ปฏิบัติมานาน ไม่ถึงไหนสักที

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย noppornl, 10 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +8,010
    สวัสดีครับ
    ผมมีปัญหากับการปฏิบัติธรรมมากๆ เริ่มทำมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ทำมาเรื่อยๆ หยุดบ้าง ทำบ้าง จนผ่านมา 30 กว่าปี ก็ยังไม่พบวิธีการที่จะปฏิบัติแล้วสงบ นิ่ง เย็นสบาย แค่นี้แบบที่ยังไม่เกิดปิตินี่ ผมก็ยังไม่เคยพบเลย เคยนั่งทำอยู่นานที่สุดก็ 1 ชั่วโมง ขาเป็นเหน็บชา แต่จิตไม่รับรู้ถึงความสงบจากการปฏิบัติธรรมเป็นเช่นไร

    ผมทดลองมาก็มากมายหลายวิธี ทั้ง ภาวนา พุทโธ, พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ, จับลมหายใจเข้าออก, ยุบหนอพองหนอ, วิชาธรรมกาย ยังไม่เจอแนวที่ใช่สักที แบบที่ว่าทำแล้ว สงบ เย็น สบาย อย่างที่ได้ทราบๆมา

    ปัญหาของผมอีกอย่างคือว่า จิตผมมันจะเร็วมากในการวิ่งไปหาสิ่งอื่น นอกเหนือจากการภาวนา ตัวอย่างเช่น ภาวนาอยู่ คำภาวนาก็อยู่ในหัวไม่ขาดเลย แต่จิตกลับแยกไปคิดเรื่องอื่น ทั้งๆที่คำภาวนายังอยู่ในหัว

    เอ้าถ้างั้นเปลี่ยนเป็น ภาวนาแล้วเอาจิตตามลมหายใจ สักแป็ปเดียว เดี๋ยวก็ลอยไปกับเรื่องอื่นอีกแล้ว ทั้งที่การภาวนา และการจับลมหายใจก็ยังอยู่ ต้องพยายามดูอยู่ตลอดไม่ให้หลุดออกไป ราวกับจิตตัวเองแบ่งภาคได้

    ผมรู้สึกเหนื่อยกับการปฏิบัติมากๆ ที่ตัวเองไม่ไปถึงไหนสักที ยังไม่พบไม่เจอครูบาอาจารย์ที่แนะให้ แก้ไขปัญหานี้ได้เลย แต่ก็ยังไม่ท้อนะครับ ทำมันต่อ แม้จะไม่ได้พบเจอความสงบ แต่ก็อยากทำ

    คำถามครับ
    1. การภาวนาของผมที่ทำมา มันเกิดบุญกุศลบ้างไหมครับ เพราะจิตไม่สงบ
    2. ถ้าผมแค่นั่งเฉยๆ แบบเอาจิตคอยสำรวจดูว่า แขน อยู่ตรงนี้ ขาอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ สำรวจไปทั่วร่างกาย เพื่อหางานให้จิตทำ ผมจะได้บุญไหมครับ
    3. การนั่งนิ่งๆ แล้วไม่คิดอะไรเลย(ถ้าทำได้) เป็นบุญกุศลไหมครับ
    4. ยินดีรับคำแนะนำถึงแนวทางที่น่าจะเหมาะสมหับผมนะครับ

    ขอบคุณครับ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก่อนอื่นขออนุโมทนา สาธุ ในปัญญาที่มี ฉันทะที่มี ในพระพุทธศาสนา ซึ่งทำให้ตนเองรู้จักตนเองว่า อะไรคือข้อบกพร่องของตน

    ขอตอบรวมทั้ง 4 ข้อว่า ได้บุญไหม ตอบว่า ได้บุญสิครับ

    ทีนี้ คำว่า ได้บุญนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราสงบนิ่งได้ เพราะว่า บุญนั้นยังไม่นำไปสู่การดับที่เหตุ เมื่อเหตุยังมี ผลก็ต้องยังมี

    ทีนี้ มาดูว่า ทำไมจิตใจยังวิ่งไป แม้ทำสมาธิ เดี๋ยวเดียว จิตนั้นก็วิ่งออกไป

    ให้สำรวจตนดังนี้
    1 วิถีชีวิต ที่ก่อให้เกิดความขุ่นมัว ในใจอยู่เป็นประจำมีหรือไม่
    2 เจริญสติ ให้อยู่กับ กายให้เป็นประจำหรือยัง เมื่อจิตไม่อยู่กับกาย จิตก็จะอยู่กับนาม ทำให้วิถีของจิตนั้นคอยแต่จะวิ่งไปในเรื่องราวต่างๆ เมื่อเจริญสติ ให้อยู่กับกายให้เป็นประจำแล้ว เมื่อจิตส่งออกนอก เราก็จะรู้ตัว

    หากว่า ทำข้างต้นแล้ว ยังไม่ดี เราต้องดูว่า นิสัยของเรา อะไรที่ยังไม่ดี ให้สำรวจนิสัยด้วย เช่น ชอบพูดปด มีหรือไม่ ชอบมองคนอื่นในแง่ร้าย หรือ ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ให้รู้ตัวแล้ว ค่อยๆละไป

    ให้ละเอียดในวิถีชีวิตของตนเอง ให้อยู่ในระเบียบวินัย แต่หากว่า ยังทำไม่ได้ ก็ให้ทำบุญสุนทาน

    สวดมนต์ให้ทุกวัน วันละนานๆ ตั้งสัจจะเอาไว้ ว่าจะทำทุกวัน เอาบทสวดที่เป็นมงคล สรรเสริญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกน้อมใจมาหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เอาใจเรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ให้มาก

    ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร และ พยายามหา สถานที่ที่สบายในการปฏิบัติธรรม

    สรุปรวบ

    ให้หมุนวิถีชีวิต ทั้ง พูด ทำ คิด ไปในทิศทางใหม่ ที่มีแต่กุศล อะไรที่เป็นอกุศล ละเสียทั้งหมด
    ทำให้เป็น กิจวัตร ทุกวัน โดยต้องอดทนทำไป อย่าทำๆ หยุด ๆ ให้มีสัจจะ ตั้งเอาไว้ แล้วจะสำเร็จ
     
  3. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,254
    ก่อนจะเเนะนำถามก่อนว่า
    ศีล 5 ครบหรือเปล่า ถ้าด่างพร้อยก็ยังพอเเก้ได้เเต่ถ้าเป็นเเบบอาจิณคือทำทุกวันทำทุกขณะจิตหรือทำให้ทุกข์เพราะศีลขาด
    เช่น
    1.มีอาชีพที่เป็นมิฉาอยู่หรือเปล่าอาชีพที่เอาเปรียบคนอื่น
    2.กินเหล้าบ่อยหรือเสพยาหรือต้องกินยาเกี่ยวกับประสาทอยู่หรือเปล่าประจำเเค่ไหน
    3.เป็นชู้กับเมียชาวบ้านอยู่หรือเปล่าไม่เว้นเเต่เป็นชู้กับเเฟนคนอื่น
    4.มีอาการทางประสาทบ้างหรือเปล่า
    คือที่บอกมาทั้งหมดนั้นเเก้ได้ทั้หมดตามที่คุณบอกมานั้นคุณควรปฏิบัติเเนว สติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม วิธีก็ได้หลายอย่างลองเลือกที่ถูกจริตว่าเเนวทางไหนทำให้จิตสงบมากที่สุด เเนะนำเอาสักทางอย่างละ 1 ปีให้มันรู้ไปว่าใช่หรือไม่ใช่ เเต่อย่างลองเเบบว่าอาทิตย์สองอาทิตย์ไม่สงบก็เปลี่ยนล่ะ เพราะบางทีมันต้องใช้เวลานานเหมือนกันจนกว่าจิตมันจะยอม
    เเต่ที่สำคัญ 4 ข้อนั้นจะทำให้จิตไม่สงบไม่เป็นสมาธิปัญญาไม่เกิดเพราะเป็น มิจฉา ทำยังไงก็ไม่สงบ
    ในประไตรปิฏกเขียนว่า
    ศีลเป็นฐานให้เกิดสมาธิ
    สมาธิทำให้เกิดปัญญา
    เเละเเนะนำสิ่งสำคัญที่คนมองข้ามให้อีกคือร่างกายของเราพร้อมหรือเปล่าสารเคมีในสมองก็สำคัญคุณลองออกกำลังกายโดยการวิ่งโดยที่ใช้สติไปดูตามร่างกาย ซ้าย ขวา ซ้าย ขวาดู เผลอๆเวลานั่งจิตสงบในวันนั้นเลยก็ได้ถ้าไม่มีที่วิ่งก็ซื้อเครื่องวิ่งมาวิ่งในบ้านเเต่ต้องทำทุกวัน เเละก่อนนั่งก็เดินจงกรมด้วยครับ
     
  4. tyoukerd@hotmail.com

    tyoukerd@hotmail.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +293
    ครูบาอาจารย์เคยบอกว่าศีลเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิ หมายความว่าถ้าศีล 5 ไม่บริสุทธิ์ สมาธิจะเกิดขึ้นยาก หรือเกิดขึ้นไม่ได้ครับ ดังนั้น ต้องกลับมาสำรวจตัวเราก่อนว่า ตอนนี้ศีลเราค่อนข้างบริสุทธิ์หรือไม่ เพราะถ้าเราล่วงละเมิดศีลแล้ว จะส่งผลให้จิตใจเราเร่าร้อน ทำให้การเจริญภาวนา จิตไม่สงบเท่าที่ควรครับ แต่อย่างไรก็ขอกราบอนุโมทนากับคุณด้วยครับที่มีความพากเพียรพยายามมาอย่างไม่ย่อท้อ แม้ในชาตินี้ไม่สำเร็จ แต่จะบอกได้เลยว่าจะเป็นบุญกุศลติดตามเราต่อไปในภพชาติหน้าครับ
     
  5. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    เป็นอาการของสมาธิสั้น สั้นเอามากๆ
    ห่วงนู่นพะวงนี่อยู่ตลอด การอยู่นิ่งๆไม่เหมาะกับคุณ

    ไม่ใช่ว่าศีลไม่บริสุทธิ์อะไรหรอก แค่คิดนู่นห่วงนี่อยู่ตลอดเวลา

    ควรจะเปลี่ยนมาใช้การจงกรมแทน คือการใช้ใจจดอยู่อยู่กับการเดินและเป้าหมายที่จะเดินไปหา


    เพราะถ้าสมาธิหลุดออกจากการเดินเมื่อไหร่ คงเดินชนอะไรบ้างก็ไม่รู้ หรือไม่ก็เดินออกนอกเส้นทางที่กำหนดไว้ คือเลี้ยวไปนู่นนี่ ไม่ถึงที่หมายสักที
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สวัสดีครับ
    ผมมีปัญหากับการปฏิบัติธรรมมากๆ เริ่มทำมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ทำมาเรื่อยๆ หยุดบ้าง ทำบ้าง จนผ่านมา 30 กว่าปี ก็ยังไม่พบวิธีการที่จะปฏิบัติแล้วสงบ นิ่ง เย็นสบาย แค่นี้แบบที่ยังไม่เกิดปิตินี่ ผมก็ยังไม่เคยพบเลย เคยนั่งทำอยู่นานที่สุดก็ 1 ชั่วโมง ขาเป็นเหน็บชา แต่จิตไม่รับรู้ถึงความสงบจากการปฏิบัติธรรมเป็นเช่นไร

    ขาเหน็บชานั่นแหละ ดีแล้ว

    เจริญปัญญา วิปัสสนา ต้องรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ เข้าใจสภาวะทุกข์ ยิ่งเกิดมากๆยิ่งดีครับ

    เราไม่นั่งสมาธิเอา นิ่ง สงบเย็น ตรงนั้นไม่สามารถเห็นสภาวะที่แท้จริงได้

    ด้วยแรงสมาธิที่รวมเป็นหนึ่งเดียว เราจะไปรับอารมณ์สงบ นิ่ง

    เป็นอันตรายต่อการเจริญปัญญามาก

    แต่เราจะใช้ปัญญานำ เข้าไปรู้ความเร่าร้อนนั้นๆ

    จนละความเห็นผิดและวางได้

    จนอารมณ์สงบ เย็น เป็นอุเบกขา

    ผมทดลองมาก็มากมายหลายวิธี ทั้ง ภาวนา พุทโธ, พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ, จับลมหายใจเข้าออก, ยุบหนอพองหนอ, วิชาธรรมกาย ยังไม่เจอแนวที่ใช่สักที แบบที่ว่าทำแล้ว สงบ เย็น สบาย อย่างที่ได้ทราบๆมา

    ไม่ต้องไปบริกรรมอะไรแล้วครับ

    ใช้ตาปัญญา หาความรู้สึกที่เกิดในกายนี้นั่นแหละ

    เมื่อหาเจอ ให้มีสติเข้าไปพิจารณาเงียบๆ ดูอาการนั้นๆอย่าให้ขาดสาย

    เหมือนแมวจ้องตะคุบเหยื่อ เหมือนตาแป๊ะนั่งตกปลา

    ความรู้สึกอะไรที่เด่นมาก มีกำลังมากในกาย ให้ตามดูไป

    พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา

    ปัญหาของผมอีกอย่างคือว่า จิตผมมันจะเร็วมากในการวิ่งไปหาสิ่งอื่น นอกเหนือจากการภาวนา ตัวอย่างเช่น ภาวนาอยู่ คำภาวนาก็อยู่ในหัวไม่ขาดเลย แต่จิตกลับแยกไปคิดเรื่องอื่น ทั้งๆที่คำภาวนายังอยู่ในหัว

    เมื่อความคิดเกิด อย่าเอาสติไปตัด

    ให้ระลึกรู้แล้วค่อยพิจารณาจนความคิดดับไป

    พิจารณา ดูความไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ใช่เราหรือไม่


    เอ้าถ้างั้นเปลี่ยนเป็น ภาวนาแล้วเอาจิตตามลมหายใจ สักแป็ปเดียว เดี๋ยวก็ลอยไปกับเรื่องอื่นอีกแล้ว ทั้งที่การภาวนา และการจับลมหายใจก็ยังอยู่ ต้องพยายามดูอยู่ตลอดไม่ให้หลุดออกไป ราวกับจิตตัวเองแบ่งภาคได้

    เอาปัญญานำ สมาธิให้เป็นตัวหนุนไป

    อุปมาเหมือนเล่นเกมสืก็ได้

    สแกนหา สิ่งที่เกิดในกาย

    เช่น คิด ปวดขา อึดอัด เจ็บปวด

    ตามดูลงไป สภาวะนั้นๆมัน เต้น ตอด ตึง ร้อน เย็น


    ผมรู้สึกเหนื่อยกับการปฏิบัติมากๆ ที่ตัวเองไม่ไปถึงไหนสักที ยังไม่พบไม่เจอครูบาอาจารย์ที่แนะให้ แก้ไขปัญหานี้ได้เลย แต่ก็ยังไม่ท้อนะครับ ทำมันต่อ แม้จะไม่ได้พบเจอความสงบ แต่ก็อยากทำ

    ให้เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ

    ยังไม่ต้องไปมองไกล ให้ดูเฉพาะหน้า ดูปัจจุบันที่เกิดขึ้น

    ปฏิบัติไป นาทีต่อนาที วินาทีต่อวินาที ทำไปเรื่อยๆครับ

    คำถามครับ
    1. การภาวนาของผมที่ทำมา มันเกิดบุญกุศลบ้างไหมครับ เพราะจิตไม่สงบ

    รู้ตัวว่าจิตไม่สงบ นั่นแหละปัญญา เป็นกุศลเฉพาะหน้าแล้ว

    2. ถ้าผมแค่นั่งเฉยๆ แบบเอาจิตคอยสำรวจดูว่า แขน อยู่ตรงนี้ ขาอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ สำรวจไปทั่วร่างกาย เพื่อหางานให้จิตทำ ผมจะได้บุญไหมครับ

    ถูกแล้ว ถูกแล้ว

    พิจารณาให้เป็นอนัตตาไปเลย

    แม้ยังดับกิเลสไม่ได้ ตายไปย่อมมีสวรรค์เป็นที่หมาย

    ทางที่ดี บุญก็อย่าไปหวัง มันได้ของมันเองเป็นอัตโนมัติแล้ว

    ยิ่งเราไปหวัง เพื่อคุณวิเศษ เข้มขลัง หรือหวังโชค เป็นอัตตาทั้งนั้น

    ปฏิบัติอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฐิ


    3. การนั่งนิ่งๆ แล้วไม่คิดอะไรเลย(ถ้าทำได้) เป็นบุญกุศลไหมครับ

    มาถูกครึ่งทางครับ

    เราไม่นั่งนิ่งเอาสงบ พวกโยคีในอินเดีย นั่งจนรากงอก ไม่รู้อะไรเลย นั่นเราไม่เอา

    ให้มองหาความรู้สึก แล้วเข้าไปดู ไปรู้ เพื่อวาง

    4. ยินดีรับคำแนะนำถึงแนวทางที่น่าจะเหมาะสมหับผมนะครับ

    ลองพิจารณาเอาเองนะครับ

    ผมได้แค่แนะนำ



    ขอบคุณครับ
     
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถ้าแยกระหว่างรู้คำภาวนาอยู่ กับรู้แวบไปคิดเรื่องอื่นได้
    ก็น่าจะดีค่ะ ก็ถือว่ามีสติ
    ส่วนการรู้ว่าแวบไปคิดเรื่องอื่น ถ้าแยกว่ารู้กุศลอกุศลหรือจิตไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศลได้ ก็จะยิ่งดีค่ะ เพราะถ้ารู้กุศลก็ให้เพียรเพิ่มถ้ารู้อกุศลก็ให้ละ ฯลฯ

    การทำความสงบ ความสงบเกิดขณะที่คิดก็ได้ เพราะบางคนยิ่งคิดยิ่งสงบแต่หมายถึงสงบจากกิเลส จากอารมณ์ต่างๆ คิดแล้วเป็นสมาธิรู้ผิดรู้ถูกรู้ปล่อยวางอกุศลต่างๆ จิตแบบนี้เป็นความสงบจากความเร่าร้อนทั้งปวง
    ควรดูจริตตัวเองค่ะ เพราะคนชอบพิจารณาธรรมหรือหาเหตุผลต่างๆ จะต่างจากคนที่มีจริตที่สงบด้วยการไม่คิด ความคิดก็ทำให้สงบได้ แต่สงบจากกิเลสค่ะ การคิดแบบนี้เมื่อถึงจุดที่สมาธิแนบแน่นมาก จะสังเกตได้ว่า จะคิดเป็นหนึ่ง คือคิดเรื่องๆหนึ่งไม่แตกซ่านหรือฟุ้งทางความคิดไปทั่ว พอถึงจุดที่สมาธิถึงระดับก็จะหยุดคิดเอง เข้าฌานพอกำลังฌานหมดก็ถึงจะออกมาคิดพิจารณาต่อได้ค่ะ
    คำสอนของหลวงพ่อพุธ เกี่ยวกับการคิด จริตของคนชอบคิด มีมากอยู่ค่ะ

    กรรมฐานมีมาก เลือกให้ตรงจริต
     
  8. พันตา

    พันตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +60
    เหมือนผมเลยครับ สวดมนต์ นั่งสมาธิ (แต่มักไม่ได้เดินจงกรม) แม้หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องเดินก่อนก็ตาม แต่ผมไม่ชอบเดินจงกรมจริงๆ เลยใช้สวดมนต์แทน แต่ไม่ก้าวหน้าอะไรเหมือนกัน เมื่อวานได้โหลดคลิปเสียงหลวงพ่อฤาษีฯ ของท่าน phanudet ไปฟัง เลยเกิดความคิดที่จะลองฝึกกสิณดูบ้าง เมื่อวานลองทำดู รู้สึกแปลกๆครับ จิตมันนิ่งอีกแบบ ต่างจากนั่งสมาธิด้วยหลักสติปัฎฐานที่เคยทำ แต่ก็กะว่าอยากได้สมาธิดีๆแล้วโน้มเข้าวิปัสสนานะครับไม่ได้ฝึกเพราะอยากได้ อภิญญา อะไร แต่แอบคิดว่าถ้าได้เห็นอะไรที่ทำให้ใจเราเชื่อมั่นมากขึ้นก็จะดีครับ
    จริงๆวันนี้ว่าจะมาขอบคุณ ท่านภาณุเดช และตั้งคำถามบางคำถามด้วย แต่เรื่องคำถามเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะวันนี้ลองหาข้อมูลอ่านเองเพิ่มเติมก่อน (กะว่าจะฝึกโอทาตกสิณ หรือไม่ก็ โลหิตกสิณ เพราะเป็นคนมีโทสะ)
    แต่เรื่องขอบคุณ ผมขอขอบคุณ phanudet ผ่านกระทู้นี้แทนนะครับ ที่ได้นำสิ่งดีๆมาให้คนในเวปเสมอมา คิดว่าท่านคงได้ผ่านมาอ่านเจอครับ "ขอบคุณมากครับ"

    ส่วน จขกท ลองดูก็ได้นะครับ ผมจะลองพยายามดูเหมือนกันครับ
     
  9. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +8,010
    ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามา และท่านที่ให้คำแนะนำนะครับ
    รู้สึกว่าเป็นประโยชน์มากๆสำหรับผู้ปฏิบัติได้น้อยอย่างผม
    ขอให้บุญกุศลนี้จะถึงแก่ทุกท่านครับ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จริงๆ ภูมิจิตคุณก้าวหน้า กว่าที่คุณ พยายามบีบบังคับจิตให้เข้าใจ

    กล่าวคือ ภูมิการ ภาวนานั้น ไปไกลมาก ดีมาก แต่ เนื่องจากโลก เขาพูด
    กันแต่ การภาวนานอกแนวเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้คุณเข้าใจ ภูมิจิตตัวเอง
    ผิดว่า ไม่ก้าวหน้า

    ตัวอย่างง่ายๆ คุณนั่งสมาธิ จนกระทั่งเลยขั้นการเห็นเหน็บชา นี่แปลว่า เคย
    นั่งสมาธิหลายชาติแล้ว ขั้นตอนที่เหน็บมันเริ่มกินมันไม่อาจรั้งให้คุณไปพะวักพะวน
    ทำให้ข้ามเวทนาไปแล้ว จะมารู้อีกทีตอนออกจากสมาธิ สภาพร่างกายมันถึงจะ
    ฟ้องว่าคุณข้ามการติดอะไรไปบ้าง

    ดังนั้น จุดๆนี้ คุณต้องมาทำความเข้าใจใหม่ กับคำสองคำ คือ

    "ความตั้งมั่นในการรู้" กับ "ความสงบเงียบ(ตั้งมั่นแบบชุ่มชื่น)"

    นั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว โดยที่ สิ่งที่ทำให้คุณเข้าใจผิด อันอาศัยคนใน
    โลกพร่ำพรรณาในคุณวิเศษจนเราเข้าใจผิดคือ "ความสงบเงียบ(ตั้งมั่นแบบชุ่มชื่น)"
    ตัวนั้น มันไม่เพียงพอต่อภูมิจิตของคุณแล้ว

    ดังนั้น ที่มันไม่รวม ไม่นิ่ง ไม่เอานิ่ง ตรงนี้ไม่ใช่เพราะคุณทำสมาธิไม่เป็น
    แต่เป็นเพราะ คุณภาวนามาทางการเจริญสติปัฏฐานมามากแล้ว ปัญญาอินทรีย์
    ที่มีอยู่จึงพยายามพาคุณมาเห็นสิ่งที่เลิศกว่า เพื่อภาวนาต่อยอด แต่เพราะเรา
    อาศัยการสดับธรรมะจากคนที่แสดงธรรมได้จืดๆ ทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าไม่ก้าว
    หน้า

    จริงๆแล้ว ต่อให้คุณ เล็งเห็นว่าจิตไม่รวม ตัวจิตของคุณก็เก็บปัญญาไปแล้วโดย
    ที่คุณไม่รู้เรื่องอะไรกับมัน จึงไม่เข้าใจว่ามันก่อประโยชน์อะไรให้

    ทีนี้ หากคุณพอเข้าใจ คุณกลับมา วิเคาระห์ "ตัวจิตตั้งมั่นในการรู้" หรือ
    สัมมาสมาธิที่มีอยู่แล้ว นั้นเสียใหม่ ก็จะพบว่า คุณเดินมาแล้วได้ดีเพียงใด

    การที่เราเห็น จิตใจแบ่งเป็นสองส่วน มีบางส่วนบังคับไม่ได้ นั้นแหละ ภูมิปัญญาของจิต
    ไม่ใช่ความโหลยโถ่ย อย่างที่พวกภาวนาติดสุขมักจะชี้ว่าเป็น โทษ คนละเรื่อง มันต่าง
    กันราวฟ้ากับเหว

    ดังนั้น การภาวนาของคุณก็เพียงแต่ดูไปอย่างเดิม ดูจิตมันไหลไป แรกๆมันจะไปเห็น
    ตัววัตถุ จึงคิดว่าจิตไปติดบัญญัติ แต่คุณเพียงแต่รู้ว่า "จิตไม่ตั้งมั่นในการรู้" มันจึง
    สัดส่ายออกไป รู้ที่อาการสัดส่ายของจิต แค่นี้พอ

    เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ภูมิจิตมีสัมมาสมาธิมากขึ้น มีความตั้งมั่นมากขึ้น ไม่ใช่
    เรื่องการตั้งแช่ เมื่อนั้นจิตใจจะตลบอบอวนไปด้วย อนุสัย กิเลส ผ่าน
    ไปผ่านมา แทบจะเหมือน รบอยู่ในสนามรบ มีทหารนับหมื่นนับแสนมา
    ย่ำยีหัวใจคุณ

    หากจิตใจคุณไม่ตั้งมั่นในการรู้ มันถึงจะวิ่งเข้าไปเอาอารมณ์สมถะมาแก้

    หากจิตใจคุณตั้งมั่นในการรู้ สมรภูมิของกิเลสจะมอดดับลง แม้มีทหาร
    ตายแต่มันก็ตายใน สมรภูมิจิต ไม่ได้ล้นออกมาทาง กาย และ วาจา

    การเห็นสภาวะธรรม กิเลส นิวรณ์ สารพัดจะถาโทมดั่งยกพบพยุหเสนา
    มารมากรุมรุมจิตคุณ หากคุณมีอินทรีย์เพียงพอ จะเห็นเลยว่า ไตรลักษณ์
    ญาณคืออาวุธที่คมกริบที่สุด หากไตรลักษณ์ญารไม่ปรากฏเมื่อนั้นอาวุธ
    สำรองอย่างสมถะกรรมฐานถึงถูกงัดออกมาใช้(เจโตวิมุตติกำเริบกลับ -
    อันนี้ ให้นึกถึงการนั่งภาวนาเห็นขาชา มันกำเริบกลับอย่างไร หากไม่
    กำเริบกลับ ไม่ได้แปลว่าสมถะไม่มี มันมีแต่ไม่แสดงตัวต่างหาก ตรงนี้
    จะเข้าใจคำว่า สมาธิขันธ์มากขึ้น )

    ลองพิจาณาดูใหม่นะครับ

    คุณลงสนามรบไปแล้ว ไม่ใช่ ผู้ฝึกหัดในค่ายวิเศษชัยชาญ อีกต่อไป
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าต้องการ ทบทวน สิ่งที่ผมบรรยาย ขอให้ ค้นคว้าเรื่อง

    การเจริญอนิจจสัญญา เพื่อให้เกิดอนัตตสัญญา
    การเจริญอนัตตาสัญญา เพื่อให้เกิดสุญญตสัญญา

    แล้วคุณจะเข้าใจว่า ภูมิจิตของคุณ มันก้าวหน้ากว่าที่คุณ บังคับให้มันเป็นตามโลกเขาพูด
     
  12. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    ผมมีปัญหากับการปฏิบัติธรรมมากๆ เริ่มทำมาตั้งแต่ยังเด็กๆ ทำมาเรื่อยๆ หยุดบ้าง ทำบ้าง จนผ่านมา 30 กว่าปี ก็ยังไม่พบวิธีการที่จะปฏิบัติแล้วสงบ นิ่ง เย็นสบาย แค่นี้แบบที่ยังไม่เกิดปิตินี่ ผมก็ยังไม่เคยพบเลย เคยนั่งทำอยู่นานที่สุดก็ 1 ชั่วโมง ขาเป็นเหน็บชา แต่จิตไม่รับรู้ถึงความสงบจากการปฏิบัติธรรมเป็นเช่นไร
    ตอบ ความเพียรไม่สม่ำเสมอ ตรงนี้สำคัญน่ะ เป็นเหตุให้ไม่ก้าวหน้า จขกท ต้องระลึกไว้เสมอเวลาที่เราความเพียรหย่อน ว่าวันนี้เราสร้างบุญให้ตัวเองหรือยัง เราต้องรู้จักสละเวลาช่วงหนึ่งอย่างจริงจังไม่ไหลตามอารมณ์จนหย่อนความเพียร
    ผมทดลองมาก็มากมายหลายวิธี ทั้ง ภาวนา พุทโธ, พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ, จับลมหายใจเข้าออก, ยุบหนอพองหนอ, วิชาธรรมกาย ยังไม่เจอแนวที่ใช่สักที แบบที่ว่าทำแล้ว สงบ เย็น สบาย อย่างที่ได้ทราบๆมา
    ตอบ ตั้งใจให้ได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นก่อน องค์บริกรรม พุทโธ ถือว่าสั้นที่สุดแล้ว พยายามประคองจิตให้อยู่กับองค์ภาวนา โดยเอาแค่เวลาไม่ต้องมากก่อน ไม่ต้องคาดหวังเรื่องความสงบ เย็น สบาย ให้ประคองจิตให้เป็นก่อน ที่เหลือจะปรากฏให้ จขกท เอง

    ปัญหาของผมอีกอย่างคือว่า จิตผมมันจะเร็วมากในการวิ่งไปหาสิ่งอื่น นอกเหนือจากการภาวนา ตัวอย่างเช่น ภาวนาอยู่ คำภาวนาก็อยู่ในหัวไม่ขาดเลย แต่จิตกลับแยกไปคิดเรื่องอื่น ทั้งๆที่คำภาวนายังอยู่ในหัว
    ตอบ อันนี้เรียกว่ายังไม่มั่นคงต่อการภาวนา เป็นการแยกประสาทสัมผัสในการทำงาน
    สงบไม่ได้น่ะ ให้ดูำคตอบเบื้องต้นก่อน



    ผมรู้สึกเหนื่อยกับการปฏิบัติมากๆ ที่ตัวเองไม่ไปถึงไหนสักที ยังไม่พบไม่เจอครูบาอาจารย์ที่แนะให้ แก้ไขปัญหานี้ได้เลย แต่ก็ยังไม่ท้อนะครับ ทำมันต่อ แม้จะไม่ได้พบเจอความสงบ แต่ก็อยากทำ
    ตอบ อนุโมทนาด้วยค่ะที่ไม่ท้อ ขอให้ทำอย่างต่องเนื่อง ไม่เสาร์นอน อาทิตย์ถอน จัทร์ ลา ตั้งใจให้แน่วแน่สักทีมันต้องดีซิน่า

    คำถามครับ
    1. การภาวนาของผมที่ทำมา มันเกิดบุญกุศลบ้างไหมครับ เพราะจิตไม่สงบ
    2. ถ้าผมแค่นั่งเฉยๆ แบบเอาจิตคอยสำรวจดูว่า แขน อยู่ตรงนี้ ขาอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ สำรวจไปทั่วร่างกาย เพื่อหางานให้จิตทำ ผมจะได้บุญไหมครับ
    3. การนั่งนิ่งๆ แล้วไม่คิดอะไรเลย(ถ้าทำได้) เป็นบุญกุศลไหมครับ
    4. ยินดีรับคำแนะนำถึงแนวทางที่น่าจะเหมาะสมหับผมนะครับ

    บุญกุศลเกิดตอนที่คุณตั้งใจทำแล้ว ก็เหมือนบาปเกิดตั้งแต่คุณเจตนา ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ
    ถ้าไม่คิดอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรเลยเช่นกัน การปฏิบัติไม่เน้นที่ความคิด เน้นสติ ตัวรู้ตามเหตุแห่งความเป็นจริงค่ะ
    ไม่รู้ที่กล่าวมาทั้งหมด จขกท เข้าใจหรือเปล่า ทาน ศีล ภาวนา ควรรักษาให้ครบ เป็นกำลัง และปัจจัย ในการประฏิบัติค่ะ
     
  13. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เราจะกล่าวเวทนาอย่างนี้

    เวทนาเป็นทุกข์ที่หยาบที่สุด รุนแรงที่สุด รู้ได้ง่ายที่สุด

    รู้ ความเจ็บ เหน็บชา ที่ขานั้น เป็นบัญญัติ

    อัตตา ความหลงว่า ขากู เจ็บกู

    ใช้ตาปัญญาหาสภาวะนั้น แล้วพิจารณาลงไปที่จุดนั้นๆ

    ให้เห็นอาการ ตอด ดัน เย็น ซาบซ่าน หรือร้อน

    ว่ามันเปลี่ยนรูปไหม เกิดดับอยู่ใช่ไหม

    พิจารณารู้เข้าไปอีก สภาวะนั้น เกิดที่กาย หรือทุกข์ เร่าร้อน รู้ที่เวทนา หรือรู้ที่จิต

    สิ่งที่ทนได้ยาก นั้นเกิดที่ไหน มันดับไปอย่างไร

    ห้ามให้เจ็บได้ไหม ให้น้อมไปดูที่สภาพวะนั้นๆ

    ให้อ่านพอเข้าใจ และเข้าไปรู้เอาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  14. pearl8

    pearl8 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +154
    ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำสิ่งดีๆ ให้ใด้อ่านค่ะ ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
  15. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    ถ้าเป็นผมจะเริ่มจากการนับลมหายใจครับ ง่ายสุดๆ โดยหายใจเข้า-ออกนับ 1
    หายใจเข้า- ออก 2 ไปเรื่อยๆแบบนี้จนถึง 10 ครับ แล้วก็เริ่มใหม่1-10 ,1-10
    โดยแรกๆ ถ้าเรานับอยู่ได้แค่3 ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ ทำไปเรื่อยๆ วันล่ะนิดวันล่ะหน่อย
    เดี๋ยวมันก็ได้ครับ เหมือนที่หลวงพ่อบอกว่า น้ำมันหยดลงบนหิน หยดทุกวันๆ วันล่ะน้อยๆ
    หินมันยังกร่อนได้เลยครับ ขอให้พยายามไปเรื่อยๆนะครับ อย่าท้อครับ ทำให้จริง
    เเวลาหนึ่งเดือนผมว่านับได้มากกว่า10 แน่นอนครับ
     
  16. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ

    ทำแล้วต้องดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
    ถ้าทำแล้วไม่ดี ไม่ทำจะไปเหลืออะไร

    ชนมันเข้าไป

    1-2-3-4=ความสงบของจิตเป็นบุญ
    การอยู่เหนือบุญและบาป เป็นความสงบของจิตโดยแท้
     
  17. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    เราแนะนำ หลวงพ่อองค์นึงชื่อ พระอาจารย์สุทัศน์ อยู่ที่วัดกระโจมทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
    เวลาเรากลับไปไทย ก็จะต้องไปกราบท่าน ตอนแรกที่เห็นรูปท่านสมัยที่บวชใหม่ๆ ก็เกิดความสงสัย
    ด้วยบุคลิกและหน้าตาท่าน เรียกได้ว่าหล่อเข้าขั้นพระเอกหนังเลย ปากเราก็เร็วเท่าความคิด ก็เลย
    ถามท่านว่า บวชมากี่พรรษาคะ.. ทำไมถึงบวชคะ.. ท่านก็ยิ้มและเมตตาตอบว่าเวลาที่ท่านได้ยินเสียง
    เด็กร้องให้ จะทำให้เกิดเจ็บปวดเหมือนถูกกรีดด้วยมีด ท่านต้องหลีกให้ไกลจนกว่าจะไม่ได้ยินเสียง
    ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ท่านคิดว่า ถ้าเราแต่งงานมีลูกแล้วถ้าลูกเราร้อง แล้วท่านจะหนีหรือจะเข้าไปอุ้ม
    ท่านก็บอกว่า ได้รับคำตอบมาทันทีเลยว่า ท่านต้องหนี ท่านก็คิดว่าถ้าเราทำอย่างนั้น ใครๆเค้าก็จะหาว่า
    เราบ้า เมื่อท่านพิจารณาแล้วท่านก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ขอแต่งงานเด็ดขาด ท่านบวชตั้งแต่ปี พ.ศ.2502
    จนถึงณ ปัจจุบัน ตอนที่เราไปถวายผ้าไตร กับท่านที่วัด พอถวายเสร็จท่านให้พรเสร็จท่านก็นิ่งไม่พูดเลย
    แต่เนื่องจากความกล้า (หรือความหน้าด้านของเราก้ไม่ทราบ)ก็สอบถามเรื่องที่ท่านบวชเนี่ยแหละ
    และก็สอบถามเรื่องการนั่งสมาธิ ท่านก็เมตตาตอบให้ หกเดือนถัดมาเราก็ไปกราบท่านอีก ก็มีเรื่องติดขัดที่นั่ง
    แล้วไม่ค่อยนิ่งเหมือนกัน ท่านก็แนะให้กลั้นหายใจสักคู่ ถ้ายังไม่นิ่งก็ให้ตามดูมัน พอเราตั้งท่าจะถามต่อ ท่านก็บอกว่า เอาลองไปทำดูก่อน ขอแนะนำว่าถ้าจะไปหาท่านต้องตั้งใจไปถามจริงๆ อย่ารอให้ท่านถามนะ เพราะท่านจะไม่พูดไม่ถามนอกจากให้พร ลองไปดูดิท่านสอนดี แต่ของเราก็จะใช้พุทโธเนี่ยแหละ ก็จะมีแวบบ่อย
    ก็จะมีหลายวิธีที่ทำให้มันนิ่ง ใช้วิธีเดียวเดิมๆไม่ได้ เหมือนจิตมันจะรู้ทัน พอมันนิ่งก็กลับมาภาวนาพุทโธเหมือนเดิม ช่วงหลังพอจะนิ่งได้ดีขึ้นก็เลยไม่ต้องหาวิธีเพิ่ม ไม่รู้ถูกหรือเปล่า
    แต่ก็พอใช้ได้อยู่นะ ลองเอาไปทำดูดิ...
     
  18. underpaper

    underpaper Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +47
    สาธุ สำหรับความรู้ดีๆๆที่ให้ผมได้อ่านครับ
    ขอบคุณครับ
     
  19. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,655
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    ถึงคุณ alternative ถ้ายิ่งอยากให้สงบ จิตมันจะไม่สงบครับ ต้องปล่อยไปครับ เขาคิดอะไร ช่างเขา เราจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกพุทโธพอครับ อ่านตามกระทู้ข้างล่างนี้เเล้วกันครับคุณ alternative อ่านเเล้วนําไปปฎิบัติ ยังไงต้องทําได้เเน่นอนครับ ขอให้ปฎิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอนในกระทู้ที่ให้มาเเล้วกันครับ เจริญในธรรมครับ

    วิธีนั่งสมาธิขั้นเบื้องต้นของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=420

    อุปสรรคและวิธีแก้ไขในการทำสมาธิ

    http://palungjit.org/threads/อุปสรรคและวิธีแก้ไขในการทำสมาธิ.217531/

    สาเหตุที่ผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาเป็นโรคประสาทหรือเสียสติและวิธีแก้ไข

    http://palungjit.org/threads/สาเหตุ...-เป็นโรคประสาทหรือเสียสติ-และวิธีแก้ไข.66451/
     
  20. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    อนุโมทนาบุญกับทุก่านที่มีเจตนาดีซึ่งกันและกัน

    สิ่งที่ท่านเจ้าของกระทู้เล่ามา ถือว่าเป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญกับอิทธิบาท๔ ที่ตั้งไว้

    และสงสัยว่าตนจะได้บุญกุศลหรือไม่ ?

    สำหรับประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ บุญ หรือบาปนี้คืออะไร

    บุญ คือ พลังงาน ที่มาจาก 2 ทาง คือ
    1. บุญจากตัวเจ้าของเองที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ ปีติ สุข ที่เกิดขึ้น จะด้วยให้ทาน รักษาศีล หรือ ปีติสุขจากสมาธิ ซึ่ง ปีติสุขจาก สมาธินี่เป็นบุญมากสุด
    2. บุญจากการได้รับ พลังงบุญจากจิต ดวงอื่นที่มีพลังบุญมากๆ เช่น พระอริยะ พระที่ออกจากฌานสมาบัติ หรือพลังบุญจากหมู่มหาชนที่กำหนดรวมกันแผ่ไปให้ที่เรียกว่าแผ่เมตตาจิต

    บาป คือ พลังงาน ที่มาจาก 2 ทางเช่นกัน
    1. พลังบาปที่เกิดจาก อารมณ์ โลภ โกรธ หลงของตัวเจ้าของเอง เมื่อมันโกรธมาก พลังบาปก็แผ่มามาก เมื่อความโลภอยากได้มาก พลังบาปแห่งความโลภก็มาก ฯลฯ
    2. พลังบาป จากจิตดวงอื่นที่แผ่มาให้จากการไปทำร้ายเขา ไป ลักของๆเขา ไปผิดลูกผิดเมียเขา ไปโกหกเขา สำหรับการเสพสุราแล้ว มันนำมาสู่การกระทำทั้งสี่อย่างได้อย่างง่ายดาย

    จากที่ท่านถามไว้ ขอตอบว่า หากท่านเกิดอารมณ์แห่งปีติ สุข จะด้วยให้ทาน รักษาศีล หรือปีติสุขจากสมาธิ(เริ่มสมาธิขั้นกลาง )เป็นบุญทั้งสิ้นครับ

    เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...