออก

    จากวัดพระสิงห์กลับไปพักที่วัดบ้านปางด้วยความเหงาใจ....แต่ท่านก็ไม่ละทิ้งงานก่อ

    สร้าง....จึงได้สร้างกุฏิที่วัดบ้านปางอีก 1 หลัง...แล้วกลับไปอยู่ที่พระบาทตะเมาะตามเดิม

    ..........................ชีวิตท่านช่วงนี้..คงมุ่งอยู่กับงานก่อสร้างไม่หยุดหย่อน..จากที่นี่

    ย้ายไปที่นั่นไม่มีที่สิ้นสุด...จนกระทั่งครูบาศรีวิชัยพ้นจากมลทินที่ถูกกล่าวหา....ท่ามกลาง

    ความดีใจของสาธุชนทั้งหลาย....แต่ความดีใจนั้นคงมีอยู่ได้ไม่นาน....ท่านครูบาศรีวิชัยก็

    ได้อาพาธหนัก...และถึงแก่มรณภาพลงในที่สุด...ยังความโศกาอาดูรให้เกิดแก่มหาชนผู้

    เลื่อมใสโดยทั่วไป

    ........................ลานนาไทยได้สูญเสียนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ....

    หากจะเอาเสียงร่ำไห้มารวมกันแล้วไซร้...เสียงแห่งความวิปโยคนี้...คงได้ยินไปถึง

    สวรรค์........ท่านเองในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนตั้งแต่ยังเล็ก ๆ...ก็มี

    ความเศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อย.....แต่ก็ปลงได้ด้วยธรรมสังเวชโดยอารมณ์กัมมัฏฐาน....

    แล้วทำทุกอย่างในฐานะศิษย์จะพึงมีต่ออาจารย์ด้วยกตเวทิตาธรรม

    .....................ท่านจึงสร้างเมรุหลังหนึ่งกับปราสาทหลังหนึ่งพร้อมหีบบรรจุศพ.......

    เพื่อเก็บไว้รอการฌาปนกิจต่อไปที่.....วัดบ้านปาง..........ซึ่งได้มีการฌาปนกิจศพท่าน

    ครูบาศรีวิชัยอีกไม่กี่ปีต่อมา........หลังจากมรณภาพไม่นาน.

    ........................................(ยังมีต่อครับ)........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 1 เรื่องราวครูบาอภิชัยขาวปีหรือครูบาขาวปี (ต่อ 5)


    .....................วันคืนยังคงหมุนไป..พร้อมกับความเป็นนักก่อสร้างนักพัฒนาของ

    ท่าน..ก็ยื่งลือกระฉ่อนยิ่งขึ้น........เมื่อขาดท่านครูบาศรีวิชัย...ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาหา

    ท่านอย่างมืดฟ้ามัวดิน...ในฐานะทายาททางธรรมของ...ครูบาศรีวิชัย

    .....................ผลงานระยะต่อมา....เมื่อได้รับพลังอย่างท่วมท้นขึ้น...จึงยิ่งใหญ่เป็น

    ลำดับ....และกว้างขวางหากำหนดมิได้..โดยไม่เคยว่างเว้น..จนถึงพุทธศักราช 2470

    อายุสังขารของท่านเริ่มชราลงแล้ว...ท่านมีอายุ 76 ปี ...แต่ท่านยังคงแข็งแรง ...

    ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ....ทั้งนี้อาจจะด้วยอำนาจผลบุญที่ได้บำเพ็ญมาก็ได้...จึงสมควร

    จะสร้างสถานที่สักแห่ง...เพื่อเป็นที่พำนักปฏิบัติธรรมใน...ปัจฉิมวัย

    ......................ก็พอดีชาวบ้านผาหนาม...ซึ่งอพยพมาจากอำเภอฮอด...หนีภัยน้ำ

    ท่วมมาอยู่ที่บ้านผาหนาม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน .....มีพ่อน้อยฝน ตุ่นวงศ์ เป็น

    ประธาน....พร้อมกับชาวบ้านได้มานิมนต์ท่านให้ไปสร้างอารามใกล้เชิงดอยผาหนาม ..

    เพื่อเป็นที่พึ่งกายใจ...และ...ประกอบศาสนกิจ

    ......................ท่านก็รับนิมนต์...พร้อมกับชอบใจสถานที่ดังกล่าวและตั้งใจว่า...จะ

    เป็นสถานที่สุดท้ายเพื่อเป็นที่พำนัก...และปฏิบัติธรรมของท่าน

    ......................คณะศรัทธาบ้านผาหนามและศรัทธาจากทั่วสารทิศ....จึงพร้อมใจกัน

    ก่อสร้างเป็นอารามขึ้นจากนั้น....จนมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตต่อมามากมาย....และท่านถือที่

    แห่งนี้เป็นที่พำนักอยู่เสมอ......แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า....ท่านจะงดมิได้ไปสร้าง...

    หรือพัฒนาที่อื่นอีก....แต่ท่านยังคงไปเป็นประธานสถานที่ต่าง ๆ ควบคู่.....กับงานสร้าง

    วัดผาหนามอีกตั้งหลาย ๆ แห่ง

    ......................แล้วในปี พ.ศ.2514 คณะศรัทธาวัดสันทุ่งฮาม แห่งจังหวัด

    ลำปาง ...ก็ได้มานิมนต์ท่าน...เพื่อไปเป็นประธานในการก่อสร้างอีกซึ่ง...ท่านก็ไม่ขัด

    ข้องด้วยความเมตตาอันมีอยู่อย่างหาขอบเขตไม่ได้ของท่าน...แม้ตอนนั้นท่านจะชราภาพ

    มากแล้ว...คือมีอายุถึง 83 ปี ก็ตาม

    .....................ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวของท่านว่า...ท่านเหนื่อยอ่อนแค่ไหน....แต่ด้วย

    ใจที่แกร่งเหมือนเพชร...ท่านคงไม่ปริปากบ่น...เป็นประธานให้ที่วัดสันทุ่งฮาม....ไม่นาน

    คณะศรัทธาจากวัดท่าต้นธงชัย จังหวัดสุโขทัย..ก็ได้มานิมนต์ท่านอีก...เพื่อเป็นประธาน

    ในการสร้างพระวิหาร

    .....................วันนั้นเป็นวันที่ 2 มีนาคม 2520....ตอนนั้นท่านเหนื่อยอ่อนมาก

    แล้ว..ท่านได้บอกผู้ใกล้ชิดว่า.."ท่านอยากกลับอารามผาหนาม"...เหมือนดั่งจะรู้ตัวของ

    ท่านว่าไม่มีเวลาในการโปรดที่ไหนอีกต่อไปแล้ว.......แต่จะมีใครล่วงรู้ถึงข้อนี้ก็หาไม่....

    คงพาท่านมุ่งสู่สุโขทัยอีก......และเมื่อถึงวัดท่าต้นธงชัย.......ได้เพียงวันเดียว..........

    ในวันที่ 3 มีนาคม 2520..ซึ่งตรงกับเดือน 6 เหนือ แรม 14 ค่ำ เวลา 16.00 น. ...ท่าน

    ได้จากไปอย่างสงบ

    .....................ท่านเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่...ป่านนี้คงเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ที่สพรั่ง

    พร้อมด้วยทิพยวิมานอันเพริดแพร้วใหญ่โตสุดพรรณา...ด้วยผลบุญแห่ง...การบำเพ็ญมา

    อย่างใหญ่หลวงเหลือคณา...คงเหลือแต่ผลงานและประวัติชีวิตอันบริสุทธิ์ทิ้งไว้แต่อนุชน

    ได้ชื่นชม และเสวยผลเป็นอมตะชั่วกาลปาวสาน

    .....................ศพของท่านยังคงอยู่ที่วัดพระพุทธบาทผาหนาม อำเภอลี้ จังหวัด

    ลำพูน....และคณะศิษย์จะกระทำพิธีเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มให้ศพท่านเสมอครับ

    ................................................................................................

    .....................ลำดับต่อไปในตอนที่ 2....ผมจะสรุปวิเคราะห์ผลกรรมที่ท่านได้รับใน

    ชาตินี้..น่าจะมาจากอะไร..แล้วก็จะนำไปเทียบเคียงกับ.................การกระทำของ

    พญาช้างนาฬาคิรีที่....กระทำต่อพระพุทธโคดมพุทธเจ้า...ว่าผลกรรมของท่าน..น่าจะไป

    ในวิถีใด....และลำดับต่อมาก็คงเป็นพยาน..หรือหลักฐานต่าง ๆ..และเรื่องเล่า.....อีกทั้ง

    ญาณวิถีของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร....ว่าพอจะชี้หรือคาดคะเนได้หรือไม่ว่า.."ท่านคือ....

    พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี"....กลับชาติมาเกิด..."เพื่อชดใช้กรรม"..........ที่กระทำ

    ต่อพระพุทธโคดมพุทธเจ้าหรือไม่ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 2 สรุปวิเคราะห์ผลกรรมบางอย่างที่ครูบาขาวปีได้รับ


    ....................."ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น" ต่างกันแต่ละชนิด

    ของกรรม ที่จะให้ผลช้าหรือเร็ว ซึ่งมี "อนันตริยกรรม" เป็นกรรมที่หนักที่สุด

    ......................จากเรื่องราวของครูบาขาวปีในตอนที่ 1 นั้นจะยก"ผลกรรมบางอย่าง"

    ที่ท่านได้รับแล้ว......ซึ่ง"น่าจะ"เกี่ยวโยงถึง....."กรรมของพญาช้างนาฬาคิรี" ที่กระทำ

    ขึ้นในขณะที่จะทำร้ายพระพุทธโคดมพุทธเจ้า.....ส่วนกรรมอย่างอื่น ๆ ผมของดเสีย..

    เพราะไม่เป็นเหตุเป็นผล......ระหว่าง "ครูบาขาวปี" กับ "พญาช้างนาฬาคิรี"

    ......................1.ผลกรรมในแง่ความอดยาก..ท่านได้เริ่มเกิดขึ้นมาในป่าเขาลำเนา

    ไพรที่ห่างไกลความเจริญ อาหารการกินไม่สมบูรณ์ อยู่ในหมู่บ้านเพียง 9 หลังคาเรือน

    และกินอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ

    .......................และเมื่อท่านได้ถูกศาลพิพากษาจำคุก....ท่านก็กินอยู่อย่างแร้งแค้น

    อดอยาก...โดยอาหารมื้อหนึ่งคือ...แกงถ้วยหนึ่ง..ข้าวกระติ๊บเล็ก ๆ 1 กระติ๊บ..ต้องแย่ง

    กินกันถึง 4 คน

    ........................เป็นไปได้ไหมว่าน่าจะเป็นผลกรรมในอดีตที่ท่าน"เคยขัดขวางหรือ

    ทำให้ผู้ใดอดอยาก...หรือขัดขวางการทำบุญตักบาตรของบุคคล...ระหว่างพระภิกษุกับผู้ที่

    จะถวายทาน"

    .......................2.มีเหตุที่ทำให้ต้องสึกไม่อาจห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้......ซึ่งกรณีนี้มี

    ถึง 3 เหตุการณ์ที่ท่านบวชถึง 3 ครั้ง........แต่ต้องสึกโดยมีเหตุการณ์ดังนี้.............

    ครั้งที่ 1 ถูกจับสึกโดยตำรวจเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว.....ครั้งที่ 2 ต้องจำยอม

    สึกเอง.........และครั้งที่ 3 ถูกหลอกลวงให้สึก

    .......................โดยครั้งที่ 1 นี้เมื่อท่านอายุได้ 22 ปี ......ท่านครูบาศรีวิชัยได้บวช

    อุปสมบทให้ท่าน......พออายุ 35 ปี ได้ถูกข้อหาไม่เกณฑ์ทหาร ศาลพิพากษาลงโทษ

    จำคุก 6 เดือน ศาลได้ให้ตำรวจคุมตัวท่านไปหาเจ้าคณะจังหวัดให้จัดการสึก.....ท่านว่า

    ท่านไม่ผิดท่านไม่ยอมสึก...เจ้าคณะจังหวัดจึงสั่งให้ตำรวจจับท่านเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์

    ออกจากตัวท่านและใส่กุญแจมือจับเข้าคุก.........อันเป็นพฤติการณ์ที่ท่านถูกจับสึกโดยมิ

    ได้เปล่งวาจา...กล่าวคำ"สึก" แม้แต่น้อย.......ถือได้ว่า...........เป็นเรื่องปล้นความเป็น

    พระของท่านไป......

    .......................ครั้งที่ 2..ท่านออกจากเรือนจำและร่วมฉลองโรงพยาบาลจังหวัด

    ลำพูนเสร็จก็เดินทางมาหาครูบาศรีวิชัย.....ท่านครูบาศรีวิชัยก็ได้บวชพระให้กับท่าน

    อีก................ต่อมาหลังจากเสร็จงานก่อสร้างต่าง ๆ ได้เดินทางมาแม่ระมาด...สร้าง

    โบสถ์แม่ระมาด...เงินขาดอยู่ 700 บาท ท่านก็ปรึกษาเรี่ยไรเอาจากชาวบ้านด้วยความเต็ม

    ใจของชาวบ้าน แล้วช่วยก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จทันฉลอง.......เมื่อเรื่องเรี่ยไรนี่ทราบถึง

    อำเภอ ..จึงเรียกกำนันไปสอบสวนว่าครูบาขาวปีเรี่ยไรจริงไหม..กำนันก็รับว่าจริงแต่ด้วย

    ความเต็มใจของชาวบ้าน...เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นงานสร้างโบสถ์ก็หยุดชะงัก...ทาง

    อำเภอว่าเต็มใจหรือไม่ก็ผิด...เพราะเป็นพระเรื่ยไรไม่ได้...ผิดระเบียบสงฆ์..แล้วรายงาน

    ไปยังเจ้าคณะจังหวัด.........เจ้าคณะจังหวัดจึงตัดสิน"ให้สึกพระอภิชัยเสีย".....ท่านจึง

    จำยอมสึก

    ........................ครั้งที่ 3..ที่วัดพระสิงห์ ครูบาศรีวิชัยก็บวชพระให้ท่านอีก..แต่

    กระนั้นก็ตามดูเหมือนว่าท่านหมดบุญหรือไม่มีบุญพอที่จะห่มผ้ากาสาวพัสตร์.....โดยขณะ

    ที่ครูบาศรีวิชัยมีเรื่องราวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ...ได้มีมหาสุดใจ วัดเกตุการาม กับ ท่านพระ

    ครูวันพันอ้นรูปหนึ่ง.....มาหลอกให้ท่านสึกเสีย...เพราะมิฉะนั้นท่านจะเอาครูบาศรีวิชัย

    จำคุก....ท่านจึงยอมสึกด้วยใจคิดช่วยเหลือพระอาจารย์....นับเป็นการสึกครั้งสุดท้าย

    แล้วออกเดินทาง..........จากวัดพระสิงห์กลับไปพักที่วัดบ้านปาง............ด้วยความ

    เหงาใจ......

    .......................จากผลกรรมที่ไม่อาจห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้....เป็นไปได้ไหมที่..ใน

    อดีตชาติท่านเคย...ทำร้าย..หรือคิดทำร้าย....ผู้ที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์

    ....................................(มีต่อครับ)...............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 2 สรุปวิเคราะห์ผลกรรมบางอย่างที่ครูบาขาวปีได้รับ (ต่อ 1)


    .....................3.ถูกกลั่นแกล้งและถูกขับไล่ในขณะที่ห่มผ้าขาวเป็นผู้ทรงศีลอยู่...แม้

    เมื่อท่านได้ถูกบังคับให้สึกในครั้งที่สอง....... โดยท่านต้องนุ่งห่มผ้าขาวอีกครั้งหนึ่งที่ใต้

    ต้นประดู่ที่ยืนต้นตายซากมานานแรมปี....พอเปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายมาครอง

    ผ้าขาวเท่านั้น.............. เกิดเหตุอัศจรรย์ที่ต้นประดู่ที่แห้งโกร๋นปราศจากใบได้ผลิดอก

    ออกใบฟื้นขึ้นมาอีก...........ท่ามกลางความอัศจรรย๋ใจของบรรดาประชาชนที่ร่วมชุมนุม

    อยู่ที่นั้น

    .....................ท่านเดินทางรอนแรมมา 10 วัน 10 คืน มาถึงอำเภอลี้ .........พักอยู่

    ที่กลางทุ่งนาบ้านป่าหก......ได้ 4 คืน "นายอำเภอลี้ จึงให้ตำรวจมาขับไล่ไม่ให้อยู่โดยไม่

    มีเหตุผล ด้วยความใจดำเป็นอย่างยิ่ง"

    .....................ท่านจึงเดินทางมาพักอยู่ที่..........กลางทุ่งนาบ้านแม่ตืน "ก็ถูกทาง

    อำเภอกลั่นแกล้งโดยรายงานไปทางจังหวัดว่า ชีปะขาวปีนำปืนเถื่อนมาจากแม่สอดถึง

    1,000 กระบอก".....ทางจังหวัดได้ส่งตำรวจมาตรวจค้น.....ก็ไม่พบดังทางอำเภอแจ้ง

    .....................ท่านเดินทางจากบ้านแม่ตืนเพื่อไปหาครูบาศรีวิชัยที่วัดพระนอนปูคา

    ระหว่างทาง ได้พักที่วัดห้วยกานคืนหนึ่ง...เมื่อเข้าเขตกิ่งบ้านโฮ่ง.."ชาวบ้านก็พาตำรวจมา

    ดักจับอีก ด้วยข้อหาอะไรไม่แจ้ง ......แต่ตำรวจก็จับไม่ไหวเพราะคนมากมาย"

    .....................ท่านจึงไปพักที่วัดดงฤาษีคืนหนึ่งแล้ว...มุ่งหน้าไปทางบ้านหนองล่อง

    ก็"ถูกข้าหลวงดักจับอีก".....แต่ก็จับไหวอีกเช่นกัน

    .....................ท่านฉลองวิหารพระนอนปูคาร่วมกับท่านครูบาศรีวิชัยจนแล้วเสร็จ...ก็

    เดินทางกลับหมายจำพรรษาที่วัดแม่ตืน อำเภอลี้.."แต่นายอำเภอจอมเหี้ยม ก็สั่งกำนันมา

    ไล่ไม่ให้อยู่เป็นอันขาด"......ท่านจึงสุดแสนที่อัดอั้นตันใจและรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งที่

    ถูกจองล้างจองผลาญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.

    ......................จากผลกรรมที่ท่านได้รับ.........ขณะที่ท่านนุ่งขาวห่มขาวแสดงถึง

    เป็นผู้ทรงศีลอยู่......ต่างก็ถูกกลั่นแกล้งและขับไล่.......เป็นไปได้ไหมที่ท่านเคยทำ

    กรรม...ในการขับไล่หรือเบียดเบียนผู้ทรงศีลให้ได้รับความเดือดร้อน.

    ..........................................(ยังมีต่อครับ)....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...