@@ อู่ทองถูกบูชาแล้วครับมีหลวงพ่อปานสวยๆจ้า @@

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 31 มกราคม 2011.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ........." บัญชีในการโอนและจองพระที่บูชา ".........
    - นาย กัณฐกะ ผดุงชอบ (เล็กทับน้ำ) 45 หมู่ที่ 4 ตำบททับน้ำ อำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา 13220

    - ธนาคาร ไทยพาณิชย์ 1222285288 สาขาถนนสิรินธร ออมทรัพย์

    (ตามชื่อและที่อยู่ที่ได้ลงทะเบียนไว้ครับ)
    บัญชีโอนมาจากต่างประเทศ

    MR.Kanthaka Padungchob
    siam Commercial Bankpublic Company Limited
    สาขา ถนนศิรินธร

    เลขบัญชี (account No) 1222285288

    swife code. SICATHBK

    - สนใจสอบถามบูชาได้ 0827893576

    รับประกันพระแท้ทุกๆสนามสากล หรือ ยันโลกแตกกันไป

    @@ หลวงปู่ทวด/ศุข/ทิม/กลิ่น/บุญ/หลวงพ่อปาน/เดิม/รุ่ง/พระกรุเครื่องรางดีๆๆ @@@
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2011
  2. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ลูกอมผงพรายกุมาร/ประคำผงพราย/ตะกรุดสาริกาคู่ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่

    [​IMG]


    [​IMG]


    พระผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม ของดีที่ใครก็อยากได้ไว้บูชา บางท่านมีแล้วก็อยากมีอีกหลายคนคงรู้สึกว่า * แพง * แพงสุดๆ ราคาขึ้นทุกพิมพ์ทุกอย่างทุกเวลา ต่อไปก็คงหมดสิทธิ์ที่จะได้บูชา ผมจึงอยากแนะนำให้หา ลูกอมผงพรายผงพราย - ลูกประคำผงพรายกุมาร - ตะกรุดสาริกา (เป็นตะกรุดที่ฝังหลังพระขุนแผนพิมพ์ใหญ่)
    สามชิ้นที่ต้องหา มาแขวนบูชากันครับ ราคาเบากว่ากันมากครับ ตามจริงแล้วลูกอมกลมๆที่ปั้นเป็นลูกกลมนั้นเพื่อที่นำมากดเป็นพระพิมพ์ขุนแผนลูกใหญ่ก็พิมพ์ใหญ่เล็กก็เป็นพิมพ์เล็กครับ ลูกที่กดกดไม่ทันก็จะแข็งนำไปกดพิมพ์ไม่ได้ก็กลายมาเป็น "ลูกอมผงพรายมหาภูติและลูกประคำ"

    การสร้างลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม ท่านศึกษาตำราที่ตกทอดมาจากหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของท่าน ผงพรายกุมารมหาภูติ สร้างจาก กะโหลกเด็กชาย ผีตายท้องกลม ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร โดยลูกศิษย์ที่หลวงปู่ครอบครูให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะไปสืบหาตามที่หลวงปู่บอกมา โดยที่มิได้กำหนดเวลามาก่อน ศพผีตายท้องกลมศพเด็ก พอได้ข่าวก็จะไปขอกับญาติศพเพื่อที่จะนำมาให้หลวงปู่ทำพิธีขอขมา และสะกดวิญญาณ หลังจากนั้นก็กำชับกับศิษย์ว่า อย่าเผาให้หมด เพื่อจะเก็บเอากะโหลกเด็ก ไปให้หลวงปู่ สร้างพระ เครื่องรางที่ท่านปลุกเสก มีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานเป็นที่สุด กล่าวกันว่าผู้ใดได้ครอบครองบูชา ผงพรายกุมารนับว่าเป็นของวิเศษขั้นสูง จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ประสบการณ์มีมากมายโดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด และโชคลาภ
    ไม่เป็นสองลองใคร

    พุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมมากๆครับ รับรองว่าไม่แตกต่างอะไรกันเลยกับพระพิมพ์ขุนแผนบูชาหลักแสนและล้าน ผู้ที่มีลูกอมลูกประคำตะกรุดสาริกาไว้บูชาย่อมทราบกันดีทุกๆท่านว่าได้ผลตามที่ต้องการ สำหรับท่านที่มีอยู่แล้วยังอาราธนาไม่เป็น ท่านที่ยังไม่มีแต่คิดว่าต่อไปคงจะได้มาบ้างสักลูก และท่านที่นับถือหลวงปู่ มาลองดูกันครับ

    วิธีอาราธนาลูกอมผงพราย (จากปากหลวงปู่ทิม)

    มีคนถามหลวงปูว่า " ลูกอมนี่ดีอย่างไร "
    หลวงปู่ตอบว่า " ไม่อยากจะบอก ตามแต่จะใช้ นี่ทำดีที่สุดแล้ว

    "เวลานำติดตัวให้ว่า" นะโมฯ 3 จบ แล้วต่อด้วยคาถานี้

    @@ สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ ๆ ๆ จงอยู่ใต้พุทธบารมี @@

    ว่าดังนี้แล้วนำติดตัวไปลูกอมจะมีอิทธิฤทธิ์แรงและเห็นผลเร็วครับ แต่จงเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ทิมและ ลูกอมประคำผงพราย-ประคำมหาภูติ ที่เรามีอยู่ อย่าลังเลสงสัย อย่าไขว้เขวแล้วจะบังเกิดผลอย่างแน่นอน ถ้าท่านอยากจะขอพรอะไรควรขอ "หลังเที่ยงคืน"


    จากที่ผมประสพมา ท่านใดที่มีของหลวงปู่ทิมบูชาแล้ว ก็ยังไม่พอที่จะหาเก็บตลอดไปถึงแม้ว่าราคาบูชาจะสูงขึ้นเท่าไรก็ตาม ทำให้เห็นว่าบูชาแล้ว ล่ำรวย ไม่หยุดเช่นกัน หาบูชากันนะครับ ชิ้นเดียวก็พอ


    หากันเถอะครับ ไม่จำเป็นต้องของผมขอให้เป็นของแท้ๆก็พอ ก่อนที่ราคาบูชาจะทะลุ ไปมากกว่านี้

    ที่ผมก็ไม่มีแล้วหาเข้าเหมือนกันครับ มีแต่พวกสั่งมายังหาไม่ได้เลยครับ

    แนะนำครับ

    การเช่าหาควรจะศึกษาเสียก่อน ไปหาดูของแท้ก่อนที่ร้านมีมาตฐาน ผงพรายหลวงปู่ดูไม่ยากครับดูง่ายมากๆ
    "คำเตือน" อย่าโลภเห็นของถูกแล้วใจกลับเสียด่ายเงิน ของดีของถูกไม่มีหรอกครับ สู้เถอะครับของแท้ไม่แพง

    หลวงปู่ทิม เราท่านย่อมทราบกันดีว่าท่าน สำเร็จอภิญญา ชั้นสูง พระที่สำเร็จอภิญญาชั้นสูงนั้นการที่บรรจุพุทธคุณย่อมเป็นไปตามที่ท่านอธิฐานจิตใว้

    ซึ่งชุดที่ผมนำมาให้ชมนั้นจะมีอยู่ในที่ พิพิธภัณฑ์ หลวงปู่ทิม ครับ


    สร้อยประคำ 108 ที่ท่านเห็นในภาพพิพิธภัณฑ์นั้นก่อนที่บริจากมานั้นมีคนให้ราคาบูชากันอยู่หลัก ล้าน บาทแต่เจ้าของไม่ขายให้ แต่นำมาบริจากให้ลูกหลานไว้ศึกษา เป็นพระคุณยิ่งๆ

    ขอขอบพระคุณภาพต่างๆจากพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่ทิม มาจากคุณ panda ขอบพระคุณครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]





    บารมีของหลวงปู่ทิม

    คัดลอกจากหนังสือที่ระลึก ฉลองหอฉัน และฉลองอายุครบ 8 รอบ
    พระครูภาวนาภิรัต (ทิม) วัดละหารไร่ ระยอง 10 มิ.ย.2518

    จากบันทึกของนายสาย แก้วสว่าง

    บิณฑบาตที่จ.ชลบุรี

    มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี อ.บางละมุง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ ได้มาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานนี้ผมเห็นหลวงปู่ทิม ไปบิณฑบาตอยู่ที่เมืองชล ผมจำได้เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะจำหลวงปู่ทิมได้ ผมก็ได้แต่นึกและก็ไม่กล้าตอบ แต่นึกว่าหลวงปู่ของเราจะเป็นไปได้หรือ ผมจึงเก็บเอาเนื้อความนี้ไว้แต่ในใจและก็คุยกันเรื่องอื่นต่อไป อยู่มาประมาณอีกสัก 10 กว่าวันก็มีคนเมืองชลมาเล่าให้ผมฟังอีก ก็เหมือนกับทีคนแรกเล่าให้ผมฟังทุกประการ ผมจึงลองถามหลวงตาที่เป็นขรัวรองอยู่ที่วัดดูและเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านตอบว่า อาตมาก็ไม่ทราบและไม่ได้สังเกตเพราะฉันจังหันต่างกัน แต่ก็ปรากฏท่านทีอาหารแปลกปะปนอยู่เสมอ แต่ก็อาจจะเป็นความจริงเพราะท่านเป็นพระที่สำเร็จญาณชั้นสูงอยู่แล้ว

    ยิงไม่ถูก

    มีชาวบ้านหนองละลอกคนหนึ่งชื่อ นายธง สุขเทศ หรือชาวบ้านละแวกนั้นมักเรียกว่า ปลัดธง บ้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านผมเท่าไรนัก หลังจากที่ผมกลับจากทำงานก็อาบน้ำจวนจะทานอาหาร เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ปลัดผู้นี้ก็เริ่มจะทานอาหารเหมือนกัน หยิบจานอาหารมาวางและมีลูกสาวอยู่ใกล้ๆ ผมก็กำลังทานอาหารอยู่ที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดขึ้น 2 จังหวะ 4 นัด แล้ว 3 นัดติดต่อกัน ปรากฏภายหลังว่าผู้ยิงพาดปืนกับขอบสังกะสีรั้วบ้านระยะประมาณ 4 เมตร แต่กระสุนมิได้ถูกนายธงเลย มีกระสุนไปถูกขาตั้งรถจักรยานทำให้สะเก็ดบินไปโดนเด็กลูกสาวที่ขาบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะอภินิหารเหรีญหลวงปู่ทิมรุ่นแรกซึ่งนายธงแขวนคออยู่เพียงเหรียญเดียว ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้ยิงใช้ปืนคาบิ้น 2 กระบอกเพราะเก็บปลอกกระสุนได้แน่ชัด

    ยิงไม่เข้า

    มีคนเดินทางมาจากเมืองชลเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนของเขาถูกยิงตอนเวลาหลังอาหารด้วววยปืนลูกซองถึง 9 นัด เสื้อขาดทะลุถึงผิวหนังไหม้เกรียมแต่ไม่เข้า ทั้งนี้ก็เพราะเขาได้ปลักขิกหลวงปู่ทิมกับลูกอมมาแขวนไว้เพียงไม่กี่วัน และเรื่องเท่าที่ผมเห็นมาเกี่ยวกับปลักขิกก็คือหลานของผมถูกสุนัขกัดจนเสื้อออกางเกงขาดเป็นริ้วรอย ถึงกับล้มลงนอนร้องไห้ เมื่อผมวิ่งไปช่วยปรากฏว่าไม่มีรอยเขี้ยวสุนัขเลย เด็กคนนั้นมีแต่เพียงปลักขิกของหลวงปู่ทิมแขวนอยู่ที่เอว 1 อันเท่านั้น

    น้ำมนต์เดือด

    เมื่อราว พ.ศ.2511 ที่วัดตะพงนอก อ.เมือง จ.ระยอง ได้มีพิธีปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังหลวงพ่อจันทร์ เจ้าอาวาสวัดตะพงนอก ในพิธีนี้ได้นิมนต์เกจิอาจารย์มาหลายรูปด้วยกัน และหลวงปู่ทิมก็ได้รับนิมนต์ด้วย หลังจากเริ่มพิธีปลุกเสก หลวงพ่อต่างๆ ก็ได้ทำการปลุกเสก และในพิธีนี้ อาจารย์รัตน์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดได้นำโอ่งใส่น้ำมนต์มาตั้งไว้ และนิมนต์หลวงปู่ทิมทำการปลุกเสกน้ำมนต์องค์เดียวท่ามกลางพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ปรากฏว่าน้ำมนต์ที่อยู่ในโอ่งใหญ่ครึ่งโอ่งพอหลวงปู่ลงมือปลุกเสกน้ำได้เดือดและค่อยๆ ทวีความสูงขึ้นท่ามกลางความอัศสสจรรย์ของผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอ่างมาก ปรากฏว่าหลวงจากพิธีแล้ว น้ำมนต์ได้ถูกชาวบ้านแย่งเอาไปจนหมดสิ้น

    แคล้วคลาด

    นายจำลองแห่งร้านทวีทรัพย์ ได้ชวนนายเพียรวิทย์ จารุสถิติ นายนิวัฒน์ ร้านรุ่งเรืองมิตร ได้ไปหาหลวงปู่ทิมเพื่อนมัสการท่าน ขากลับได้บูชาเหรียญ รูปถ่ายและปลักขิก กลับมาได้ครึ่งทางนายนิวัฒน์จึงชวนนายจำลองเพื่อขอลองของ ทั้ง 3 ก็ได้ทำการทดลองโดยทั้ง 3 นำเอาเครื่องรางดังกล่าวอาราธนาแล้วแขวนกิ่งต้นไม้ นายจำลองได้ใช้ปืน .22 ยิงในระยะห่างกันประมาณ 1 คืบ ปรากฏว่ายิงไม่ถูก นายนิวัฒน์จึงขอยิงบ้าง จ่อยิงปรากฏว่าไม่ถูกอีกเช่นกัน ทั้งคู่บอกว่าถ้าระยะนี้ยิงไม่ถูกก็ไม่ต้องใช้ปืนแล้ว เพราะทั้งคู่เป็นผู้ที่สนใจปืนอยู่แล้ว

    ถ่ายรูปหลวงปู่ไม่ติดถ้าไม่ขออนุญาต

    เมื่อคราวปลุกเสกของที่วัดพลา จังหวัดระยอง หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปนั่งปลุกเสกด้วย มีช่าวภาพหนังสือพิมพ์ไปถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาตจากหลวงปู่ก่อนปรากฏว่า กดชัตเตอร์เท่าไรๆ ชัตเตอร์ก็ไม่ทำงาน แต่พอนึกได้เข้าไปขออนุญาตก็ติดและได้ภาพที่ชัดเจนดี

    เสกตะกรุดใต้น้ำ

    คุณป้าอยู่ งามศรี บ้านอยู่ใกล้ๆ วัดละหารไร่และเป็นหลานของหลวงปู่ทิมได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยหลวงปู่ทิมอายุประมาณ 60-70 ปี เวลาท่านทำตะกรุดท่านจะลงไปทำใต้น้ำโดยถือตะกรุดแล้วเดินลุยน้ำลงไปจากศาลาหน้าวัด มีผู้เห็นกันหลายคน เมื่อหลวงปู่ทิมทำตะกรุดเสร็จเดินลุยน้ำขึ้นมาทุกคนประหลาดใจ เพราะเนื้อตัวและจีวรของหลวงปู่ทิมหาได้เปียกน้ำไม่

    เสกตะกรุดลอย

    ท่านอาจารย์รัตน์ เจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก อ.บ้านค่าย จ.ระยองเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็งมากสามารถเสกจนตะกรุดลอยได้ ท่านเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งได้นิมมนต์พระอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดระยองมา 4 รูปด้วยกัน มีหลวงพ่อหอม หลวงพ่ออ่ำ หลวงพ่อชื่น และหลวงปู่ทิม ให้หลวงพ่อที่มาทั้ง 4 รูปนำตะกรุดสาริกามาด้วย แล้วนำลงใส่บาตรให้หลวงพ่อทั้ง 4 องค์นั่งล้อมรอบบาตร และขอให้ท่านทุกองค์เรียกตะกรุดให้ลอยขึ้นจากบาตร หลวงพ่อหอม เป็นผู้เรียกก่อนโดยนั่งบริกรรมอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมา จากนั้นหลวงพ่ออ่ำ และหลวงพ่อชื่อก็ได้นั่งบริกรรมทำนองเดียวกัน ตะกรุดก็ไม่ยอมลอยขึ้น จนถึงองค์สุดท้ายคือหลวงปู่ทิม ท่านนั่งบริกรรมอยู่สักครู่ก็ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมาจากก้นบาตร หลวงพ่อหอมและเจ้าอาวาสวัดหนองกระบอกเห็นเช่นนั้นก็ตกใจแลบอกว่า ขอให้ช่วยทำให้วิ่งรอบบาตรด้วย หลวงปู่ทิมก็นั่งหลับตาภาวนา ตะกรุดก็วิ่งอยู่รอบๆ บาตรท่ามกลางความตื่นตะลึงของพระสงฆ์ทุกองค์ และเรื่องนี้ได้เป็นที่โจษขานกันทั่วไปในจังหวัดระยอง

    อำนาจจิตอันกล้าแข็งของหลวงปู่ทิม

    แม้แต่เครื่องปั่นไฟท่านก็สามารถบังคับให้หยุดได้โดยไม่ทราบสาเหตุ คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดละหารไร่มีลิเกมาเล่น พอลิเกกำลังจะออกแขกก็ปรากฏว่าไฟฟ้าดับพรึบลง พอแขกเข้าโรงไฟฟ้าก็สว่างขึ้นเป็นอย่างนี้ถึง 3ครั้ง จนต้องมีคนเตือนคณะลิเกให้ไปขออนุญาตหลวงปู่ทิมเสียก่อน เมื่อไปขออนุญาตแล้วก็ปรากฏว่าไฟฟ้าที่เคยปิดๆ ดับๆ ก็ติดสว่างตลอดทั้งคืน

    หลวงปู่ทิมเป็นพระที่สร้างของยาก

    มีผู้ไปขอสร้างของเสมอ แต่ถูกปฏิเสธไปเกือบทุกราย ท่านบอกว่าท่านไม่เก่ง แต่นับเป็นการประหลาดมากเมื่อครั้งที่คุณชินพร สุขสถิตย์ บรรณาธิการหนังสืออภินิหารและพระเครื่องไปกราบนมัสการและขออนุญาตท่านสร้างพระเครื่องเพื่อหารายได้สร้างศาลาการเปรียญท่านอนุญาตให้โดยดี ทั้งๆ ที่ตัวผู้ขอสร้างเองยังหนักใจเรื่องทุนที่จะนำมาลงทุนสร้างซึ่งต้องใช้เงินหลายแสนเพราะมีการหล่อพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พราะสังกัจจัยและพระปิดตาถึง 4 รายการด้วยกัน แต่หลวงปู่ทิม ท่านบอกว่า "ทำไปเถิดและจะสำเร็จเอง" ถึงปรากฏเป็นเรื่องจริงขึ้น บรรดาทุนรอนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะต้องจ่ายให้ช่างหล่อกันก็มีลู่ทางและได้มาอย่างไม่น่าเชื่อในการสร้างพระเครื่องครั้งนี้ หลวงปู่ทิมท่านพูดว่า "เป็นการสร้างของลูกศิษย์แท้ๆ และเงินทองจะไหลมาเทมา" หลวงปู่ทิมจึงอนุญาตให้คุณชินพรและคุณอารมย์ ทับสุวรรณ ครอบครูเป็นศิษย์ของท่านได้ทั้งๆ การจะครอบครูเป็นศิษย์โดยตรงของหลวงปู่ทิมนั้นนับว่ายากมาก ศิษย์ที่จะได้รับครอบครูต้องปรนนิบัติรับใช้เป็นเวลาหลายๆ ปีจึงจะครอบครูให้


    เรื่องจากคุณธงชัย อุดมความสุข

    ตะกรุด 3 กษัตริย์

    นับเป็นยอดตะกรุดมหานิทรา ยิงไม่ออก ถ้านำไปแขวนไว้ที่เสาหมอจะสะกดคนในบ้านให้หลับไหลหมด ขึ้นหยิบทรัพย์สินได้และดูเหมือนจะประสบกับโยมวัดผู้หนึ่ง เสียของเกือบหมดบ้านเพราะนอนไมรู้สึกตัวเลย เนื่องจากเอาตะกรุด 3 กษัตริย์ไปแขนไว้ที่เสาหมอกลางบ้าน หลวงปู่ทิมทราบเรื่องจึงไม่คิดจะทำอีก

    อาของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่านางเอี้ยน เกสารัตน์ เสมียนประจำสำนักงานสหกรณ์ระยองไปขอตะกรุด 3 กษัตริย์จากหลวงปู่ทิม พอได้มาก็เอากลัดไว้กับเสื้ออย่างมั่นคง พอลากลับหลวงปู่ทิมถามว่าตะกรุดยังอยู่ดีหรือ? นางเอี้ยนก็ตอบว่าอยู่ค่ะ หลวงปู่หัวเราะแบมือให้ดู ปรากฏว่าตะกรุดอยู่ในมือหลวงปู่ทิม นายเอี้ยนหันมาดูที่เสื้อไม่พบตะกรุดก็ตกใจ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหลวงปู่ทิมทราบดีว่านางเอี้ยนไม่ค่อยเชื่อถือท่านเท่าใดนัก จึงลองให้ดู ตะกรุด 3 กษัตริย์ของท่านนี้เล่ากันว่าเอาปืนยิงใส่บ้านยังไม่ออกเลย ไปยิงลิงยิงค่างถ้าเอาตะกรุดไปด้วยก็จะทำให้ยิงไม่ออกเช่นกัน


    เรื่องจากคุณชินพร สุขสถิตย์

    ปลาของหลวงปู่ทิม

    ช่างมงคล นาคแทน ผู้รับเหมาสร้างโบสถ์และศาลาการเปรียญได้เล่าให้ผมฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งคุณมงคลได้มาที่วัดเพื่อควบคุมงานก่อสร้าง หลวงปู่ได้เรียกเข้าไปหาและสั่งว่าได้ขอร้องไม่ให้ลูกน้องไปยุ่งเกี่ยวกับปลาในสระแล้วทำไมลูกน้องจึงเข้าไปยุ่งอีก ขอให้ช่วยไปตักเตือนสั่งสอนด้วย คุณมงคลได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เพราะหลวงปู่ได้สั่งไว้หลายหนแล้วว่าให้กำชับคนงานอย่าให้ไปยุ่งกับปลาในสระน้ำ คุณมงคลจึงกลับไปที่พักคนงานและเรียกลูกน้องมาด่าทุกคน แล้วถามว่าใครไปจับปลาของหลวงปู่ ซึ่งทุกคนปฏิเสธ คุณมงคลจึงไปหาหลวงปู่อีกและออกรับแทนลูกน้องว่า ไมมีลูกน้องคนใดไปยุ่งเกี่ยวกับปลาของหลวงปู่เลย หลวงปู่ทิมจึงว่า "ไอ้คนดำมืดยังไง" คุณมงคลก็กลับไปใหม่ และไปเรียกนายดำซึ่งมีผิวกายดำมะเมื่อมอยู่คนเดียวมา และบอกว่า "หลวงปู่บอกว่าลื้อไปจับปลาของท่านมาจริงหรือเปล่า" นายดำได้ยินก็ตกใจพูดกับช่างมงคลว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรก็ผมไปแอบจับตอนตี 1 แล้วนี่ครับ

    เกี่ยวกับปลานี้

    คุณเพรียรวิทย์ จารุสถิติศิษย์ก้นกุฏิของท่านเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อถึงวันดีคืนดี หลวงปู่จะเดินลุยน้ำลงไปในสระ คลี่ชายจีวรออก จับกางสองมือแล้วช้อนปลาเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง มีปลาเข้ามาขังอยู่ที่ชายจีวรแน่นไปหมด คุณเพียรวิทย์บอกว่าหลวงปู่ใช้มนต์จินดามณีเรียกปลามาหา

    เรื่องจากคุณ พ.เด็กวัด..หลวงปู่ทิมของผม

    สมัยที่หลวงปู่ทิมเดินจงกรม ท่านกำหนดจิตยกมือพนมเหนืออก ข้อศอกคู้แนบติดกับลำตัวย่างเท้าก้าวเดินอยางช้าๆ กำหนดเดินไปข้างหน้าเก้าสิบเก้าก้าว และกันหลังกลับถอยไปอีกเก้าสิบเก้าก้าว บริเวณที่หลวงปู่ทิมเดินจงกรม บริเวณที่เดินจงกรมนี้ต้นหญ้าไม่กล้างอกขึ้นมา แต่แปลกที่สุด ไม่ว่าพวกมดหรือสัตว์สี่เท้าใดๆ ไม่กล้าเดินผ่านบริเวณนั้น จะต้องเดินอ้อมพ้นเขตบริเวณจงกรม

    คาถาของหลวงปู่ทิม

    "มะอะอุ ทุกขัง อนิจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ"
    หลวงปู่ทิมท่านว่าเป็นคาถาที่ดีและก็สั้น และพุทธคุณของคาถาบทนี้ก็สูงมากอยู่ที่คนปฏิบัติ ท่านยังกรุณาเล่าให้ฟังว่า มีใครคนหนึ่งที่อยู่ตลาดมาปรับทุกข์ให้ท่านฟังว่า ขายของก็ไม่ดีทะเลาะกับเมีอยู่ที่บ้านแทบทุกวัน ญาติพี่น้องต่างเกลียดชัง อยากจะขอคาถาให้เขารัก หลวงปู่จึงให้คาถาบทนี้ไป ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ ชายผู้นั้นมีความสุขแล้ว จะไปไหนเมียก็ตามไปด้วย ญาติพี่น้องก็รักใครกันดี ผู้เขียนจึงมั่นใจว่าพุทธานุภาพในคาถาบทนี้จะประสบผลสำหรับผู้ที่ปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ ถ้าผู้ใดได้รับคาถานี้ไป ขอให้นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณหลวงปู่ทิมเป็นที่ตั้งทุกอย่างก็จะอำนวยโชคพอสมควรกับบุญกรรมของบุคคลนั้น

    พัดโบกหลวงปู่ทิม

    ช่วงเดือนตุลาคม ปี 2517 ได้เกิดน้ำป่าไหลท่วมบริเวณวัด ขณะนั้นหลวงปู่ทิมนั่งฟังเสียงน้ำหลากอยู่หน้าห้องของท่านพลันลุกขึ้นเข้าห้องหยิบผ้ายันต์ผืนสี่เหลี่ยม ถือเดินออกไปยังหอฉันเก่า ซึ่งผู้เขียนเกรงว่าจะถูกน้ำพัดพาไปด้วย หลวงปู่ท่านยืนเสกผ้าผืนนั้นซักอึดใจหนึ่งท่านก็โยดผ้าผืนนั้นลงไปตามกระแสน้ำ ผ้าผืนนั้นก็ลอยไปตามน้ำอย่างรวดเร็วท่ามกล่างคนงานที่ได้ช่วยกันเก็บเครื่องครัวอยู่บนวัดโดยไม่ทราบว่าหลวงปู่ได้ทำอะไร สักครู่หนึ่งทุกคนต่างตะลึงได้เห็นผ้าผื้นนั้นไหลทวนน้ำขึ้นมาหาหลวงปู่โดยหอบเอาอะไรมาสิ่งหนึ่ง หลวง ปู่ได้หยิบผ้าผืนนั้น ปรากฏมีลูกไก่เล็กๆ สีขาวคู่หนึ่งอยู่ในอุ้งมือ ท่านเอามือลูบไล้ไปที่ลูกไก่สีขาวคู่นี้ด้วยความปราณีอย่างเมตตา



    บัตรการันตีจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ท่านใดที่มีความต้องการ ลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม/เม็ดประคำผงพราย/ตะกรุดสาริกา

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องของลูกอมผงพรายของหลวงปู่ทิมกันสักหน่อยนะครับ

    ได้มีเพื่อนๆหลายต่อหลายท่านได้โทรมาพูดคุยกับผมและขอความรู้ในเรื่องต่างที่เกี่ยวกับ "ลูกอมผงพราย" ว่าทำไมลูกอมผงพรายนั้นจึงมีหลายๆท่านได้นำเสนอในการบูชามากมายหลายราคามีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักพันต้นๆและหลักหมื่นซึ่งทำให้การตัดสินใจที่จะบูชาไม่รู้จะบูชาแบบไหนกันดี

    อันนี้ผมขอแจงอธิบายดังนี้ครับ

    ลูกอมหลวงปู่ทิม (ผงพรายกุมาร) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าเป็นผงพรายที่มีพุทธคุณสูงที่สุดของเมื่องไทย มารตฐานในการเล่นหาจะมีไม่กี่นิดครับ บอร์นฝุ่น บอร์นน้ำมัน และลูกอมยุดแรกๆและต้องออกจากวัดระหารไร่เท่านั้นในปี 17/18 ครับ ค่านิยมที่ผมกล่าวถึงนี้จะเล่นหากันในราคาที่สูงครับ และเนื้อผงพรายนั้นนั้นจะเป็นชนิดเดียวกันกับขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ซึ่งมีค่านิยมสูงถึงหลักหลายๆแสนบาทในปัจจุบัน

    ส่วนลูกอมผงพรายอีกชนิดหนึ่งที่มีออกมามากๆในปัจจุบันนั้น ผู้ที่ให้บูชาอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอันนี้ผมมิทราบครับ โดยไม่ได้บอกที่มาว่าเป็นลูกอมหลวงปู่ทิมแบบใหน แบบมาตรฐานเล่นหา หรือ แบบลูกอมที่ออกมายุดหลังออกมาหลายๆวัดมากๆโดยที่ได้ทำเรื่องของผงพรายกุมารมาจากวัดหลวงปู่ทิมซึ่งทางมูลนิธิหลวงปู่ก็ได้จัดให้ไปทุกๆวัดที่มีความประสงค์ที่จะนำไปเป็นส่วนประสมการการทำลูกอมผงพรายของวัดนั้นๆ จากที่ผมทราบมานะครับจะจัดให้ไปประมาณตลับยาหม่องเท่านั้นครับ ทั้งทางแทบระยองและจังหวัดต่างๆทั่วประเทศและจะมีบางวัดนะครับที่ได้หลวงปู่ไปรวมในการปลุกเสกด้วย เมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จแล้วก็เรียกกันว่า "ลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม"

    ดังนั้นจึงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นของแท้ ผมก็ว่าแท้ครับ ไม่เคยว่าไม่แท้เลยสักครั้ง ผมจึงขอทำความเข้าใจว่า "คำว่ามาตรฐานในการเล่นหา" แตกต่างกันครับ

    วันนี้ขอเท่านี้ก่อนนะครับ ขอบพระคุณมากครับ


    ขอบคุณมากครับ

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  3. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระคงกรุเก่าแดงๆสวยๆ

    <script src='http://img138.imageshack.us/shareable/?i=img0010horz.jpg&p=tl' type='text/javascript'></script><noscript>[​IMG]</noscript>


    พระคงถูกขุดพบที่วัดพระคง ส่วนวัดอื่น ๆ ในจังหวัดลำพูนได้มีการขุดพบพระลำพูนสกุลอื่น ๆ พร้อมกับการพบพระคงประกอบอยู่ในกรุด้วยเสมอ ซึ่งแทบจะขุดพบในวัดต่าง ๆ ทุกวัดในจังหวัดลำพูน พร้อมในเชียงใหม่

    จากการสันนิษฐานพระคง ลำพูน น่าจะมีการสร้างในยุคที่ใกล้เคียงกับพระรอดกรุวัดมหาวัน แต่จำนวนพระคงมีมากกว่าพระรอดจึงทำให้ความนิยมในพระคงมีน้อยกว่าพระรอด ซึ่งในปัจจุบันราคาเช่าหาพระคง
    ก็ไม่ได้เป็นรองพระสกุลลำพูนอื่น ๆ จะเป็นรองก็เพียงแต่พระรอดเท่านั้น พระคงที่มีหน้ามีตา ฟอร์มสมบูรณ์ คมชัดลึกทุกอย่าง
    หายาก ราคาเช่าหาก็จะสูงตามไปด้วย ไม่ได้เป็นรองพระสกุลลำพูนอื่น ๆ เลย

    การดูพระคงแท้สามารถดูได้เบื้องต้นจากพิมพ์พระคง โดยดูจากรายละเอียดของลำตัว ลำแขนโดยเฉพาะแขนซ้ายจะทิ้งดิ่งลงมาแล้วหักศอกเป็นมุม ทำให้มือซ้ายวางพาดตักเป็นแนวขนาน โดยจะต่างไปจากพระบาง ซึ่งจะทำมุมบริเวณศอก แต่ไม่ได้เป็นมุมฉาก เม็ดบัวใต้ฐานจะมีลักษณะคล้าย ๆ กับวงรีวางในลักษณะแนวนอน ไม่เป็นเหลี่ยม อีกทั้งซอกระหว่างบังเม็ดที่ 5 และ 6 จะปรากฎเนื้อเกินที่เป็นลักษณะขีดแบบพริ้วระหว่างเม็ดบัวชุดบน และล่าง เรียกว่าเส้นตัวหนอน "ซึ่งขอย้ำว่าต้องเป็นเส้นที่หยุกหยิก ไม่เป็นเส้นตรง" ในบางองค์ซึ่งมีการทำเลียนแบบเส้นนี้จะมีลักษณะตรง แต่เนื่องจากเส้นตัวหนอนนี้มักจะไม่ปรากฎ เนื่องจากไม่ติดในพิมพ์จึงต้องมีการดูจากส่วนอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่นเนื้อพระ ผนังโพธิ์ไม่เรียบร้อยจนเกินไป มีความเป็นธรรมชาติ ใบโพธิ์ไม่กระด้างมีความพริ้ว การดูพระแท้ไม่สามรถที่จะดูในจุดใดเพียงจุดเดียว แล้วจะสามารถฟันธงได้ว่าองค์นี้แท้หรือไม่ จะต้องมีการดูส่วนประกอบหลาย ๆ อย่าง โดยขอเน้นว่าบางองค์ที่ผ่านการใช้มานาน นั้นจะไม่สามารถดูตำหนิบางจุดได้ จึงต้องอาศัยดูจากเนื้อพระทั้งพระแท้ และไม่แท้ เปรียบเทียบกัน (ควรหาพระไม่แท้มาเปรียบเทียบด้วย อาจจะหาเช่าองค์ที่มีความใกล้เคียงในราคาไม่แพง เพื่อมาใช้ประกอบในการเปรียบเทียบด้วย) ทั้งความเป็นธรรมชาติในหลาย ๆ จุด "เน้นว่าความเป็นธรรมชาตินั้นมีความแตกต่างจากความตั้งใจทำตำหนิมาก" ต้องสังเกตุให้ถี่ถ้วนด้วย

    พระคงลำพูนประกอบด้วยสีหลัก ๆ ทั้งหมด 6 สี คือ

    1. สีขาว

    2. สีพิกุล

    3. สีเขียวคราบเหลือง

    4. สีเขียวคราบแดง

    5. สีเขียวหินครก

    6. สีดำ (หายากมาก)


    ซึ่งสีพระคงที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับการนำพระไปสุม ซึ่งพระแต่ละองค์แต่ละสีจะถูกความร้อนเผาในอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป
    ทำให้สีที่ได้แตกต่างกัน โดยสีที่ใกล้เคียงกับสีเขียวนั้น พระคงจะมีลักษณะแกร่ง ขนาดอาจจะเล็กไปกว่าสีขาวและสีพิกุล(สีเหลือง)
    ที่โดนความร้อนเผาน้อยกว่า เนื่องจากพระคงสีเขียวมีการหดตัวมากกว่า

    พระคงลำพูนประกอบด้วยพระกรุเก่า และกรุใหม่ โดยทั่วไปแล้วจะเห็นพระคงบางองค์ผ่านการใช้ มีผิวมันทั้งที่องค์พระและผนังโพธิ์

    พระคงบางองค์เป็นกรุเก่า ซึ่งบางกรณีเพิ่งจะมีการขุดพบเมื่อไม่นานมานี้ หรือที่เรียกว่าเก่าฝากกรุนั้น พบเห็นได้มากจากพระคงที่มีการลงรักปิดทอง ซึ่งอาจจะเคยถูกขุดพบมานานแล้ว แต่เนื่องจากพอนำพระมาใช้แล้ว ทำให้มีเหตุผลบางประการที่จะนำไปฝังไว้ตามเดิม พระคงกลุ่มที่ลงรักปิดทองนี้เป็นกลุ่มที่หาพระสวยยากพอสมควร เนื่องจากพระคงในลักษณะนี้ส่วนมากเป็นพระที่ผ่านการใช้มามาก แล้วจึงนำไปปิดทองซ้ำ


    จากตัวอย่างที่ได้แสดงนี้ เป็นพระคงกรุเก่าทั้งสององค์องค์ที่อยู่ด้านซ้าย เดิมพระเป็นสีพิกุล แต่เนื่องจากการใช้ ทำให้สีพิกุลเดิมกลายเป็นสีน้ำตาลในที่สุด
    บริเวณผิวที่องค์พระ และผนังโพธิ์มีความหนึกนุ่ม

    ส่วนองค์ที่อยู่ด้านขวาเป็นพระคงกรุเก่าเช่นกัน จริง ๆ แล้วฟอร์มของพระคงทั้งสององค์เป็นฟอร์มใหญ่ เพียงแต่องค์นี้โพธิ์บางส่วนมีลักษณะบิดเบี้ยว และเนื้อพระผ่านการใช้มามากกว่าทำให้พระสึกมากกว่า สังเกตุได้จากบริเวณลำแขนด้านขวาขององค์พระ และบัวใต้ฐานพระจะสึกมากผิวทั้งด้านหน้า และด้านหลังมีความหนึกนุ่มซึ่งเรียกได้ว่าผ่านการใช้มามากพอสมควร

    พุทธคุณ: การคุ้มครองในด้านอยู่ยงคงกระพัน ป้องกันอาวุธทุกชนิด


    พระคงกรุเก่า บูชาที่ 11000 บาท

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  4. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    [​IMG]


    มีดดาบหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล หลวงพ่อเดิมนำไปปลุกเสก สองกษัตริย์ ตะกรุดสองกษัตริย์ 9 ดอก ขนาดใหญ่ ด้ามแกะรูปฤาษี

    มีดดาบสองกษัตริย์ ตะกรุด 9 ดอกสองกษัตริย์
    หาชมได้อยากนะครับสำหรับผู้ที่จะหาเก็บไว้บูชา

    มีดดาบด้ามนี้ฝักตะกรุดกันสะท้อนสามกษัตริย์ โดยที่ปลอกจะมีแหม หวายถัก 5/3 ตามตำราหลวงพ่อเดิมจะเป็นช่างรุ่นพ่อของช่างปัจจุบันที่มีชีวิตอยู่ครับแต่แก่มากแล้วที่พยุหะ ลายตอกใบมีดเป็นเสมาเปลวเพลิง และมีตะกรุดสองกษัตริย์ ทอง นาค ทั้งหมด 9 ดอกฝังลงไปในสันใบมีด ศิลปไปอีกแบบหนึ่งเพราะเป็นด้าม "ฤาษี" ที่หายากมากๆทีเดียวครับ มีความยาวรวมที่ 32 นิ้วส่วนความกว้างแค่ 1.5 นิ้ว. มีความสวยงามอย่างยิ่ง

    หลวงพ่อรุ่งได้ศึกษาธรรมวินัย ที่วัดมะปรางเหลืองกับพระกรรมวาจาจารย์ ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระปรากฏว่าท่านสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปของสัตว์ในคติภพต่างๆ เมื่อศึกษาจนเป็นที่พอใจในระดับหนึ่งแล้ว ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด
    ความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อเดิมฯ หลวงพ่อรุ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกับหลวงพ่อเดิม (เป็นพี่หลวงพ่อเดิม ๑๑ ปี) โดยโยมมารดาของท่านทั้งสองเป็น พี่น้องกัน หลวงพ่อรุ่งท่านก็เป็น ผู้ริเริ่มสร้างมีดหมอขึ้นมาก่อนเป็นลำดับแรก หลวงพ่อเดิม ท่านรู้เข้าก็มาเที่ยวที่วัดหนองสีนวล และมาศึกษาวิชาการทำมีดหมอจากหลวงพ่อรุ่ง โดยมีบางเล่มที่หลวงพ่อเดิมก็ได้นำไปปลุกเสกและก็ทำการแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ท่าน ในระยะแรกๆนั้นหลวงพ่อเดิมท่านได้นำความรู้ในการทำดาบและมีดจากหลวงพ่อรุ่ง โดยการควบคุมในการทำจากหลวงพ่อสดทำตามขั้นตอนของหลวงพ่อรุ่งทุกประการ เมื่อทำดาบและมีดเสร็จแล้วก่อนที่หลวงพ่อเดิมจะปลุกเสกนั้นหลวงพ่อท่านได้ให้หลวงพ่อสดนำดาบและมีดที่ทำึ้ขึ้นหลังช้างไปวัดหนองสีนวลให้หลวงพ่อรุ่งปลุกเสกก่อนแล้วจึงนำกลับมาที่วัดหนองโพเพื่อทำการปลุกเสกอีกครั้งครับ ถึงจะได้นำไปแจกและจำหน่ายแกลูกศิษย์จนเริ่มโด่งดังในพุทธคุณเป็นลำดับ

    พุทธคุณในอานุภาพมีดหมอหลวงพ่อรุ่ง ไม่แตกต่างอะไรกับ หลวงพ่อเดิม ครับ

    สำหรับวิธีการใช้บูชาและป้องกันภัยต่างๆ คือ

    1. ป้องกันคุณไสยเวลาติดตัวอยู่ไม่ต้องกลัวใครกระทำย่ำยีแต่อย่างใด
    2. ป้องกันตัวเองจากศัตรูหมู่ร้าย เป็นมหาอำนาจ เป็นเมตตา เป็นแคล้วคลาด เป็นมหาอุตม์
    3. ขับภูตผีปีศาจที่เข้าคนธรรดา หรือมีผู้ปล่อยมาให้เข้าสิง
    4. อาราธนาทำน้ำมนต์แก้คุณไสย หรือแก้เสนียดจังไรต่างๆ ตลอดจนฝันร้าย
    5. แก้อาถรรพณ์ความคงกระพันต่างๆ แม้จะสักยันต์ใดหรือกินว่าน หรือมีของดีตามธรรมชาติ เมื่อโดนมีดหมอของหลวงพ่อจะคลายเหนียวทุกทีไป นักเลงสมัยก่อนกลัวมีดหมอของหลวงพ่อกันนัก เพราะถูกทีไรเป็นเปื่อยยุ่ยไม่คงทน
    6. สำหรับด้ามงานั้นอาราธนาฝนกับฝาละมีหม้อดิน ด้วยน้ำล้างใบมีดจะแก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ ทาบริเวณที่ถูกสัตว์กัดต่อย
    7. ป้องกันอสรพิษ สัตว์มีพิษ ทั้งหลาย เมื่อมีมีดหมอของหลวงพ่อติดตัว ตลอดจนเขี้ยวงาต่างๆ
    8. มีดหมอหลวงพ่อไม่ทำอันตรายกับผู้ที่มีมีดหมอเหมือนกัน เป็นการป้องกันการที่ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันทำร้ายกัน
    9. บูชาไว้กับบ้านป้องกันอัคคีภัย และโจรภัย อาราธนาแล้วมีอันตรายจะรู้ตัวก่อนทุกทีไป
    10. เมื่อไปต่างถิ่นหรือต่างบ้าน หรือนอนกลางดินกลางทรายในป่า ให้เอาปลายมีดของหลวงพ่อกล่าวขอขมาแม่พระธรณี แล้วขีดวางลงไปเป็นรูปเหลี่ยมหรือรูปวงกลมรอบๆตัวของผู้ที่พักนอน มดและสัตว์จะไม่มาใกล้ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจด้วย
    11. เมื่อจะไปทางน้ำกลัวอันตรายจากสัตว์เช่น จระเข้ หรือสัตว์ร้ายอื่นๆ เช่นผีพราย ปลาไหลไฟฟ้า ให้ชักมีดออกจากฝักคาบไว้ในปากเวลาข้ามน้ำ หรือคาบทั้งฝักก็ได้ หรือเอามีดโบกน้ำนำหน้าไปจะปลอดภัย
    12. เมื่อฝีร้ายอาการกลัดหนอง ปวดร้าว ทรมาน หรือเพิ่งเริ่มเป็นให้ใช้มีดหมอของหลวงพ่อ เอาทางปลายแหลมวนเบาๆ เป็นวงกลมรอบๆหัวฝีระลึกถึงหลวงพ่อแล้วเป่าลมกำกับด้วย ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นจะยุบหาย ถ้าเป็นมากกลัดหนอง ให้วนด้วยปลายมีดแล้วยกมีดหมอเหนือหัวฝีกลั้นใจทำการผ่าหัวฝีบนอากาศเหนือผิวหนัง กรีดอากาศไปมาสลับกันแล้วเป่าลมระลึกถึงหลวงพ่อ ฝีจะแตกภายใน 3 วันและไม่เป็นพิษแต่อย่างไร
    13. เมื่อไปต่างถิ่นจะไปกินอาหารแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีพิษหรือไม่ ให้เอาด้ามมีดหมอของหลวงพ่อจุ่มลงไปในอาหารเสียก่อน เป็นการป้องก้น ถ้างามีสีดำอย่ากิน ในกรณีที่กินเข้าไปแล้วมีอาการแสลง ให้นำมีดหมอของหลวงพ่อออกจาฝัก อาราธนาถึงหลวงพ่อแกว่งลงไปในขันน้ำ แก้วน้ำ หรือภาชนะอื่นใด ใส่น้ำดื่มกินเข้าไปจะแก้ยาเบื่อ ยาสั่งได้ ถ้าเป็นยาพิษจะลดกำลังลงพอหาหมอแก้ไขได้ทันที
    14. เมื่อถูกคุณ(ลมเพลมพัด) เรียกว่าปล่อยมาตามอากาศ ทำให้มีอาการบวมตามตัว เป็นลูกๆ เดี๋ยวบวมที่โน่น เดี๋ยวบวมที่นี่ ให้เอามีดหมอหลวงพ่ออาราธนาทำน้ำมนต์ระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อกินเข้าไป แล้วจึงเอามีดหมอออกจากฝัก ไล่ก้อนที่บวมนั้นตั้งแต่บริเวณต้นที่บวมถ้าเป็นคุณที่ถูกปล่อยมาก้อนบวมนันจะเคลื่อนหนีปลายมี

    ครับสำหรับท่านที่หาบูชาอยู่ . . . ติดใว้สักเล่มท่านไม่ผิดหวังหรอกครับ

    รับประกันความแท้อย่างถาวร


    ขอบพระคุณมากๆครับ


    วิธีการบูชามีดดาบด้ามครูที่ให้เกิดอนุภาพสุงที่สุด

    บางท่านอาจจะมีมีดดาบไว้บูชาที่บ้านแต่ท่านอาจจะไม่ทราบวิธีที่จะบูชา อย่างทุกหลัก เพื่อให้เกิดอนุภาพสุงสุดในมีดดาบของอาจารย์ที่ได้ทำขึ้นมาครับ

    ผมขอที่จะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าวๆครับ

    1. มีดดาบ นั้นตามตำราถือได้ว่าเป็น เครื่องรางชั้นสุง อย่างหนึ่งในประเภทเครื่องรางของขลัง เลยที่เดียวครับ การที่เราจะเสาะหาบูชาแล้วนำมาบูชาที่บ้านเรือน เราจะ ต้องอาราธนาบอกกล่าวหรือทำพิธีรับเข้ามาในบ้านเรือนของเราก่อนอื่นเป็นอันดับแรก เพื่อที่ป้องกันสิ่งอัปมงคล ไสยเวทย์มนต์ดำ และในการช่วยรักษาอาการต่างๆนั้น ก็จะต้องมีวิธีการอาราธนาบอกกล่าวต่อบูรพาจารย์ผู้ที่จัดสร้างหรือทำมีดดาบนั้นแล้วถึงได้กระการได้ตามที่บอกกล่าวไป
    แต่ในยามที่เก็บไว้เฝ้าบ้านเรือนนั้นถ้าเป็น มีดขนาดเล็กที่มีปลอกจึง ควรดึงใบมีดออกจากฝักอยู่เสมอประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้พลังอำนาจพุทธคุณ บูรพาจารย์ที่สร้าง มีดหมอแผ่บารมีปกป้องบ้านเรือนและบุคคลในครอบครัว

    2. มีดดาบขนาดใหญ่ ที่มีฝักและไม่มีฝัก การจัดสร้างตามเจตนารมณ์ของบูรพาจารย์จะแบ่งได้ 2 ประเภท ครับ

    2.1 มีดดาบขนาดใหญ่ที่มีฝัก ตามตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่าเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว ในยามหมู่ศัตรูที่จองมาทำร้าย เป็นการทำลายอาคมหรือถอนอาคมของบุคคลนั้นๆให้สิ้นไป เป็นการป้องกันตัวโดยแท้

    2.2 มีดหมอขนาดใหญ่ที่ไม่ทำฝัก ตามตำราโบราณที่บูรพาจารย์สร้างขึ้นมาไว้เฝ้าบ้านเรือน การสร้างยิ่งมีความยากมากที่จัดสร้าง เป็นการตั้งป้องกัน ไสยเวทย์ คุณไสย มนต์ดำ สิ่งอัปมงคล ต่างๆ ซ้ำต้องลงพระคาถาสำทับในการทำลายอาคมหรือถอนอาคมผู้ที่บุกลุกเข้ามาในบ้านเรือนที่มีอาคมแก่กล้าอีกด้วย
    สำหรับวิธีอาราธนาใช้นั้นคือ ในสภาวะปกติให้ท่านเก็บคมมีดลงเพื่อให้มีดหมอ(หรือดาบ)น้อมนำนำพาสิ่งที่ดีเป็นสิริมงคลเสริมสร้างความร่มเย็นให้กับครอบครัวและเสริมบารมีให้กับผู้ที่บูชา
    แต่ในยามที่ท่านบังเกิด ความรู้สึกในจิตใจว่าจะมีสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่วร้ายจะเข้ามาแผ้วพาน ตำรากล่าวไว้ว่าให้ท่านอาราธนาบอกกล่าวแล้ว ยกมีดหมอหรือดาบเอาด้านคมหงายขึ้น เพื่อป้องกันเหตุร้ายนั้นๆโดยอาศัยอำนาจพุทธคุณชั้นสุงของมีดหมอหรือดาบของบูรพาจารย์ให้ช่วยขับไล่ขจัดออกไปให้สิ้นซาก
    (หมายเหตุ ผู้ที่บูชาจะรับรู้ความรู้สึกดังกล่าวได้ด้วยพุทธานุภาพของมีดหมอและดาบได้)


    มีดดาบเล่มนี้ท่านใดสนใจสอบถามมาได้นะครับมีความยาวอยู่ที่ 32 นิ้ว

    ตะกรุดกันสะท้อน 9 ดอก เป็นยุดแรกๆครับทางวัดได้ทำออกมาไม่มาก และ
    ที่ สำคัญตามประวัตินั้นหลวงพ่อเดิมท่านได้นำไปปลุกเสกสำทับอีกหนหนึ่งครับ


    ของแท้ๆตัวจริงแบบนี้ขอบอกเลยว่ายากที่จะหาบูชาหรือชมนะครับ

    บูชาไม่แพงแบบได้ใจกันครับที่ . บาท

    ขอบพระคุณมากครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ให้ดูจากหวายครับ ศิลปไปทางช่างหลวงพ่อเดิม

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/

    [​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0018.JPG
      IMG_0018.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      126
    • IMG_0023.JPG
      IMG_0023.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.3 MB
      เปิดดู:
      136
    • IMG_0022.JPG
      IMG_0022.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.5 MB
      เปิดดู:
      125
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2011
  5. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    [​IMG]


    ประวัติ พระอาจารย์นำ ชินวโร วัดดอนศาลา(นำ แก้วจันทร์)
    พระอาจารย์นำ ชินวโร เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือนเก้า (สิงหาคม) พ.ศ.2434 ที่บ้านดอนนูด ตำบลปันแต (บ้านดอนนูดมีอาณาเขาติดต่อกับ 3 ตำบล คือ ตำบลปันแต ตำบลควนขนุน ตำบลมะกอกเหนือ) เป็นบุตรของนายเกลี้ยง นางเอียด แก้วจันทร์ มารดาได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่ (หลังจากคลอดบุตรหญิงคนสุดท้อง) บิดาเป็นอาจารย์ที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ ดังนั้นพระอาจารย์นำ จึงได้มีโอกาสศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์เบื้องต้นแต่เยาว์วัย นอกจากนั้น บิดายังได้นำไปฝากให้ศึกษาวิชาเวทมนตร์คาถากับพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากสมัยนั้น

    พระอาจารย์นำ อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ณ วัดดอนศาลา มีพระครูอินทรโมฬี วัดปรางหมู่นอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูดิษฐ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ อยู่ศึกษาวิชาทางธรรมและเวทมนตร์ ฝึกฝนวิปัสสนากับพระครูสิทธยาภิรัตในระหว่างอุปสมบทได้ 6 พรรษา จึงลาสิกขาแล้วได้สมรสกับนางสาวพุ่ม มีบุตรชาย หญิง ด้วยกัน 4 คนจนกระทั่ง พ.ศ.2506 พระอาจารย์นำ ได้ป่วยหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ได้มีลูกศิษย์ของท่านประทับทรงหลวงพ่อที่วัดเขาอ้อ (บ้างก็ว่าท่านฝันเห็นพระอาจารย์ทองเฒ่า) บอกว่าหากจะให้หายป่วยจะต้องบวช ซึ่งท่าน"อาจารย์นำ"ก็รับว่าถ้าหายป่วยแล้วจะบวชทันที ปรากฏว่าอาการป่วยของท่านก็หายเป็นปกติ ดังนั้น"พระอาจารย์นำ"จึงได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่งที่วัดดอนศาลา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และได้อยู่ในเพศบรรพชิตตลอดมาจนถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2519 รวมอายุได้ 85 ปี ต่อมาในปี 2520 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2520

    พระอาจารย์นำ เป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา มีอุเบกขา ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่พบเห็น ท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวมมากมาย และยังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ปัจจุบัน ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ดังจะเห็นได้จาก เมื่อพระอาจารย์นำยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จและทรงเยี่ยมอาการป่วยของท่าน โปรดประทับอยู่ในกุฏินานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระอาจารย์นำเป็นอย่างยิ่ง


    เหล็กจารย์พุทธคุณล้ำ อาจารย์นำ ดอนศาลา สายเขาอ้อ

    เรื่องของพุทธคุณและประสบการณ์นั้นผมว่าเล่ากันทั้งวันและทั้งคืนคงไม่หมดครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    สอบถามราคาบูชาได้นะครับ เหล็กจารย์ อ.นำ สุดยอดของดีแดนใต้

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/


    ปิดรายการนี้แล้วครับ 2/02/54

    ขอบพระคุณท่านที่ปิดและรับไว้บูชาครับ

    และหลายๆท่านที่ให้ความสนใจในการสอบถามมาครับ

    ขอบพระคุณมากๆครับที่ให้ความสนใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  6. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระสังกัจจายน์ พระแห่งโชคลาภ

    เทพเจ้าแห่งเงินตราที่นิยมไหว้ช่วงวันตรุษจีน

    พระกรุที่รางวัดที่ 1. กทม.

    [​IMG]

    พระสังกัจจายน์ พระแห่งโชคลาภ "โชคลาภ" เป็นสิ่งปรารถนาของคนทุกชาติทุกศาสนา และที่เหมือนกัน คือ ทุกศาสนาและทุกชนชาติต่างก็มีองค์เทพเป็นที่พึ่ง

    ชาวจีนจะนับถือ เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยหรือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ นับเป็นเทพเจ้าองค์แรกที่ชาวจีนต้องเซ่นไหว้ก่อนเทพองค์อื่นๆ เป็นเทพเจ้าที่มีพลานุภาพให้โชคลาภ ความมั่งคั่งร่ำรวยแก่ผู้เซ่นไหว้ ไฉ่ซิงเอี๊ยเป็นเทพชั้นสูง ให้คุณทางด้านอำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง ชาวจีนจึงยกย่องให้ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือ เทพเจ้าแห่งเงินตรานิยมไหว้ช่วงวันตรุษจีน

    นอกจากนี้แล้วชาวจีนยังเชื่อว่า การขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองลูกหลานผู้ไปอยู่ต่างถิ่นแดนไกลให้มีความสำเร็จในเรื่องของการศึกษา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยเป็นเทพเจ้าที่รวมความศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพหลายประการไว้ในองค์ท่านเอง

    แต่ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจนและขึ้นชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ คือ พระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    พระสังกัจจายน์ มีพุทธลักษณะอ้วน พุงพลุ้ย มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ โชค ลาภ เป็นหนึ่งในพระสาวกผู้ใหญ่ จัดอยู่ในเอตทัคคะ ลักษณะของพระสังกัจจายน์ โดดเด่นมองเห็นก็รู้ว่า เป็นพุทธสาวกองค์ไหน

    "ผู้ใดบูชาพระสังกัจจายน์ ย่อมเป็นมหามงคลอุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล"

    ประวัติ พระสังกัจจายน์

    กัจจายนะปุโรหิตพร้อมด้วยผู้ติดตาม ๗ คน จึงออกจากกรุงอุชเชนี ครั้นมาถึงจึงพากันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงเทศน์สั่งสอน ในที่สุดบรรลุอรหันต์ทั้ง ๘ คน หลังจากนั้นทั้ง ๘ ก็ทูลขออุปสมบท ทรงขออนุญาต ครั้นอุปสมบทแล้ว จึงทูลเชิญเสด็จกรุงอุชเชนี ตามหน้าที่ พระองค์รับสั่งว่า

    "ท่านไปเองเถิด เมื่อท่านไปแล้ว พระเจ้าปัชโชตจักทรงเลื่อมใสท่าน"

    พระกัจจายนะจึงออกเดินทางพร้อมพระอรหันต์อีก ๗ องค์ ที่ติดตามมาด้วย กลับคืนสู่กรุงอุชเชนี และประกาศสัจธรรมให้แก่พระเจ้าจัณฑปัชโชต พร้อมชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และถ้อยคำประการอันเป็นสัจธรรม

    หลังจากนั้นกลับคืนสู่สำนักของพระพุทธองค์ ตรัสว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในการอธิบายแห่งการย่อคำพิสดาร

    นับจากนั้นมาพระสังกัจจายน์ก็เป็นผู้สรุปย่อคำสอนบอกแก่บรรดาสาวกทั้งหลาย ด้วยความพอใจอย่างยิ่ง ในคำย่อนั้น และยังเป็นผู้ทูลขอให้พระพุทธองค์บัญญัติแก้ไขพุทธบัญญัติบางประการ ปรากฏว่าเป็นที่พอพระทัยแก่องค์พระศาสดาเป็นอย่างมาก

    พระสังกัจจายน์ เป็นผู้มีรูปงาม ผิวเหลืองดุจทอง ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีโสเรยยะบุตรเศรษฐีคะนอง เห็นพระสังกัจจายน์จึงปากพล่อยกล่าวว่า ถ้าเราได้ภรรยามีรูปกายงดงามเยี่ยงท่านนี้ จักพอใจยิ่ง

    พลันปรากฏว่าโสเรยยะบุตรมหาเศรษฐีหนุ่มคะนองปาก ได้กลายเพศเป็นหญิงในทันที จึงหลบหนีไป ต่อมาได้สามีและบุตรสองคน จึงกลับมาขอขมากับพระสังกัจจายน์ โสเรยยะจึงกลับคืนสู่เพศชายเช่นเดิม นับว่าพระสังกัจจายน์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งองค์หนึ่งในพุทธสาวก

    มีเรื่องแทรกเข้ามาว่าเพราะ รูปกายอันงดงามของพระสังกัจจายน์ สร้างความปั่นป่วนแก่อิตถีเพศอย่างมาก จึงได้เนรมิตกายใหม่ให้อ้วน พุงพลุ้ย น่าเกลียด เพื่อความสงบแห่งจิตและกิเลส

    ประวัติพระสังกัจจายน์ เรื่องราวของพระสังกัจจายน์ พอสรุปได้ว่าเป็นพระพุทธสาวกที่มีความเฉลียวฉลาดมีความรู้ และเป็นที่โปรดของพระพุทธองค์ยิ่ง มีบารมี มีอิทธิฤทธิ์ ผู้ใดบูชาพระสังกัจจายน์ จึงได้รับพรจากพุทธสาวก อันเป็นเอตทัคคะอย่างสมบูรณ์

    เมื่อพูดถึงเรื่องโชคลาภแท้ที่จริงแล้วชาวพุทธเราจำนวนไม่น้อยต่างได้ลาภอันประเสริฐกันทุกคน ลาภอันประเสริฐที่ว่า คือ "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" นั่นเองตามบาลีที่ว่า "อโรคฺยาปรฺมา ลาภา"

    ทั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องโรคทางใจมากกว่าเรื่องโรคทางกายพระองค์สรุปว่า "ผู้ที่ไม่มีโรคทางกายเป็นเวลาหลายปีนั้นพอหาได้ แต่ผู้ที่ไม่มีโรคทางใจแม้เพียงชั่วเสี้ยวนาที ก็หาได้ยาก" จึงมีคำกล่าวตามมาที่ว่า "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" เช่นกัน คาถาบูชาพระสังกัจจายน์

    ชั่วโมงเซียนป๋องสุพรรณ ที่มา... หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


    พระสังกัจจายน์ องค์นี้เป็นพระกรุอัมพวา ซึ่งเป็นพระกรุที่มีคุณค่ามากๆในการบูชา พุทธคุณสุงล้ำมากองค์เล็กสวยพอดีๆครับแถมติดรางวัลชนะเลิศความสวยที่ 1. มาด้วยแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน

    ตอนรับโชดลาภบูชาที่ 4500 บาท



    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  7. arjarhnnop

    arjarhnnop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37,321
    ค่าพลัง:
    +76,428
  8. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    [​IMG]


    มีดหมอหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล สามกษัตริย์ ตะกรุดสามกษัตริย์ 10 ดอก ขนาดกลาง ด้ามก้ามช้าง

    มีดหมอสามกษัตริย์ ตะกรุด 10 ดอกสามกษัตริย์
    หาชมได้อยากนะครับสำหรับผู้ที่จะหาเก็บไว้บูชา ส่วนมากก็จะตีกันไปถ้าเก่าหน่อยศิลปไม่สวยก็จะตีไปเป็นหลวงพ่อรุ่งกันไปเสียงัน (คำว่าช่างชาวบ้านก็อ้างกันไป)

    มีดหมอด้ามนี้สามกษัตริย์ โดยที่ปลอกจะมีแหม ทองเหลือง-เงิน-ทองแดง ลายตอกใบมีดเป็นเสมาเปลวเพลิง และมีตะกรุดสามกษัตริย์ เงิน ทอง นาค ทั้งหมด 10 ดอกฝังลงไปในสันใบมีด ศิลปไปอีกแบบหนึ่งเพราะเป็นด้าม "ก้ามช้าง" ที่หายากมากๆทีเดียวครับ มีความยาวรวมที่ 8.5 นิ้ว มีความสวยงามอย่างยิ่ง

    หลวงพ่อรุ่งได้ศึกษาธรรมวินัย ที่วัดมะปรางเหลืองกับพระกรรมวาจาจารย์ ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระปรากฏว่าท่านสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปของสัตว์ในคติภพต่างๆ เมื่อศึกษาจนเป็นที่พอใจในระดับหนึ่งแล้ว ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด
    ความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อเดิมฯ หลวงพ่อรุ่งมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกับหลวงพ่อเดิม (เป็นพี่หลวงพ่อเดิม ๑๑ ปี) โดยโยมมารดาของท่านทั้งสองเป็น พี่น้องกัน หลวงพ่อรุ่งท่านก็เป็น ผู้ริเริ่มสร้างมีดหมอขึ้นมาก่อนเป็นลำดับแรก หลวงพ่อเดิม ท่านรู้เข้าก็มาเที่ยวที่วัดหนองสีนวล และมาศึกษาวิชาการทำมีดหมอจากหลวงพ่อรุ่ง และนำกลับไปทำของท่านบ้างที่วัดและเริ่มโด่งดังกันมาเป็นลำดับ

    พุทธคุณในอานุภาพมีดหมอหลวงพ่อรุ่ง ไม่แตกต่างอะไรกับ หลวงพ่อเดิม ครับ

    สำหรับวิธีการใช้บูชาและป้องกันภัยต่างๆ คือ

    1. ป้องกันคุณไสยเวลาติดตัวอยู่ไม่ต้องกลัวใครกระทำย่ำยีแต่อย่างใด
    2. ป้องกันตัวเองจากศัตรูหมู่ร้าย เป็นมหาอำนาจ เป็นเมตตา เป็นแคล้วคลาด เป็นมหาอุตม์
    3. ขับภูตผีปีศาจที่เข้าคนธรรดา หรือมีผู้ปล่อยมาให้เข้าสิง
    4. อาราธนาทำน้ำมนต์แก้คุณไสย หรือแก้เสนียดจังไรต่างๆ ตลอดจนฝันร้าย
    5. แก้อาถรรพณ์ความคงกระพันต่างๆ แม้จะสักยันต์ใดหรือกินว่าน หรือมีของดีตามธรรมชาติ เมื่อโดนมีดหมอของหลวงพ่อจะคลายเหนียวทุกทีไป นักเลงสมัยก่อนกลัวมีดหมอของหลวงพ่อกันนัก เพราะถูกทีไรเป็นเปื่อยยุ่ยไม่คงทน
    6. สำหรับด้ามงานั้นอาราธนาฝนกับฝาละมีหม้อดิน ด้วยน้ำล้างใบมีดจะแก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ ทาบริเวณที่ถูกสัตว์กัดต่อย
    7. ป้องกันอสรพิษ สัตว์มีพิษ ทั้งหลาย เมื่อมีมีดหมอของหลวงพ่อติดตัว ตลอดจนเขี้ยวงาต่างๆ
    8. มีดหมอหลวงพ่อไม่ทำอันตรายกับผู้ที่มีมีดหมอเหมือนกัน เป็นการป้องกันการที่ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันทำร้ายกัน
    9. บูชาไว้กับบ้านป้องกันอัคคีภัย และโจรภัย อาราธนาแล้วมีอันตรายจะรู้ตัวก่อนทุกทีไป
    10. เมื่อไปต่างถิ่นหรือต่างบ้าน หรือนอนกลางดินกลางทรายในป่า ให้เอาปลายมีดของหลวงพ่อกล่าวขอขมาแม่พระธรณี แล้วขีดวางลงไปเป็นรูปเหลี่ยมหรือรูปวงกลมรอบๆตัวของผู้ที่พักนอน มดและสัตว์จะไม่มาใกล้ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจด้วย
    11. เมื่อจะไปทางน้ำกลัวอันตรายจากสัตว์เช่น จระเข้ หรือสัตว์ร้ายอื่นๆ เช่นผีพราย ปลาไหลไฟฟ้า ให้ชักมีดออกจากฝักคาบไว้ในปากเวลาข้ามน้ำ หรือคาบทั้งฝักก็ได้ หรือเอามีดโบกน้ำนำหน้าไปจะปลอดภัย
    12. เมื่อฝีร้ายอาการกลัดหนอง ปวดร้าว ทรมาน หรือเพิ่งเริ่มเป็นให้ใช้มีดหมอของหลวงพ่อ เอาทางปลายแหลมวนเบาๆ เป็นวงกลมรอบๆหัวฝีระลึกถึงหลวงพ่อแล้วเป่าลมกำกับด้วย ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นจะยุบหาย ถ้าเป็นมากกลัดหนอง ให้วนด้วยปลายมีดแล้วยกมีดหมอเหนือหัวฝีกลั้นใจทำการผ่าหัวฝีบนอากาศเหนือผิวหนัง กรีดอากาศไปมาสลับกันแล้วเป่าลมระลึกถึงหลวงพ่อ ฝีจะแตกภายใน 3 วันและไม่เป็นพิษแต่อย่างไร
    13. เมื่อไปต่างถิ่นจะไปกินอาหารแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีพิษหรือไม่ ให้เอาด้ามมีดหมอของหลวงพ่อจุ่มลงไปในอาหารเสียก่อน เป็นการป้องก้น ถ้างามีสีดำอย่ากิน ในกรณีที่กินเข้าไปแล้วมีอาการแสลง ให้นำมีดหมอของหลวงพ่อออกจาฝัก อาราธนาถึงหลวงพ่อแกว่งลงไปในขันน้ำ แก้วน้ำ หรือภาชนะอื่นใด ใส่น้ำดื่มกินเข้าไปจะแก้ยาเบื่อ ยาสั่งได้ ถ้าเป็นยาพิษจะลดกำลังลงพอหาหมอแก้ไขได้ทันที
    14. เมื่อถูกคุณ(ลมเพลมพัด) เรียกว่าปล่อยมาตามอากาศ ทำให้มีอาการบวมตามตัว เป็นลูกๆ เดี๋ยวบวมที่โน่น เดี๋ยวบวมที่นี่ ให้เอามีดหมอหลวงพ่ออาราธนาทำน้ำมนต์ระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อกินเข้าไป แล้วจึงเอามีดหมอออกจากฝัก ไล่ก้อนที่บวมนั้นตั้งแต่บริเวณต้นที่บวมถ้าเป็นคุณที่ถูกปล่อยมาก้อนบวมนันจะเคลื่อนหนีปลายมี

    ครับสำหรับท่านที่หาบูชาอยู่ . . . ติดใว้สักเล่มท่านไม่ผิดหวังหรอกครับ

    มีดหมอด้ามก้ามช้าง บูชาที่ 7000 บาท

    รับประกันความแท้อย่างถาวร


    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0032.JPG
      IMG_0032.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.2 MB
      เปิดดู:
      131
    • IMG_0033.JPG
      IMG_0033.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.1 MB
      เปิดดู:
      132
    • IMG_0041.JPG
      IMG_0041.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      113
    • IMG_0042.JPG
      IMG_0042.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      117
    • IMG_0043.JPG
      IMG_0043.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      119
    • IMG_0044.JPG
      IMG_0044.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      125
    • IMG_0039.JPG
      IMG_0039.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.7 MB
      เปิดดู:
      118
    • IMG_0038.JPG
      IMG_0038.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3 MB
      เปิดดู:
      135
    • IMG_0035.JPG
      IMG_0035.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      109
    • IMG_0037.JPG
      IMG_0037.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      128
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  9. rang551

    rang551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,363
    ค่าพลัง:
    +3,131
    มารอชม เช่นกัน ครับผม
     
  10. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    [​IMG]


    มีดเทพศาสตราวุธหลวงพ่อเดิม

    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ พระเกจิอาจารย์ที่ท่านใดไม่รู้จักท่านผมว่าน้อยเต็มที มีดหมอหลวงพ่อเดิมขึ้นชื่อได้ว่ามีดหมอที่ทรงอนุภาพทรงด้วยพุทธคุณที่สุงล้นเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย

    วันนี้ผมขอนำเสนอมีดหมออันทรงอนุภาพของหลวงพ่อเดิมเล่มที่ 1 ครับ

    ด้วยบรรยากาศแบบสบายๆพี่ๆน้องๆ ครับ เป็นการชี้แนะและศึกษาเบื้องต้นในความเป็นมีดหลวงพ่อเดิมตามสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังกับผู้เฒ่าผู้แก่แถบ อยุธยา/อ่างทอง/สิงห์บุรี/ชัยนาท/และนครสวรรค์

    บรรยายคร่าวๆครับ

    มีดหมอของหลวงพ่อเดิมมีองค์ประกอบในการดู 3 องค์ประกอบหลักๆก่อนพิจารณาในการบูชาดังนี้ครับ

    1. ใบมีด นั้นดูศิลปะช่างและเหล็กของใบมีด

    2. ปลอกและด้ามเป็นลักษณะใหนทำในยุดใหนถึงไม่ถึงในอายุของความเก่า

    3. ชุดแหนหรือบางท่านเรียกแหม ทีนี้มาดูตามภาพสำหรับมีดเล่มนี้ครับ 1.ใบมีด (ดูภาพที่ลงไปประกอบครับ)จะเห็นถึงสนิมเหล็กดำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างไม่เป็นระเบียบขุมใหญ่บ้างเล็กบ้าง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเกิดจากการที่หลวงพ่อเดิมท่านได้นำเอาเหล็กหลายๆชนิดมารวมกันและมาหลอมด้วยกัน เช่น ตะปูโลงศพ เผาไฟแล้วร่วงหล่น เหล็กเขี่ยศพ บาตรแตก ถือกันว่า เป็นวัตถุอาถรรพณ์ ในสมัยก่อนหากต้องการให้บ้านใดเดือดร้อน จะนำไปลงอักขระแล้วเอาเศษบาตรแตกไปไว้ที่ใต้ถุนบ้านศัตรู จะทำให้บ้านนั้นเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด ตะปูสังขวานร เป็นเครื่องยึดเนื้อไม้อุโบสถที่เป็นโบสถ์เก่าสังขวานรเป็นโลหะผสมคล้ายเนื้อตะกั่ว ถือเป็นของอาถรรพ์อย่างหนึ่ง ตะปูสังขวานรจึงใช้เป็นตัวยึดเหมือนตะปู การที่ถูกฝังในเนื้อไม้นาน ๆ กลายเป็นวัตถุอาถรรพณ์ไปในตัว เหล็กน้ำพี้ เหล็กเนื้อดีมีความเหนียว ใบมีดหลวงพ่อจะขึ้นสนิมกัดใบ มากน้อยต่างกันไปอยู่ที่ผู้บูชาพกติดตัวมากน้อยแค่ไหน ส่วนตรงปลายด้ามของใบมีดนั้นที่ฝังอยู่ในงาก็จะเกิดสนิมของเหล็กด้ามใบมีดสนิมก็จะดันและซึมเข้าเนื้อของงา ทำให้สนิมของกั่นมีด ดันจนงาฉีกแตก ซึ่งเล่มนี้จะเห็นการซึมสนิมและลอยแตกลายงาที่กำลังจะแตกในไม่ช้าครับ มาดูรอยต่อของกั่นมีดกับใบครับจะเห็นคลั่งเก่าที่มีความแห้งและหมองเป็นไปตามธรรมชาติไม่เงาวาวๆอย่างของใหม่ที่จงใจทำขึ้น

    หลวงพ่อเดิมท่านได้ศึกษา วิชามีดหมอมาจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี นครสวรรค์ ต่อมาท่านก็ได้สร้างมีดหมอขึ้นมา และการสร้างมีดในยุคแรกนั้นท่านก็ได้สร้างมีดเล่มใหญ่ให้แก่ควาญช้างของท่าน ซึ่งมีขนาดทั้งด้ามทั้งฝักยาวประมาณหนึ่งศอก ในสมัยต่อมามักเรียกกันว่า มีดควาญช้างหลวงพ่อเดิม ต่อมาท่านก็ได้ทำมีดให้มีขนาดเล็กลง ขนาดพอพกได้พอดีจนมาถึงมีดขนาดเล็ก พกใส่กระเป๋าเสื้อได้ในที่สุด

    การปลุกเสกมีดหมอหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    เมื่อช่างตีด้ามมีด และปลอกมีดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อเดิมจะ บรรจุแผ่นโลหะชิ้นเล็กๆ ที่ได้ลงเหล็กจารอักขระยันต์ต่างๆ ไว้แล้ว หรือแผ่นตะกรุด รวมทั้งผงวิเศษ และเส้นผมของท่าน เข้าไปในแกนกลางของด้ามมีด จากนั้นจึงให้ช่างตีเข้าด้ามให้แน่น แล้วรวบรวมมีดหมอทั้งหมดที่ช่างสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้หลวงพ่อปลุกเสกพร้อมๆ กันอีกครั้งหนึ่ง

    มีดเทพศาสตราวุธ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ ที่ผ่านการบรรจุวัตถุธาตุมงคล คาถาอาคม ที่ลงไว้ กับพลังปราณอันบริสุทธิ์ของหลวงพ่อเดิม ทำให้มีดหมอของท่านมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง นับเป็นวัตถุมงคลชนิดเครื่องรางของขลัง ตระกูล "มีดหมอ" อันดับหนึ่งของเมืองไทย หรือหนึ่งในสยาม

    ฝีมือช่างแกะ มีดหมอหลวงพ่อเดิม จะมีอยู่หลายๆท่าน ที่จะกล่าวถึงคือ ช่างฉิม ช่างไข่ ที่เป็นที่นิยมและยอมรับ ช่างที่แกะสลักแต่ละคนจะมีฝีมือที่แตกต่างกัน ลายแกะ น้ำหนักมือที่แกะสลักจะหนักเบาไม่เท่ากัน ช่างแต่ละคนจะรู้การตอกลายบนใบมีด ลายถักของวงรัดด้ามมีด และปลอกมีด ไม่เหมือนกันทั้งหมด

    มีดเทพศาสตราวุธหลวงพ่อเดิม มีหลายแบบหลายขนาดและหลายฝีมือ เป็นเครื่องลางที่ทรงอานุภาพมาก ที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณครอบจักรวาล ยังถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่เกิดมาจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เป็นคนไทยแท้ๆ มาแต่โบราณ ในปัจจุบันมีดหมอของหลวงพ่อเดิมแท้ๆนั้นหายากมาก สำหรับมีดหมอพ่อเดิม หายากมากที่รู้ก็เก็บเป็นมรดกตกทอดเฉพาะลูกหลานกันหมด เพราะต่างได้มีประสบการณ์กันมาว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และฤทธิ์อำนาจมากมายเกินพรรณา อิทธิคุณในพุทธคุณ

    วิธีใช้มีดหมอเทพศาตราวุธ ตามตำรับหลวงพ่อเดิม มีดังนี้ครับ

    1. ป้องกันคุณไสยเวลาติดตัวอยู่ไม่ต้องกลัวใครกระทำย่ำยีแต่อย่างใด อารธนาทำน้ำมนต์แก้คุณไสย หรือแก้เสนียดจังไรต่างๆ แก้ยาเบื่อ ยาสั่งได้ ตลอดจนฝันร้ายได้

    2. ป้องกันตัวเองจากศัตรูหมู่รัาย เป็นมหาอำนาจ เป็นเมตตา เป็นแคล้วคลาด เป็นมหาอุตม์ แก้อาถรรพณ์ความคงกระพันต่างๆ ป้องกันอสรพิษ สัตว์มีพิษ

    3. ขับภูตผีปีศาจที่เข้าคนธรรดา หรือมีผู้ปล่อยมาให้เข้าสิง บูชาไว้กับบ้านป้องกันอัคคีภัย และโจรภัย

    4. ด้ามงานั้นอารธนาฝนกับฝาละมีหม้อดิน ด้วยน้ำล้างใบมีดจะแก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ ทาบริเวณที่ถูกสัตว์กัดต่อย

    5. เมื่อไปต่างถิ่นจะไปกินอาหารแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีพิษหรือไม่ ให้เอาด้ามมีดหมอของหลวงพ่อจุ่มลงไปในอาหารเสียก่อน เป็นการป้องก้น ถ้างามีสีดำอย่ากิน ในกรณีที่กินเข้าไปแล้วมีอาการแสลง ให้นำมีดหมอของหลวงพ่อออกจาฝัก อารธนาถึงหลวงพ่อแกว่งลงไปในขันน้ำ แก้วน้ำ หรือภาชนะอื่นใด ใส่น้ำดื่มกินเข้าไปจะแก้ยาเบื่อ ยาสั่งได้ ถ้าเป็นยาพิษจะลดกำลังลงพอหาหมอแก้ไขได้ทันที

    วิธีการที่จะนำมีดหมอของหลวงพ่อเดิมมาใช่ให้เกิดคุณอนันต์

    ควรใช้คาถาอาวุธ 5 ประการทุกครั้งกำกับด้วยดังนี้ "สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณนะสะคะธาวุธธัง อาฬาวะกะสะธุสาวุธธัง ยะมะสะนัยนาวุธธัง นารายยะสะจักกะราวุธธัง ปัญจะอาวุทธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธานัง ภัคคะภัคขา วิจุณนัง วิจุณาโลมังมาเมนะ พุทธะสันติ คัจฉะอะมุมหิ โอกาเสติฐาหิ" ซึ่งพระคาถานี้รวมอาวุธห้าประการที่ถือว่ามีอิทธิฤทธิ์

    ความหมายของพระคาถาอารุธ 5 ประการ

    1. วชิราวุธ อาวุธประจำกายพระอินทร์ที่ปราบมารร้ายและอสูร

    2. ไม้เท้ากระบองที่ยันกายขององค์ท้าวเวสสุวรรณ อันเป็นเจ้าแห่งภูตผีทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผีอะไรต้องเกรงกลัวท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งนั้น

    3. ผ้าแดง ของอาฬาวะกะยักษ์ ที่พ่ายแพ้แก่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้าแดงนี้เป็นอาวุธที่ร้ายแรงตามที่โบราณกล่าวว่าถ้าผ้าผืนนี้ตกลงบนพื้นพิภพแห่งใดจะไหม้เป็นจุณและปลูกอะไรไม่ขึ้นจนตลอดกาล

    4. นัยเนตร ของท่านพญายมราช ที่เพ่งแล้วภูตผีทั้งหลายจะมอดไหม้ไปเป็นจุลมหาจุล

    5. กงจักร ของพระนารายณ์ ตามลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งสวรรค์ อสูร และใต้บาดาล มีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับ เมื่อหลวงพ่อได้อัญเชิญความศักดิ์สิทธิ์ของอาวุธทั้ง 5 ประการ ด้วยอำนาจอาคม และไสยวิธีมาสถิตย์ในมีดหมอของหลวงพ่อก็ย่อมวางใจได้ว่า ต้องทรงอำนาจในทางปราบมารร้าย ภูตผีปีศาจอำนาจฝ่ายต่ำ การกระทำย่ำยี และป้องกันอันตรายจากมนุษย์และสัตว์โลกได้อีกด้วย

    วิธีอาราธนามีดหมอของหลวงพ่อเดิมเวลาจะไปไหนมาไหนให้ระลึกถึงหลวงพ่อเดิมแล้วว่า

    "พระพุทธังรักษา พระธรรมมังรักษา พระสังฆังรักษา ศัตรูมาบีฑาวินาศสันติ”

    การนำไปบูชา พุทธคุณที่ป้องกันภัยอันตรายได้ต่างๆ

    สำหรับวิธีการใช้บูชาและป้องกันภัยต่างๆ คือ

    1. ป้องกันคุณไสยเวลาติดตัวอยู่ไม่ต้องกลัวใครกระทำย่ำยีแต่อย่างใด
    2. ป้องกันตัวเองจากศัตรูหมู่ร้าย เป็นมหาอำนาจ เป็นเมตตา เป็นแคล้วคลาด เป็นมหาอุตม์
    3. ขับภูตผีปีศาจที่เข้าคนธรรดา หรือมีผู้ปล่อยมาให้เข้าสิง
    4. อาราธนาทำน้ำมนต์แก้คุณไสย หรือแก้เสนียดจังไรต่างๆ ตลอดจนฝันร้าย
    5. แก้อาถรรพณ์ความคงกระพันต่างๆ แม้จะสักยันต์ใดหรือกินว่าน หรือมีของดีตามธรรมชาติ เมื่อโดนมีดหมอของหลวงพ่อจะคลายเหนียวทุกทีไป นักเลงสมัยก่อนกลัวมีดหมอของหลวงพ่อกันนัก เพราะถูกทีไรเป็นเปื่อยยุ่ยไม่คงทน
    6. สำหรับด้ามงานั้นอาราธนาฝนกับฝาละมีหม้อดิน ด้วยน้ำล้างใบมีดจะแก้พิษสัตว์กัดต่อยได้ ทาบริเวณที่ถูกสัตว์กัดต่อย
    7. ป้องกันอสรพิษ สัตว์มีพิษ ทั้งหลาย เมื่อมีมีดหมอของหลวงพ่อติดตัว ตลอดจนเขี้ยวงาต่างๆ
    8. มีดหมอหลวงพ่อไม่ทำอันตรายกับผู้ที่มีมีดหมอเหมือนกัน เป็นการป้องกันการที่ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันทำร้ายกัน
    9. บูชาไว้กับบ้านป้องกันอัคคีภัย และโจรภัย อาราธนาแล้วมีอันตรายจะรู้ตัวก่อนทุกทีไป
    10. เมื่อไปต่างถิ่นหรือต่างบ้าน หรือนอนกลางดินกลางทรายในป่า ให้เอาปลายมีดของหลวงพ่อกล่าวขอขมาแม่พระธรณี แล้วขีดวางลงไปเป็นรูปเหลี่ยมหรือรูปวงกลมรอบๆตัวของผู้ที่พักนอน มดและสัตว์จะไม่มาใกล้ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจด้วย
    11. เมื่อจะไปทางน้ำกลัวอันตรายจากสัตว์เช่น จระเข้ หรือสัตว์ร้ายอื่นๆ เช่นผีพราย ปลาไหลไฟฟ้า ให้ชักมีดออกจากฝักคาบไว้ในปากเวลาข้ามน้ำ หรือคาบทั้งฝักก็ได้ หรือเอามีดโบกน้ำนำหน้าไปจะปลอดภัย
    12. เมื่อฝีร้ายอาการกลัดหนอง ปวดร้าว ทรมาน หรือเพิ่งเริ่มเป็นให้ใช้มีดหมอของหลวงพ่อ เอาทางปลายแหลมวนเบาๆ เป็นวงกลมรอบๆหัวฝีระลึกถึงหลวงพ่อแล้วเป่าลมกำกับด้วย ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นจะยุบหาย ถ้าเป็นมากกลัดหนอง ให้วนด้วยปลายมีดแล้วยกมีดหมอเหนือหัวฝีกลั้นใจทำการผ่าหัวฝีบนอากาศเหนือผิวหนัง กรีดอากาศไปมาสลับกันแล้วเป่าลมระลึกถึงหลวงพ่อ ฝีจะแตกภายใน 3 วันและไม่เป็นพิษแต่อย่างไร
    13. เมื่อไปต่างถิ่นจะไปกินอาหารแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีพิษหรือไม่ ให้เอาด้ามมีดหมอของหลวงพ่อจุ่มลงไปในอาหารเสียก่อน เป็นการป้องก้น ถ้างามีสีดำอย่ากิน ในกรณีที่กินเข้าไปแล้วมีอาการแสลง ให้นำมีดหมอของหลวงพ่อออกจาฝัก อาราธนาถึงหลวงพ่อแกว่งลงไปในขันน้ำ แก้วน้ำ หรือภาชนะอื่นใด ใส่น้ำดื่มกินเข้าไปจะแก้ยาเบื่อ ยาสั่งได้ ถ้าเป็นยาพิษจะลดกำลังลงพอหาหมอแก้ไขได้ทันที
    14. เมื่อถูกคุณ(ลมเพลมพัด) เรียกว่าปล่อยมาตามอากาศ ทำให้มีอาการบวมตามตัว เป็นลูกๆ เดี๋ยวบวมที่โน่น เดี๋ยวบวมที่นี่ ให้เอามีดหมอหลวงพ่ออาราธนาทำน้ำมนต์ระลึกถึงบารมีของหลวงพ่อกินเข้าไป แล้วจึงเอามีดหมอออกจากฝัก ไล่ก้อนที่บวมนั้นตั้งแต่บริเวณต้นที่บวมถ้าเป็นคุณที่ถูกปล่อยมาก้อนบวมนันจะเคลื่อนหนีปลายมี

    หลวงพ่อเดิม ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ ที่มีพลังจิต สูงมาก เชื่อกันว่า ท่านสำเร็จอภิญญา หรือฌาณสมาธิขั้นสูง สามรถเรียกลม เรียกฝนได้
    เครื่องรางของขลัง ของท่านเป็นที่ประจักกันดีว่ามีพุทธคุณด้านคงกระพัน และมหาอุดเป็นที่สุด ที่รู้จักกันดี และเป็นที่ปรารถนาของผู้ที่นิยมพระเครื่อง
    ของขลังเป็นที่สุด ก็คือ มีดหมอ พระเครื่องงาแกะรูปเหมือนปั้ม และ รูปเหมือนหล่อ เหรียญรูปไข่ พ.ศ. 2482 ที่เรียกว่าเหรียญบัวคว่ำ บัวหงาย ผ้ายันต์รอยเท้า และอื่นๆอีกมากมาย หลายรายการ
    กลับมาที่การไขปริศนาของเส้นแบ่งความตาย ของหลวงพ่อเดิม ที่มีต่อการอาราธนาพระเครื่องที่เกิดต่อหน้าผู้คนมากมาย หลายคนด้วยกัน
    ว่ากันว่าวันหนึ่งมีคนวิ่งกระหืดกระหอบ มากราบเรียนหลวงพ่อเดิม ว่าลูกศิษย์รัก ของท่าน คนหนึ่งถูกยิงตาย หลวงพ่อเดิมเมื่อทราบข่าว ก็ขี่ช้างเพื่อไปดูศพ ที่อยู่ไม่ไกล จากวัดหนองโพธิ์นัก เมื่อท่านไปถึงตำรวจ กำลังพลิกศพอยู่พอดี
    หลวงพ่อเดิมท่านจึงสั่งให้ตำรวจ นำเหรียญรูปท่านซึ่งผู้ตายแขวนคออยู่ที่คอ เป็นเหรียญรูปไข่ รุ่นปี พ.ศ. 2482 ที่เคยมีคนมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน มานับครั้งไม่ถ้วน ไปวางห่างจากศพ ประมาณหนึ่งวา แล้วท่างจึงสั่งให้ตำหรวจท่านหนึ่ง ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ยิงไปที่เหรียญรูปเหมือนของท่าน แต่ตำรวจท่านนั้นไม่กล้ายิง จนท่านต้องสั่งกำชับให้ยิงได้
    ปรากฎว่าไม่ว่าจะยิงสักกี่นัด ปืนก็ไม่ลั่น และจะเปลี่ยนปืนสักกี่กระบอกกระสุน ปืนก็ไม่ทำงาน แล้วท่านก็ได้มอบเหรียญนั้นให้ด่ตำรวจที่ยิงไป แล้วท่านก็เดินทางกลับวัดหนองโพ
    แต่ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ ท่านได้พูดไว้ให้เป็นปริศนาธรรมให้หลายๆคนคลายข้อสงสัยท่านกล่าวไว้ว่า
    ถ้ามัน(หมายถึงผู้ตาย) ขยับเดินออกไปอีกสองก้าว มันจะไม่ตาย หรือถ้ามันมาถึงที่ตรงนี้เร็วหรือช้ากว่านี้ไปอีกสักหน่อย มันก็จะไม่ตาย
    ที่มันตายเพราะถึงฆาตถึงเวลา ไม่ใช่เพราะเหรียญของข้า ...
    จากคำพูดของหลวงพ่อเดิม น่าจะอธิบายได้ว่า
    คนเรานั้นเมื่อถึงที่ต้องตาย คำว่าถึงที่ก็คือถึงฆาต ชะตาขาดมักไม่รอด
    นอกจากจะมีบุญเก่ามาช่วยหนุนช่วยเสริมเอาไว้มาช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้างเท่านั้น คนที่รู้จักเคล็ดลับนี้ ก็จะแก้ไขได้
    เรื่องนี้เคยปรากฎมาแล้ว ในสมัยพุทธการ โดยพระพุทธเจ้าทรงให้พระสงฆ์ สวดมนต์ช่วยเหลือสามเณรที่มีชื่อว่าอายุวัฒนะ ให้รอดตายมาแล้ว
    นอกจากจะไขปริศนาเส้นแบ่งแห่งความตายแล้วหลวงพ่อเดิมได้ตอบคำถามของศิษย์ที่ขี้สงสัย ที่ถามท่านเกี่ยวกับการใช้เครื่องรางของขลังติดตัว ว่ามีข้อห้ามประการใดบ้าง
    หลวงพ่อเดิมท่านตอบว่า พระเครื่องรางของขลังของท่านมีฤทธิ์เหมือนงูเห่า ที่เลื้อยผ่าน กองอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะมันไม่รู้ว่าคือสถานที่ใด แต่พิษมันก็คงมีอยู่และกัดคนตาย พระเครื่องก็เป็นเช่นเดียวกัน หากปราศจากเจตนาแล้ว เพชรยังไง ก็ยังเป็นเพชร อยู่เสมอ...
    น่าเสียดาย ที่มีดหมอของหลวงพ่อเดิมได้หายไป บ้างก็ว่า เกิดจากอุบัติเหตูเรือร่ม
    เดิมมีดหมอนี้อยู่กับอาจารย์โน้ม ซึ่งมีทั้งมีดหมอ และ มีดควาญช้างของหลวงพ่อเดิม
    ซึ่งจากปากคำของผุ้เฒ่าผู้แก่ ชาวพิจิตร ว่ากันว่า เมื่ออาจารย์โน้มรู้ตัวว่าจะถูกจับถ่วงน้ำ ท่านได้ขว้างปาของขลัง ทิ้งลงแม่น้ำ รวมทั้งพระเครื่องเหล็กไหล และมีดหมอประจำตัว
    ซึ่งต่อมาหลายๆคนว่ากันว่า เครื่องรางของหมอโน้ม ที่เป็นของขลังอันศักดิ์สิทธ์ยิ่งของหลวงพ่อเดิมนี้ ได้ตกอยู่ในมือของท่านขุนพันธ์นั่นเอง

    จากเบื้องต้นถ้าท่านได้อ่านผมว่าก็พอจะทราบกันแล้วนะครับ ว่าทำไมมีดหมอหลวงพ่อเดิมถึงได้เป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทยที่ทรงอนุภาพยิ่งที่สุดไม่เป็นสองรองใคร

    ที่นี้ผมขอกล่าวถึงมีดเล่มนี้บางนะครับ

    มีดเล่มนี้ผมว่าทุกๆท่านที่ได้ดูได้ชมก็จะเกิดความรู้สึก ตอบตัวเองว่าใช่ ใช่แน่ มีดหลวงพ่อเดิม เพราะดูง่ายรู้สึกถึงความเก่าในธรรมชาติของตัวมีด และความมีเสน่ห์ในพลังอนุภาพของมีดเล่มนี้ มีดแท้ๆนั้นจริงแล้วดูง่ายครับไม่ยากเลย
    เพราะจะมีความเป็นธรรมชาติในตัวของตัวเอง

    มีดหมอหลวงพ่อเดิมนั้นตามที่ผมได้มีความรู้มาตามลักษณะของมีดเล่มนี้น ทำขึ้นมาในยุดแรกเริ่มของหลวงพ่อเดิม ก่อนที่จะทำให้เพื่อแจกจ่ายแก่พวกลูกศิษย์และจำหน่ายเพื่อทนุบำรุงพระพุทธศาสนาในการสร้างโบสถ์วิหารวัดต่างๆครับ

    มีดเล่มนี้จะมีลักษณะแตกต่างกับมีดที่ท่านได้เห็นกันจนคุ่นๆตา หรือ จะไม่เคยเห็นกันมาก่อนก็ว่าได้ จะเป็นมีดที่พวกคณะคหบดีของจังหวัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษโคยให้คณะศิษย์ของหลวงพ่อเดิมนำเรื่องที่จะจัดสร้างมีดไปบอกกับหลวงพ่อเดิมเพื่อมอบให้คณะข้าราชบริพารในพระองค์ที่มาติดต่อเรื่องราวราชการในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อเดิมยังไม่ได้ทำมีดขึ้นเอง หลวงพ่อเดิมท่านก็เมตตาจัดทำให้ตามความต้องการของคหบดี โดยได้ทำมีดขึ้นมาชุดหนึ่งโดยหลวงพ่อเดิมได้ไปทำที่วัดหนองศรีนวลศิษย์พี่ท่าน (หลวงพ่อรุ่ง) โดยหลวงพ่อเดิมได้กำกับขั้นตอนในการทำทุกประการหลายแบบหลายชนิดเป็นชุดๆแตกต่างกันไปครับ เนื้อเหล็กของใบมีดนั้นจะแตกต่างกับหลวงพ่อรุ่ง พูดกันง่ายๆว่าอาศัยโรงทำมีดของหลวงพ่อรุ่งนั้นเอง

    จากที่่ผมได้กล่าวมานั้น ว่ามีดลักษณะนี้จะเป็นมีดที่หลวงพ่อเดิมทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อแจกจ่ายให้คหบดีและข้าราชบริพารในพระองค์ที่ขึ้นไปรับข้อราชการของจังหวัด มีดจึงมีความสวยงามเป็นพิเศษ วัตถุที่ใช้จะมีคุณค่าเป็นพิเศษดูตามภาพครับ

    ส่วนประกอบของมีดเล่มนี้

    ปลอกมีด แหมรัดปลอกทำด้วยเงินสลักลายดอกพิกุล กลั่นมีดทำด้วยนาค ด้ามเป็นงาช้างที่เลือกชนิดของงามาอย่างดีปลายด้ามนั้นเป็นลักษณะที่ทำฝาครอบนาคที่ปิดวัตถุมงคลของมีดไว้ การตอกลายมีดของมีดเล่มนี้นั้น จะเป็นแนวๆของหลวงพ่อรุ่งอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2011
  11. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา

    ราชันเม่นหนึ่งเดียวทรงเม่นที่พิมพ์ออกมาเช่นนี้

    พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปี 2460 พิมพ์ทรงเม่นกดพิมพ์พิเศษ พระผิวเดิมๆ ผงเดิมๆ แบบแท้ดูง่ายๆครับ แค่ผงอย่างเดียวก็สุดยอดแล้วครับ ประกอบด้วยผง 3 สูตร รวม 7 ชนิด ดังนี้ครับ
    1. ผงหัวใจสัตว์พาหนะ
    2. ผงยันต์เกราะเพชร

    ผงวิเศษอีก ๕ ประการ มี

    1. ผงอิทธิเจ
    2. ผงตรีนิสิงเหฯ
    3. ผงปถมัง
    4. ผงมหาราช
    5. ผงพระพุทธคุณ มีฝอยท่วมหลังช้าง

    วิธีใช้ได้สารพัด ๑๐๘ ตามแต่ตั้งจิตอธิฐานครับ

    ค่านิยม....หาดูยากมากๆ ครับ

    รับประกันความแท้ทุกๆสนามเล็กใหญ่ไม่จำกัด

    ขอบพระคุณครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ทุกๆมุมไม่มีหมกเม็ดจ้า ความหนา 11 บาทครับ

    สนใจสอบถามบูชามานะครับยินดีตอบทุกข้อสงสัย

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  12. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ปิดตาหลวงปู่ จีน วัดท่าลาด พิมพ์เศียรแหลม
    เนื้อผงคลุกรักปิดทอง ครับ



    [​IMG] [​IMG]

    ที่อึ่นๆเขาว่ากันบูชากันเกือบล้าน ท่านใดชอบว่ากันมาได้นะครับหลักแสนต้นๆๆๆ
    ก่อนบูชาให้ตรวจเช็ดได้ทุกเซียนใหญ่ๆได้ทุกๆที่ครับ

    ขอบคุณครับ



    สุดยอดเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง

    สุดยอดเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง หรือที่เรียกขานกันมาแต่โบราณว่า "ปิดตาหัวเสือ"ในกระบวนพระปิดตาเนื้อผง
    ที่ได้รับ ความนิยมมากที่สุดของนักสะสมพระปิดตา ทั้งเซียนยุคเก่าเซียนยุคใหม่และนักสะสมพระปิดตาทั้งหลาย ที่อยาก
    ได้ไว้ในครอบครองนั้นก็เพราะไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีในการสร้าง หรือ ศิลป์ ตลอดจนพระพุทธคุณนับเป็นที่เชื่อถือได้มาก
    แต่ครั้งปู่ย่าตายายว่า สุดยอดและหายากยิ่งนักครับ ได้แก่

    1. พระปิดตาหลวงปู่จีน วัดท่าลาด จ. ฉะเชิงเทรา
    2. พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเคลือวัลย์ จ.ชลบุรี
    3. พระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จ.นนทบุรี
    4. พระปิดตาหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) กทม.
    5. พระปิดตาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี



    1. พระปิดตา หลวงปู่จีน วัดท่าลาด

    <script src='http://img40.imageshack.us/shareable/?i=p1230281.jpg&p=tl' type='text/javascript'></script><noscript>[​IMG]</noscript>

    เป็นพระประเภทพระเนื้อผงคลุกรัก จุ่มรักคลายกับหลวงปู่เจียม วัดกำแพง อายุการสร้าง
    ร้อยกว่าปี พุทธคุณก็เด่นทางเมตตามหานิยมเช่นกัน และพระปิดตาของท่านนั้นมีด้วยความ
    ศักดิ์สิทธิ์มากครับ คนฉะเชิงเทรา หวงกันมากครับ

    พระปิดตาทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้เป็นพระปิดตาที่หาได้ยากยิ่ง ควรค่าแก่การอนุรักษ์ครับ พุทธคุณ เด่นในด้าน เมตตา
    มหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี อายุการสร้างยาวนานนับร้อยปีนะครับ ถือได้ว่าในปัจจุบันนี้ มีผู้อยากได้ครอบครอง
    เป็นเจ้าของมากมายเลยครับ แต่หายากจริงๆ ครับเพราะใครเป็นเจ้าของต่างก็หวงแหนกันมากไม่ยอมเปลี่ยนมือกันง่ายๆครับ


    2. พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเคลือวัลย์

    [​IMG]

    นับเป็นจักรพรรค์ ของพระปิดตาและเป็นหนึ่งในสุดยอดเบญจภาคี พระปิดตาเนื้อผงครับ
    พระปิดตาหลวงพ่อแก้วมีตำนานสืบสานกล่าวเล่าขานจนถึงปัจจุบันนี่ว่าท่านเป็นชาว จ. เพชรบุรี
    ต่อมาภายหลังได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเคลือวัลย์ จ.ชลบุรี ซึ่งถือว่าความเป็นมา
    ของท่านที่เล่าขานกันปากต่อปากมิได้มีการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานชัดเจน เช่น คณาจารย์
    องค์อื่น เนื่องจากท่านเป็นพระชาวบ้านธรรมดา มิได้มีสมณศักดิ์สำคัญหากแต่ว่าท่านเป็น
    คณาจารย์ผู้เปี่ยมไปด้วย เมตตาจิตร เป็นอย่างยิ่ง พุทธาคมในพระปิดตาหลวงพ่อแก้วนี้
    สุดที่จะหาผู้ใดเปรียบเทียบได้มีประสบการณ์สูงทั้งทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาดอันตราย
    ทั้งปวงครับ


    3. พระปิดตา ล.ป เอี่ยม วัดสะพานสูง

    [​IMG]

    ท่านเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเวทย์มนต์ อาคมขลังท่านได้สร้างตะกรุดมหาโสพัสมงคล และ
    พระปิดตาของท่านอันถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยุทธจักรของจอมขมังเวทย์ ซึ่งมีผู้มีประสบการณ์
    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สุดที่จะหาที่เปรียบมิได้ พระปิดตาของท่านได้ใช้ว่าน 108 ที่เป็นมงคล
    นาม และว่านที่มีอานุภาพคงกระพันศักดิ์สิทธิ์ในตัวมาเป็นส่วนผสมสร้างพระร่วมกับผงพุทธคุณ
    ส่วนตัวประสาน พระปิดตา ท่านได้ใช้ชันยาเรือมาตำปนคลุกเคล้ากันไปในเนื้อหามวลสารของ
    พระด้วย ท่านได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์ในสมัยนั้นว่า "ชันยาเรือที่พายไปบิณทบาตรโปรดสัตว์"
    มีความสำคัญยิ่งถือว่าเป็นมหาอุตม์ เวลา เรือรั่วที่ใดก็อุตตรงนั้น นับได้ว่าเป็นชันมงคลอาถรรพณ์
    วัตถุอีกชนิดหนึ่ง ครับ


    4. พระปิดตาหลวงปู่ไข่ วัดบพิตรพิมุข หรือวัดเชิงเลน กทม.

    [​IMG]

    เนื้อผงคลุกรักนับว่าเป็นพระปิดตาที่หาได้ยากองค์หนึ่งและเป็นหนึ่งในยุทธจักรของพระ
    ปิดตามหามงคล หลวงปู่ไข่ท่านเป็นพระที่สมถ รักสันโดด มีความเมตตาต่อสานุศิษย์ทุกคน
    แม้กระทั่ง เหล่าเจ้าขุนมูลนายในสมัยนั้นก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับท่าน หลวงปู่ไข่เป็นพระ
    คณาจารย์ผู้มีพระเวทย์วิทยาคมสูงถือว่าเป็นหนึ่งในชุดพระปิดตา มหามงคล เนื้อผงคลุกรักครับ


    5. พระปิดตาพ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว

    [​IMG]

    ถือว่าเป็นเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ฝากตัวเป็น
    ศิษย์ พ่อเฒ่ายิ้มเป็นพระที่เปรียมด้วยเมตตามหานิยมได้มีผู้กล่าวเล่ากันไว้ว่า ท่านไม่เคยดุด่า
    ว่าใคร เพราะท่านเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์ ท่านจึงมักจะไม่พูด มีแต่จะยิ้มให้เมตตาสานุศิษย์
    สมกับชื่อของท่านว่า "ยิ้ม" พระของท่านเด่นในทางเมตตา มหานิยมและแคล้วคลาด ครับ

    ขอขอบคุณ คุณพยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย เอื้อเฟื้อภาพครับ


    หลวงปู่จีน วัดท่าลาด จ.ฉะเชิงเทรา

    ประวัติโดยย่อ

    พระปิดตาหลวงปู่จีน วัดท่าลาด จ.ฉะเชิงเทรา

    วัดท่าลาด สันนิษฐานว่าสร้างในราวปี พ.ศ.2396 โดยพระยาท่านหนึ่งจากเขมร และได้นิมนต์หลวงปู่จีนซึ่งเดินธุดงค์ผ่านมาพอดี ให้เป็นเจ้าอาวาสจึงนับได้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดท่าลาด ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ทรงวิทยาคมและเชี่ยวชาญด้านไสยเวท ที่สำคัญท่านเป็นพระอาจารย์ของพระเกจิที่มีชื่อเสียงหลายรูป อาทิ หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่อปาน และหลวงพ่อโต เป็นต้น
    พระปิดตาหลวงพ่อจีน จะมีลักษณะของพระกรรณอย่างเด่นชัด ซึ่งความจริงคือกระจังหน้าครอบพระเศียร มีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด และเท่าที่พบเห็นจะไม่มีการลงจารอักขระเลขยันต์


    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  13. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ "พระรอดเมืองใต้"

    พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ "พระรอดเมืองใต้" เป็นพระเครื่องเนื้อผงขนาดเล็ก เท่ากับพระรอดเลยเรียกกันว่า พระรอดเมืองใต้ พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ(วัดราษฎร์บูรณะ) ผู้สร้างคือ สมเด็จพระศรีสมโพธิ์ และนายทองด้วง


    พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ "พระรอดเมืองใต้"

    พระขรัวอีโต้ วัดเลียบ (วัดราษฎร์บูรณะ) เชิงสะพานพุทธ ฝั่งกรุงเทพฯ เป็นพระเครื่องเนื้อผง องค์เล็กกะทัดรัด ขนาดประมาณเท่ากับ พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน อีกทั้งพิมพ์ทรงละม้ายคล้ายกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พระรอดเมืองใต้"


    จากแผ่นทองแดงจารึกภาษาขอม ระบุว่า ผู้สร้างพระขรัวอีโต้นี้คือ สมเด็จพระศรีสมโพธิ์ และ นายทองด้วง มหาดเล็กคนสนิทของท่าน

    สมเด็จพระศรีสมโพธิ์ เป็นผู้มีคาถาอาคมแก่กล้า ชาวบ้านเคารพนับถือท่านมาก และต่างพากันเรียกสามัญนามของท่านว่า พระขรัวอีโต้

    ตามประวัติเล่ากันว่า เมื่อครั้งสมัยไทยเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่ ๒ เมื่อปี ๒๓๑๐ สมเด็จพระศรีสมโพธิ์ได้ถูกต้อนไปอยู่เมืองพม่าหลายปี ต่อมาเมื่อ พระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ทรงกู้อิสรภาพได้แล้ว สมเด็จพระศรีสมโพธิ์ จึงได้หลบหนีพม่า กลับมาสู่เมืองไทย พร้อมกับโยมน้องผู้หญิงของท่านคนหนึ่ง

    ในระหว่างทาง เวลาค้างแรม ท่านจะนำ มีดอีโต้ คั่นตรงกลาง ระหว่างท่านกับโยมน้องผู้หญิงทุกครั้ง จนกลับมาถึงกรุงธนบุรี โดยพำนักอยู่ที่วัดราษฎร์บูรณะ (วัดเลียบ)

    ชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างโจษจันกันว่า ท่านจะต้องอาบัติปาราชิกกับโยมน้องผู้หญิงของท่านอย่างแน่นอน เพราะเป็นการรอนแรมมาด้วยกันเพียง ๒ คน

    เมื่อมีการร่ำลือกันมากๆ ท่านจึงประกาศเชิญผู้ที่กล่าวหา และผู้ที่สงสัยในตัวท่าน มาที่ริมสระน้ำในวัด แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง โดยมี มีดอีโต้ เป็นพยาน แต่ไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงทำการเสี่ยงสัตย์ต่อพระแม่คงคา ขอให้พระแม่คงคาเป็นพยานยืนยันว่า

    ถ้าท่านบริสุทธิ์ อยู่ในศีลพรหมจรรย์จริง ขอให้มีดอีโต้เล่มนี้จงลอยน้ำ

    หลังจากนั้น ท่านได้ขว้าง มีดอีโต้ ของท่านลงไปในน้ำ ได้เกิดปรากฏการณ์เป็นที่มหัศจรรย์มาก มีดอีโต้ไม่จมน้ำ กลับลอยอยู่บนผิวน้ำ ทั้งๆ ที่ปกติจะต้องจมน้ำ เพราะมีดเป็นเหล็ก ย่อมมีน้ำหนักพอสมควร

    ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงตื่นตะลึงและโจษขานกันว่า ขรัวอีโต้ลอยน้ำ พร้อมกันนั้น ทุกคนก็เชื่อในความบริสุทธิ์ของท่าน และเรียกชื่อท่านว่า พระขรัวอีโต้ลอยน้ำ หรือ พระขรัวอีโต้ จนเป็นฉายานามของท่านตลอดมา

    พระขรัวอีโต้ เป็นผู้มีวิชาความรู้ทางคาถาอาคมมาก ชาวบ้านต่างพากันให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใส ขณะเดียวกันท่านก็ได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของชาวบ้านมาโดยตลอด จนได้เป็น สมเด็จพระศรีสมโพธิ์

    ต่อมาท่านพร้อมกับ นายทองด้วง ได้สร้าง พระเนื้อผง ขนาดองค์พระเล็กกะทัดรัด ขึ้นมาเพื่อสืบพระศาสนา โดยบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดราษฎร์บูรณะ ว่ากันว่าจำนวนพระที่สร้างมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ตามพระธรรมขันธ์ พระเครื่องนี้ชาวบ้านเรียกตามชื่อของท่านว่า พระขรัวอีโต้ เป็นความเข้าใจที่ง่ายดี

    พระขรัวอีโต้ ที่บรรจุเอาไว้ในองค์เจดีย์ ถูกชาวบ้านลักขุดอยู่เป็นประจำ จนในที่สุด พระได้แตกกรุอย่างเป็นทางการ เมื่อพ.ศ.๒๔๗๓ ช่วงที่ทางราชการได้ขยับขยายพื้นที่ เพื่อก่อสร้าง สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก


    พระขรัวอีโต้ กรุวัดเลียบ(วัดราษฎร์บูรณะ)

    ต่อมาได้มีผู้นำพระขรัวอีโต้ พระพิมพ์นี้ไปใช้แล้วเกิดประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะด้านแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี จนได้รับสมญานามว่า พระรอดเมืองใต้



    http://img529.imageshack.us/img529/3295/anigifvhu.gif กดเลยครับ

    พระองค์นี้ผ่านการประกวดและชนะการประกวดได้ที่ 2 มา 2 ใบครับ

    สนใจบูชาได้ที่ 8000 บาทครับ 0827893576
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  14. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ประวัติหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

    หลวงปู่ศุข ท่านครองเพศฆาราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ 22 ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี พระอุปฌาย์ท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายรามัญ ที่ถือเคร่งในวัตรปฎิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคม ก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ศุข ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระอุปฌาย์ของท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่าวัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

    ผีสมภารวัดร้าง

    "ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

    ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัย เป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

    บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้ หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้

    ขณะที่หลวงปู่ศุข กำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2 - 3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ" พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ" "อาตมาไปนมัสการพระพุทบาทสระบุรีมา

    กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านนี้กระมัง""ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ" "ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

    " ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน " "เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อสาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดุนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"แล้วอดีตมัคทายกก็เล่าเรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ศุข ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา

    ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงานหลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบ มิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร

    เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก

    ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมา ให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ " มาทำไม?" "ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิ ที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด หลวงปู่ศุข สำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

    หลวงปู่ศุข เห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า "อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ" ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไป ไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน

    เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย

    เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุข ก็เมตตารับนิมนต์ หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่กรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อนวอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้

    กลับภูมิลำเนา

    หลวงปู่ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ชราภาพลงตามอายุขัย ด้วยความเป็นห่วงใยในมารดาและบิดา ท่านจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณที่อยู่ลึก เข้าไปในคลองมะขามเฒ่าหรือบริเวณต้นแม่น้าท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพวัดในขณะนั้น ชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณะให้กลับคืนในสภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ ขยับขยายออกมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้สร้างกุฎิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัย ไปพลางก่อน

    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ที่1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้ว ได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์เพื่อจะได้ศึกษาทางมหาพุทธาคมและปรากฎว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความ สามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงปู่ศุขเองก็หมดความรู้ที่จะถ่ายทอด จึงแนะนำให้เสด็จในกรมฯไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น เมื่อหลวงปู่ศุขท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่จะสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯบนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่กรมศิลปากรยกย่องว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพร ทรงมีฝีมือทางการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ-เจ้าชนะมารในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบิดมวยผม ทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น

    พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้ กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดใส่อารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยัน อย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก ฝีมือของเสด็กในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนในขณะที่หลวงปู่ศุข ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงในการเดิน ซึ่งภาพนี้ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าจวบจนทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ ระหว่างอาจารย์ กับ ลูกศิษย์ นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯได้สร้างกุฎิอาจารย์ ไว้กลางสระที่วัดนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิค ตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่า จาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ศุขมาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์ หรือพิษณุโลก จำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ท่านขอพ่อแม่เขามาเลี้ยงเป็นบุตร บุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ศุข ท่านก็ เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่ แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด 1 ปี หลวงปู่ท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมฯท่านจะทำวิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น 3 วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามไหว้ครูทางวิทยายุทธ์ พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืน กับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุ มากแล้ว สุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยได้ลงมา

    วัตถุมงคลรุ่นแรก

    สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดฌาปนกิจศพ และในงานนี้เองหลวงปู่ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฎอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างใน ชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้น การที่แวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระเครื่องของหลวงปู่จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกัดไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อน พระวัดปากคลองเนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า "เอ็งมีลูกกี่คน?" ท่านจะให้ครบทุกคน กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำ เจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าพ่อขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจร ที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็น เสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า"

    พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง

    การที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลัง ได้ประสิทธิ์ มี ฤทธิ์ มีเดช ทั้งๆที่อักษรเลขยันต์พื้นๆนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้น กล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้งสี่ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกดิผลด้วยการ ใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือ หลีกลี้ลับ บังคบให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขาม ให้เป็น ตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจนการผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ

    แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็ยังคงเป็นใบมะขาม หัวปลี ก็ คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟาง ก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่อำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง จากหนังสือ "พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี 2519 เรื่องพระใบมะขาม ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ.2459)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่น เงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่า การค้าขายจะให้ลงว่ากระไร ท่านบอกว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู " ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร " หลวงพ่อบอกว่า " มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา" ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั้นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และท่านเสกเป่าไปที่ศรีษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมทีไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุก ก็ ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์ จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฐาก รูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า "ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ"

    อนึ่งท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจานั่งสงบอารมณ์ เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น " เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯเห็นจนท่านยอมเป็นศิษย์ " หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ลวงโลก แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่า อะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่า "เวลานี้ กรมหลวงชุมพรฯไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง ) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติ ท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯ นี้ ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้ "

    ท้ายบท

    การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  15. Step&Time

    Step&Time เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    792
    ค่าพลัง:
    +4,220
    ตามมาชมและเชียร์ครับ
     
  16. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ขุนแผนบ้านกร่าง กรุสุพรรณบุรี

    . . .



    พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี

    ในบรรดาพระเครื่องชั้นนำของเมือง สุพรรณบุรี มักมีชื่อของ “พระขุนแผน” รวมอยู่ในพระกรุยอดนิยมต่างๆ จำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนั้น คือ พระขุนแผน กรุบ้านกร่าง เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระกรุโบราณ มีอายุการสร้าง มาหลายร้อยปี กล่าวกันว่าความงดงามของพุทธศิลปะ นั้นโดดเด่นยิ่งนัก ส่วนพุทธคุณนั้น ก็เลิศล้ำเกินคำบรรยาย ทั้งเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ ตลอดจน คงกระพันชาตรี ยากที่จะหาพระพิมพ์ใดเสมอเหมือน จัดเป็นพระยอดนิยมชั้นแนวหน้าของวงการ มานาน

    พระกรุวัดบ้านกร่าง พระดี พระดังแห่งเมืองสุพรรณบุรี

    วัดบ้านกร่าง อันเป็นแหล่งกำเนิด “พระขุนแผน กรุบ้านกร่าง” อัน เลื่องชื่อนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบล ศรีประจันต์ จังหวัด สุพรรณบุรี อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีน หรือ แม่น้ำสุพรรณบุรี ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอศรีประจันต์ วัดนี้เป็นวัดโบราณ ที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา พระเครื่อง กรุวัดบ้านกร่าง แตกกรุจากเจดีย์หลังพระวิหารเก่าในบริเวณ วัดบ้านกร่าง เมื่อราว พ.ศ. 2447 มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนที่พระแตกกรุออกมาใหม่ๆ พวกพระสงฆ์และชาวบ้าน ได้นำพระทั้งหมด มากมายหลายพิมพ์ มาวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้วิหาร เด็กวัดในสมัยนั้นได้นำ พระที่วางไว้มาเล่นร่อนแข่งขันกันในลำน้ำสุพรรณบุรี เป็นที่สนุกสนาน เนื่องจากว่า ในสมัยนั้น พระวัดบ้านกร่าง ยังไม่มีมูลค่า และ ความนิยมมากมายเหมือนดังเช่นปัจจุบัน

    ที่มาแห่งชื่อ “พระขุนแผน”

    ชื่อ ”พระขุนแผน” ทั้งของเมืองสุพรรณ หรือ ขุนแผน เมืองไหนก็ตาม เป็นการเรียกชื่อ พระของคนสมัยหลัง เพราะคนโบราณ สร้างพระพิมพ์ ไม่เคยพบหลักฐาน ว่ามีการตั้งชื่อพระเอาไว้ด้วย มีแต่คนรุ่นหลังที่ไปขุดพบพระพิมพ์เป็นผู้ตั้งชื่อให้ทั้งสิ้น พระกรุวัดบ้านกร่าง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อแตกกรุใหม่ๆ ก็ไม่มีชื่อ คนสุพรรณบุรี ยุคนั้นเรียกกันเพียงว่า “พระวัดบ้านกร่าง” คือถ้าเป็นพระองค์เดียวก็เรียก “พระบ้านกร่างเดี่ยว” ถ้าเป็นพระ 2 องค์คู่ติดกันก็เรียก “พระบ้านกร่างคู่” ต่อมาจึงมีการตั้งชื่อให้เป็น พระขุนแผน บ้าง พระพลายเดี่ยว บ้าง พระพลายคู่ บ้าง ที่มาของชื่อ พระพิมพ์ ขุนแผน เหล่านี้ เชื่อว่าคนตั้งชื่อคงต้องการให้คล้องจองกลมกลืน กับตัวละครในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ที่โด่งดัง อันมีถิ่นกำเนิดในย่านสุพรรณบุรี คำว่า พระบ้านกร่าง จึงค่อยๆ เลือนหายไป หรืออีกนัยหนึ่ง ชื่อของ พระขุนแผน อาจได้มาจากการที่มีผู้บูชากราบไหว้ หรือ อาราธนานำติดตัวไปไว้ป้องกันอุบัติภัย ต่างๆ แล้วได้ประจักษ์ ความศักดิ์สิทธิ์ ในอำนาจพุทธคุณ ที่มี่คุณวิเศษ เหมือน ขุนแผนในวรรณคดี โดยเฉพาะ ด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม อาจด้วยเหตุนี้ จึงเรียกขื่อว่า พระขุนแผนสืบมา

    การจำแนกพิมพ์ทรงพระกรุวัดบ้านกร่าง

    พระกรุวัดบ้านกร่าง เข้าใจว่ามีจำนวนถึง 84,000 องค์ตามคติการสร้าง พระพิมพ์ในสมัยโบราณ เมื่อพระแตกกรุขึ้นมาก็ได้มีผู้แยกแบบ แยกพิมพ์ต่างๆ ตามความแตกต่างของพุทธลักษณะ ซึ่งมีจำนวนกว่า 30 พิมพ์ขึ้นไป บางแบบ ก็เรียกว่า “พระขุนแผน” ซึ่งมีพิมพ์ยอดนิยม เช่น พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่ พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกเล็ก พิมพ์ทรงพลใหญ่ พิมพ์ทรงพลเล็ก พิมพ์พระประธาน พิมพ์เถาวัลย์เลื้อย พิมพ์แขนอ่อน ฯลฯ บางแบบก็เรียกว่า “พระพลาย” อันหมายถึงลูกของขุนแผน ซึ่งมีทั้งที่พิมพ์เป็นคู่ติดกัน เรียกว่า “พระพลายคู่” และองค์เดี่ยวๆ เรียกว่า “พระพลายเดี่ยว” ซึ่งแต่ละพิมพ์ก็ยังแบ่งแยกออกไปอีกเป็นสิบๆ พิมพ์ เช่น พลายคู่หน้ายักษ์ หน้ามงคล หน้าฤาษี หน้าเทวดา พลายเดี่ยวพิมพ์ชะลูด พิมพ์ก้างปลา ฯลฯ
    การที่คนรุ่นเก่า เลือกที่จะตั้งชื่อ พระพิมพ์นั้นว่า ขุนแผน พิมพ์นี้เรียกพลาย คนรุ่นใหม่ คงไม่ทราบหลักเกณฑ์ หรือ ที่มาชัด ซึ่งคงเดาใจว่า คนที่ตั้งชื่อ ขุนแผน คงจะดูรูปร่างศิลปะในองค์พระ ถ้าพระองค์ ใดมีรูปแบบศิลปะสวยงามสะดุดตา ก็เรียกว่า พระขุนแผน ไว้ก่อนส่วนพระพิมพ์ใดหย่อนคุณค่าทางด้านศิลปะความงาม ความอ่อนช้อยก็ตั้งชื่อเรียกว่า พระพลาย เพื่อให้แตกต่างกันไป…

    อายุการสร้างของ พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง

    พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี เมื่อพิจารณาจากศิลปะแล้ว บอกให้รู้ว่าเป็น พระในสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยมีศิลปะที่อ่อนช้อยสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุด คือ ในจำนวนพระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่างนี้ มีอยู่พิมพ์หนึ่งนั่นคือ “พระขุนแผน พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่” มีลักษณะและศิลปะเหมือนกับ “พระขุนแผนเคลือบ” ที่แตกกรุออกมาจากเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเจดีย์องค์นี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดาร ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2135 ตามคำทูลแนะนำของสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติ แห่งชัยชนะในการทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา แห่งพม่า พระเจดีย์องค์นี้ชื่อว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “พระเจดีย์ใหญ่” เพราะเป็นเจดีย์ ที่ใหญ่ที่สุดในอยุธยา ซึ่งตามประเพณีมาแต่โบราณว่า เมื่อสร้างพระเจดีย์แล้ว จะสร้างพระพิมพ์บรรจุไว้ด้วย

    เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ถือกันว่าได้กุศลแรง พระขุนแผนเคลือบคงสร้าง เพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคลในครั้งนั้น
    ความคล้ายคลึงกันของพุทธศิลป์ ของ พระขุนแผน เคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล กับ พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี โดยเฉพาะพิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่นี้ เมื่อนำพระทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นความแตกต่างกันน้อยมาก โดยเฉพาะเส้นสายและลวดลายการแกะของแม่พิมพ์ ทำให้น่าเชื่อว่า ช่างที่แกะสมัยนั้น คงเป็นคน คนเดียวกัน หรือ สกุลช่างศิลปะในสำนักเดียวกัน อายุการสร้างอาจไม่แตกต่างกันมากนัก หรืออาจแกะในคราวเดียวกัน และพิมพ์ในคราวเดียวกัน แต่ได้มีการแยกบรรจุเจดีย์ ต่างกัน ดังนั้น จึงพอที่จะสันนิษฐานได้ว่า พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง คงมีอายุอยู่ในราวรัชกาล สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ ประมาณ 400 ปีล่วงมาแล้ว

    ลักษณะธรรมชาติ พระกรุวัดบ้านกร่าง

    พระกรุวัดบ้านกร่าง โดยทั่วไปไม่ว่า จะเป็น พิมพ์พระขุนแผน พระพลายเดี่ยว พระพลายคู่ นั้นเป็นพระเนื้อเดียวกัน คือ เนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ นานาชนิด ไม่ปรากฏว่ามีเนื้อประเภทอื่น ลักษณะเนื้อพระ มีทั้งชนิด เนื้อละเอียด และ เนื้อหยาบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเนื้อหยาบที่มีส่วนผสมของกรวดทรายมาก มีทั้งแดง สีพิกุล สีเขียว และสีดำ ตามความอ่อนแก่ของความร้อนในขณะเผาไฟ แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหยาบหรือละเอียด สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องมี ว่านดอกมะขาม มี แร่ทรายเงิน แร่ทรายทอง และ “รอยว่านหลุด” อยู่ด้วยทุกองค์ รอยว่านหลุด ดังกล่าว เป็นร่องเล็กๆ สัณฐานไม่แน่นอน เป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยม บ้าง สามเหลี่ยม บ้าง และเป็น ร่องลึก ร่องตื้น ก็ได้ รอยว่านหลุด นี้ ถือเป็นเอกลักษณะของเนื้อพระกรุวัดบ้านกร่างที่จะขาดเสียมิได้ในการพิจารณา

    นอกจากนี้ พระกรุวัดบ้านกร่าง ยังเป็นพระกรุที่ผิวสะอาด เนื่องจาก กรุพระมีสภาพดี ไม่จมดินหรือถูกน้ำท่วมขัง ดังนั้น จึงไม่มีคราบขี้กรุเกาะติดหนาให้เห็น จะมีเพียงแต่ฝ้ากรุบางๆ ฉาบติดอยู่ แต่ถ้าผ่านการใช้หรือการสัมผัสก็จะเหลือผิวฝ้ากรุตามซอกองค์พระ เท่านั้น พระกรุวัดบ้านกร่าง เป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น พระขุนแผน พระพลายเดี่ยว พระพลายคู่ ล้วนแต่เป็นพระกรุที่มีอายุหลายร้อยปี และมี พุทธคุณสูงส่ง ทางด้าน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ แคล้วคลาด และ คงกระพันชาตรี เป็นเลิศ จึงเป็นที่นิยมเสาะหากันมานานแล้ว แม้ปัจจุบันความนิยมก็ไม่ได้ลดลงน้อยลงไปเลย…….


    ขุนแผนบ้านกร่างสวยสมบูรณ์บูชาที่ 13000 บาท


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2011
  17. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงปู่ทวดคางขีดกระไหล่ทองพิมพ์นิยม (กรรมการ) ปี 2505

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    หลวงปู่ทวดหลังตัวหนังสือ เล็ก ปี 2505


    [​IMG] [​IMG]


    ประวัติ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้

    สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ

    หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป

    ทารกอัศจรรย์

    เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้

    นี้มีนายว่า “ปู” เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา

    สามีราโม

    เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง

    เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา

    เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ

    รบด้วยปัญญา

    กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์

    เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่าพระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย

    พระสุบินนิมิต

    เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด

    ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

    รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

    อักษรเจ็ดตัว

    ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ “เจ้าสามีราม” ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า “เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้” ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม

    ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด” ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด”

    ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

    ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น

    พระราชมุนี

    สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์” ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

    โรคห่าเหือดหาย

    ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเจ้าเฝ้า ท่านได้ช่วยไว้อีกครั้งโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและดวงแก้ววิเศษ แล้วทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายขาดด้วยอำนาจ คุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่ง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชมีนามว่า “พระสังฆราชคูรูปาจารย์” และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า “หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือจะบูรณะวัดวาอารามใดๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ”

    กลับสู่ถิ่นฐาน

    ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า “สมเด็จอย่าละทิ้งโยม” แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา

    ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง

    สมเด็จเจ้าพะโคะ

    ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า “สมเด็จเจ้าพะโคะ” และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า “วัดพะโคะ” มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา

    เหยียบน้ำทะเลจืด

    ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า “ไม้เท้า 3 คด” ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้

    เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

    เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา “ไม้เท้า 3 คด” พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้

    สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงปู่ทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา

    สังขารธรรม

    หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านลังกา” และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านช้างให้” ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่ หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้

    ปัจฉิมภาค

    สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ตลอดไป


    สนใจสอบถามบูชาได้ครับ 0827893576

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2011
  18. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงพ่อปานทรงครุฑเล็ก หรือ ทีอยุธยาเรียกว่า ครุฑนักมวย
    ติดรางวัลที่ 1 มานะครับ ตอนนี้อยู่ลังใหญ่หมดหาสวยๆกว่านี้อยากจ้า

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ปี 2460 พิมพ์ทรงครุฆเล็ก (นักมวย) พระผิวเดิมๆ ผงเดิมๆ แบบแท้ดูง่ายๆครับ แค่ผงอย่างเดียวก็สุดยอดแล้วครับ ประกอบด้วยผง 3 สูตร รวม 7 ชนิด ดังนี้ครับ
    1. ผงหัวใจสัตว์พาหนะ
    2. ผงยันต์เกราะเพชร

    ผงวิเศษอีก ๕ ประการ มี

    1. ผงอิทธิเจ
    2. ผงตรีนิสิงเหฯ
    3. ผงปถมัง
    4. ผงมหาราช
    5. ผงพระพุทธคุณ มีฝอยท่วมหลังช้าง

    วิธีใช้ได้สารพัด ๑๐๘ ตามแต่ตั้งจิตอธิฐานครับ



    ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน โสนันโทเถระ)

    ชาติภูมิของโสนันโทเถระ ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่านวัดบางนมโค เมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2418 โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครองครัว คือ ทำนา สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ ประจำตัวคือปานแดงอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้วถึงปายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "โสนันโท"

    หลวงพ่อปานเรียนวิชา

    หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วหลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้นหลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคมและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อป่านว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไป ภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในหน่ายกิเสลว่า

    1. อย่าอยากรวย อยากมีลาภได้ ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์

    2. เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ

    3. อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้นศมาแล้วปลื้มใจ

    4. เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ

    5. ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี

    6. มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์

    7. เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ

    จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมาอย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศลาภสรรเสริญ ความสุข ในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก จ้องระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอนขออุปสมบทครั้งแรกว่า "นิพพานัสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวังคะ เหตะวา" อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัตร์เพื่อให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่า ถอยหลังแล้วเป่า ให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้ หลวงพ่อปานท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 40 ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตา หลวงพ่อปานในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้

    จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น "พระหมอ" หลวงพ่อสุ่น สอนว่า "การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ได้ให้คนตายไม่ได้หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น" จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้

    องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน

    การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น พอจะรวบรวมได้ดังนี้

    เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิชาแพทย์ จากหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เรียนวิชาปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ดกับพระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้ สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเองเวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้ เวลาสอนหนังสือลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้องทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธา

    เอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่าจนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็น พระอาจารย์จีนรูปเดิม หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบนเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไร ก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่านท่านจึงหยุดเรียนและเตรียมตัว สำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่าง เคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย

    เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว

    โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่ญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัดด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขายได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัวจากลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการ หลวงปู่คล้าย(เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น)ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนักนอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย

    จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ 101 ปี หลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า

    หลวงพ่อปาน เคยเล่าให้ฟังว่าระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัดคัตมากบิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ได้ฉันกระยาสารท เพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวยแล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้ ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่า นั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ตามที่ หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอกถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย

    ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึง วิธีการปลุกเสกพระ และวิธีสร้างพระตามตำรา ซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้าได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ให้บูชาพระอาจารย์ของท่านแต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร" ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้ มหายันต์ เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย

    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำ เขียนไว้ว่า "หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุด และปรารถนาที่สุดคือ พระกัมมัฏฐาน เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีการทุรนทุราย ปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น

    สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโดงดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่าเดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียนกว่า ใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก

    ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่า หลับไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริง หลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ 1 ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด

    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียนเห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่งเข้าไปถึงก็กราบๆ หลวงพ่อปานบอกว่า "เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับกระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน" หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอนพร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียมล่ะ พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียม เลยสั่งว่า 2 ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน

    ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มีทางนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ร่างกายก็สมบูรณ์หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส่ สวยบอกไม่ถูก หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า "แปลกใจรึคุณ" หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสบอกว่า "แปลกใจขอรับหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน" ท่านก็บอกว่า "รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยที่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล่วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ"

    หลวงพ่อปาน บอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมากพอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอก "คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสรยใหม่มันถึงจะใช้ได้" นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือน แล้วจึงกลับก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า "ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน" หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้น ครูผึ้ง เป็นฆาวาส อายุ 99 ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ 1 บาท สมัยนั้นเงิน 1 บาท มีค่ามาก เงิน 100 บาท 200 บาท สามารถสร้างบ้านได้ 2 หลัง มีครัวได้ 1 หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ 100 บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย

    เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจพุทธเจ้านี้เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชนนำไปปฏิบัติและมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้

    กลับมาตุภูมิ

    หลังจากที่หลวพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง3 ปี จึงเดินทางกลับวัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านที่ลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือเมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปูคล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ

    อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน

    จากปากคำของผู้ทราบเคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมาพอจะอนุมานได้ดังนี้

    จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า หลวงพ่อปาน ท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วนเสียงดังกังวานไพเราะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือกเศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจที่ใจชั่วมั่วเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา" ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหา ท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมา ปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ บางคนก็เรียกว่า หลวงพ่อบางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆน่ากลัวจะนั่ง ไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 4 หรือ 5 ทุ่ม นั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ

    ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้าน ทั่วไปตามกำลังความสามารถเท่านั้น

    ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่าน ขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวัง จะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวาย สมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ "พระครูวิหารกิจจานุการ" ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี

    1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ

    2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ

    3. หม่อมเจ้าโฆษิต

    4. หม่อมเจ้านภากาศ

    5. ท้าววรจันทร์

    ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่านกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

    หลวงพ่อปานรักษาโรค

    ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น

    บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วยระยะ คือ ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้ เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ "ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"

    เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตุดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นสาวนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคล่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้ เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป

    เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดูก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย รสขม แสดงว่าต้องคุณคนคือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกาบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้าย ใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์ มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผัมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่งเสียคน เป็นต้น

    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่ คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูก กระทำซ้ำ อีกทุกรายมีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ

    คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วยเหมือนกับที่ถูกคุณคนเมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึม ออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจาก รดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย

    รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ

    นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กิน เวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว

    พระคาถา

    (ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ )

    พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว

    พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ

    พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์ ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล

    " วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา

    วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "

    คาถามหาพิทักษ์

    จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง

    ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ

    คาถา มหาลาภ

    นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา พึซังวา อัตถังวา ปัตถังวา

    เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมึมา นะมามิหัง

    ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ

    พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์


    สนใจที่บูชาได้ที่ 34000 บาท

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2011
  19. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงปู่กลิ่น ผู้สืบทอดวิชาหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง
    ประวัติของท่านตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้เเก่ เเละชาวบ้าน

    ที่ได้อยู่ในละเเวกวัดสะพานสูง หลวงปู่กลิ่น ท่านเป็นพระที่มีความกตัญญู เเละนอบน้อมต่อหลวงปู่เอี่ยมซึ่งเป็นอาจารย์ยิ่งนัก จนมีชาวบ้านเล่าขานกันมาช้านานว่า หลวงปู่กลิ่นท่านไม่เคยเหยียบรอยเท้าอาจารย์ เรื่องมีอยู่ว่าช่วงเวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พระเเละเณรจะต้องเดินไปทำวัตรที่โบสถ์ หลวงปู่เอี่ยมท่านจะเดินนำหน้า หลวงปู่กลิ่นท่านจะเดินตามหลัง ท่าจะไม่เหยีบรอยเท่าของหลวงปู่เอี่ยมผู้ซึ่งเป็นอาจารย์เป็นอันขาด ท่านจะเดินเยื้องไปทางซ้ายหรือขวา หรือเวลาท่านจะขึ้นศาลาก็ตามที ท่านจะปฎิบัติเช่นนี้ตลอด ด้วยความกตัญญูกตเวทีของท่านที่มีต่ออาจารย์ ทำให้ชาวบ้านไม่ว่าใกล้ ไกล ให้ความเคารพ ศรัทธาท่านเป็นจำนวนมาก จนชาวบ้านขนานนามท่านว่าหลวงปู่เล็ก เเละเรียกหลวงปู่เอี่ยมว่า หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่กลิ่นท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ เเม้ในยามที่ท่านมรณภาพ ในย่ามของท่านมีเพียงกระดาษอยู่เเผ่นเดียวเขียนว่า .....ของทุกอย่างไม่ใช่ของเรา....

    ส่วนในด้านกฤติยาคม

    ท่านไม่น้อยหน้าใคร เช่น วิชากระสุนคด คือการยิงกระสุนใหโค้งถูกอะไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเห็นสิ่งๆนั้น ชาวบ้านละเเวกวัดสะพานสูงรู้จักกันดี โดยเฉพาะพวกขี้เมาชอบมาเอะอะโวยวายในวัด มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นวัดพระมีคนมาทำบุญในวัดเป็นจำนวนมาก เมื่อทำบุญเสร็จก็เเยกย้ายกันกลับบ้าน คงเหลือเเต่ผู้เฒ่าผู้เเก่ส่วนมากสวดมนต์กันในศาลา ตกค่ำทุกคนก็จะสวดมนต์ เเต่วันนั้นโอกาสดี หลวงปู่กลิ่นขึ้นมาสวดมนต์เเละสนทนาธรรมด้วย ในขณะที่สวดมนต์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงของพวกขี้เหล้าเมายา อยู่ข้างสะพานสร้างความรำคาญอย่างมาก หลวงปู่กลิ่นท่านโกรธมาก ใช้ให้ลูกศิษย์นำคันกระสุนมา เมื่อได้คันกระสุนมา ท่านก็ยิงกระสุนไปที่ต้นมะขามหน้าศาลา ซึ่งอยู่ห่างจากกลุ่มขี้เมามาก เมื่อยิงไปไม่นานเสียงขี้เมาก็เงียบหายไป กลับมีเสียงร้องครวญครางตามมาด้วย เเล้วก็เงียบหายไปในที่สุด

    อาจารย์เเปลก(เเปลกเรือลอย)

    เเกจะอาศัยนอนอยู่บนเรือ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรือลอยไปโดยไม่ใช้ไม้พาย บางครั้งก็จะมาจอดที่หน้าวัดสะพานสูง มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา อยู่ดีๆเรืออาจารย์เเปลกก็มาจอดหน้าวัดสะพานสูง ทันทีที่อาจารย์เเปลกถึงวัด ก็เดินตรงเข้ามาที่กุฎิหลวงปู่กลิ่นทันที เเล้วตรงเข้ามากราบหลวงปู่กลิ่นอย่างนอบน้อม เเล้วเอ่ยถามหลวงปู่กลิ่นว่า ...อาจารย์ลากเรือผมมาที่วัดทำไมครับ หลวงปู่กลิ่นท่านยิ้มเเล้วตอบว่าน้ำปีนี้จะมีมาก อยากให้มาอยู่ที่วัดเสียด้วยกัน เเละเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในปีนั้นเอง เกิดมีน้ำมากจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เเสดงให้เห็นว่าหลวงปู่กลิ่นท่านรับรู้ด้วยญาณก่อนเเล้ว

    วัดสะพานสูงเป็นวัดที่มีพื้นที่หน้าวัดติดกับคลองพระอุดมมีศาลาริมน้ำปลูกเรียงรายอยู่หลายหลัง เเละจะมีศาลาหลังหนึ่งอยู่ติดกับต้นมะขามใหญ่ เป็นเเหล่งรวมของเด็กๆในละเเวกนั้นที่จะมาเล่นน้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นตอนบ่ายวันหนึ่ง อาจารย์เเปลกนั่งอยู่ใต้กุฎิหลวงปู่กลิ่นพร้อมด้วยอาจารย์ผันเเละศิษย์ลูกวัดคนอื่น ในตอนนั้นอาจารย์ผันยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลังจากนั่งสนทนากันพักใหญ่ อยู่อาจารย์เเปลกก็ชี้ไปที่โรงลิเก ซึ่งห่างจากกุฎิหลวงปู่กลิ่นไปประมาณ 200 เมตร เเล้วก็พูดขึ้นมาว่า เดี๋ยวท่านคอยดูนะ เด็กที่อยู่บนโรงลิเกทั้งหมด จะต้องวิ่งมาเล่นน้ำที่ศาลาข้างต้นมะขาม เเล้วอาจารย์เเปลกก็บอกหมดว่าเดี๊ยวคนไหนจะวิ่งเอากางเกงไว้ตรงไหน เเต่จะมีเด็กหัวโก๊ะเเปลกกว่าคนอื่น คือมันจะเอากางเกงโยนขึ้นไปบนศาลา ด้วยความสงสัยจึงมีพระรูปหนึ่งถามอาจารย์เเปลกว่าทำไมต้องโยนกางเกงด้วย อาจารย์เเปลกตอบว่าไอ้โก๊ะมันมีสตางค์ในกระเป๋ากางเกงมันกลัวถูกขโมย พออาจารย์เเปลกพูดจบ หลวงปู่กลิ่นก็เดินลงมาจากกุฎิ เเล้วเดินตรงมายังกลุ่มที่อาจารย์เเปลกนั่งอยู่ เเล้วท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆว่า ไอ้เด็กพวกนั้นมันไม่ได้ลงเล่นน้ำทุกคนหรอกนะ มันปีนขึ้นไปเก็บมะขามคนนึง พอพูดจบท่านก็เดินไปศาลาริมน้ำ หลังจากนั้นไม่นานพวกเด็กๆก็พากันวิ่งไปยังศาลาข้างต้นมะขาม เเล้วถอดกางเกงตามที่อาจารย์เเปลกบอกไว้ทุกอย่าง เจ้าโก๊ะก็โยนกางเกงขึ้นบนหลังคา ส่วนอีกคนก็ปีนขึ้นไปเก็บมะขาม อย่างที่หลวงปู่กลิ่นท่านพูดจริงๆ เด็กพวกนั้นเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ หลังจากเล่นน้ำจนเป็นที่พอใจเเล้ว เด็กๆก็พากันขึ้นจากน้ำ เจ้าโก๊ะก็ปีนไปเก็บกางเกง ส่วนอีกคนก็ลงจากต้นมะขาม พากันกลับบ้าน พวกพระต่างก็พากันเเปลกใจว่า ทำไมเด็กพวกนี้ถึงมองไม่เห็นหลวงปู่กลิ่นซึ่งอยู่ใต้ศาลา เพราะเด็กๆส่วนใหญ่จะกลัวหลวงปู่กลิ่นมาก เพียงเเค่ได้ยินชื่อก็วิ่งกันเเล้ว หลังจากเด็กพวกนั้นกลับกันหมดเเล้ว อาจารย์เเปลกจึงถามหลวงปู่กลิ่นว่า ....วันนี้ร้อนหรือครับอาจารย์ หลวงปูกลิ่นท่านยิ้มเเล้วเดินขึ้นกุฎิไป อาจารย์เเปลกก็หันมาพูดกับพระที่นั่งด้วยกันว่า ..........ท่านอาจารย์กลิ่น ท่านถึงขั้น เดินดินเเต่ตีนไม่เปื้อนดินเเล้วนะ

    เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่กลิ่น

    คนปากเกร็ดทราบกันเป็นอย่างดีครับ
    เคยมีเรื่องเล่าจากอาจารย์ผัน ซึ่งเป็นศิษย์เอกหลวงปู่กลิ่นครับ ท่านเล่าว่า มีครั้งนึงฝนตกอย่างหนัก เเต่ทั้งหลวงปู่กลิ่นเเละอาจารย์ผันจำเป็นต้องเดินฝ่าฝนขึ้นไปทำพิธีที่โบสถ์ครับ หลวงปู่กลิ่นท่านบอกให้อาจารย์ผันท่านกางร่มเดินไปก่อน เเต่เมื่ออาจารย์ผันท่านเดินกางร่มถึงโบสถ์เเล้ว ปรากฎว่าหลวงปู่กลิ่นท่านนั่งประจำที่อยู่ในโบสถ์เเล้ว จีวรของท่านก็ไม่เปียก หรือเเม้เเต่เท้าของท่านก็ไม่เปื้อนดินโคลนเเม้เเต่น้อยครับ
    หลวงปู่กลิ่นท่านยังสร้างตะกรุดเนื้อตะกั่วยาว 1-2.5 นิ้วยาวเกินกว่านี้ อาจมีเเต่ไม่เคยพบเห็น...สักเท่าไรครับ



    ตะกรุดดอกที่ 1. ยาว 4 นิ้ว


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ตะกรุดดอกที่ 2. เล็กกว่าบุหรี ยาว 3.5 นิ้ว


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    หลวงปู่กลิ่น วัดสะพานสูงผู้สืบทอดวิทยาคม (หลวงปู่เอี่ยม)

    สมัยนี้ที่จะหาของหลวงปู่เอี่ยมกัน ต้องยอมรับกันนะครับยากมากๆ หรือหาได้ก็ต้องหลักแสนครับ หลวงปู่กลิ่น ท่านเก่งมากๆครับถือได้ว่าเป็นศิษย์เอกหลวงปู่เอี่ยมก็ว่าได้ ตะกรุดท่านก็ได้ทำตามแบบอย่างอาจารย์ทุกประการ พุทธคุณโดดเด่นมากๆซึ่งเป็นยอมรับกันว่าไม่แพ้อาจารย์ครับ

    ตะกรุดโสฬสมงคล

    ตะกรุด 2 ดอกนี้ได้ลงยัยต์โสฬสมงคลและยันต์ไตรสรณคมณ์ล้อมด้วยบารมี 30 ทัศน์ อักขระยันต์ตามสูตรด้วยเลขยันต์แบ่งเป็น 3 ชั้นมีดังนี้ครับ

    1. ชั้นนอกลงยันต์ 16 ตัวตามสูตร "โสฬสมงคล"

    2. ชั้นกลางลง 12 ตัวตามสูตรของยันต์ "ตรีนิสิงเห"

    3. ชั้นในลงยันต์ 6 ตัว ตามสูตรยันต์ "จตุโร"

    มีความยาว 4 นิ้วดอกใหญ่ (รายการที่ 1.) และ 3.5 นิ้ว (รายการที่ 2.) สวยแท้ดูง่ายสบายตาแผ่นทองแดงเก่าเนื้อกลับ "สำริด"

    มีความหดตัวและรัดของเนื้อทองแดงทำให้มีลักษณะเหมือนก้นแมลงสาบ

    หัวท้ายปลายของตะกรุด เผยให้เห็นรอยจารย์เก่า ของหลวงพ่อกลิ่นอย่างชัดเจน

    รายการที่ 1. ยาว 4 นิ้ว บูชาที่ 4500 บาท

    รายการที่ 2. ยาว 3.5 นิ้ว บูชาที่ 4000 บาท


    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  20. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    กระดาษยันต์สารพัดกัน หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่


    รายละเอียด ออกปี 18 ที่วัดครับ

    ระยะแรกๆ ที่ยังไม่ได้ทำเหรียญ ผู้ที่เคารพนับถือและอยากได้ของดี
    จากหลวงปู่ทิม ได้อัดภาพของท่านขนาดเล็ก มาถวายให้ท่านปลุกเสกแล้ว
    แจกจ่ายกันไป ปรากฏว่าใช้ได้ผลดี ต่อมาหลวงปู่ได้ให้คาถานะกันโมกัน
    พุทธกัน ธากัน นะล้อมโมล้อม และหัวใจต่างๆ จึงได้พิมพ์เป็นภาพ สี่สี
    หลวงปู่ทิม อยู่ภายในอักขระเลขยันต์ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
    สำหรับใส่กระเป๋า พิมพ์มาทั้งหมดเกือบ 60,000 แผ่น ส่วนขนาดใหญ่สีแดง
    ประมาณ 10,000 แผ่น หลวงปู่บอกว่าแผ่นหนึ่ง มีคุณภาพเท่ากับตะกรุด
    ของท่าน 1 ดอก กระดาษชุดนี้มีประสบการณ์มาก บางคนถึงกับพับเลื่ยม
    พลาสติกคล้องคอก็มี ส่วนภาพถ่ายรุ่นก่อนนั้น มักจะเป้นภาพขาวดำ
    ล้วนเป็นภาพหลวงปู่ทิมนั่งสมาธิเต็มองค์ ขนาด 1 นิ้ว


    สนใจบูชาได้ครับที่ 4500 บาท

    ชมของดีๆที่ตกค้างจากกระทู้ประมูลได้ที่นี่ครับ กดเลยครับ

    http://palungjit.org/threads/@-เล่าสู่กันฟัง-บารมีผงพรายกุมาร-หลวงปู่ทิม-ผงพรายกุมาร-@.265940/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Picture 284.jpg
      Picture 284.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.6 KB
      เปิดดู:
      142
    • IMG_0030.JPG
      IMG_0030.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      170
    • IMG_0031.JPG
      IMG_0031.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      158
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...