พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ขอบคุณทุกๆท่านครับ สำหรับคำตอบที่กระจ่าง ผมเองก็ได้รู้และคลายกังวลครับ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านนะครับ:cool:
     
  2. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    มหาวิทยาลัยของพระโพธสัตว์ ดินแดนอันศักดิ์สิทธ์

    มหาวิทยาลัย เป็นเสมือนดินแดนหรือมิติลี้ลับที่ซ้อนทับกันอยู่ ใม่สามารถมองเห็นใด้ด้วยตาเปล่าตั้งอยุ่กึ่งกลางมหาบรรพต ใหญ่3 บรรพต รอบนอกมหาบรรพตทั้ง3มีกำแพงแก้วสีรุ้งกั้นเขตแดนอยู่9ชั้น ลักษณะเป้นสายยาวพันม้วนเป็นเกลียวเล็กๆๆเรียงต่อกันจนดุคล้ายแผ่นแล้วผลึก มหึมา ที่ทอดตัวยาวจากผืนดินจรดแผ่นฟ้า ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนของผู้ที่ปราถนาต่อพระโพธิญาญ ต้องเข้ามาศึกษา ธรรม คือเป็นสถานที่เรียนธรรม ของพระโพธิสัตว์ ซึ้งจะมีอาจารย์ผู้สอนธรรม และต้อง สละ สังขารมาเกิดกายในโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี และเก็บคะแนน เพื่อที่จะกลับไปสอบคืนที่มหาวิทยาลัย โดยอาจารย์ที่สอนจะเป็นคนที่ทดสอบ ถ้าใม่ผ่านต้องลงมาเกิดใหม่ จนกว่าจะสอบผ่านถึงใด้เลื่อนขั้น ไปเรื่อยๆๆ จนกว่าจะใด้รับการ พยากรย์จากพระพุทธเจ้า ว่าเที่ยงแท้แน่นอน ต่อการตรัสรู้
     
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -ท่านอริยมุนีครับ..."อาจารย์ผู้สอนธรรม" จะต้องสร้างบุญบารมีอย่างไร แล้ว

    มีคำเรียก"สรรพนามแทนตัว"ท่านว่าอย่างไรบ้างครับ.
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    เชตวันมหาวิหาร

    -เชตวันมหาวิหารในสมัยพุทธกาล เรียกตามภาษาเรา ๆ ก็คือ "วัดเชตวันฯ"

    -เป็นมหาวิหารที่ประทับของพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ ตั้งอยู่ทางใต้ของนครสาวัตถี

    เมืองหลวงของแคว้นโกศล เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่จำพรรษานานที่สุด

    -ชื่อ"เชตวัน" ได้มาจากพระนามของ "เจ้าชายเชตะ" ซึ่งเป็นพระญาติของพระเจ้าปเสนทิ

    โกศล ราชาผู้ครอบแคว้นโกศล

    -มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิกเศรษฐี (สุทัตตะ) เป็นพ่อค้าเดินทางไปมาระหว่างนครราชคฤห์

    กับนครสาวัตถี

    -ครั้งหนึ่งได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ที่นครราชคฤห์ ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ คือ

    การถือ เอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกถึง

    -อานาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จประทับที่นครสาวัตถี

    -ท่านกลับมาที่นครสาวัตถีแสวงหาที่ดินแปลงใหญ่ได้ 1 แปลงใกล้ตัวเมืองเป็นที่เหมาะแก่

    การโคจร และเป็นที่ตั้งแห่งความสงบได้ ท่านทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของเจ้าชายเชตะ

    จึงไปติดต่อขอซื้อ

    -แต่เจ้าชายเชตะอ้างว่า"ที่ดินพื้นนี้จะสงวนไว้เป็นที่เที่ยวเล่นไม่ขาย"

    -เศรษฐีอ้อนวอนแล้ว อ้อนวอนเล่า เจ้าชายทรงรำคาญจึงแสร้างบอกไปว่า "ท่านต้อง

    เอาเหรียญทองมาเกลี่ยเรียงเหรียญทองปูให้เต็มแปลงได้ก็จะขายให้"

    -อานาถบิณฑิกเศรษฐียอมตกลงตามนั้นด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าจึงได้สั่งให้คนใช้

    ขนเหรียญทองคำมาปูจนเต็มแปลงได้สำเร็จ

    -เจ้าชายเชตะเห็นใจในความเพียรพยายาม และเมื่อรับรู้ว่าจะนำที่ดินแปลงนี้มาสร้างมหา

    วิหารให้แก่พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ จึงขอร่วมศรัทธาในพระพุทธองค์ด้วย

    -เจ้าชายเชตะจึงลดราคาลงไปเพียงครึ่งเดียว โดยให้เศรษฐีนำเหรียญทองคำครึ่งหนึ่ง

    กลับไป เจ้าชายเชตะขอร่วมบุญด้วยครึ่งหนึ่ง

    -เจ้าชายเชตะและอนาถบิณฑิกเศรษฐีร่วมกันบัญชาคุ้มงานก่อสร้าง โดยสั่งให้คนงานหัก

    ร้างถางที่ทำเป็นอุทยานใหญ่จนเป็นที่รื่นรมย์ และให้สร้างมหาวิหาร 7 ชั้น มีกำแพงและคู

    เป็นขอบเขต ภายในบริเวณปันเป็นส่วนสัด มีคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธองค์ มีที่จำ

    พรรษาของพระภิกษุสงฆ์ มีที่เจริญธรรม ที่แสดงธรรม ที่จงกรม ที่สรงน้ำ ที่ฉัน

    ภัตตาหาร ครบถ้วน

    -อานาถบิณฑิกเศรษฐีหมดทรัพย์สินไปในการนี้รวม 36 โกฎิกหาปณะ (1 โกฏิ มีค่า สิบ

    ล้าน) (1 กหาปณะ มีค่า 4 บาท)

    -แม้พระมหาวิหารเชตวันจะเป็นที่สะดวกสบาย แต่พระพุทธองค์ได้ประทับเพียงปีละ 3

    เดือนคือตลอดฤดูกาลที่เข้าพรรษาเท่านั้น บางตำราพุทธประวัติกล่าวว่าพระพุทธองค์

    ประทับที่นี่ถึง 24 ฤดูฝน บางตำราพุทธประวัติก็ว่าเพียง 19 ฤดูฝน

    -แต่ทุกตำราก็ยืนยันว่า "พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหารนานกว่าทุกที่ที่เคย

    ประทับมา".
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01155.gif
      DSC01155.gif
      ขนาดไฟล์:
      52.7 KB
      เปิดดู:
      98
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  5. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    วันนี้ผมบังเอิญไปอ่านเจอข้อความหนึ่งเข้าครับ ก็เกิดวามสงสัยขึ้นมาว่าจริงเท็จประการใด ตามประสาคนความรู้น้อยด้อยปัญญา อ่านแล้วก็ตีความหมายได้ไม่กระจ่าง จึงขอนำลงในกระทู้เพื่อท่านผู้รู้ผ่านมาเจอ ขอได้อธิบายให้ความกระจ่างด้วยครับ......?
    "ศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัว และสิ่งเดียวที่มนุษย์กลัวก็คือ ความไม่รู้"
     
  6. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    มหาวิทยาลัยของพระโพธสัตว์

    -ท่านอริยมุนีครับ..."อาจารย์ผู้สอนธรรม" จะต้องสร้างบุญบารมีอย่างไร แล้ว

    มีคำเรียก"สรรพนามแทนตัว"ท่านว่าอย่างไรบ้างครับ.<!-- google_ad_section_end --> อาจารย์ผู้สอนธรรม ส่วนใหญ่จะเป็นพระมหาโพธิสัตว์ที่ใด้รับการพยากรจากพระพุทธเจ้าแล้ว เช่น พระราม(หลวงปู่ปาน) พระเจ้าปเสน ทิโกศล พระยามาราธิราช อสุทินราหู โสณพราหมณ์ สุภพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ ช้างนาลาคีรี ช้างป่าลิไล ซึ้งบางครั้งใม่ใช่จะสอนอย่างเดียว แต่ก้ต้องลงมาเรียน ยังโลกด้วย สลับเปลี่ยน หน้าที่กันไป โดยการละสังขาร ออกมา เมื่อกลับก็ กลับไปที่สังขารเดิม สรรพนามแทนตัวเรียกว่า อาญาจารย์บ้าง คณาจารย์บ้าง และปรามาจารย์บ้าง ตามแต่ชั้นที่สอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2010
  7. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    ศาสนา

    ศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัว และสิ่งเดียวที่มนุษย์กลัวก็คือ ความไม่รู้" ใช่ครับศาสนาใหม่ๆๆนั้น เกิดมาจากความกลัวของมนุษย์ จากความใม่รู้ และจะให้ความเกรงกลัว ต่อธรรมชาติเช่นฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ภูเขาหรือต้นใม้ใหญ่ โดยให้ความเคารพกราบใหว้ เป็นเทพเจ้า มีการเซ่น ศรวง บูชาสืบต่อกันมากลายเป็นศาสนา จนต่อมาใด้เกิดมีนักบวช เกิดขึ้นมา บางพวกแต่งตำรา สอนกัน ตามความเข่าใจของตนเอง บางพวก ออกบำเพ็ญพรต ใด้ชาญ รู้เห็นบางอย่างก้เอามาสั่งสอนกันต่อๆๆจนกลายเป็นศานา แต่สำหรับศานาพุทธนั้นเกิดจากผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เกิดมาเพื่อ แก้ความหลงผิด ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากผู้ที่ใม่รู้จริงที่ใด้สอนกันเอาใว้ ให้มีความเห็นที่ถูกต้อง<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -ขอบพระคุณอย่างสูงครับ.
     
  9. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ในศาสนาพุทธนั้นมีคัมภีร์ในฝ่ายมหายานมักจะมีกล่าวถึงพระโพธิสัตว์มากมายหลายองค์ แล้วในคัมภีร์ฝ่ายหินยานนั้นมีกล่าวถึงพระโพธิสัตว์บ้างหรือป่าวครับ.......?
     
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระเมตตาของพระโพธิสัตว์พญากวางยอมสละชีพเพื่อชีวิตอื่นอยู่รอด

    -พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าเรื่อง "นิโครธมิคชาดก" เพื่อให้ชี้เหตุในอดีตแก่พระภิกษุสงฆ์รับ

    ฟังมีเหตุอยู่ว่า

    -มีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งรูปร่างงดงาม แต่กลับไม่ยินดีในความงาม เฝ้าอ้อนวอนขอบิดา

    และมารดาเพื่อขอบวชเป็นภิกษุณี แต่บิดามารดาให้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีด้วยกัน

    -อยู่มาวันหนึ่งมีงานนักขัตฤกษ์ ชาวเมืองต่างก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม แต่

    ธิดาเศรษฐีกลับแต่งกายเรียบ ๆ เมื่อสามีเธอถามว่าทำไมจึงแต่งกายเช่นนี้ เธอตอบว่า

    "ร่างกายทั้งหมดของเราเป็นที่เก็บของเสีย ทุก ๆวันเราต้องขับถ่ายของเสียออกมาตั้ง

    หลายทาง ไม่เห็นจำเป็นจะต้องแสร้งแต่งกายไปทำไม"

    -สามีจึงกล่าวว่า "ทำไมเธอจึงไม่บวชเสียเล่า"

    -นางได้ฟังรู้สึกยินดี สามีจึงพาไปบวชเป็นพระภิกษุณีในสำนักของพระเทวทัตซึ่งขณะนั้น

    แยกตัวออกมาจากสำนักของพระพุทธเจ้าแล้ว

    -เมื่อบวชแล้วนางได้บำเพ็ญกิจของภิกษุณีอย่างเคร่งครัด โดยไม่รู้ตัวว่า "นางมีครรภ์กับ

    สามีก่อนที่จะบวช"

    -เมื่อครรภ์ของนางโตขึ้น พระเทวทัตเกรงว่าตนจะเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงสั่งให้นางสึกออก

    ไป

    -นางคิดว่าตนบวชเพื่อถวายชีวิตแด่พระพุทธองค์ มิใช่บวชเพื่อพระเทวทัต นางจึงเดิน

    ทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่เชตวันมหาวิหาร

    -พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณว่า "นางภิกษุณีเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีครรภ์กับสามีก่อน

    ที่จะมาบวช"

    -พระพุทธองค์ประสงค์จะให้คนทั่วไปทราบเรื่องนี้ จึงโปรดให้ตั้งคนขึ้นมาตรวจสอบนาง

    -นางวิสาขามหาอุบาสิการับทำหน้าที่นั้น ได้ตรวจร่างกายและสอบสวนวันเดือนปีที่

    นางออกบวช ได้ความจริงว่า "นางตั้งครรภ์ก่อนออกบวช" นางจึงพ้นความผิดทางพระ

    วินัย และโปรดให้นางจำพรรษาอยู่ในเชตวันได้

    -ต่อมานางภิกษุณีคลอดบุตรเป็นชายมีผิวพรรณผุดผ่อง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงรับ

    ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และตั้งชื่อว่า " พระกุมารกัสสป"

    -พระกุมารกัสสปเมื่อมีอายุได้ 7 ขวบ ได้ทราบชาติกำเนิดของตน จึงเกิดความสลดใจ และ

    ขอออกบวช ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็น"พระอรหันต์ผู้เลิศในการแสดงธรรมอันวิจิตร"

    -นางภิกษุณีผู้เป็นมารดา นับแต่ลูกจากไปก็ได้แต่ร้องไห้คิดถึงลูกจนไม่เป็นอันปฏิบัติรรม

    -เช้าวันหนึ่งบังเอิญได้พบพระกุมารกัสสป จึงร้องเรียกพระลูกชาย พระกุมารกัสสปทราบ

    ว่า ถ้าหากพูดด้วยถ้อยคำไพเราะ มารดาจะตัดความอาลัยไม่ขาดจึงพูดให้สติว่า

    " ท่านเที่ยวทำอะไรอยู่ เวลาผ่านมาตั้งนานแล้วความอาลัยแค่นี้ก็ยังตัดไม่ขาด"

    -นางได้ยินก็เสียใจ ครั้นมีสติคิดตัดอาลัย จึงตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมเป็นพระ

    อรหันต์

    -พระภิกษุได้ทูลถามถึงวิบากกรรมเก่าของนางภิกษุณี พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่อง

    "นิโครธมิคชาดก" ว่า

    - ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีกวางอยู่ 2 ฝูง พญากวางฝูงหนึ่งชื่อ "นิโครธ" พญากวางอีกฝูง

    หนึ่งชื่อ "สาขะ" ต่างก็มีบริวารฝูงละ 500 ตัว

    -ในครั้งนั้น พระราชาจะเสด็จไปยิงกวางเสมอ ๆ วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นพญากวางทั้ง

    สอง จึงมีเมตตารับสั่งไม่ฆ่าพญากวางทั้งสองนี้ แต่ยังคงล่ากวางอื่น ๆ

    -พญากวางทั้งสองจึงปรึกษากันว่า "เพื่อไม่ต้องระแวงภัย ทุกเวลาให้แต่ละฝูงผลัดกันส่ง

    กวางให้ราชสำนักฆ่าวันละ 1 ตัว"

    -อยู่มาวันหนึ่ง ถึงเวรของ"นางกวางทองแก่"ในฝูงของ พญากวางเสขะ

    -นางได้ขอร้องอ้อนวอนต่อพญากวางสาขะ ขอให้นางคลอดลูกก่อนแล้วจะเอาตัวเองไป

    ให้ฆ่า แต่พญากวางสาขะไม่ยอมฟัง ยังถือเอาระเบียบที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด

    -นางกวางจึงไปหาพญากวางนิโครธอีกฝูงหนึ่ง เพื่อขอความช่วยเหลือ

    -เมื่อพญากวางนิโครธได้ฟังแล้วเกิดมีความเมตตาสงสารนางอย่างจับใจ จึงแก้ปัญหา

    โดยยอมสละชีวิตของตนเอง โดยไม่ยอมให้กวางในฝูงของตนตัวใดไปแทน

    -พญากวางนิโครธเดินไปที่ดรงครัว เอาหัววางบนเขียง เมื่อพ่อครัวมาเห็นจึงรีบนำความ

    เข้ากราบทูลพระราชาว่า "กวางที่จะต้องถูกฆ่า คือพญากวางที่พระองค์ทรงให้ยกเว้นชีวิต

    ไว้พระเจ้าข้า"

    -พระราชาจึงทรงไปไต่ถามพญากวางนิโครธว่า "เหตุใดจึงทำเช่นนี้"

    -พญากวางนิโครธจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด

    -พระราชาเมื่อทรงทราบก็เกิดสลดพระทัย และทรงคิดได้ว่า "แม้สัตว์เดรัจฉานยังมีเมตตา

    กรุณาต่อสัตว์อื่น .....เราเป็นถึงพระราชาหากแม้ยังเบียดเบียนชีวิตเขาอยู่ก็น่าละอายนัก"

    -พระราชาจึงทรงประกาศพระราชทานอภัยชีวิตแก่สัตว์ป่าทั้งหลาย และตั้งตนอยู่ใน

    ศีลธรรมอันดีตลอดมานับแต่นั้น

    -พญากวางสาขะ ต่อมาเกิดมาเป็น พระเทวทัต

    -แม่กวาง ต่อมาเกิดมาเป็น ภิกษุณีรูปนี้

    -พระราชา ต่อมาเกิดเป็น พระอานนท์

    -พญากวางนิโครธเสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้าของเรา

    -ข้อคิดที่ได้เห็นในชาดกก็คือ ความเมตตาที่มีอยู่ในพระโพธิสัตว์ และการเลือกผู้นำของ

    เราว่าควรเลือกบุคคลลักษณะใด "มีคุณธรรมเมตตา" หรือ "เห็นแก่ตัว".
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3614.jpg
      3614.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      401
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -มีกล่าวถึงครับ..รายละเอียดผมว่าท่านอริยมุนีน่าจะตอบได้ดีกว่าผมนะครับ.
     
  12. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    พระโพธิสัตว์เถรวาท

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อั๋นวัดสาม [​IMG]
    ในศาสนาพุทธนั้นมีคัมภีร์ในฝ่ายมหายานมักจะมีกล่าวถึงพระโพธิสัตว์มากมายหลายองค์ แล้วในคัมภีร์ฝ่ายหินยานนั้นมีกล่าวถึงพระโพธิสัตว์บ้างหรือป่าวครับ......
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มีครับ ก้ที่ผมเพิ่งโพสไปใงครับ พระโพธสัตว์ในทางหินยาน ที่คำภีกล่าวถึง พระบรม โพธิสัตว์ มีองค์เดียว ตอนนี้ คือ พระศริ อริยเมตไตร ส่วนมหาโพธิสัตว์นั้นมีหลายองค์ เช่น1 พระรามโพธิสัตว์(หลวงปู่ปานวัดบางนมโค) 2พระเจ้าปัสเสนทิโศล3พระยามาราธิราช 4 พระฑีฆชังฆี อสุทินราหู5 โสณพราหมณ์ 6สุภ พราหมณ์7โตเทยยพราหมณ์8 ช้างนาฬาคีรี 9ช้างป่าลิลัย(หลวงปู่- - - -) ชึ่งท่านเหล่านี้ ใด้รับการพยากรจากองสมเด็จพระประทีปแก้ว แล้วว่าเที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ แน่นอน แล้วแต่ใครจะมาก่อนมาหลัง แต่ตามที่ผมเรียงให้ก็ตามลำดับอยู่แล้ว พระโพธิสัตว์ในมหายาน จะเป็นแบบพระอธิพุทธ คือ เกิดจากฌาณ ของพระพุทธเจ้าอีกที เรียกว่าพระฌาณิโพธิสัตว์ หรือใม่ก้เกิดจากการ นิรมานกายของพระพุทธเจ้าอีกที ก่อนที่จะเสด็จสู่พระนิพพาน (แต่จริงๆๆแล้วคุนพี่อั๋น น่าจะมีความรู้ดีกว่าผมในสายมหายาน) ส่วนสายเถรวาทต้องลงมาสร้างบารมีเรื่อยๆๆจนกว่าจะเด็ม ใม่มีการนิรมานกายเหมือนทางมหายานแต่อย่างใด ประวัติของพระโพธิสัตว์หินยานคุนพี่อุตตโมน่าจะรู้ดีกว่าผม ประวัติต่างๆๆต้องให้คุนพี่อุตตโมหามาให้อ่าน
     
  13. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    พี่อุตตโม แลกเปลี่ยนกันมั๊ยครับ อย่างที่คุยกัน อิอิอิ อยากได้หลวงพ่อตาบครับผม มานอกเรื่องหน่อย อิอิอิ
     
  14. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    พระมหาจักวาล

    พระพุทธเจ้า พระองค์แรกของจักวาล หรือองค์ปฐมบรมพุทธเจ้า ทรงเป็นสยัมภู เป็นสรรพพัญญู ห้วงจักวาลใด้เกิดการอิ่มตัวอย่างยิ่งยวด จึงกำเนิดเป็นพระมหาจักวาล พระมหาจักวาลใด้ทรงตื่นบรรทมขึ้นมา ณ ยามแรกที่เปิดพระเนตขึ้น พระองค์ทรงรู้สึกอิ่มเอมพระทัย และพลันคิดไปว่าพุทธเกษตรนี้หนอเป็นดินแดนที่วิเศษเหลือล้น ในฉับพลันนั่นเอง เมื่อความคิดดับสิ้นลง พระองค์ท่านใด้สติพิจริณา เห็นสภาวะของกิเลศที่กำลังจะก่อตัวขึ้นชั่ววูปนั้น พระองค์ท่านทรงพิจารณา เห็นซึ้งจิตของท่านที่ไปยึดมั่นในตัวตน จนเกิดเป็นความรู้สึก สิ่งที่พระองค์ท่านรู้สึกเมื่อครู่ เป็นเหตุอันมิควรอย่างยิ่ง พระองค์พิจารณาลึกลงไป และทรงเห็นตะกอนสีดำแห่งกิเลสก่อตัวขึ้นภายในใจ พระองค์ท่านจึงใช้พระหัตถ์ของพระองค์ล้วงเข้าไปในหัวใจ แล้วควัก เอาก้อนดำแห่งกิเลสออกมา พระองค์ทรงขว้างตะกอนแห่งกิเลส เหล่านั้นไปในจักวาล กลายเป็นกลุ่มดาว16กลุ่ม พระมหาจักวาลใด้ปรารถกับตะกอนดำแห่งกิเลสทั้ง16กลุ่มนั้นว่า เธอจงไปขัดเกลาตนเอง จนเข้าถึงพระนิพพาน แล้วกลับคืนสู่หัวใจอันบริสุทธ์ของเราเถิด และหนึ่งใน16กลุ่มดาวนั้นคือโลกของเรา (หมายความว่า มีโลกคล้ายๆๆกับเรา16โลก อยู่ในจักวาลน้อยใหญ่) โลกซึ้งเป้นเสมือนโรงเรียนชีวิติ อันเป็นสถานที่ให้มนุษย์ใด้ขัดเกลาจิตใจตนเอง จนเกิดปัญญาอย่างแท้จริงแห่งการหลุดพ้น พัฒนายกระดับจิต จนเข้าถึงสภาวะสูงสุด คือการดับอาสะวะกิเลสทั้งปวง และเข้าถึงพระนิพพพาน เพือเข้าคืนสู่หัวใจของพระมหาจักวาล พระอมัตแหล่งพลังงานอันบริสุทธ์ประเสริฐสูงสุด (องค์ปฐม ของโลกพระองค์แรก คือพระพุทธสิกขีทศพล คนละองค์กับพระมหาจักวาล) พระมหาจักวาล ทางมหายานเรียก พระอนุตรธรรมมารดา หลวงปู่ดุลย์ เรียกว่า จักวาลเดิม หรือมหาสูญญตา หรือพระนิพพาน คืออันเดียวกัน ที่เรียกว่าอนุตรธรรมมารดาก้เพราะเป็นแหล่งที่เกิดของจิตญาญ ใม่ใช่เป็นเพศหญิงแต่อย่างใด แต่เรียกด้วยความเคารพ ว่าพระอนุตรธรรมมารดา
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งจริง ๆครับ ขอบพระคุณในความรู้ที่ท่าน

    บรรยายมาอย่างสูง ผมเชื่อว่า"หลายคนแทบจะไม่รู้เรื่องแบบนี้เลย"
     
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ความตั้งมั่นในการบำเพ็ญทานของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

    -ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นมหาอุบาสก เดิมชื่อ "สุทัตตะ" เป็นเศรษฐีที่ตั้งมั่นอยู่ในการ

    บำเพ็ญทานตลอดชีวิตของท่าน

    -ท่านได้สร้างโรงทาน ให้ทานแก่ยาจก วณิพกพเนจรทุกวัน และถวายทานแก่พระสงฆ์เป็น

    นิตย์ เพราะเหตุนี้จึงได้นามว่า"อนาถบิณฑิกเศรษฐี" แปลว่า "เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวเพื่อคน

    อนาถา"

    -หลังจากที่ท่านได้สร้างเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธองค์แล้ว ก็ยังคงใส่ใจบำรุงพระ

    ภิกษุสงฆ์เสมอ ท่านบริจาคทานมากมายจนนับประมาณมิได้

    -มีเทวดาชั้นต่ำและมีมิจฉาทิฏฐิองค์หนึ่ง อาศัยอยู่ในซุ้มประตูคฤหาสน์ของท่าน

    -เวลาที่พระพุทธองค์และพระสาวกเสด็จผ่านเข้าไปในเรือน เทวดาจะไม่พอใจเพราะต้อง

    หลีกทางลงจากซุ้มประตูมาอยู่ที่พื้นดินเป็นประจำ

    -คืนหนึ่งได้ปรากฎกายให้บุตรชายของท่านเศรษฐีเห็นพร้อมกับกล่าวว่า "เลิกทำทานเสีย

    เถิด เพราะสมบัติที่มีอยู่อาจหมดลงได้"

    -บุตรชายจึงนำความมาบอกท่านเศรษฐี แต่ท่านเศรษฐียังคงเลื่อมใสการให้ทานตลอด

    -จนกระทั่งท่านถึงกับจนลงโดยลำดับ ถึงขนาด"กินข้าวกับผัก" แต่ก็ยังตั้งมั่นในการให้

    ทานอยู่

    -เทวดาจึงเข้าไปในห้องเศรษฐีในยามดึกขณะกำลังจะเข้านอน แล้วบอกกับเศรษฐีว่า

    "จงเลิกทำทานเสียเถิด ขณะนี้ก็ยากจนลงแล้ว"

    -ท่านเศรษฐีเห็นว่าเทวดามายุยงให้เลิกทำความดี ถือว่าเป็นเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่

    สมควรให้อาศัยอยู่ในเขตบ้านท่าน จึงได้บอกกล่าวขับไล่ "ท่านจงไปจากที่นี่เถิด"

    -เทวดาเมื่อออกจากบ้านของท่านเศรษฐีไปก็คิดได้และสำนึกผิด"ที่ไปห้ามการทำความดี"

    จึงได้ขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช ขอร้องให้ท่านพูดกับเศรษฐีให้อนุญาตให้ตนเข้าไปอาศัย

    อยู่ในเขตบ้านท่านเศรษฐีตามเดิม

    -ท้าวสักกะตอบว่า "ไม่อาจพูดให้ได้ เพราะท่านได้กล่าวถ้อยคำอันไม่สมควรแก่ท่าน

    เศรษฐี"

    -ท้าวสักกะได้แนะนำให้เทวดาออกไปตามหาทรัพย์สินของท่านเศรษฐีที่สูญหายไปและถูก

    โกงไป กลับคืนมาให้ท่านเศรษฐีให้หมด อันเป็นการทำคุณไถ่โทษ

    -เทวดาจึงได้ไปตามหาทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาให้ท่านเศรษฐี พร้อมทั้งขอให้ยกโทษ

    ให้

    -ท่านเศรษฐีกล่าว่า "ต้องให้พระพุทธองค์ยกโทษให้" รุ่งขึ้นจึงพาเทวดาไปเฝ้าพระ

    พุทธองค์ที่เชตวันมหาวิหารแล้วกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

    -พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้กระทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อกรรมอัน

    เป็นบาปนั้นยังไม่ให้ผล บุคคลผู้นั้นยังได้รับความสุขความเจริญ ต่อเมื่อใดกรรมอันเป็น

    บาปนั้นให้ผล ตนจึงได้รับผลแห่งบาปนั้น"

    -เมื่อกล่าวจบ เทวดานั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล

    -จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสยกย่องท่านเศรษฐีว่า"เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยและมี

    ความเห็นอันบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงเล่าเรื่อง "ขทิรังคารชาดก" เรื่องมีอยู่ว่า

    -ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งได้สร้างศาลาบำเพ็ญทานขึ้น 6 แห่ง

    และยังรักษาศีลห้าและอุโบสถศีลตามกาล

    -ในครั้งนั้น "พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง" นั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด 7 วัน จึงได้ออก

    บิณฑบาตเหาะผ่านมา เศรษฐีเห็นจึงรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ แล้วให้คนรับใช้รับบาตร

    พระปัจเจกพุทธเจ้ามา

    -พญามารเห็นเหตุการณ์ จึงขัดขวางการสร้างบุญบารมีจึงเนรมิตหลุมถ่านเพลิงลึกประมาณ

    80 ศอก มีถ่านไม้ลุกโชติช่วงร้อนแรงคั่นไว้

    -แต่เศรษฐีหนุ่มไม่สะดุ้งกลัว"นึกถึงคุณพระรัตนตรัย" แล้วกล่าวว่า "พญามาร ถึงอย่างไร

    เราก็ไม่ยอมล้มเลิกการบำเพ็ญทานเด็ดขาด แม้จะต้องตายก็ตาม ขอถวายชีวิตเป็นพุทธ

    บูชา"

    -กล่าวจบเศรษฐีได้วิ่งไปบนหลุมถ่านเพลิงทันที

    -ทันใดนั้น ปรากฏดอกบัวใหญ่บานสพรั่งดอกหนึ่งผุดขึ้นจากหลุมถ่านเพลิงรองรับเท้าทั้ง

    สองไว้ เศรษฐีหนุ่มยืนอยู่บนดอกบัวพร้อมกับนำอาหารใส่ลงบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า

    -พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงรับอาหารนั้นแล้วอนุโมทนา แล้วจึงเหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์

    -พญามารเมื่อพ่ายแพ้ก็หายตัวหนีไป

    -เศรษฐีได้กล่าวธรรมถึงการ"บำเพ็ญทานและรักษาศีล" แก่มหาชนที่ชุมนุมอยู่และเห็น

    เหตุการณ์โดยตลอด

    -ผู้คนเหล่านั้นต่างก็เจริญรอยตามท่านเศรษฐีสร้างบุญกุศลไปจนตลอดชีวิต

    -พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้ปรินิพพานไปแล้ว

    -เศรษฐีหนุ่ม เสวยชาติเป็นพระพุทธเจ้า

    ข้อคิดจากเรื่องนี้ คือ การตั้งมั่นในความดีอย่างมั่นคงแน่วแน่ย่อมยังประโยชน์ได้ทุกสถาน.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0262.JPG
      IMG_0262.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      150
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ต้นสาละกับพระพุทธเจ้าของเรา

    -ที่วัดพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี อยู่ห่างจากอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ราว

    ประมาณ 42 กิโลเมตร ผมจึงไปกราบหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์บ่อยครั้ง

    -ก่อนเข้าวิหารผมเห็นต้นสาละที่เป็นพันธุ์ไม้ที่อยู่ในพุทธประวัติอยู่ต้นหนึ่ง ดอกของต้น

    สาละผลิบานอยู่กับต้นสวยงามมาก

    -ผมไม่เคยเห็นต้นสาละจากที่ใด นอกจากที่นี่เพียงแห่งเดียว จึงขอเล่าเรื่องราวของต้น

    สาละที่เกี่ยวกับพุทธประวัติดังนี้

    -พระพุทธองค์ทรงประสูติภายใต้ต้นสาละใหญ่ ณ อุทยานลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิล

    พัสดุ์ แคว้นสักกะ กับ กรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

    -ในช่วงเวลานั้นแดดอ่อนดวงตะวันยังไม่ขึ้นตรงศีรษะ เป็นวันเพ็ญ เดือน 6 ก่อนพุทธ

    ศักราช 80 ปี ยามนั้นอากาศปลอดโปร่ง

    -ต้นไม้ในป่าสาละอุทยานลุมพินีกำลังผลิดอกออกใบอ่อน ดอกไม้นานาพรรณกำลังเบ่ง

    บานส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

    -ต่อมาอีก 35 ปี เวลายามสามของวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชาย

    สิทธัตถะซึ่งอยู่ในเพศนักบวช ได้ทรงบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ร่มเงาพระ

    ศรีมหาโพธิ์ แต่ก็ยังอยู่ภายในป่าสาละ ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลาเสนา

    นิคม แคว้นมคธ

    -ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน 8 ภายหลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ ก็ได้เสด็จมาที่บริเวณป่าสาละอันร่ม

    รื่น ณ อุทยานมฤคทายวันหรือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือใกล้เมืองพาราณสี

    แคว้นกาสี

    -ณ ที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมครั้งแรก คือ ธัมมจักกัปปวัฒนสูตร เพื่อโปรด

    ปัญจวัคคีย์ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงบังเกิดขึ้นสมบูรณ์

    -เมื่อพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ได้เสด็จถึงสาละวโนทยานหรือสวนป่าไม้

    สาละของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ เป็นเวลาใกล้ค่ำของวันเพ็ญ เดือน

    6 วัดสุดท้ายก่อนการเกิดพุทธศักราช

    -พระพุทธองค์ได้มีรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดที่บรรทมระหว่างต้นสาละใหญ่ 2 ต้น ทรง

    เอนพระวรกายลงโดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ "ประทับไสยาสน์แบบสีหไสยาเป็นอนุฏ

    ฐานไสยา" คือ "เป็นการนอนครั้งสุดท้ายจนกระทั่งสังขารดับ"

    -ผมจึงเห็นว่า "ต้นสาละ" เป็นต้นไม้ที่เป็นมงคล เหมือนกับโลกสร้างสิ่งสวยงามนี้ขึ้นมา

    เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธองค์ในช่วงที่สำคัญของชีวิตพระพุทธองค์

    -เพื่อนสมาชิกท่านใด หรือ ท่านผู้อ่านกระทู้ท่านใดยังไม่เคยเห็น ก็เชิญเที่ยวชมได้ที่วัด

    พระนอนจักรสีห์ แล้วท่านจะรู้ว่า"ดอกไม้เป็นสีอะไร" ทำไมถึงได้มาอยู่ในช่วงชีวิตที่

    สำคัญของพระองค์ผู้มีบุญบารมีสูงสุดครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009646.jpg
      24012009646.jpg
      ขนาดไฟล์:
      709.5 KB
      เปิดดู:
      266
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  18. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    พระมหาจักวาล

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อริยมุนี [​IMG]
    พระพุทธเจ้า พระองค์แรกของจักวาล หรือองค์ปฐมบรมพุทธเจ้า ทรงเป็นสยัมภู เป็นสรรพพัญญู ห้วงจักวาลใด้เกิดการอิ่มตัวอย่างยิ่งยวด จึงกำเนิดเป็นพระมหาจักวาล พระมหาจักวาลใด้ทรงตื่นบรรทมขึ้นมา ณ ยามแรกที่เปิดพระเนตขึ้น พระองค์ทรงรู้สึกอิ่มเอมพระทัย และพลันคิดไปว่าพุทธเกษตรนี้หนอเป็นดินแดนที่วิเศษเหลือล้น ในฉับพลันนั่นเอง เมื่อความคิดดับสิ้นลง พระองค์ท่านใด้สติพิจริณา เห็นสภาวะของกิเลศที่กำลังจะก่อตัวขึ้นชั่ววูปนั้น พระองค์ท่านทรงพิจารณา เห็นซึ้งจิตของท่านที่ไปยึดมั่นในตัวตน จนเกิดเป็นความรู้สึก สิ่งที่พระองค์ท่านรู้สึกเมื่อครู่ เป็นเหตุอันมิควรอย่างยิ่ง พระองค์พิจารณาลึกลงไป และทรงเห็นตะกอนสีดำแห่งกิเลสก่อตัวขึ้นภายในใจ พระองค์ท่านจึงใช้พระหัตถ์ของพระองค์ล้วงเข้าไปในหัวใจ แล้วควัก เอาก้อนดำแห่งกิเลสออกมา พระองค์ทรงขว้างตะกอนแห่งกิเลส เหล่านั้นไปในจักวาล กลายเป็นกลุ่มดาว16กลุ่ม พระมหาจักวาลใด้ปรารถกับตะกอนดำแห่งกิเลสทั้ง16กลุ่มนั้นว่า เธอจงไปขัดเกลาตนเอง จนเข้าถึงพระนิพพาน แล้วกลับคืนสู่หัวใจอันบริสุทธ์ของเราเถิด และหนึ่งใน16กลุ่มดาวนั้นคือโลกของเรา (หมายความว่า มีโลกคล้ายๆๆกับเรา16โลก อยู่ในจักวาลน้อยใหญ่) โลกซึ้งเป้นเสมือนโรงเรียนชีวิติ อันเป็นสถานที่ให้มนุษย์ใด้ขัดเกลาจิตใจตนเอง จนเกิดปัญญาอย่างแท้จริงแห่งการหลุดพ้น พัฒนายกระดับจิต จนเข้าถึงสภาวะสูงสุด คือการดับอาสะวะกิเลสทั้งปวง และเข้าถึงพระนิพพพาน เพือเข้าคืนสู่หัวใจของพระมหาจักวาล พระอมัตแหล่งพลังงานอันบริสุทธ์ประเสริฐสูงสุด (องค์ปฐม ของโลกพระองค์แรก คือพระพุทธสิกขีทศพล คนละองค์กับพระมหาจักวาล) พระมหาจักวาล ทางมหายานเรียก พระอนุตรธรรมมารดา หลวงปู่ดุลย์ เรียกว่า จักวาลเดิม หรือมหาสูญญตา หรือพระนิพพาน คืออันเดียวกัน ที่เรียกว่าอนุตรธรรมมารดาก้เพราะเป็นแหล่งที่เกิดของจิตญาญ ใม่ใช่เป็นเพศหญิงแต่อย่างใด แต่เรียกด้วยความเคารพ ว่าพระอนุตรธรรมมารดา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิงจากอุตตโม
    -เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งจริง ๆครับ ขอบพระคุณในความรู้ที่ท่าน

    บรรยายมาอย่างสูง ผมเชื่อว่า"หลายคนแทบจะไม่รู้เรื่องแบบนี้เลย"คุนพี่อุตตโมเคยใด้ยินใด้รู้มาบ้างหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องพระมหาจักวาล ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ เพราะคนที่บอกกล่าวเรื่องนี้ท่านเป็นถึง พระมหาโพธิสัตว์หนึ่งในสิบองค์ ที่ใด้กล่าวไปข้างต้น และมีเรื่องราวที่คนภายนอกมหาวิทยาลัยยังใม่รู้อีกเยอะเลย แต่ในมหาวิทยาลัยนั้นมีทุกอย่าง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ศึกษากันชั่วชีวิต ยังใม่หมดเลย มีหนังสือข้อมูลเป็นล้านๆๆเล่ม มีประวัติของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์แรกจนถึงองค์ปัจจุบัน เป็นล้านๆๆองค์
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -นับถือท่านอริยมุนีจากใจจริง...และต้องขอให้ท่านช่วยบรรยายให้ความรู้เรื่อง

    นี้เพิ่มเติมเรื่อย ๆนะครับ เพื่อเกิดปัญญาแก่เพื่อนสมาชิก,ผู้อ่านกระทู้ทุกคนที่

    ต้องการศึกษารวมทั้งผมด้วยครับ.

    ครับ
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์อสุรินทราราหู

    -สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เชตุวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี

    -ครั้งนั้นอสุรินทราหู ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกอสูร ได้สดับเกียรติคุณของพระพุทธองค์มากมาย

    หลายอย่าง อาทิว่า พระองค์เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นศาสดาของเทวดา

    และมนุษย์ทั้งหลาย จึงคิดอยากจะไปเข้าเฝ้า

    -แต่ด้วยความเป็นผู้มีทิฏฐิมานะเห็นว่า "พระพุทธองค์เป็นมนุษย์แถมมีร่างกายเล็ก" ถ้าตน

    เองเข้าไปเฝ้าแล้วจะต้องก้มศีรษะพูดกับพระองค์เป็นการแสดงคารวะอีก เพราะตนเองไม่

    เคยก้มศีรษะให้ใคร จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่นานแสนนาน

    -แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า "พระพุทธองค์จะทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดั่งที่ชาว

    โลกร่ำลือกันหรือเปล่า" จึงตัดสินใจเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ

    -ก่อนที่ อสุรินทราหูจะเข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์ทรงทราบความในใจของอสุรินทราหู มี

    ความประสงค์จะทรมานให้คลายทิฏฐิมานะ

    -เมื่ออสุรินทราหูเข้าเฝ้าจึงเสด็จบรรทมในพระแท่นที่ประทับ ทรงทำปาฏิหาริย์เนรมิตพระ

    วรกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูหลายเท่า แม้พระบาททั้งสองที่ประทับซ้อนกันอยู่ก็สูง

    กว่าอสุรินทราหูเสียอีก

    -แทนที่อสุรินทราหูจะก้มศีรษะสนทนากับพระพุทธองค์ดังที่เคยคิดไว้ กลับต้องแหงนหน้า

    ขึ้นสนทนาและชมพระพุทธลักษณะอันงดงามยิ่งนัก

    -อสุรินทราหูเกิดปลื้มปิติอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ลดทิฏฐิมานะลงอย่างทันตาเห็น ประกอบกับมี

    ใจเลือมใสในพระพุทธองค์และยึดถือเป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป

    -ในเหตุการณ์นี้ อสุรินทราหูได้เปล่งคำนมัสการพระพุทธองค์ว่า "ตัสสะ" ซึ่งเป็นคำหนึ่ง

    ในคำนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ "นะโม "ตัสสะ" ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา

    สัมพุทธัสสะ"

    -และพระพุทธกริยาตอนนี้ ทำให้เกิด"พระพุทธรูปปางไสยาสน์" ขึ้นเป็นพระประจำวันของผู้

    ที่เกิดวันอังคารครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009645.jpg
      24012009645.jpg
      ขนาดไฟล์:
      723.4 KB
      เปิดดู:
      151
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...