นิพพาน กับ ศีล ๕

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Phuket, 4 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    ๑. นิพพาน สำหรับประชาชนทั่วไป คือต้องละศีล ๕ ให้ได้ก่อน เมื่อละกิเลส สงบได้แล้ว ก็เข้าสู่นิพพานได้หรือไม่ และที่ได้อ่านมาจากเว็บต่างๆ นิพพานเป็นฆราวาสอยู่ต้องไปบวชโกนผมก่อนถึงจะได้เรียกว่าการนิพพานที่ถูกต้องหรือไม่

    ๒.ศีล ๕ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม่ชี ในเรื่องการถือศีล ๕ เมื่อมีโยมทั้งหลายมาถวายภัตตาหารหรือตักบาตรโดยมีเนื้อสัตว์ด้วยก็ต้องฉัน ปฏิเสธไม่ได้ แต่เคยบวชมาแล้วก็ได้อ่านไปเจอเนื้อสัตว์ 10 ชนิด ห้ามฉัน จึงอยากจะทราบว่า พระที่ถือศีลเคร่งครัดในศีล ๕ ด้วยนั้น ทานเนื้อสัตว์หรือไม่

    ----------------------------------------------------------
    ถามรวมทั้ง ๒ ข้อ

    ต้องการนิพพาน ให้ถือศีล ๕ ให้เคร่งครัดก่อน ละกิเลสจิตใจสงบลงได้ และในการถือศีล ๕ เราทานมังสวิรัติได้ โดยมีไข่ไก่ด้วย บาปหรือไม่ เพราะไข่ไก่ก็มีเลือดของแม่ไก่และน้ำคล่ำอยู่ด้วย ที่จะฟักเป็นตัวลูกไก่ และหรือมีคำถามสงสัยที่ว่า ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์หรือนิพพานไปแล้ว เมื่อต้องธุดงค์ไปในป่าหรือข้างทางถนน เมื่อถึงเวลาหิวแล้วเห็นลูกผลไม้ตกลงมาที่พื้นนั้นจะฉันได้หรือไม่ และที่เห็นๆกันที่ผ่านมาหรือจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า พระอรหันต์ทานเนื้อสัตว์หรือทานมังสวิรัติ และ้ถ้ามีญาติโยมมาถวายภัตตาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ด้วย โดยปฏิเสธไม่ได้แต่เลือกที่จะทานเฉพาะผักและน้ำได้หรือไม่

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    งง ไหมครับ ตอบเท่าที่ได้นะครับ

    ที่ผมบวชได้ ๑๔ วัน ไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งมากนัก
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คือกิเลศมันมีหลายระดับนะครับ ศีลนี่เอาไว้สำหรับตัดกิเลศอย่างหยาบ
    ที่มีผลให้ลงอบายภูมิ พวกนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน แบบนั้น
    ครับ กิเลศอย่างกลางดับด้วยสมาธิ กิเลศอย่างละเอียดดับด้วยปัญญาแต่
    ศีลนี่เป็นฐานของทั้งสมาธิและปัญญา คือถ้าเรารักษาศีลแล้วใจของเรา
    มันมีระเบียบก็เกิดสมาธิความสงบก็เกิดได้เร็วเมื่อสมาธิเกิดปัญญาก็เกิด
    ตามมา เมื่อปัญญเกิดก็เป็นปัจจัยให้การรักษาศีลและสมาธิให้มีกำลัง
    มากขึ้นไปอีก ทำให้เกิดศีลที่แปลว่าความปกติ คือเมื่อมีปัญญาแล้วย่อม
    ศีลเป็นปกติ ดังนั้นคนที่บรรลุธรรมหรือนิพพานแล้วก็ไม่ได้ทิ้งศีลไปแต่มี
    ศีลป็นปกติแทน ส่วนการที่ฆราวาสบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้อง
    บวชเพราะว่าถ้าไม่บวชต้องตายภายใน 7 วัน เพราะเพศฆราวาสนั้นไม่ใช่
    เพศสำหรับพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์อยู่ท่ามกลางฆราวาสแล้วผู้อื่นไม่รู้
    คงยุ่งด่าคำสองคำปากเบี้ยวแล้ว ยิ่งถ้ามีการเล่นหัวกันแบบเพื่อนอีก คงลง
    นรกไปเลย ต้องเป็นพระคือเพศที่คนให้ความเคารพ รอคนอื่นมาตอบข้อ 2
    แล้วกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  3. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    งั้นขอถามต่ออีกนิดนึงที่ได้อ่านๆมาว่า เมื่อเรานิพพานไปแล้ว เราไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ใช่หรือไม่ครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ครับไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วครับ
     
  5. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    ไปเจอมาที่ว่า " ฆารวาสที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว หรือถึงสภาวะนิพพานแล้ว ถ้าไม่บวชจะตายในเจ็ดวัน " ไม่เป็นความจริง

    ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีฆารวาสที่ถึงสภาวะนิพพานแล้ว และยังเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งที่ยังเป็นฆารวาส และยังมีชีวิตอยู่ สภาวะนิพพานนั้นเป็นการเข้าใจและเข้าถึงด้วยจิต ไม่ได้ทำให้ร่างกายแตกดับแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าผู้ที่ถึงสภาวะนี้แล้ว จะต้องการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่สอดคล้องกับความสงบภายใน อาจจะอยากอยู่ในที่ๆสงบมากกว่า ต้องการความเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องการหาทรัพย์ อยู่เพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพื่อศาสนา
     
  6. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ๑.นิพพาน สำหรับประชาชนทั่วไป คือต้องละศีล ๕ ให้ได้ก่อน เมื่อละกิเลส สงบได้แล้ว ก็เข้าสู่นิพพานได้หรือไม่ และที่ได้อ่านมาจากเว็บต่างๆ นิพพานเป็นฆราวาสอยู่ต้องไปบวชโกนผมก่อนถึงจะได้เรียกว่าการนิพพานที่ถูกต้องหรือไม่

    ผมอ่านคำว่า "ต้องละศีล 5 ให้ได้ก่อน" แล้วงง ไม่แน่ใจว่าคุณเข้าใจอย่างไร หรือพิมพ์ผิด ? แต่ขอบอกก่อนว่าศีล 5 เป็นพื้นฐานของการก้าวไปสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระหรือฆราวาสที่ต้องการพระนิพพาน ก็ต้องมีศีล 5 ประจำใจ ไม่ใช่ไปละศีล 5

    ๒.ศีล ๕ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม่ชี ในเรื่องการถือศีล ๕ เมื่อมีโยมทั้งหลายมาถวายภัตตาหารหรือตักบาตรโดยมีเนื้อสัตว์ด้วยก็ต้องฉัน ปฏิเสธไม่ได้ แต่เคยบวชมาแล้วก็ได้อ่านไปเจอเนื้อสัตว์ 10 ชนิด ห้ามฉัน จึงอยากจะทราบว่า พระที่ถือศีลเคร่งครัดในศีล ๕ ด้วยนั้น ทานเนื้อสัตว์หรือไม่

    ตอบได้เลยว่าฉัน (ฉัน ในที่นี้เป็นศัพท์ที่หมายถึง พระรับประทานอาหาร) เพราะถ้าเนื้อสัตว์นั้นไม่เป็นเนื้อต้องห้าม 10 ชนิด ก็สามารถฉันได้ แต่จะมีพระบางรูปที่ท่านฉันมังสวิรัติทั้งชีวิต ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลส่วนตัวของท่าน

    ----------------------------------------------------------
    ถามรวมทั้ง ๒ ข้อ

    ต้องการนิพพาน ให้ถือศีล ๕ ให้เคร่งครัดก่อน ละกิเลสจิตใจสงบลงได้ และในการถือศีล ๕ เราทานมังสวิรัติได้ โดยมีไข่ไก่ด้วย บาปหรือไม่ เพราะไข่ไก่ก็มีเลือดของแม่ไก่และน้ำคล่ำอยู่ด้วย ที่จะฟักเป็นตัวลูกไก่

    ไม่บาป เพราะไข่ไก่ยังไม่ได้ฟัักเป็นลูกไก่ การคิดว่าไข่ไก่มีเลือดของแม่ไก่และน้ำคล่ำอยู่ด้วย การกินไข่ก็เลยบาป เป็นการคิดเกินกว่าเหตุ

    และหรือมีคำถามสงสัยที่ว่า ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์หรือนิพพานไปแล้ว เมื่อต้องธุดงค์ไปในป่าหรือข้างทางถนน เมื่อถึงเวลาหิวแล้วเห็นลูกผลไม้ตกลงมาที่พื้นนั้นจะฉันได้หรือไม่

    ข้อนี้ต้องรอให้พระท่านมาตอบ

    และที่เห็นๆกันที่ผ่านมาหรือจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า พระอรหันต์ทานเนื้อสัตว์หรือทานมังสวิรัติ และ้ถ้ามีญาติโยมมาถวายภัตตาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ด้วย โดยปฏิเสธไม่ได้แต่เลือกที่จะทานเฉพาะผักและน้ำได้หรือไม่

    ถ้าสงสัยหรือรู้เห็นว่าญาติโยมฆ่าสัตว์นั้น มาทำเป็นอาหารเพื่อถวายตนโดยเฉพาะ ท่านก็มีสิทธิที่จะไม่ฉัน ข้อนี้ก็ต้องให้พระท่านที่เป็นสมาชิกเวบนี้มายืนยันอีกทางหนึ่ง
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เรื่องบางเรื่องนั้น ก็ควรถาม เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรถาม

    และแม้เป็นเรื่องที่ควรถาม ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า เราถามถูกคนหรือเปล่า เราถามถูกกาลหรือเปล่า


    เรื่องพระนิพพานที่เจ้าของกระทู้สนใจถามนั้น โดยหลักการทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งดี เพราะแสดงว่าเจ้าของกระทู้ปรารถนาพระนิพพาน ส่วนเรื่องสภาวะการบรรลุว่าสามารถบรรลุในขณะที่เป็นฆราวาสหรือไม่นั้น ไม่ควรถาม เพราะเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ถามตอนนี้ก็ฟุ้งซ่าน (ขอโทษ ที่ใช้คำอย่างนี้) สู้เราเร่งสร้างบารมีของเราให้เต็มดีกว่า ...... ถึงเวลา เราก็รู้ของเราเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก จิตมันจะเกิดความสว่าง มันจะเกิดปิ๊งขึ้นมาทันทีว่า อ๋อ ที่ใครๆเค้าว่าธรรมะข้อนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สภาวะธรรมข้อไหนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วเราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเป็นอย่างไร ...................................
     
  8. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    อ่อ เข้าใจแล้วครับ สิ่งที่ไม่ควรถามแล้วเราจะรู้ไปทำไม นั้นสิเราควรรักษาศีลให้ได้ก่อน ศีล ๕ พึงปฏิบัติตามพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวเอาไว้

    งั้นเืรื่องการทานเนื้อสัตว์ก็เป็นไปตามนั้น แต่ในเมื่อร่างกายเราโสโครก มีแต่สิ่งเน่าๆอยุ่ในร่างกาย ล้วนแล้วสกปรกทั้งสิ้น เป็นเหตุผลส่วนตัวในการรับประทานอาหาร

    เข้าใจตามนี้

    และที่ได้อ่านมาในเว็บไซด์บางเว็บไซด์ที่ว่า การที่ยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น บางครั้งเราต้องการที่เงียบสงบในป่านั่งสมาํธิภาวนา บ้างก็ถูกเจ้าของที่ขับไล่หรือไม่ก็ถูกบรรดาญาติๆพี่น้องในครอบครัว ใ้ห้ออกจากสถานที่นั้นมาสืบทอดเจตนารมณ์ของทางครอบครัวต่อไป แต่ถ้าอยุ่ในชีวิตนักบวชชายผ้าเหลืองแล้ว ก็ยากที่จะถูกเพื่อนพี่น้องญาติครอบครัว ที่จะดึงเราไปออกจากสถานที่นั้นได้ ถ้าเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าจิตเราไม่สงบหรือว่ากิเลสเรายังมีอยู่ ยังมีความกังวลอยู่เราถึงไปนิพพานไม่ได้หรือไม่ครับ
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ผมเข้าใจว่าอยู่กับญาติพี่น้องก็บรรลธรรมได้นะ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าบอกเอง
    ตอนพระพุทธองค์โปรดพระบิดา ก็โดนพระนางยโสธราถามว่าการที่จะบรรลุ
    ธรรมทำที่ปราสาทนี่ไม่ได้หรือทำไมต้องหนีไปด้วย พระพุทธองค์ก็ตอบว่าทำ
    ได้ แต่ผมว่ามันน่าจะลำบากเพราะมันไม่สงบหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกันแต่
    เรื่องที่ฆราวาสบรรลุธรรมแล้วไม่ต้องตายภายใน 7 วันผมยังไม่ค่อยเชื่อ พอจะ
    มีที่มาให้ผมอ่านหรือเปล้าครับ จะขอบคุณมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  10. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    ที่ผมอ่านๆมาก็ได้ครับ แต่ที่ถามเพื่อความแน่ใจ แต่ผมคิดก่อนถามกระทู้นี้ว่า " ถ้าจะดับทุกข์เพื่อหนทางสู่นิพพานภายในบ้านเมืองก็ได้ไม่ต้องเข้าป่า แต่ว่าความสงบหายาก ดั้งที่ผมได้ดูชีวประวัติของหลวงปู่มั่วหรือหลวงปู่ขาว นี่แหละ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ท่านว่าเราต้องการความสงบไปอยุ่ในป่าจะดีกว่า บ้านเมืองวุ่นวาย ยากที่จะไปนิพพานได้ "

    ก็เหมือนที่ผมต้องการที่จะไปนิพพาน ผมจึงต้องอยากรู้ว่าการนิพพานแล้วต้องไปบวชเป็นพระเพื่อหาความสงบจะดีกว่าไหม แต่ก็จะต้องศึกษาพระธรรมไปด้วย ไม่ใช่คิดแต่ไปนิพพานอย่างเดียว

    http://www.wimoke.net/index.php?option=com_content&view=article&id=33&Itemid=29 << นี่เลยครับ " ฆารวาสที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว หรือถึงสภาวะนิพพานแล้ว ถ้าไม่บวชจะตายในเจ็ดวัน "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  11. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    การบวชเป็นพระย่อมหวังผลของการปฏิบัติคือปฏิเวธง่ายกว่าคนธรรมดาอยู่แล้วครับ
    เพราะกิจของพระนั้นเป็นไตรสิกขาล้วนๆ ศีล สมาธิ ปัญญา และจุดมุ่งหมายคือวิมุติ
    หลุดพ้น แต่ถ้านิพพานแล้วมันอยู่ไหนก็ได้ครับ ถ้าเป็นพระก็ต้องโปรดสรรพสัตว์ไม่
    เลือก พอเป็นพระอรหันต์แล้ว ทุกข์มันไม่มีเหลือแล้วทำอะไรก็ไม่ทุกข์
     
  12. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    แล้วถ้าเป็นฆราวาสนี่จะวุ่นวายมากกว่าพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดในป่า ฆราวาสนั่งทำสมาธิภาวนาศีล พยายามดับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในตัวจิตใจเองแล้วนั้น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ทุกๆวันหรือวันละครั้งนานเป็นชั่วโมงนี่ เรามีโอกาสที่จะนิพพาน พ้นจากเป็นทุกข์ได้เร็วหรือช้ากว่าขึ้นอยู่กับตัวเราหรือไม่
     
  13. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    มันก็ไม่แน่หรอกครับ ถ้าอยู่แต่กับความสงบอย่างเดียว ไม่เจอความวุ่นวายเลย
    มันก้ไม่แน่ว่าจะตัดกิเลศแล้ว ถ้าต้องมีเงื่อนไขแบบว่าต้องเป็นสถานทีสงบเท่า
    นั้นก็ยังไม่เรียกว่าดับกิเลศ ถ้าเปลี่ยนจากที่สงบเป็นที่วุ่นวายแล้วทุกข์แบบนี้มัน
    ก้ไม่ต่างอะไรกับคนที่ชอบอยู่เป็นหมู่ ชอบคนเยอะๆ แต่ไม่ชอบอยู่คนเดียว คือมี
    กิเลศเหลืออยู่ แต่มันมีสิ่งที่เกี่ยวกับการบรรลุธรรมที่น่ารู้นะครับ ว่ามันเป็นการ
    เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันไม่ใช่การบรรลุธรรม 1 ส่วน บรรลุ 2 ส่วน แบบนั้นครับ
    มีท่านหนึ่งท่านเปรียบเทียบกับผู้บรรลุธรรมเหมือนกับน้ำที่ระเหย เวลาต้มน้ำ น้ำ
    มันจะเดือดไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งมันระเหยหมดเลยทันที รวดเร็วแบบนั้นครับ
    การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกวันเหมือนกับสะสมความร้อนให้น้ำมันระเหยไปคือเพิ่ม
    ความร้อนขึ้นทีละนิด ทีละนิดได้ แต่การบรรลุธรรมมันเกิดอย่างรวดเร็วไม่ได้เกิดขึ้น
    ทีละน้อยเลย บางคนเกิดง่าย บางคนเกิดยาก แต่ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ เกิดแน่ครับ
     
  14. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    แต่ที่อ่านๆดูๆจากเว็บต่างๆที่บอกกับเรื่องการปฏิบัตินิพพานนั้น มีขั้นตอนที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก หรืออาจเป็นเพราะเราไม่เคยปฏิบัติมาก่อน จึงทำให้ยุ่งยากสำหรับเรา ดั้งตามภาพที่ได้โพสไว้นั้นก็ห้ามข้ามขั้นตอน แต่เราก็ข้ามขั้นตอนไปแล้วนิดหน่อย อย่างต่ำสุดเรานึกถึงพระรัตนตรัย แต่ที่ผ่านมาเราจะนับถือเทพเจ้าจีนมากกว่า เพราะเราโตมากับสิ่งเหล่านี้ แต่ในเมื่อเราต้องการไปนิพพานเราเลยต้องทำตามรูปด้านบนนั้น พยายามจะไม่ข้ามขั้นตอน เช่น รูป รส กลิ่น เสียง อารมณ์ โมหะ มุสา กาม เป็นต้น เราต้องระงับให้ได้ จากที่เคยโต้แย้งคำสอนพระพุทธเจ้านิดหน่อย แต่ก็ไม่ลบหลู่ ปรามาสคำสอนพระพุทธเจ้า แต่เมื่อได้อ่านพระไตรปิฏกแล้วก็ทำให้เข้าใจว่าในสิ่งที่โต้แย้งนั้นล้วนไม่เป็นจริง เพราะเอาความคิดตนเอง ปัจจุบันก็ใช้หลักคำสอนในพระไตรปิฏกซะมากกว่า

    พระไตรปิฏก ฉบับผู้ไฝ่ธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  15. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนาครับ วิธีการหรือขั้นตอนที่ยุ่งยากทั้งหลายนั้นก็เพื่อการที่เราจะบรรลุวัตถุ
    ประสงค์ต่างๆ ไม่ใช่ให้เรายึดติดกับวิธีการ พระพุทธองค์ท่านเปรียบวิธีการเหมือนเรือ
    เมื่อเราต้องการที่จะข้ามฟากเราก็นั่งเรือข้ามไปแต่เมื่อถึงอีกฝั่งเราก็ไม่ได้แบกเรือ
    แล้วเดินต่อไปแบบนั้นครับ คือถ้าเราถึงจุดมุ่งหมายแล้วเราก็ทิ้งวิธีการไปก็ได้ครับ
    หรือเปรียบอีกอย่างเรามีหนามตำอยู่ วิธีการก็เหมือนหนามอีกอันที่เอามาบ่งอันที่
    เราตำ เมื่อเราบ่งเอาหนามออกแล้ว เราก็ไม่เอาอันใหม่ใส่เข้าไปแทนใช่ไหมครับ
    เราก็ทิ้งไปทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทุกคนต้องผ่านก็คือวงจรนี้ ทุกข์ ศรัทธา ปราโมทย์ ปิติ
    ปัสสัทธิ สุข ... นิพพาน คือเราจะเริ่มจากทุกข์ก่อนก็ได้เพราะทุกขืทำให้เกิดศรัทธา
    คือเรามีทุกข์ก็หันหน้าเข้าวัดมีศรัทธาแบบนี้ก็ได้ หรือเราจะเริ่มจากศรัทธาก่อนก็ได้
    เมื่อเรายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึงก็มีศรัทธาในพระ ศรัทธาก็ทำให้เกิด ปราโมทย์ต่อไป
    แบบนี้ก็ได้
     
  16. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    ขอบคุณครับ เท่าที่เราทำได้ก่อน ก็เหมือนกับชีวิตต้องเหนื่อยลำบากก่อนแล้วจะพาไปสู่ทางสบาย
     
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369


    กว่าจะตอบข้อนี้ของคุณได้ มีอุปสรรคเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ของผม ใช้เวลานานหลายชั่วโมงเชียว สงสัยคงได้เวลาเปลี่ยนไส้ในใหม่แล้ว

    ที่คุณถามว่าถ้ายังมีความกังวลอยู่ ก็ไปนิพพานไม่ได้ใช่ไหม คำตอบคือใช่ เพราะความกังวลนี่แหละจะทำให้ต่อภพเกิดชาติต่อไปอีก

    อุปมาเหมือนคุณเห็นเชือกควั่นขึงตึงอยู่ข้างหน้า ถ้าคุณมีดาบเล่มใหญ่อยู่ในมือ คมกริบ และคุณก็มีกำลังแรงพอ คุณก็ฟันฉับลงไปครั้งเดียว ฟันอย่างเต็มแรง ฟันอย่างไม่ลังเล ชาติภพก็สิ้นลง

    แต่ถ้าคุณค่อยๆเถือ เพราะรีๆรอๆ หรือไม่มีกำลังแรงพอ หรือดาบไม่คม กว่าเชือกจะขาดก็อีกนาน ความกังวลหรือความห่วงใยก็เหมือนกับคุณยังไม่พร้อมนั่นแหละ ถ้าพร้อม "ต้องตัดได้" !
     
  18. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ต้องขอบอกว่าสมณเพศ เป็นทางที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้คุณสมปรารถนา ข้อนี้ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์มีบารมีมากมายขนาดไหน แล้วทำไมพระองค์ทรงออกผนวช ทำไมพระองค์ไม่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะที่ครองเพศฆราวาส พระอัครสาวก ทั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลาห์ก็เช่นกัน หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวก็เช่นกัน ล้วนออกบวช นี่....ขอให้ดูแบบอย่างไว้ เราต้องรู้จักสังเกต รู้จักคิด

    อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ยังไม่ถึงเวลาบวช ในขณะที่เรายังเป็นฆราวาส เราก็ศึกษาธรรม สร้างบารมีไปได้ เค้าเรียกว่าเป็นการปฏิบัติก่อนบวช และเมื่อบวชแล้ว เราก็จะไปได้เร็วกว่า คนที่ไม่เคยฝึก ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน แล้วไปบวช

    ทั้งนี้เ็ป็นเพราะบุญเก่ากับบุญใหม่มารวมกัน บุญเก่าก็คือ บุญบารมีตลอดจนความเข้าใจในธรรมในขณะที่เราสั่งสมตอนเป็นฆราวาสนี่แหละ มาบวกกับบุญใหม่ ก็คือ บุญที่เกิดจากการบวช ซึ่งบุญที่เกิดจากการบวชนี่เป็นบุญใหญ่มากนะครับ

    คิดดูซิว่า การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ยากเย็นขนาดไหน เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มาเกิดในประเทศที่ศาสนาพุทธรุ่งเรือง และแม้มาเกิดในศาสนาพุทธรุ่งเรือง ก็ไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นผู้ชาย และแม้ว่าเกิดเป็นผู้ชาย ก็ไม่แน่ว่าจะต้องฝักใฝ่ในศาสนาพุทธ และแม้ว่าฝักใฝ่ในศาสนาพุทธ ก็ไม่แน่ว่าจะได้บวชเสมอไป

    นี่แหละ เค้าถึงบอกว่า เรื่องบวชเป็นของหนัก เป็นของสูง และ้ถ้าใครบวชไปแล้ว ไม่ปฏิบัติตัวดีๆ ก็จะเจอกรรมหนักเหมือนกัน.....
     
  19. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการสั่งสมบารมี บารมีเต็มเมื่อไหร่ ก็ไปเมื่อนั้น ส่วนจะไปตอนเป็นพระหรือเป็นฆราวาสนั้น ผมไม่สามารถบอกให้ใครได้ แต่ขอให้สังเกตอย่างหนึ่งว่า ทำไมผู้ที่ไปพระนิพพาน ถึงหลุดจากบุญและบาป ก็เพราะบุญของท่านผู้นั้นเต็มแล้ว เต็ม ก็ไม่พร่อง และก็จะไม่เกินนั้น บาปแทรกไม่ได้ มีแต่บุญ แต่ก็ไม่ต้องทำบุญเพิ่มแล้ว เพราะบุญบารมีเต็มแล้ว
     
  20. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    จิตของคุณใฝ่ดีนะ และเป็นการปรารถนาความดีขั้นสูงสุดในทางพุทธศาสนา และคำถามของคุณเป็นการถามเพราะอยากรู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และก็ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ผมพยายามตอบคุณเท่าที่จะตอบได้

    เรื่องนิพพานนี่จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย....ทำไมผมถึงกล่าวอย่างนี้ ข้อนี้คุณต้องไปทำความเข้าใจเอง

    แต่ขอให้จำหลักของทางศาสนาพุทธไว้ว่า ถ้าคุณจะไปนิพพานได้ คุณต้องวางให้หมด เมื่อปล่อยวางหมด ก็เบา เมื่อเบา ก็หลุด.....

    จะวางให้หมด ก็ต้องค่อยๆหัดวาง วางลงทีละอย่าง วางลงทีละเรื่อง ผ่านภพผ่านชาติ จนในที่สุดคุณก็วางหมด เมื่อถึงเวลาที่....คุณบารมีเต็ม แล้วชาตินั้นแหละคุณจะสมปรารถนา !
     

แชร์หน้านี้

Loading...