กฎแห่งกรรม - มีจริงหรือความงมงายครับ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 26 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ผมเคยอ่านเจอว่า สิ่งที่กระทบชีวิตของเรานั้น ล้วนเกิดแต่เหตุและปัจจัย ล้วนเกิดแต่กรรมเก่าส่งมาให้เกิดเหตุและปัจจัยนั้น ๆ

    หลายครั้งที่เราได้อ่านเจอคดีที่ใหญ่ ที่โหดเหี้ยม แต่กฎหมายไม่สามารถจัดการบุคคลเหล่านั้นได้ กฎหมายถูกบิดเบี้ยวด้วยอำนาจเงิน อำนาจมืด ด้วยว่าเป็นลูกท่านหลานใคร สุดท้ายเราก็มักจะได้ยินคนพูดกันว่า เดี๋ยวกรรมก็สนอง เดี๋ยวกรรมก็จัดการเอง

    คำถามผมคือ ในทุกวันนี้ สังคมของเรามักง่ายและงมงายมากไปหรือไม่? เหมือนกับว่า เมื่อเราไม่สามารถจัดการคนที่ทำผิดด้วยกฎหมายได้ เราก็ปลอบใจกันไปวัน ๆ แบบเดิม ๆ ว่า เดี๋ยวกฎแห่งกรรมก็จัดการเอง โดยมองข้ามข้อเท็จจริงไป

    ผมรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่จริง และเชื่อว่ามีการสนองจริง แต่เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องโยน "ทุกเรื่อง" ให้เป็นเรื่องกฎแห่งกรรม เพิกเฉยและมองข้ามกับการที่กฎหมายโดนข้าม โดนเหยียบทุกวันทุกเวลา สร้างบรรทัดฐานผิด ๆ ขึ้นตลอดเวลา ทำให้การทำผิดเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ และสังคมก็เสื่อมลงทุกเวลา เราจะมีกฎหมายทำไมครับถ้าเราโยนทุกอย่างให้กฎแห่งกรรม กฎหมายที่ใช้การไม่ได้จริงแต่ด้วยกฎแห่งกรรมจะทำให้สังคมสงบสุข จริงหรือครับ?

    ถ้าเราบอกว่า ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องไหนที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญเลย ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่มีเหตุและปัจจัยพามาเลย งั้นผมขอสมมติเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ครับ

    1. สมมติว่าผมเอายาเบื่อไปให้หมากิน อันนี้เกิดขึ้นเพราะชาติที่แล้วหมาเคยวางยาเบื่อผมหรือทำให้ผมเสียชีวิตมาก่อน ผมเลยมาวางยาเบื่อกลับเพื่อให้ตายตกตามกัน หรือ ผมก่อกรรมตัวใหม่ขึ้นโดยที่ไม่มีเหตุปัจจัยมาก่อน เราจะรู้ได้อย่างไรครับ?

    2. มีเด็กสาวคนหนึ่งขับรถชนรถตู้บนทางด่วน รถตู้ร่วงมีคนตายมากมาย เด็กสาวคนนั้นไม่มีความสำนึกผิดเพราะสำคัญว่าพ่อตัวเองมีเส้นใหญ่ปกป้อง ทีมกฎหมายเบี่ยงเบนรูปคดีอย่างน่าเกลียดและเด็กสาวจะไม่โดนกฎหมายจัดการ ถามว่า อันนี้เพราะคนเหล่านั้นเคยร่วมกระทำกรรมเลวกับเด็กสาวคนนั้นและต้องมาชดใช้โดยการตายหมู่ หรือ เด็กสาวคนนั้นก่อกรรมใหม่ขึ้นให้คนเหล่านั้นตายหมู่ เราจะรู้ได้อย่างไรครับ?

    3. มีเด็กช่างกลวิ่งไปยิงฆ่ากันในเซเว่นแบบผักปลา มีกล้องวงจรปิด มีหลักฐานมัดตัวเต็ม ๆ แต่ได้รับการปกป้องเพราะอายุไม่ถึง 18 ด้วยกฎหมายเยาวชนที่อ่อนด้อยของประเทศเรา และมีแนวโน้มว่าเด็กเหล่านี้จะได้รับโทษอย่างมากก็บ้านเมตตา หรือคุกซักที่ ซึ่งไม่อาจชดเชยกับการตายของคนที่ตายไปแล้วได้ ถามว่า เหตุการณ์นี้เป็นกรรมสนองกลับ หรือ เด็กกลุ่มนี้สร้างกรรมห่วงใหม่ขึ้นมาด้วยการไปฆ่าอริต่างสถาบัน เราจะรู้ได้อย่างไรครับ?

    ขอบคุณครับ
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ถามคล้ายของเดิมเลยนะครับ ครั้งที่แล้วไม่กระจ่างหรอครับ
    1.เหตุปัจจัยมันมีอยู่แล้ว อย่างคุณไปฆ่าหมาเนี่ย ถ้ามันไม่เคยทำคุณมาก่อนคุณไปทำมัน
    ไม่ได้ อย่างองคุลีมาลฆ่าคน 999 คน ชาติก่อนนี้เคยเกิดเป็นเต่าให้คนพวกนั้นกินมาก่อน
    แต่มันไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว นับชาติไม่ถ้วนก็มี มันก็เป็นทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่แหละ
    ครับ เพราะการให้ผลของกรรมนั้นมันต้องเกิดการประจวบของทั้ง บุคคล เวลา สถานที่ ถึง
    จะให้ผล และการที่เราเจอบุคคล เวลา สถานที่ที่รับกรรมนี่ก็เป็นกรรมใหม่ คุณอย่าคิดว่ามัน
    ต้องเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้สิครับ มันเป็นทั้ง 2 แบบก็ได้ คนจะมารวมกันได้ก็ต้องมีความ
    คิด หรืออะไรคล้ายๆ กัน มันถึงมาเจอกัน แล้วรับกรรมเพราะมันประจวบกันของบุคคล เวลา
    สถานที่

    2.ก็เหมือนกันต้องเคยทำกรรมกันมาก่อน ไม่งั้นไม่ได้เจอกันนะ คือ มันประจวบกันของ
    บุคคล เวลา สถานที่ อย่างคุณริวจิตสัมผัสบอกว่าคนในรถนั้นปีเกิดชงกันหมดเลย นี่คือ
    ประจวบของบุคคล และกรรมที่ตายเพราะอุบบัติเหตุก็เพราะเคยทำกรรมกับคนดีไว้ ก็ทั้ง
    กรรมเก่า และกรรมใหม่อีก

    3.ส่วนเรื่องกฎหมายนี่เป็นกรรมสนองหรือเปล่าก็เป็นสิครับ แต่มันไม่ได้มีแค่กฎหมายนี่ครับ
    กฎแห่งกรรมมันก็ทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุด อย่างผู้หญิงข้อสองเขาอาจจะ
    ไปรับโทษภายหลังก็ได้ หรือหลายๆ คนทำชั่วชาตินั้นไม่ได้รับเลย ไปรับชาติอื่น ไม่ได้รับ
    เป็นร้อยเป็นพันชาติ ไปรับชาติสุดท้ายก็มี กฎหมายก็คือกฎหมาย กฎแห่งกรรมก็กฎแห่งครับ
     
  3. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณสำหรับการตอบอย่างละเอียดครับ จริง ๆ ผมกระจ่างไปบ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ดูเหมือนว่า ไม่ยุติธรรม (ในความรู้สึกส่วนตัวผม) ก็เลยมีความคาใจอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงเป็นเพราะผมเอาจิตไปจับกับเรื่องภายนอก เรื่องคนอื่นมากเกินไป

    อันนี้คงเป็นกระทู้แนวนี้อันสุดท้ายแล้ว เพราะได้ถามสิ่งที่คาใจและได้คำตอบที่สมบูรณ์แล้ว ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    มีอะไรคาใจก็ถามมาเถอะครับ มันเหมือนจะเป็นปัญหาเรื่องความเข้าใจมากกว่าว่ามันไม่สอดคล้องกับทฤษฎี ถ้าตอบได้จะตอบให้ครับ
     
  5. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณมากครับ ^^ แต่สำหรับหัวข้อแนวนี้ก็หมดคาใจไปแล้ว เพราะถึงกฎแห่งกรรมจะไม่ได้ตอบสนองตามใจหลาย ๆ คนที่กะเกณฑ์เวลาไว้ แต่จากที่อ่านคำตอบก็ได้ข้อสรุปว่า เหตุและปัจจัยในกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกหรือกะเกณฑ์ได้ 100%

    อีกประเด็นน่าจะเป็นเพราะ ผมคิดติดอยู่ในกรอบมากเกินไป ประเภท มา A ต้องไป B หรือ C แต่ไม่สามารถไป D ได้ เป็นต้น ซึ่งกระบวนการคิดดังกล่าวอาจจะไม่สอดคล้องกับการทำงานของกฎแห่งกรรมเองครับ
     
  6. Abhidol

    Abhidol สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +14
    คุณสามารถถามคำถามอย่างนี้ได้..แสดงว่าคุณเข้าใกล้ธรรมมาทุกขณะ..และเมื่อวันนั้นมาถึงคุณก็จะไม่มีอะไรคาใจ..อนุโมทนาครับ
     
  7. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    เรื่องของทางโลกกับทางธรรมมันไม่เหมือนกันนะครับ อย่าเอามาปนกันครับ(รู้ไม่จริง รู้ไม่ลึกแล้วกล่าวมันเป็นความคิดทางโลก)
    แต่รับรองได้เลยว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอนครับ
    คนที่ทำชั่วใจเขาไม่สุขหรอกครับต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาถึงกฏหมายเอาผิดไม่ได้
    เขาก็เหมือนตายทั้งเป็น อยู่ไปก็มีความทุกข์จากกรรมที่ทำไว้ครับ
    ส่วนเรื่องใครทำอะไรไว้แล้วมันจะเป็นการชดใช้หรือไม่นั้น ผมคิดว่าถ้าเราทำเช่นฆ่าสัตว์
    เราก็ผิดที่เราไปฆ่าเขาอ่ะครับ ถึงจะบอกว่าเขาเคยฆ่าเราก็เถอะครับ เรื่องแบบนี้มันต้องไม่จองเวรถึงจะจบกันครับ ที่คิดว่าเบื่อหมาแต่กลับคิดว่าเพราะมันเคยทำเราอ่ะครับ ถ้าเราเบื่อมันก็ต้องวนไปเรื่อยๆอ่ะครับ เราฆ่ามันจะไม่ผิดได้อย่างไร
    ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะแสดงศีล5 ข้อไว้ทำไมครับ ทำไมไม่บอกว่าฆ่าคนนั้นได้ ฆ่าสัตว์นั้นได้แล้วไม่ผิดถ้า เขาเหล่านั้นมีกรรมกับเรา ถ้าเราทำชีวิตเขาตกไปมัผิดหมดแหละครับ แค่พูดแล้วทำให้คนเสียใจศีลข้อแรกก็ด่างแล้วครับ(ฆ่าด้วยวาจา)
    แล้วที่บอกว่าAมา B ไปอะไรนี่ มันเกิดจากปัจจัยเดียวอ่ะเปล่าครับ ในชีวิตเรามันมีหลายปัจจัยนะครับ เหมือนการทดลอง
    ถ้าเราใส่สารA จะต้องได้ B แต่เราไม่รู้ว่าถ้าไปทำที่ความดันระดับหนึ่ง ความชื้นอากาศแบบหนึ่งมันจะได้สาร C
    แล้วเราก็คิดไปว่า สารเราเสีย ภาชนะไม่สะอาด ทั้งที่ความเป็นจริงมันต้องเกิดสารC เพราะสภาพแวดล้อมมันเป็แบบนั้น
    ถ้าจะคิดแบบวิทยาศาสตร์(เหตุและผล)ก็คิดได้ครับ เพราะศาสนาพุทธก็เป็นวิยาศาสตร์(เหตุผล)เหมือนกันครับ
    เพียงแต่พี่จะรู้เหตุจริงๆนั้นรึเปล่าเท่านั้นเองครับ อย่าพูด กล่าวว่าอะไร ถ้าไม่รู้จริงครับเป็นกรรมเปล่าๆ
    ถ้าอยากรู้ก็ไปดูyoutube แม่ชีทศพรนะครับ ว่างๆก็ไปหาแล้€วถามเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2011
  8. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ผมตั้งคำถามนะครับ ไม่ใช่ว่าผมบอกว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด ไม่ใช่บอกว่าทุกคนต้องเชื่อที่ผมพูด ท่านอ่านยังไม่เคลียร์ก็สรุปความว่าผมกล่าวมั่ว ผมถามสิ่งที่ผมคิดเท่านั้นครับ แน่นอน ความคิดผมไม่มีทางถูกต้อง 100% ในทุกด้านทุกมุมอยู่แล้ว เพราะยังไม่หลุดพ้น เพราะยังเป็นสัตว์ที่เวียนว่ายมีกรรมอยู่ครับ จึงได้มาถาม

    อย่างเรื่องการฆ่าหมา นั่นเป็น "คำถาม" นะครับ ว่าเหตุที่เกิดจะสามารถบอกได้อย่างไรว่ามาจากมุมไหน ไม่ได้บอกว่าทำแล้วถูกต้องไม่ผิด มีประโยคไหนที่บอกเช่นนั้นครับ?

    อ่านใหม่อีกรอบนะครับ ท่านตอบได้ดีแล้วแต่เหมารวมง่ายไปหน่อยครับ

    ด้วยความเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2011
  9. darkload

    darkload เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +162
    เรื่องกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ
     
  10. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เป็นเรื่องอจินไตย ครับ คือซับซ้อนเกินกว่าจะใช้เหตุผลอธิบายได้ ต้องใช้ปัญญา โดยการ

    รักษาศีล ภาวนา เพื่อได้ญาณแล้วจะเข้าใจ แต่ถ้าจะให้อธิบายตามเหตุผล

    คือ กรรมไม่ได้มีเฉพาะกรรมเก่าครับ มีกรรมในอดีต กรรมในปัจจุบันที่เราสร้างใหม่

    และมันก็จะส่งผลต่อเนื่องในอนาคต เช่น....... เปรียบเสมือนการปลูกผลไม้

    กรรมบางอย่างที่ไม่ได้สร้างในชาติปัจจุบัน แต่ส่งผลจากอดีตชาติ เช่น คุณปลูกต้นกล้วย

    แต่ คุณดันตายเสียก่อน ผลกล้วยมันมาสุกในชาติปัจจุบัน และปลูกกล้วยกันก็ไม่ได้ให้ผล

    ทุเรียน... แต่อย่าลืมว่า เราสามารถปลูกผลไม้ได้หลากหลาย เราปลูกทุเรียนก็ได้ผลทุเรียน

    ปลูกแอปเปิล ได้ผลแอปเปิล ปลูกกล้วยได้ผลกล้วย....... เช่นกัน ปลูกต้นดี ก็ไม่ใช่ว่า

    ผลดีจะให้ผลก่อน ผลเลว ...ซึ่งบางที ผลเลว และผลดี ก็มีทั้งกรรม ที่ทำทั้งในอดีตชาติ

    และปัจจุบันชาติ....... มันใช้เวลาสุก ไม่เท่ากัน ให้ผลในเวลาต่างกัน และปัจจัยสิ่งแวด

    ล้อมต่างกัน... เช่นการปลูกชา ต้องปลูกในที่อากาศเย็น ..... หรือปลูกข้าวต้องปลูกใน

    ดินเหนียว......... และต้องดูอีกว่า มันจะให้ผลอร่อยไหม หรือเค็มไป เปรี้ยวไป

    ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่อะไรลงไปเพิ่มเติม...... ใช่กันกับ กรรม หรือการกระทำของเรา

    กรรมมีทั้ง กายกรรม วจีกรรม(การพูด) และมโนกรรม(การคิด) บางที เราอาจจะทำดี

    ออกมาทางกาย แต่ทางใจ(อาจจะหวังอะไร) เหมือนเรา ปลูกต้นมะม่วง แต่เราดันปลูกใน

    ดินเค็ม........ หรืออะไร มันเยอะแยะ ซับซ้อนมากมาย ลองอ่านที่ผมเขียนอีกรอบ

    แล้วใช้ปัญญาทางโลก วิเคราะห์ดูละกัน........ แต่สำหรับผม ศรัทธาในคำสอน

    ของพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ แล้วเราจะเป็นผู้มีสัมมาฐิฏิ คือ เห็นชอบ

    คนที่ไม่รู้จริง คือ มีมิฉา คือไม่รู้จริง......... กัมมุนา วัตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  11. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    เมื่อก่อนผมก็เคยถามคำถามนี้ แล้วก็มีผู้คงแก่วิชาถามผมกลับว่า ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องกฎของแรงโน้มถ่วง แล้วคุณกระโดดจากตึกชั้นสิบ คนจะตกลงไปมั้ย


    โอเค ตอนนี้ผมมีคำถามใหม่ เมื่อกฎของแรงโน้มถ่วงมีจริง และการทำงานของมันคือ จะดึงวัตถุที่มีน้ำหนักให้ตกจากที่สูงไปที่ต่ำ

    แล้วกฎแห่งกรรมล่ะ โอเคมันมีจริง แล้วการทำงานของมันเป็นอย่างไร

    ที่ผมสงสัยเพราะคิดถึงเรื่องนายพลญี่ปุ่นที่หลวงพ่อท่านเล่าว่า

    ก่อนตายคิดถึงพระพุทธเจ้าแผลบเดียวตอนนี้อยู่บนสวรรค์แล้ว(ก่อนตายนี่ชั่วบรรลัยใครก็รู้) ผมจึงมีคำถามต่อว่า ถ้านายพลคนนี้ เกิดไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก่อนจะหมดบุญตรงนั้น จะบรรลุพระอริยะหรือพระอรหันต์มั้ย

    ถ้าบรรลุ ก็ทำชั่วเถอะพี่น้อง ชั่วให้เต็มที่ก่อนตายคิดถึงพระพุทธเจ้าก็พอ สบายเฉิบ

    แต่ถ้าไม่บรรลุก็ลงมาเกิดใหม่

    แต่ยังไม่มีใครให้คำตอบผมในเรื่องนี้
     
  12. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เขาถึงบอกให้ฝึกสติไงครับ....... เพราะก่อนตาย จิตนึกถึงอะไรก็จะไปทางนั้น

    ถ้าก่อนตายมีสติระลึกสิ่งที่ดีได้ ก็ได้ไปดี... แต่ถ้าก่อนตายไม่มีสติ จิตอาจจะหลุดไปคิด

    เรื่องที่ไม่ดีที่เคยทำได้.... เปรียบเสมือนกับ เราลอยคออยู่กลางทะเล ถ้าเรานึกถึงบาป

    ก็เหมือนเราเอาทุ่นมาใส่ตัวเราพร้อมจะจมลงใต้ทะเล ... แต่ถ้าเรามีทุ่นมากๆ(ทำเลว)

    แต่ดันมีเรือลำใหญ่มาช่วยเราไว้.... (การมีมหาสติ การภาวนา) ก็เหมือนเราแบกทุ่นทั้ง

    หลาย แต่เราก็อยู่บนเรือไม่จมลงไปในทะเล.... ตราบใดที่เรือนั้นอับปาง จมลงเราก็จะ

    จมลงทะเลไปพร้อมกับทุ่นที่เราแบกไว้ทั้งหลาย.... เปรียบเสมือนถึงแม้เราทำเลวมากมาย

    แต่ถ้าจิตเรามีสติ สามารถระลึกถึงความดี ก็เหมือนเราลอยคอกับเรือสำราญ แต่เราแบกทุ่น

    หนักๆ กับความเลวที่เราสะสมมาทั้งชีวิตขึ้นไปบนเรือด้วย ดังนั้น เราลอยสำราญได้ก็จริง

    แต่ถ้าเราหมดอายุขัยบนสวรรค์ เมื่อไร เราก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทร ลึกเท่าทุ่นที่เราแบก

    ไว้ ........ แล้วเราจะสงสัยไปทำไม นี่แค่ระดับ การเวียนว่ายตายเกิด สวรรค์ก็ยัง

    ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงหรอกนะ... เมื่อหมดอายุ ก็ต้องไปตามกรรมนั้น หนทางหลุดพ้น

    คือ การปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน..... แต่ระดับนี้ก็เอาง่ายๆ ทำเลวก็เหมือนเราแบกถุงขี้

    ไว้จะกี่ถุงก็แบกไว้ๆ ทำดีก็เหมือนเรือสำราญ...... ตอนก่อนตาย จิตเรานึกถึงอะไร

    สิ่งนั้นก็จะพาเราไป......... แต่เราก็ยังแบกอีกสิ่งหนึ่งไว้....... สมมติว่า เราทำความดี

    มาทั้งชีวิต แต่คิดถึงสิ่งไม่ดี คือเราจมทะเล แต่เมื่อหมดอายุขัยในนรก ก็เหมือนมีเรือ

    สำราญมารออยู่ข้างบน ส่งนักประดาน้ำลงมาช่วยขึ้นไป วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ

    แต่ภพภูมิมนุษย์ เป็นภพที่สามารถทำได้ทั้ง เลว ทั้งดี ทั้งภาวนาเพื่อหลุดพ้น ก็เลือกเอา
     
  13. tigerkiang

    tigerkiang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +7
    เถียงกันอีกแล้วลดอัตตาบ้างนะครับ ศาสนาพุทธยังเหลือเวลาอีกเป็นพันปีศึกษากันไปก่อนเถอะครับ ช่วยชี้แนะกันไปเบาๆเนาะ
     
  14. tigerkiang

    tigerkiang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +7
    เถียงกันอีกแล้ว ลดอัตตากันบ้างนะครับ ศาสนาพุทธยังอยู่อีกนานเป็นพันปี ค่อยๆให้คำแนะนำกันไปเนาะ
     
  15. MA-A-U

    MA-A-U Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +82
    อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่พึงคิด คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด แลถ้าขืนคิดให้รู้ให้ได้
    ก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนแห่งความเครียดเป็นบ้าเสียสติไป
    แต่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าห้ามหรอกนะ
    ท่านเพียงแต่บอกความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น
    ตามหลักของพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไปห้ามใคร
    เป็นแต่เพียงบอกว่า ไม่ควรคิด ถ้าคิดแล้วมันจะทำให้ มี

    ส่วนแห่งความวิปริตของจิตเกิดขึ้น คือเมื่อคิดไม่ออก ก็เลยฟุ้งเพ้อไปเลย
    ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด คือ ไม่

    อาจรู้เข้าใจได้ด้วยการคิด ต้องรู้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเอง
    โดยพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น อจินไตยมี 4 อย่างคือ

    (องฺ.จตกฺก.21/76/104)

    1. พุทธวิสัยคือ เรื่องปัญญาความสามารถของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร
    รู้ได้อย่างไร ทำได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา
    อยู่แล้ว ปัญญาของเราไม่ถึงใคร แล้วให้หยั่งรู้ถึงทันเท่าคนนั้น
    ย่อมคิดไม่ได้ คิดไม่ออก เป็นที่เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่เพราะ
    ฉะนั้น ปุถุชนจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ หรือ
    คิดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าออกได้อย่างไร ก็ต้องพัฒนาตัวไปจน
    กว่าจะมีปัญญาอย่างนั้น


    2. ฌานวิสัย คือ วิสัยของฌาน
    จิตนั้นมนุษย์ก็มีอยู่ด้วยกันทุกๆ คน แต่มนุษย์ปุถุชนก็ไม่เคยรู้จัก
    ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติของ
    จิต และการทำงานของจิตของตนเองเลย แม้แต่ความฝัน ตัวเองก็ฝันอยู่
    แต่ก็ไม่เข้าใจความฝันนั้น ความรู้เรื่องจิตที่มีอยู่
    ในตัวเองหรือที่เป็นตัวเองนี้ มีน้อยอย่างยิ่ง ทีนี้ สภาพจิตที่เป็นฌานนั้น
    เกิดจากสมาธิที่แน่วแน่ถึงขั้นที่เรียกว่า อัปปนา เป็น
    ประสบการณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนพัฒนาจิต
    ยิ่งรู้เข้าใจยากกว่าสภาพจิตสามัญ คนทั่วไปจึงไม่อาจคิดให้รู้เข้าใจได้ เป็น
    เรื่องที่ต้องฝึกฝนพัฒนาขึ้นมา
    แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจรู้เข้าใจได้ มิใช่ด้วยการคิด แต่ด้วยการทำเอา


    3. เรื่องการให้ผลของกรรม เรื่องนี้มนุษย์ปุถุชนคิดอย่างไร
    ก็ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนจนถึงที่สุด เราก็รู้เข้าใจในแง่หลัก
    ของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยแล้วก็คิดไปได้ระดับหนึ่ง
    แต่จะให้คิดมองเห็นโล่งตลอดไปก็ไม่ไหว


    4. เรื่องโลกจินตา คือ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของโลกจักรวาล
    จักรภพ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร จะมีการสิ้นสุดหรือไม่ มีขอบเขต
    ถึงไหน เรื่องนี้
    philosophers คือ นักปรัชญาทั้งหลายชอบคิด แต่ให้คิดไปเถิด
    ก็ข้องอยู่นั้นจะคิดให้ออก ก็ไม่ออกหรอก

    จากพระสูตร อจินติตสูตร

    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
    ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ

    จบสูตรที่ ๗






     
  16. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...สสาร ไม่มีวัน หายไปจากโลก เพียงแต่เปลี่ยนรูป สถานะ...

    ...เช่นกันๆ กฎแห่งกรรม ทำเท่าใด ได้รับผลเท่านั้น เพียงแต่ ช้า-เร็ว เท่านั้น

    รับผลช้า อย่าด่วนสรุปว่า ไม่ได้ รับผลเร็ว อย่าด่วนสรุปว่า ไม่เคยทำ

    ...ท่านสอน ให้รู้จัก กฎแห่งกรรม ไม่ต้องรีบเชื่อ ท่านให้ใช้ปัญญา จนเห็นจริงจึงยอมรับ แล้วท่านจึงบอกทาง หลุดพ้นจาก กฎของกรรม...

    ...ศรัทธา มาก ใช้ปัญญาน้อย ศรัทธาน้อย ใช้ปัญญามาก...

    ศรัทธา+ปัญญา กำลังพอดี
     
  17. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ผมว่า เจ้าของกระทู้ให้ประเด็นนึงที่ดีนะครับ
    ประเด็นคือ"สังคมควรจะทำความเข้าใจในเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาสังคมให้เกิดสันติสุขได้มากขึ้น"

    เช่น ถ้าเห็นคนร้ายวิ่งราวชิงกระเป๋าตังค์ผู้หญิงมา คนที่เข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมควรจะทำตัวอย่างไร ระหว่าง 1) ควรจะปล่อยวางโดยไม่ช่วยเหลือเพราะถือเป็นกรรมเก่าของหญิงคนนั้นเอง หรือ2) ควรช่วยเหลือตามกำลังที่พึงมี ตามกาละเทศะที่เหมาะสม แต่ถ้าพยายามช่วยแล้วช่วยไม่ได้ก็ไม่มากังวลทุกข์ร้อนเพราะถือว่าทำเต็มที่แล้ว หรือ3)วางตัวแบบอื่นๆ

    ลองทำความเข้าใจกับกรณีแบบนี้ก่อนดีไหมครับ ถ้าเข้าใจก็น่าจะประยุกต์ใช้ความเข้าใจนั้นในการวางตัว วางกาย วาจา ใจ ให้เหมาะสมที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างคนที่มีปัญญา
     
  18. itbeauty

    itbeauty สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +12
    กฎแห่งกรรม เป็นกฎธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว
    พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบไว้นานแล้วค่ะ
    ซึ่งกฎแห่งกรรมนี้เอง มันมีอยู่นานแล้ว
    และท่านก็ค้นพบว่าไม่มีใครจะหลีกหนีได้
    เพราะเป็นกฎของธรรมชาติค่ะ ก็เปรียบได้กับธรรมมะ
    ธรรมมะก็คือธรรมชาตินั่นแหล่ะ มีอยู่จริง
    เที่ยงแท้แน่นอน และหลีกหนีไม่พ้นค่ะ
    พระพุทธเจ้าทรงค้นพบมาก่อน
    นักวิทยาศาสตร์แขนงใดๆ ในโลกนี้ค่ะ

    และดิฉันขอฝากเว็บนี้ไว้ด้วยนะคะ
    เพราะเน้นให้เห็นเรื่องกฎแห่งกรรมชัดเจนที่สุดค่ะ

    www.baansuanpyramid.com
    เข้าไปที่หัวข้อ
    "รายการคุยไปแจกไป"

    [​IMG]
     
  19. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911

    ในกรณีอย่างนี้ส่วนใหญ่ผมใช้หลัก 1.เมตตา 2. กรุณา 3. มุฑิตา 4. อุเบกขา ..... เราเห็นตอนแรกต้อง เมตตาก่อน ไม่ใช่ อยู่ๆจะอุเบกขา เลย เมตตาแล้ว เราแก้ไขได้ไหม โดยที่ไม่เดือนร้อนตนและผู้อื่น ... ก็ กรุณา และ มุฑิตา.... แต่ถ้ามันสุดวิสัย เกินกรรม จริงๆ ก็ต้องวางอุเบกขา... คือปล่อยวางให้เป็น ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย..... ต้องศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ มีทั้ง คนธรรมดา และ นักปฏิบัติ.... ขนาด คุณสมบัติของ สามี หรือ ภรรยา ท่านก็สอนไว้ ... ใช้หลัก เหตุ และ ผล แก้ปัญหา หาทุกข์ และแก้ไขที่ต้นเหตุโดยใช้หลัก อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
     
  20. bank5811

    bank5811 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +236
    ตามความคิดผมนะเท่าที่อ่านมา กรรมผมคิกว่าแยกเป็น2ส่วน ปัจจจุบัน-กรรมเก่า

    ปัจจุบันคือเราคิดที่จะทำ จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ พึงปรารถนา
    กรรมเก่าคือ กรรมที่ต้องส่งผลถึงเราในชาตินี้ เช่น อุบัติเหตุ เหตุการณ์ต่างๆ ความลุ่มหลง ความเชื่อ เยอะแยะ จนทำให้เราขาดสติก็มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...