ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม??

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 11 เมษายน 2007.

  1. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ


    อันว่า"การฆ่า"นั้น ที่ห้ามเพราะทุกครั้งที่มีการฆ่าจิตจะต่ำลงๆๆๆๆ

    ส่วนการกินเนื้อสัตว์นั้น ควรพิจารณาแยกธาตุ ไม่ให้ยึดติด เพราะถ้าคิดว่าเนื้อนี้รสดี เพราะเป็นเนื้อของสัตว์นี้ ความเมตตาปราณีก็จะ ลดลงเมื่อมองสัตว์ที่เป็นอาหาร

    ดังนั้นเนื้อ ที่พระศาสดาอนุญาติให้กินได้นั้น
    ต้องเป็นเนื้อที่เขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเราคือ ไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ยิน หรือแม้แต่สงสัยว่าฆ่าเพื่อเรา

    และจงคิดพิจารณาโดยแยบคายว่าเนื้อสัตว์นี่สักแต่ว่าเป็นธาตุ ตามธรรมชาติของมันเท่านั้น กำลังเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย(ถ้าทิ้งไว้ก็เน่า)ไม่มีความหมายของความเป็นตัวตน ไม่ได้เป็นเนื้อหรือชีวิตของสัตว์ใด เป็นแค่ซากสัตว์นั้นๆ เรารับประทานเพื่อใช้เป็นพลังงานในการทำความดี
    ผมเคยไปปฏิบัติธรรมแล้วกินเนื้อที่มีคนทำอาหารมาถวายพระ
    จึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้นว่า
    ขออุทิศความดีแก่ท่านผู้เป็นอาหารของเรา หากชาติหน้าเราได้เกิดเป็นเดรฉาน ก็ขอให้เกิดเป็นสัตว์ขอให้ได้เป็นสัตว์ที่ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น หากเคราะห์ร้ายไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ถูกนำไปเป็นอาหาร
    ก็ขอให้ได้เป้นอาหารแก่พระโพธิสัตว์ แก่คนดี แก่ผุ้ทรงศีล ผู้ปฏิบัติธรรม หรืออย่างน้อยเป็นผู้ศึกษาธรรมะด้วยเทอญ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2009
  2. jerajajen

    jerajajen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +267
    ถ้าเป็นของตายแล้วไม่บาปครับจิตใจไม่คิดฆ่า อย่าสั่งฆ่าครับ ถ้าสั่งฆ่าบาปทันที
     
  3. marty

    marty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +439
    อนุโมทนากับคุณน้ำใสค่ะ

    น่าสงสารเวไนยที่เวียนว่ายเกิดเป็นสัตว์ที่ต้องมาเป็นอาหาร
    ช่วยกันแผ่เมตตาและสำนึกพระคุณกันนะคะ
    ทุกคนก็เติบโตมาจากเลือดเนื้อพวกเขาทั้งหลาย จงขอบคุณพวกเขา อย่าซ้ำเติมเขา

    กินไม่บาป เพราะบาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน
    กรรมของคนที่กินคือ โรคภัยไข้เจ็บที่ตามมา คนที่ไม่กินเนื้อก็ไม่เกี่ยวกรรมกับสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2009
  4. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ตามนี้ละจ้า คำพูดนี้ มาจากหลวงปูแหวน

    และที่พระพุทธเจ้าท่านให้กินเนื้อสัตว์ได้ เพราะเป็นการยุ่งยากเวลาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ และลำบากเวลามีคนมาถวายภัตตาหาร

    และีอีกอย่างการที่เรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้ เราสามารถแผ่เมตตาให้เค้าปรับภพภูมิ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาวนเกิดตามลำดับจากสัตว์เล็ก ไปสัตว์ใหญ่ตามกฏแห่งกรรม

    เป็นการช่วยเค้าไปในตัวด้วยครับ โดยเราไม่รู้ตัว
     
  5. agkavat

    agkavat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    กฏธรรมชาติ

    กรรมของคนฆ่าสัตว์คือผิดศีลข้อ 1 ผิดศีลคือบาป บาปคือต้องชดใช้และได้รับการลงโทษจากกฏของธรรมชาติ ซึ่งไม่มีใครสามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับการกระทำที่ผิดศีลได้เพราะการผิดศึลก็เหมือนกับการทำผิดกฏหมายของบัญญัติแห่งมนุษย์ บัญญัติเอาไว้อย่างไรก็ต้องรับโทษอย่างนั้น เราอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามกับบัญญัติของกฎหมายที่เราบัญญัติกันขึ้นมา แต่ทุกคนก็ต้องรับผิดตามกฏหมายเมื่อทำผิดกฎหมาย กฎหมายก็เหมือนกับศีลแต่ศีลเป็นบัญญัติแห่งธรรมชาติเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ต้องรับผลแห่งกฏธรรมชาติที่บัญญัติเอาไว้อย่างนั้น คนกินไม่ใช่คนฆ่าก็ไม่ต้องรับโทษ เพราะกินธาตุทั้งสี่ที่ไม่มีดวงจิตไม่มีวิญญาณ เหมือนกับเราใช้ประโยชน์จากหินจากทรายที่ได้มาจากซากของสัตว์ที่ตายไปนานจนเปลี่ยนเป็นหินเป็นทราย พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้กินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วเนื้อสัตว์ที่ไม่มีดวงจิตไม่มีวิญาณ เพราะพระพทธเจ้าเป็นผู้รู้กฏธรรมชาติว่าถ้าทำสิ่งนี้แล้วต้องรับโทษอย่างไร ทำสิ่งนี้แล้วได้รับผลดีอย่างไรจึงบัญญัติข้อห้ามสิ่งที่กระทำแล้วต้องรับโทษตามกฏแห่งธรรมชาติเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการดำรงค์ชีวิตให้มีความสุข ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามก็ต้องรับผลตามกฏเดียวกันทั้งหมด ถ้าเชื่อในพุทธศาสนาก็จงเชื่อในกฏในศีลที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติบอกเตือนมนุษย์เอาไว้ ข้อใดบัญญัติห้ามเอาไว้ก็อย่าทำข้อใดไม่ได้บัญญัติห้ามก็อย่าตีความคาดเดา เพราะกฏธรรมชาติกับหลักเหตุผลของมนุษย์บางทีมันก็ไม่ได้ใช้ตรรกเดียวกันเสมอ
    จากผู้มีความรู้ในทางธรรมเพียงน้อยนิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  6. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    กินเจเพื่อสุขภาพน่ะดีแล้ว แต่ถ้ากินเจเพื่อมาคุยโอ้อวดว่าตัวเองวิเศษนี้ เลวมาก
     
  7. ศานติ าณ

    ศานติ าณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,063
    ควรหรือไม่ควร....แต่ละท่านควรใช้ "ใจ"พิจารณากันเอาเองเถิด
    <table id="post3484789" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 30-06-2010, 11:34 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #36 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Chayutt [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 38
    ข้อความ: 3,662
    Groans: 112
    Groaned at 23 Times in 17 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 15,716
    ได้รับอนุโมทนา 47,512 ครั้ง ใน 4,033 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3231 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3484789" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจาก ผู้บัญชาการ Sohin
    แห่งยานอัลฟ่า (Alpha Spaceship)


    วันที่ 18 มีนาคม 2010
    ผู้ รับการสื่อสาร: นาย Kris-Won
    สถาน ที่: ประเทศสเปน

    ที่มา:

    Alpha Ship, March 18, 2010


    ตอนที่ 3

    <style>@font-face { font-family: "Arial Unicode MS"; }@font-face { font-family: "Tahoma"; }@font-face { font-family: "@Arial Unicode MS"; }p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal { margin: 0cm 0cm 0.0001pt; font-size: 12pt; font-family: Arial; }div.Section1 { page: Section1; }</style> นอกจากนี้ มนุษย์บนดาวเคราะห์โลกแห่งนี้ ยังได้กระทำผิดร้ายแรงต่อดาวแม่ของตนเองมาเป็นเวลาช้านานด้วย
    (โดยการเพิ่มกรรมชั่วของพวกเขาเอง ซึ่งพวกเขาจะต้องเป็นผู้ชดใช้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง)

    และยังได้กระทำทารุณกรรมกับสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเสมือนน้องเล็กของตนเองในอาณาจักรสัตว์ด้วย



    ด้วยความที่มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการเหนือกว่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    มนุษย์จึงได้ใช้ความเฉลียวฉลาดของตัวเองเพื่อเสาะหาและสร้างวิธีการใหม่ๆ เพื่อที่จะสามารถฆาตกรรมหมู่
    และทรมานสัตว์ชั้นสูงในอาณาจักรสัตว์ให้ได้

    ซึ่งด้วยความไร้เดียงสา และน่าสงสารของสัตว์เหล่านั้น จึงไม่อาจต่อกรกับพี่ใหญ่ของพวกมัน
    ซึ่งก็คือมนุษย์ ที่มีระดับสติปัญญาสูงกว่าได้



    [​IMG]


    องค์กรพิทักษ์ สัตว์องค์กรหนึ่งมีสโลแกนว่า

    “ถ้ากำแพงของโรงฆ่าสัตว์โปร่งใส มนุษย์โลกทุกคนจะเป็นมังสวิรัติ”


    ความโหดร้ายป่าเถื่อนของสิ่งมีชีวิต ที่ดูเหมือนว่าจะ “มีสติปัญญา” ที่ได้กระทำต่อสัตว์ทั้งหลาย
    เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆ สำหรับสิ่งมีชีวิตใดๆที่คิดเป็น เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้
    ว่าทำไมพวกเขา ถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้กับสัตว์เหล่านั้น ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างหน้าตาเฉย
    ไม่ว่าจะเป็นไก่, กระต่าย, ห่าน, หมู, ม้า, และวัว เป็นต้น

    ซึ่งบางครั้งพวกมันก็ถูกขังไว้ในคอกแคบๆ จนไม่สามารถกระดิกตัวได้เลย
    แล้วก็บังคับให้พวกมันกินอาหารจนพุงกาง จนไม่สามารถกินต่อไปได้อีกแล้ว

    หรือไม่ พวกมันก็จะถูกขังอยู่ในสถานที่ๆมีแสงสว่างเทียม จนทำให้พวกมันแยกแยะไม่ออก
    ระหว่างกลางคืนกับกลางวัน เพื่อที่จะหลอกพวกมันให้สับสน


    และทั้งหมดนี้ก็จะเพื่ออะไรซะอีกหละ?

    ก็เพื่อสนองตอบต่อความพึงพอใจในรสชาติของชาวโลกหลายล้านคน ที่รับประทานเนื้อสัตว์ยังไงหละ
    เพราะว่าชาวโลกเหล่านั้นถูกวงการแพทย์บอกให้เชื่อว่า ถ้าพวกเขาไม่รับประทานเนื้อสัตว์
    พวกเขาจะขาดสารอาหารบางอย่าง ที่จำเป็นต่อร่างกายไป


    (ยังมีต่อครับ)
    ...................................

    <fieldset class="fieldset"><legend>รูป ขนาดเล็ก</legend> [​IMG]
    </fieldset>
    __________________
    ร่วมบริจาคโครงการผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัวฯ http://www.luangta.com/help/contact.php
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px 1px; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border-width: 0px 1px 1px 0px; border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table> <table id="post3484793" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 30-06-2010, 11:34 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #37 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Chayutt [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 38
    ข้อความ: 3,662
    Groans: 112
    Groaned at 23 Times in 17 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 15,716
    ได้รับอนุโมทนา 47,512 ครั้ง ใน 4,033 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3231 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3484793" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> ข้อความสื่อสารทางโทรจิตมาจาก ผู้บัญชาการ Sohin
    แห่งยานอัลฟ่า (Alpha Spaceship)


    วันที่ 18 มีนาคม 2010
    ผู้ รับการสื่อสาร: นาย Kris-Won
    สถาน ที่: ประเทศสเปน

    ที่มา:

    Alpha Ship, March 18, 2010


    ตอนที่ 4 - จบ

    <style>@font-face { font-family: "Arial Unicode MS"; }@font-face { font-family: "Tahoma"; }@font-face { font-family: "@Arial Unicode MS"; }p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal { margin: 0cm 0cm 0.0001pt; font-size: 12pt; font-family: Arial; }div.Section1 { page: Section1; }</style> นั่นมันช่างโกหกสิ้นดี!! เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมถึงมีชาวโลกมากมาย
    ผู้ซึ่งสามารถยกระดับจิตสำนึกของตนเองขึ้นมาได้แล้ว และมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
    จึงยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข และมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงอยู่หละ

    เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น รับประทานแต่ผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ผลไม้แห้ง และอาหารมังสวิรัติชนิดอื่นๆ


    และ พวกเขาก็มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงมาก ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
    และปัญหาเกี่ยวกับเส้นโลหิต อันเนื่องมาจากการรับประทานเนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว


    นอกจากนี้ จิตใจของผู้ที่รับประทานแต่อาหารมังสวิรัติ เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
    ก็จะมีความผ่องใสและตื่นตัวมากกว่าอีกด้วย



    ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขา ก็จะตื่นตัวมากกว่า และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
    กับปัญญาของพวกเขาเองได้มากกว่า และปัญญาของพวกเขา ก็จะเชื่อมต่อกับจิตใจของพวกเขาเองได้ดีกว่า

    เพราะฉะนั้น จึงทำให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงส่ง (Higher self) ของพวกเขาเองได้ง่ายกว่า


    พวก คุณที่ตื่นรู้แล้ว หรือกำลังจะตื่นรู้ พวกเขาขอร้องว่า พวกคุณอย่าไปเล่นตามเกม
    ของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อสัตว์, บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าขนสัตว์,
    หรือห้องปฏิบัติการที่ใช้สัตว์เป็นตัวถูกทดลองทั้งหลาย

    จงแสดงออกมาให้เห็นว่า พวกคุณได้ตื่นขึ้นแล้ว จนสามารถมีความเมตตากรุณา
    และมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วพวกคุณก็จะเป็นสาเหตุให้ กรรมชั่วทั้งหลายของมนุษยชาติลดน้อยลงไปได้



    นอกจากนี้ ส่วนตัวของพวกคุณเอง ก็จะมีสุขภาพกายและจิตที่ดี, มีอายุยืน,
    เพราะว่าร่างกายของพวกคุณไม่ต้องเผชิญกับกระบวนการแห่งการเสื่อมสภาพและการ เสื่อมสลาย
    เพราะว่าพวกคุณไม่ได้รับประทานเอาสารอดรีนาลีน (adrenaline) ที่สัตว์หลั่งออกมา
    เวลาตกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกฆ่า เข้าไป




    ขอพระผู้เป็นเจ้า จงประทานพรให้พวกคุณมีความบริสุทธิ์ และมีความรัก และมีความเมตตากรุณา
    ต่อน้องเล็กของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือสรรพสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง เพราะว่าพวกมันไม่ได้เกิดมา
    เพื่อที่จะเป็นอาหารให้แก่พวกคุณ

    [​IMG]

    แต่พวกเขาเกิดมาเพื่อดำเนินต่อไป บนหนทางแห่งวิวัฒนาการของพวกเขาเองบนโลกใบนี้



    ด้วยรักและสันติ

    ...................................

    __________________
    ร่วมบริจาคโครงการผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัวฯ http://www.luangta.com/help/contact.php
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px 1px; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border-width: 0px 1px 1px 0px; border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> </tr> </tbody></table> <table class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"> <thead> <tr> <td class="tcat"> [​IMG] สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ Chayutt ในข้อความที่เขียนด้านบน </td> </tr> </thead> <tbody id="collapseobj_post_thanks_3484793" style="display: none;"> <tr> <td class="alt1"> <table class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"> <tbody><tr valign="top"> <td class="alt1"> deep listening (01-07-2010), Jenny_Lee (01-07-2010), LadyOfLight (30-06-2010), M_มิว (02-07-2010), poacmu (01-07-2010), pub pub (28-07-2010), threeam (01-07-2010), vijit_j (01-07-2010), worrior (30-08-2010), ทามปายได้ (12-07-2010), วสุธรรม (12-07-2010), อบ. (06-10-2010), ไร้ร่องรอย (30-06-2010)
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2"> <center> [ อานิสงค์การอนุโมทนา ] </center></td> </tr> </tbody></table>
    </td> </tr> </tbody> </table>
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td class="thead">Chayutt</td> </tr> <tr><td class="vbmenu_option">ดูรายละเอียดของ</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option">ส่งข้อความส่วนตัวถึงคุณ Chayutt</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option">ส่ง Email ถึง Chayutt</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option">ค้นหาโพสเพิ่มเติมของ Chayutt</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option">Add Chayutt to Your Contacts</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option">Chayutt Donation Stats</td></tr> <tr><td class="vbmenu_option"> View Chayutt's Videos </td></tr> </tbody></table>

    <table id="post3484797" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] 30-06-2010, 11:35 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right">
    </td></tr></tbody></table>
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    คนละประเด็นกันแล้วนะครับ เรื่องวัวควาย(ไม่ใช่คน)นะ

    ขอแยกเป็นข้อๆๆ นะครับ
    ๑. เรื่องบรรพชิตฉันอาหาร พระท่านต้องอาศัยชาวบ้านในการบิณฑบาตร ไม่อาจเลือกได้ว่าต้องฉันอันนั้น ฉันอันนี้ เขาให้อะไรมาต้องรับหมด... พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า ให้พิจารณาอาหารที่จะฉัน(ไม่ว่าเนื้อสัตว์ พืชผัก) ให้เป็นธาตทั้ง 4 ก่อนฉันนะครับ ถ้าไม่พิจารณาต้องอาบัติ นะครับ
    ๒.ฆราวาส สามารถเลือกได้นะครับ ว่าจะกินอะไร จริงๆๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืชผักผลไม้นะครับ(ลักษณะโครงสร้างทางกายภาพ) แต่คนเราๆๆกินเนื้อสัตว์มานาน เลยเป็นค่านิยมการกินนะครับ ถ้าเราหยุดกิน สัตว์น้อยใหญ่ผู้น่าสงสารก็จะไม่ต้องตายจากการฆ่า ทุกๆๆวันๆละหลายๆๆรอบในการฆ่า
    การกินเนื้อสัตว์นั้นบาปไหม ??? ผมเองไม่รู้ครับ รู้แต่ว่า กินเนื้อสัตว์มากๆๆ โรคภัยไข้เจ็บก็มาก ก็ตามมา ท่านทั้งหลายคงเคยเจอเคยเห็นอยู่มั้งเรื่องโรคต่างๆๆๆนะครับ
     
  9. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    จูฬกัมมวิภังคสูตร


    [๕๘๒] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้ คือ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต
    [๕๘๓] ดูกรมาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุยืน ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนนี้ คือ ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่
    [๕๘๔] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาสตรา เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโรคมาก ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมากนี้ คือ เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือ ก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาสตรา
    [๕๘๕] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มีปกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาสตรา เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโรค ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคน้อย คือ เป็นผู้มีปกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาสตรา
     
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...
    ในวัฏฏสงสารอันยาวนาน หาต้นและปลายไม่เจอ ไม่มีเลยที่สัตว์น้อยใหญ่(เวไนยสัตว์ทั้งหลาย) จะไม่เคยเกิดเป็น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่น้อง น้าอา ลุงป้า ของเราเลย

    จึงอย่าได้เบียดเบียนกันเลย....ครับ
     
  11. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิอิ
    งั้น ขอเนื้อต้น ขาท่านสักนิด หน่อยได้ป่ะ ครับ
    แล้วผมจะแผ่เมตตาบุญที่ได้ทำมาทั้งชีวิตให้ท่านนะครับ

    ล้อเล่นๆนะครับ ขำๆๆๆๆๆๆนะครับ
     
  12. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่

    ปัญหา มีพุทธศาสนิกชนบางพวกเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นฆ่า ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.....”

    ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)
    ตบ. ๑๓ : ๔๘-๔๙ ตท.๑๓ : ๑๓ : ๔๗
    ตอ. MLS. II : ๓๓

    มีพ่อแม่และลูกชายอายุ 6 ปี ได้หนีโรคระบาดได้เดินทางไปในทางกันดาร
    อาหารและน้ำดื่มที่ติดตัวมาก็หมดลง ต่อมาหลายวันเข้า ความหิวก็เกิดกับทุกคน
    เมื่อฝ่ายบิดาเห็นแน่ชัดแล้วว่าคงต้องอดตายกันหมดแน่ บิดาจึงได้แอบปรึกษากับ
    มารดา ว่าจะฆ่าลูกชายนำเนื้อและเลือดมาดื่มกิน เพราะไหนๆก็ต้องอดตายกันทั้งหมดแล้ว
    แต่ถ้ายอมเสียสละลูกชายเพียงคนเดียวเราสองคนก็จะรอดตายได้ ฝ่ายมารดาก็ไม่เห็นด้วย
    และก็ไม่ยอมเด็ดขาดเมื่อฝ่ายมารดาไม่ยอมทางบิดาก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เดินทางกันต่อไป
    ด้วยความเหนื่อยเพลียบวกกับความหิวกระหายมารดาและลูกก็ผล่อยหลับไป
    เมื่อมารดาตื่นขึ้นมาก็เห็นเนื้อย่างอยู่บนกองไฟ มารดารู้ได้ทันทีว่าเป็นเนื้อลูกชาย
    ก็ร้องไห้เสียใจสงสารลูกชายปริ่มว่าจะขาดใจ ทางฝ่ายบิดากำลังฉีกเนื้อลูกชาย
    กินและเรียกให้ภรรยากินเนื้อลูกชาย ฝ่ายมารดาไม่ยอมกินเนื้อลูกชายได้แต่ร้องไห้
    สงสารลูกชาย เมื่อบิดาอิ่มแล้วก็ตัดเนื้อลูกชายส่วนที่เหลือเก็บเป็นเสบียงและออก
    เดินทางต่อ เวลาผ่านไปได้ 3-4 วัน เนื่องจากทางมารดาอดน้ำและอาหารมานาน
    ความหิวเมื่อถึงขีดสุด ดั่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง"
    เมื่อแน่ชัดแล้วว่าจะอดตาย และลูกชายก็ได้ตายไปแล้วคงหวนคืนไม่ได้ เพื่อให้มี
    ชีวิตต่อไปได้ จึงได้ กินเนื้อลูกชาย กินไปร้องไห้ไป
    จะเห็นได้ว่า มารดาไม่ได้ยินดีเลยกับการฆ่าของบิดา มารดา จึงไม่บาปส่วนบิดาบาป

    อีกเรื่อง บ้านนายดำ ได้สั่งให้ นายเขียวฆ่าไก่มาเพื่อจะได้นำมาแกง เมื่อนายดำได้
    แกงไก่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกครอบครัวมาทานอาหาร กำลังจะเริ่มทานแกงไก่นั้น
    ก็มีพระภิกษุมาบิณฑบาต นายดำจึงได้นิมนต์พระภิกษุ และได้ใส่บาตรด้วยแกงไก่
    พระภิกษุ เมื่อกลับมาถึงวัดก็ได้ฉันแกงไก่นั้น ด้วยจิตที่เมตตาแก่เนื้อไก่นั้น เหมือนกับ
    มารดากินเนื้อลูกชาย
    นายเขียว นายดำ บาป ส่วนพระภิกษุ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ยินดีในการฆ่านั้น จึงไม่บาป
     
  13. yoopee_up

    yoopee_up เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +203
    แล้วถ้าเราพัฒนากล้องเหมือนหนัง deja vu เคยดูป่าวหว่าแล้วคอยติดตามทุกฝีก้าวของสัตว์เด.. เพื่อสังเกตุว่าสัตว์ตัวไหนพึ่งจะตายไม่นานมานี้แล้วนำเนื้อสัตว์ที่พึ่งตายใหม่ๆมาบริโภคได้ป่าวครับ

    ฟังมาจาก จุไรท่องเที่ยวดวงดาว อีกทีนะครับ ระหว่างพระจันทร์และพฤหัส ถ้าฟังผิดก็ขอขมาด้วยครับ
     
  14. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ............................................................................
    เรื่องนี้ต้องตรวจสอบความถูกต้องนะครับเพราะมีอยู่ในพระไตรปิฎก
    ขณะนี้ผมยังค้นหาที่จดบันทึกไว้ไม่พบ
    แต่จำได้ว่าพ่อไม่ได้ฆ่าลูก
    เพราะพ่อกับแม่เกี่ยงกันไม่มีใครยอมฆ่าลูก
    ในที่สุดลูกนั้น " ตายเอง " พ่อแม่จึงจำใจกิน
    ผู้รู้ท่านใดค้นพบช่วย บอกเป็นธรรมทานด้วยครับ
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ประเด็นไม่ได้อยู่ที่พ่อแม่ฆ่าหรือไม่ฆ่า ผมจำมาจากหนังสือนิยายเล่มหนึ่ง
    ผมเห็นว่าประเด็นเรื่องนี้ อยู่ที่จะอธิบายให้เห็นว่า กินเนื้อสัตว์แบบใดบาปแบบใดไม่บาป
    การอุปมาเรื่องราวต่างๆ ถ้าเทียบเคียงเข้าได้กับพระไตรปิฏก ย่อมไม่ผิดธรรม
    ส่วนในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าทรงสอนพระภิกษุเรื่อง อาหาร ๔ อย่าง


    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER></CENTER><CENTER>๓. ปุตตมังสสูตร</CENTER><CENTER>[๒๔๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร ๔ อย่างนั้นคือ ๑. กวฬีการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ๒. ผัสสาหาร๓. มโนสัญเจตนาหาร ๔. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี ๒ คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ [๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER></PRE>
     
  16. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    [​IMG] <center><big>อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมัยสังยุตต์ มหาวรรคที่ ๗</big><center class="D">ปุตตมังสสูตร</center></center><center> อรรถกถาปุตตมังสสูตรที่ ๓ </center> ในปุตตมังสสุตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
    ................................................................................
    ฯลฯ
    บทว่า ปฏิปชฺเชยฺยุ ํ ความว่า สองสามีภรรยาถูกฉาตกภัย โรคภัยและราชภัยเบียดเบียนพากันเดินไป สำคัญว่า เราจักผ่านกันดารอย่างหนึ่ง อยู่เป็นสุขในรัชสมัยที่ปราศจากอันตรายของพระราชาผู้ทรงธรรม.
    บทว่า เอกปุตฺตโก ได้แก่ บุตรน้อยคนเดียว มีร่างกายผ่ายผอมผู้ควรจะพึงเอ็นดูอุ้มไป.
    บทว่า วลฺลูรญฺจ โสณฺฑิกญฺจ ความว่า เอาจากที่มีเนื้อเป็นก้อนๆ ทำเป็นเนื้อแห้ง เอาจากที่ติดกระดูกและติดศีรษะทำเป็นเนื้อย่อยๆ.
    บทว่า ปฏิปึเสยฺยุ ํ ได้แก่ พึงประหาร.
    ศัพท์ว่า กหํ เอกปุตฺตก นี้ เป็นอาการแสดงความคร่ำครวญของสามีภรรยาคู่นั้น.
    ก็ในข้อนี้มีการพรรณนาเนื้อความโดยย่อ ตั้งต้นแต่ทำเนื้อความให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้.
    ได้ยินว่า สองสามีภรรยาอุ้มลูกเดินทางกันดารประมาณ ๑๐๐ โยชน์ด้วยเสบียงเล็กน้อย. เขาเดินทางไปได้ ๕๐ โยชน์ เสบียงหมด กระสับกระส่ายเพราะความหิว นั่งที่ร่มไม้อันงอกงาม.
    ลำดับนั้น สามีได้กล่าวกะภรรยาว่า ที่รัก จากนี้ไปโดยรอบ ๕๐ โยชน์ไม่มีบ้านหรือนิคม ฉะนั้น บัดนี้เราไม่สามารถจะกระทำกสิกรรมและโครักขธรรมเป็นต้นเป็นอันมากที่ผู้ชาย จะพึงทำได้ มาเถิด เธอจงฆ่าเราแล้วกินเนื้อครึ่งหนึ่ง ทำเสบียงครึ่งหนึ่ง แล้วจงข้ามทางกันดารไปพร้อมกับลูก.
    ฝ่ายภรรยากล่าวว่า พี่ บัดนี้ฉันไม่สามารถจะทำกรรมมีการกรอด้ายเป็นต้นแม้มากที่ผู้หญิงจะพึงทำ มาเถิด พี่จงฆ่าฉันกินเนื้อครึ่งหนึ่ง ทำเสบียงครึ่งหนึ่ง แล้วจงข้ามทางกันดารไปพร้อมกับลูก.
    สามีกล่าวกะภรรยาอีกว่า ที่รัก ความตายย่อมปรากฏแก่คนสองคนเพราะแม่ตาย เพราะเด็กอ่อน เว้นแม่เสียแล้วก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เราก็จะพึงได้ลูกอีก เอาเถอะ เราจะฆ่าลูกน้อยในบัดนี้ ถือเอาเนื้อกินข้ามผ่านทางกันดาร.
    ลำดับนั้น แม่กล่าวกะลูกว่า ลูกรัก เจ้าจงไปหาพ่อ. ลูกก็ไปหาพ่อ. ครั้งนั้น พ่อของเด็กน้อยกล่าวว่า เราได้รับความทุกข์มิใช่น้อยเพราะกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้นก็เพื่อจะเลี้ยงดูลูกน้อย เราไม่อาจฆ่าลูกได้ เธอนั่นแหละจงฆ่าลูกของเธอ แล้วกล่าวกะลูกน้อยว่า ลูกรัก เจ้าจงไปหาแม่. ลูกก็ไปหาแม่.
    ครั้งนั้น แม่ของเด็กน้อย กล่าวว่า เมื่อเราอยากได้ลูก เราได้รับความทุกข์มิใช่น้อย ด้วยการบวงสรวงเทวดาด้วยโควัตรและกุกกุรวัตรเป็นต้นก่อน ไม่ต้องพูดถึงการบริหารครรภ์ ฉันไม่อาจฆ่าลูกได้ แล้วกล่าวกะลูกน้อยว่า ลูกรัก เจ้าจงไปหาพ่อเถิด.
    ลูกน้อยนั้นเมื่อเดินไปในระหว่างพ่อแม่นั่นแหละ ตายแล้วด้วยประการฉะนี้.
    สองสามีภรรยาเห็นดังนั้น คร่ำครวญ ถือเอาเนื้อลูกเคี้ยวกิน เดินทางไปโดยนัยที่กล่าวแล้ว.
    อาหารคือเนื้อลูกของสองสามีภรรยานั้น ไม่ใช่กินเพื่อจะเล่น ไม่ใช่กินเพื่อจะมัวเมา ไม่ใช่กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อตกแต่ง เพราะปฏิกูลด้วยเหตุ ๙ ประการ เป็นอาหารเพื่อข้ามผ่านทางกันดารอย่างเดียวเท่านั้น.
    .......................................................................
    ฯลฯ



    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๒๖๒๐ - ๒๖๙๖. หน้าที่ ๑๐๘ - ๑๑๑. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=2620&Z=2696&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=240
     
  17. ตุ๊โต้ง

    ตุ๊โต้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +223
    ขออนุญาตนะครับเท่าที่เคยรู็มีเนื้อวานร(ลิง)ด้วยนะใน10อย่างแต่เนื้อหมีไม่เคยได้ยินครับแต่ผมก็กินเนื้อหมีไม่ลงครับสงสาร
     
  18. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม?

    <center>ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม?

    </center> ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต่างรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นบาปมหันต์แต่ก็หาได้เกรงกลัวต่อเวรกรรมที่ต้อง ชดใช้ไม่ เพราะความมืดบอดความโลภ ความหลงเข้าครอบงำ คนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับว่า “การกินเนื้อเป็นความผิด”

    กฎธรรมดาเมื่อมีการกินก็ต้องมีการฆ่า เพราะสัตว์ทุกตัวมีชีวิตเป็นๆ เมื่อจะกินจึงต้องถูกนำไปฆ่าก่อน กินโดยไม่ฆ่านั้นไม่มีเลยในโลกนี้ “กินคู่กับฆ่า” เป็นของคู่กัน ไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า “คนกิน” และ “คนฆ่า” ก็มีความผิดเท่ากันเหมือนมือซ้ายกับมือขวา อยู่ในคนๆเดียวกัน มือขวาไปฆ่าใคร เมื่อถูกจับก็ต้องถูกใส่กุญแจมือทั้ง 2 ข้าง จะไต้แย้งว่ามือซ้ายไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่า ไม่ยอมให้จับไปด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้
    ถ้าคนๆ หนึ่งไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทนเมื่อศาลพิพากษาโทษก็ต้องตัดสินให้ทั้ง 2 มีความผิดร่วมกันโทษฐาน “สมรู้ร่วมคิด” ฆ่าผู้อื่น เพราะทั้งคนฆ่าและคนกินได้ประโยชน์ร่วมกัน คนฆ่าก็หวังได้เงิน คนกินก็ได้อิ่มอร่อยกับเนื้อสัตว์ที่ตาย
    เหตุกับผลย่อมเป็นของคู่กันแยกกันไม่ออก เหตุดีย่อมได้รับผลดี เหตุชั่วย่อมได้รับผลชั่ว การกินเลือกกินเนื้อของผู้อื่นที่เขาไม่ยินยอมต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นเหตุดีหรือชั่วควรวินิจฉัยดู
    บาปคืออะไร? บาปคือสิ่งทีทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและผุ้อื่น การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและสัตว์ทั้งหลายเพราะฉะนั้น การกินเนื้อสัตว์จึงเป็นบาป


    <center></center> คำโบราณที่พูดกันติดปากว่า “บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน” น่าจะเป็นคำที่คอยตอกย้ำให้เราจดจำไว้เสมอว่า “ใครก็ตามให้ผู้อื่นสร้างบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อตนแล้วผู้นั้นก็ต้องได้รับผลกรรมจากการฆ่านั้นด้วย”
    หากมัวแต่ใช้คำพูดอย่างมีเลห็เหลี่ยมเลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมาเมื่อไหร่สัตว์จะได้รับผลแห่งความเมตตากรุณาสักที?
    การกินเนื้อ เป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า ร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ ยิ่งคนกินมาก คนขายก็สั่งฆ่าสัตว์มากขึ้น ในวันสำคัญทางศาสนาเพียงวันเดียว ร้านอาหารเนื้อขายไม่ดี สัตว์ตายน้อยลงเป็น 1,000ๆ ตัว มีชีวิตอยู่รอดไปได้อีกวันหนึ่ง หากทุกคนงดเว้นเนื้อสัตว์ได้ ทุกๆวัน ไม่เฉพาะวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนา สัตว์ทั้งหลายก็จะมีอายุยืนยาวตลอดไปไม่ต้องตาย

    “หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย” ถ้าทุกๆ คนพร้อมใจกันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจแม้เพียง 1 มื้อ สัตว์นับหมื่นๆ ชีวิตก็จะรอดตาย อย่าได้มองข้ามมหากุศลในการกินเจเพียงมื้อเดียว
    เพราะความตายนั้นไม่ดีไม่มีใครชอบ คนจึงเกลียดและกลัวความตาย การกินเลือดเนื้อก็ย่อมไม่ดีเพราะต้องมีการตายก่อนจึงได้กิน กินเนื้อก็เท่ากับกินความตายเข้าไปด้วย
    คนที่ว่ากินเนื้อดีก็ต้องถือว่าความตายนั้นดี เมื่อความตายมาถึงก็ต้องไม่ปฏิเสธ ควรยอมรับความตายของตนอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ เมื่อยามที่ตัวจะตาย จิตวิญญาณกำลังจะออกจากร่างไปล้วนดิ้นทุรนทุรายหวาดกลัวตื่นตระหนกไม่มีใคร เลยได้จากไปโดยอาการอันสงบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pi.jpg
      pi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.7 KB
      เปิดดู:
      38
  19. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ข้าพเจ้าว่าประเด็นนี้ เป็นที่ถกเถียงกันมานาน...มาก เรื่อง กินเนื้อหรือไม่กิน อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน ขอออกความเห็นส่วนตัวสักเล็กน้อยนะ ถ้า กิน แล้วไปนิพพานได้ก็ไม่เห็นจะมีโทษ หรือ ไม่กิน แล้วไปนิพพานได้ก็ไม่เห็นจะเป็นโทษ มันเป็น เรื่องของความเชื่อ ศรัทธา อะไรก็ทำกันไปตามทางของตนจะดีกว่ามั้ย คนศรัทธาใน การกินเจ ซึ่งก็ จำนวนไม่น้อย เชื่อว่าไม่กิน แล้วจะได้บุญ ก็ไม่เถียง คนที่กิน อย่างพระสงฆ์ ท่านก็กิน แต่ก็เห็นท่านไปนิพพานได้ ก็ ไม่เห็นจะมีอะไรที่มันบาป ถ้าบาปจริง ขอโทษนะ พระ ท่านรับบิณฑบาถ มาก็ บาปหมด งั้นก็ ไม่ต้อง มีพระองค์ไหนได้ ไป สวรรค์ไปนิพพาน เพราะ ทำบาป ทุกวัน ไปไม่ได้ จริงมั้ย? แล้ว คนธรรมดาฆารวาส เลยไม่ต้องไป สวรรค์นิพพานกันเลย เพราะ กินเยอะกว่าพระอีก ส่วนพวก พากันกินเจ ไปสวรรค์หมด เพราะไม่มีบาป ไม่มีความเลว มีแต่ความดี เพราะทั้งชีวิต กินผักกินหญ้า เลยเป็นคนดี เรื่องนี้ มันก็ คือเรื่องของความเชื่อ ไม่น่าจะเอามาเถียงกันอีกต่อไป มันเป็นเหตุให้คน ทะเลาะกัน ทำให้เกิดการแตกแยกในหมู่คณะ เมื่อ ฉันดีแกเลว ฉันเลวแกดี มันก็จะแตกคอกันเองนะขอรับ อันที่จริง กินเนื้อหรือไม่กิน ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า ศีล 5 บริสุทธิ์ หรือยัง ถ้าศีล 5 ยังไม่ บริสุทธิ์ ก็ยังต้องไป อบายภูมิ ทุคติภูมิ อยู่ดี คนดีหรือไม่ดี วัดที่อะไร กินผัก หรือ กินเนื้อ หรือวัดที่ ศีลบริสุทธิ์ เจตนาที่ พระอริยเจ้า พระผู้ใหญ่ ที่ท่าน กล่าวว่า "วัวควายมันกินผักกินหญ้าตั้งนานไม่เห็นมันเป็นอรหันต์สักตัว" คำกล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าท่านด่านะขอรับ ตีความหมายดีๆ ในความเห็นของผม ผมเข้าใจว่า ท่าน จะบอกว่า นี่ไม่ใช่ เครื่องวัด ว่าคน จะได้ไป สวรรค์ หรือ นรก เพียงเพราะเหตุเหล่านี้ แต่ท่านพูดไว้แบบนั้นก็ เป็นภาษา เข้าใจง่ายๆ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็แล้วแต่ท่านจะตีความกันไปนะขอรับ ก็ ขอฝากท่านที่เข้ามาอ่าน ให้ทบทวนด้วยใจที่เป็นกลางในความเป็นปกติในเรื่องเหล่านี้อีกครั้งนะขอรับ

    ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     
  20. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    คำสอนของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก

    คำสอนของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง มา ณ ที่นี้

    หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า
    “ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ
    คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้
    แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ”

    หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔
    แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกัน
    สำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง
    สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ
    พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน
    อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก
    มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด
    เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร
    ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ
    หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด
    ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลย
    คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร
    ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก
    แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
    แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”


    แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ
    หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี
    พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”


    และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
    กินดีแค่ไหนก็ขี้ออกมาสกปรกเหมือนกัน เข้าแล้วก็ออกอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรนักหนา
    ทำไมต้องไปเอาเลือดเนื้อของเขามาบำรุงบำเรอตน
    หลวงพ่อเองก็กินผักกินหญ้าไปวันหนึ่งๆ ก็พออยู่ได้แล้ว”

    ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔

    --------------------------------------------------------------------------
     

แชร์หน้านี้

Loading...