พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    "นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุฌันตัง

    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ"

    -เป็นบทสวดภาษาบาลีพระคาถา "พระชัยมงคลคาถา(พาหุง)" ว่าด้วยความมี

    ชัยของพระพุทธองค์ตอนที่สาม ตอนที่มีชัยแก่ "พญาช้างนาฬาคิรี" อันเป็น

    หนึ่งในแปดของบทสวดจากชัยชนะทั้งแปดครั้งของพระพุทธองค์

    -ถอดใจความแปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า

    "ด้วยเดชานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นจอมมุนี ได้ทรงชนะพญาช้าง

    นาฬาคิรีซึ่งกำลังเมามันร้ายแรงเหมือนไฟป่าที่ลุกลามร้องโกญจนาทเหมือนฟ้า

    ฟาด ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ พระเมตตานั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน"

    -เหตุการณ์ครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก พระเทวทัตต์ซึ่งมีความอิจฉาพระพุทธเจ้าที่มีผู้

    เคารพกราบไหว้บูชาเป็นจำนวนมาก คิดจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าและขึ้น

    ปกครองสงฆ์เสียเอง จึงร่วมกับพระเจ้าอชาตศัตรูมอมเหล้าพญาช้างนาฬาคิรี

    ซึ่งเป็นช้างพระที่นั่งของพระเจ้าอชาตศัตรูถึง 16 หม้อ พญาช้างกำลังตกมัน

    เมื่อบวกกับความเมาจึงมีแต่ความบ้าคลั่ง พระเทวทัตต์และพระเจ้าอชาตศัตรู

    จึงได้สั่งควาญช้างปล่อยพญาช้างนาฬาคิรีเพื่อไปทำร้ายพระพุทธเจ้าขณะ

    กำลังทรงบิณฑบาตพร้อมพระสาวกในยามเช้าอยู่ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ

    -พญาช้างนาฬาคิรีกำลังตกมันเมามายบ้าคลั่งอาละวาดไปทั่ว ชาวเมืองพากัน

    แตกตื่นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง และพญาช้างได้วิ่งกระโจนเข้า

    ใส่หมายทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ก่อนที่พญาช้างนาฬาคิรีจะถึงพระพุทธองค์

    พระอานนท์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ได้รีบเข้ามาขวางหน้าพระพุทธองค์ไว้ด้วยความ

    จงรักภักดีหมายสละชีพปกป้องพระพุทธองค์

    -พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า "อานนท์ นั่นเธอจะทำอะไร หลีกไปเถอะอย่าป้องกันเราเลย"

    -พระอานนท์ตรัสตอบไปว่า "อันตรายพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ ชีวิตของ

    พระองค์มีค่ายิ่งนัก ทรงเปรียบดังแสงสว่างสร้างคุณประโยชน์แก่ชาวโลก ถึง

    แม้ข้าพระองค์จะตายไปก็ไม่เสียดายชีวิตหรอกพระเจ้าข้า"

    -พระพุทธองค์ทรงเตือนพระอานนท์ "หลีกไปเถิดอานนท์ ไม่มีใครเอาชีวิต

    ตถาคตได้หรอก เราสร้างบารมีไว้ดีแล้ว"

    -พระอานนท์เชื่อฟังพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ยืนสงบนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น และ

    แผ่เมตตาพร้อมบุญกุศลที่ได้ทรงสะสมมานับหลายแสนชาติให้พญาช้างนาฬา

    คิรี ทำให้พญาช้างนาฬาคิรีหยุดชะงักลงต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ พร้อมกับใจ

    ซึ่งเปี่ยมไปด้วยโมหะโทสะก็สงบลง

    -พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พญาช้างนาฬาคิรีว่า "นาฬาคิรีเอ๋ย ที่เธอกำเนิด

    เป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้เพราะเธอทำกรรมไม่ดีไว้ในชาติก่อน เธออย่าทำ

    กรรมหนักเช่นทำร้ายเราผู้เป็นพระพุทธเจ้าเลย เพราะจะเป็นบาปติดตัวเธอไป

    ชั่วกาลนาน"

    -พระพุทธองค์ตรัสจบลง พญาช้างนาฬาคิรีที่ดูคลุ้มคลั่งเมื่อสักครู่สงบลงและ

    แสดงอาการสำนึกผิดโดยหมอบลงแทบเท้าต่อหน้าพระพักตร์แสดงความ

    เคารพต่อพระพุทธองค์

    -พระพุทธองค์ทรงชนะพญาช้างนาฬาคิรีด้วยพระเมตตาบารมี

    -"พญาช้างนาฬาคิรี" เชือกนี้นี่แหละ คือ พระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเพื่อสร้างบารมี

    และชดใช้กรรม พญาช้างนาฬาคิรีเป็นผู้ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธโคดม

    พระพุทธเจ้าในยุคของพวกเราว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

    ทรงพระนามว่า "พระติสสพุทธเจ้า" อยู่ในสมัยกาลมัณฑกัป จะได้ตรัสรู้ที่ควง

    ต้นไม้นิโครธ(ต้นไทร) มีพระวรกายสูง 80 ศอก มีพระชนมายุ 80,000 ปี

    ชาวบ้านชาวเมืองในสมัยพระองค์อาศัยต้นกัลปพฤกษ์ที่เกิดขึ้นด้วยพุทธานุ

    ภาพ ซึ่งมีเนยใส เนยข้น น้ำมันและของเคี้ยวทุกอย่างเลี้ยงชีวิตโดยไม่ต้องทำ

    มาหากินอะไร

    -ในอดีตชาติของพญาช้างนาฬาคิรีสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า เสวยชาติเป็น

    "พระเจ้าธรรมเสน" ได้รับฟังพระธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า และมีความ

    เคารพศรัทธาปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งใน

    อนาคตกาล ได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วทรงใช้เล็บพระหัตถ์ของพระองค์ที่มี

    ความยาวและคมจิกที่คอของพระองค์และตัดพระเศียรถวายเป็นพุทธบูชาแด่

    พระโกนาคมนพุทธเจ้า

    -ใน"พระคัมภีร์อนาคตวงศ์" ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตอีก 10 พระองค์

    ที่จะมาตรัสรู้เป็นลำดับ ๆ ไป นับตั้งแต่"พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า" เป็น

    ลำดับแรก ซึ่ง"พญาช้างนาฬาคิรี"จะตรัสรู้อยู่ลำดับที่ 9 และที่นำ "พญาช้าง

    นาฬาคิรี"มากล่าวถึงก็เพราะท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน "อัตตภาพ"ของท่านต่ำกว่า

    มนุษย์อย่างพวกเรายิ่งนัก

    -และยังมี "พญาช้างปาลิไลยกะ" ที่เป็นช้างที่อุปัฏฐากพระพุทธโคดมตอนที่

    พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายพระสาวกที่ไม่สามัคคีปรองดองกัน เอาแต่ทะเลาะ

    แย่งชิงกันเป็นใหญ่และไม่เชื่อฟัง จึงทรงปลีกวิเวกเสด็จมาอยู่ในป่าแต่เพียง

    ลำพังพระองค์เดียว และได้พญาช้างปาลิไลยกะกับพญาลิงคอยถวายน้ำและ

    ผลไม้ ตามที่ปรากฏเค้ามูล"พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์" อันเป็นพระพุทธรูป

    ประจำวันของผู้ที่เกิดวันพูธตอนกลางคืน

    -ซึ่ง"พญาช้างปาลิไลยกะ"ก็ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธองค์ว่าจะตรัสรู้เป็นพระ

    พุทธเจ้าเช่นกันในอนาคตกาลต่อจาก "พระติสสพุทธเจ้า" ทรงพระนามว่า

    "พระสุมังคลพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นลำดับที่ 10

    -เพราะความต่ำต้อยของ "อัตตภาพที่ต่ำกว่ามนุษย์เรา" ผมจึงขอน้อมนำเรื่อง

    ราวของพระองค์ท่านมาวินิจฉัย

    -"ความต่างกันของสัตว์และมนุษย์" ข้อหนึ่งในหลาย ๆ อย่าง คือ สัตว์ไม่

    สามารถบรรลุธรรมใด ๆ ได้เลย แต่มนุษย์อยู่ในฐานะที่บรรลุธรรมได้

    -"เงื่อนไข"ของมนุษย์ที่สามารถบรรลุธรรมได้ คือ การปฏิบัติตามองค์มรรค 8

    ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงชี้แนะไว้แล้ว และยังทรงตรัสรับรองว่า "เมื่อใดที่มีการ

    ปฏิบัติเดินทางตามองค์มรรค 8 เมื่อนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย"

    -แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่ก็เพิกเฉย จึงเป็นที่น่าเสียดาย"ข้อธรรมอันมีค่า" ดัง

    กล่าวที่เราพบเห็นแล้ว เพียงแค่เราละเว้นความชั่ว ทำความดี และทำจิตให้

    บริสุทธิ์ด้วยการปฏิบัติตามข้อธรรมเพียงข้อเดียว คือ องค์มรรค 8 ก็สามารถ

    บรรลุธรรมระดับใดระดับหนึ่งได้

    -ส่วนข้อปลีกย่อยขององค์มรรค 8 จะเป็นเช่นไรก็อยู่ในข่ายที่เราสามารถค้นหา

    ตามตำราและพึงนำมาปฏิบัติสร้างสมบารมีให้เต็มล้นได้จึงไม่ขอแจงราย

    ละเอียดอีก "เป็นการสมควรหรือไม่ที่พวกเราจะปล่อยให้ข้อธรรมองค์มรรค

    8 นอนเนื่องอยู่ในคัมภีร์ตลอดไป โดยไม่สนใจลองนำมาปฏิบัติเอาเสียเลย"

    -กล่าวถึงพญาช้างโพธิสัตว์ทั้งสอง แม้จะมีคุณธรรมและบุญบารมีมากอยู่ก็ไม่

    อาจบรรลุธรรมได้เลย ด้วยภาวะแห่งสัตว์เดรัจฉาน

    -การเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ถึงขนาดพระโพธิสัตว์ทั้งสองยอมที่จะ

    ไม่บรรลุธรรม แต่ยอมที่จะรับกรรม บางชาติก็ตกนรกด้วยอกุศลกรรมที่ทำไว้

    ตามมา ขึ้นชื่อว่า "ไฟ" แม้เพียงไฟก้นบุหรี่จี้ที่แขนพวกเราเพียง 2 วินาที

    เราก็ร้อนแทบทนไม่ได้ต้องรีบเอามือปัดออกแล้ว ก็แล้วไฟนรกที่ลุกโชนอยู่

    ไม่มีวันดับมันจะร้อนแรงเพียงใด พวกเราจะยอมตกนรกหรือ

    -พระพุทธโคดมของพวกเราในอดีตชาติท่านก็เคยตกนรก เคยเกิดเป็นสัตว์

    เดรัจฉานที่เป็นไปตามอกุศลกรรม เช่น พญาวานร นกคุ้ม เป็นต้น พระองค์มี

    โอกาสบรรลุธรรมในครั้งอดีตชาติตอนเสวยชาติเป็น"สุเมธดาบส" ในสมัย"พระ

    ทีปังกรพุทธเจ้า"แล้ว ขณะที่สุเมธดาบสทอดกายลงบนพื้นถนนที่เป็นโคลน

    ตมเพื่อเป็นสะพานให้พระทีปังกรพุทธเจ้าและพระสาวกเดินเหยียบลงบนตัวของ

    ท่านและข้ามตัวท่านไป แต่พระองค์ก็เพิกเฉยที่จะบรรลุธรรมด้วยปรารถนาที่จะ

    เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

    -และพระองค์ก็ได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกว่า

    พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต โดยพระทีปังกรพุทธเจ้าทรง

    ตรัสขึ้นในเหตุการณ์อดีตชาติครั้งนั้นว่า "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ดาบสผู้นี้เธอ

    สั่งสมบรมโพธิสมภารเป็นพุทธังกูรหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์มานาน สืบไปเบื้อง

    หน้ากำหนดได้ 4 อสงไขยมหากัป เธอจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    องค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีศากะมุนีโคดมบรมครู"

    -การบำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ต้องทนทุกข์ยากต่อ

    อกุศลกรรมที่ท่านทำมาส่งผล เช่น "พระโพธิสัตว์พญาช้างทั้งสอง" ที่

    อกุศลกรรมส่งผลให้มาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    -พระพุทธโคดมของพวกเรา มีกำลังญาณแผ่กว้างไกลทรงหยั่งรู้เรื่องราวใน

    อดีตชาติของพระองค์และสัตว์โลกมาก อีกทั้งเรื่องของอนาคต แต่ก็มีขอบ

    เขตกำลังญาณเป็นจำกัด เรื่องที่แจ่มชัดพระองค์ก็สามารถแจงได้โดย

    ละเอียด แต่ถ้าเลือนลางก็ไม่สามารถบอกได้

    -เกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นในอดีตซึ่งอยู่ใน"พระคัมภีร์พุทธ

    วงศ์" พระองค์ทรงรับรองว่ามีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในอดีตจำนวนมากยิ่งกว่า

    เม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ แต่ที่พระองค์ทรงนำมากล่าวเล่าไว้มีจำนวน

    27 พระองค์ คือ

    -พระตัณหังกร , พระเมธังกร , พระสรณังกร , พระปัจฉิมทีปังกร , พระ

    โกญฑัญญะ , พระสุมงคล , พระสุมนะ , พระเรวตะ , พระโสภิตะ , พระอโน

    มัททัสสี , พระปทุมะ , พระนารทะ , พระปทุมุตตระ , พระสุเมธะ , พระสุชา

    ตะ , พระปิยทัสสี , พระอัตถทัสสี , พระธรรมทัสสี , พระสิทธัตถะ , พระติ

    สสะ ,พระปุสสะ , พระวิปัสสี , พระสิขี , พระเวสสภู , พระกกุสันธะ , พระโก

    นาคมนะ , พระกัสสปะ

    -ซึ่งทั้ง 27 พระองค์ พระองค์ได้เล่าพุทธประวัติให้พระสารีบุตรที่ทูลถามถึง

    พระพุทธเจ้าในอดีต และได้ตรัสถึงพระพุทธเจ้าในอนคตอีก 10 พระองค์ ซึ่ง

    ปรากฎเรื่องราวอยู่ใน "พระคัมภีร์อนาคตวงศ์" คือ

    -1.พระศรีอริยเมตไตรย คือ พระอชิตะเถระสาวกของพระพุทธโคดม

    2.พระรามพุทธเจ้า คือ มานพชื่อ นารทะ ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระ

    พุทธเจ้าจากพระกัสสปพุทธเจ้า

    3.พระธรรมราชาพุทธเจ้า คือ พระเจ้าปัสเสนทิโกศลพระราชาผู้อุปัฏฐากพระพุทธโคดม ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า เกิดเป็นมานพ ชื่อ สุทธมานพ ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

    4.พระธรรมสามีพุทธเจ้า คือ พญาวสวัติดีมาร พญามารแห่งโลกสวรรค์ที่ขี่ช้างพลายคิรีเมขล์พร้อมด้วยเสนามารขัดขวางเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อไม่ให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    5.พระนารทพุทธเจ้า คือ อสุรินทราหู เป็นอุปราชของ พรหมทัตตาสูรเจ้าผู้

    ครองอสูรภิภพ พระองค์เคยเกิดเป็นพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสิริคุตตมหา

    ราช ซึ่งได้บริจาคพระโอรสและพระธิดาให้ยักษ์กิน ซึ่งถือว่าเป็น "ปุตตปริจจา

    โค"(บริจาคบุตรเป็นทาน)

    6.พระรังสีมุนีพุทธเจ้า คือ โสณพราหมณ์หรือจังกีพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ที่ได้

    รับยกย่องจากมหาชนในสมัยพุทธกาลว่า เป็นผู้แตกฉานในคัมภีร์ไตรเภท

    7.พระเทวเทพพุทธเจ้า คือ สุภพราหมณ์ผู้เป็นบุตรของโตเทยยพราหมณ์ ใน

    อดีตเคยเป็นพญาช้างฉัททันต์สมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า

    8.พระนรสีห์พุทธเจ้า คือ โตเทยยพราหมณ์ ผู้เป็นบิดาของสุภพราหม์ เป็น

    พราหมณ์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับสมัยพุทธกาล

    9.พระติสสพุทธเจ้า คือ พญาช้างนาฬาคิรี

    และ10.พระสุมังคลพุทธเจ้า คือ "พญาช้างปาลิไลยกะ"

    -พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญพุทธบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ที่

    พระพุทธโคดมเอ่ยถึงมีจำนวนทั้งสิ้น 510 พระองค์ แต่ที่มีบารมีแก่กล้าที่

    ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตและได้รับพยากรณ์แล้วตามลำดับมีเพียง 10

    พระองค์ที่กล่าวมาเท่านั้น

    -แล้วอีก 500 พระองค์ที่กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่พระองค์ไม่ได้เล่าประวัติหรือ

    เอ่ยพระนาม

    -ก็ขอเอ่ยถึง " หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" สักเล็กน้อยเพื่อให้ได้วินิจฉัยกันว่า "หลวง

    ปู่มั่นเป็น 1 ใน 500 พระโพธิสัตว์ที่พระพุทธโคดมเอ่ยถึงหรือไม่ ก่อนที่ท่านจะ

    เปลี่ยนความตั้งใจเดิมบำเพ็ญเพียรบรรลุเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันชาติ"

    -หลวงปู่มั่นเพียรพยายามที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุในชาตินี้ แต่ปฏิบัติเช่นใดก็ไม่

    สำเร็จ วันหนึ่งหลวงปู่มั่นได้อธิษฐานจิตตั้งสัจจะปฏิบัติธรรมว่า "ถ้าเราไม่รู้

    แจ้งเห็นจริงจะไม่ลุกจากที่นั่งเด็ดขาด"

    -เมื่อจิตสงบถึงที่สุด ท่านได้พิจารณาธรรมทั้งหลายที่ยังติดค้างไม่รู้แจ้ง นำ

    มาแจกแจงพิจารณาอย่างละเอียดจนหมดสิ้นสงสัย นอกจากนี้ยังได้รู้

    อดีตชาติของท่านว่า เคยเกิดเป็น"สุนัข"ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายชาติ จึงคิดได้ว่า

    "เพราะความลุ่มหลงยินดีพอใจในภพชาติจึงต้องกลับมาเกิดเป็นสุนัขซ้ำแล้วซ้ำ

    เล่าไม่มีที่สิ้นสุด"

    -และได้พบสาเหตุที่ทำให้ท่านไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้นั้นเป็นเพราะท่าน

    ตกอยู่ในอำนาจกิเลสอันละเอียดลึกซึ้งที่สุด คือ "ความปรารถนาในพระสัมมา

    สัมโพธิญาณ"

    -ท่านจึงปลงสังเวชว่า เพราะความปรารถนาเช่นนี้จึงหลงวนเวียนอยู่ในภพไม่

    สิ้นสุด "นับแต่นี้เราสลัดทิ้งโดยสิ้นเชิงแล้ว หลุดพ้นจากทุกข์จิตมุ่งสู่กระแส

    พระนิพพาน"

    -หลวงปู่มั่นอยู่ในกระแสทางสู่พระนิพพาน ปฏิบัติธรรมโดยไม่ลุกจากที่นั่งเป็น

    เวลา 3 วัน จนสำเร็จสิ้นความสงสัยในธรรม

    -หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพระเดชพระคุณเจ้าหลายรูป

    ที่ล้วนแต่สำเร็จธรรมขั้นสูงเป็นที่ยกย่องแก่คนทั่วไป

    -ท่านยังสละความปรารถนาเดิมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยเห็นภัยในวัฏ

    ฏสงสาร และท้อแท้ที่จะบำเพ็ญพุทธบารมีต่อไป ท่านไม่ยอมที่จะตกต่ำด้วย

    แรงอกุศลกรรม จึงตัดเป็นอโหสิกรรมด้วยอรหัตตผล

    -ตามความเห็น"ส่วนตัว"ของผม "หลวงปู่มั่นก็คือ หนึ่งในพระโพธิสัตว์ใน

    จำนวน 500 พระองค์" ที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงว่าบารมีไม่แก่กล้าพอที่จะตรัสรู้

    เป็นพระพุทธเจ้าและไม่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์

    หนึ่ง

    -และในความเห็น"ส่วนตัว"ของผม 500 พระโพธิสัตว์ในข่ายนั้นยังน่าจะ

    หมายถึง "สมเด็จพระพุฒาจารย์โต" , "หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง" , "หลวง

    พ่อครูบาศรีวิชัย" , " หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" , "หลวงพ่อครูบาชัยวงศา

    พัฒนา", "หลวงพ่ออุตตมะ" , "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" , "หลวงปู่หงษ์ พรหม

    ปัญโญ" ฯลฯ กล่าวเพียงสังเขป

    -ส่วนที่เป็นฆราวาสก็มีอยู่แต่ต้องละไว้ไม่ขอเอ่ยพระนาม

    -นอกจากนี้ยังมีพระมหากษัตริย์ของขอมในอดีตหนึ่งพระองค์ที่หลวงปู่หงษ์

    ท่านรับรองว่า ท่านคือพระโพธิสัตว์ที่มาสร้างบารมี นั่นคือ "สมเด็จพระเจ้าชัย

    วรมันที่ 7" พระโพธิสัตว์ต่างรู้คุณธรรมและความปรารถนาของกันและกัน

    -เหตุที่ผมยกเอาพระคุณเจ้าดังกล่าวมาเอ่ยนามก็ว่า ด้วยหลักเหตุและผลมิใช่

    กล่าวอย่างลอย ๆ โดยขาดสามัญสำนึก เพราะว่า"พระคัมภีร์พระโพธิสัตว์" ขอ

    เรียกเช่นนี้ ได้แสดงข้อปฏิบัติข้อธรรมและจริยาวัตรเอาไว้ให้เราเทียบเคียงดูว่า

    ผู้ใดปฏิบัติตามแนวนี้จงเชื่อเถิดว่า "ท่านคือพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อสร้างบารมี

    ยิ่ง ๆ ขึ้นไป"

    -แต่ข้อธรรมหนึ่งที่ชี้ชัด "เหมือนยาดำที่แทรกอยู่ในตัวยารักษาโรคทุกขนาน"

    ก็คือ "พระเมตตาหาที่สุดไม่ได้ที่มีอยู่ในพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์" ก็พระคุณเจ้า

    ที่ผมเอ่ยนามมามีอยู่อย่างอลังการทุกองค์แล้วไม่ใช่หรือ

    -ย้อนกลับมาที่ "พญาช้างนาฬาคิรี" หรือ "พญาช้างปาลิไลยกะ" พระ

    โพธิสัตว์ทั้งสองจะไม่เห็นภัยในวัฏฏสงสารบ้างเชียวหรือ ท่านทั้งสองมีบารมี

    ธรรมขนาดจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต "ทำไมท่านจะไม่เห็นภัยวัฏ

    ฏสงสารเช่นเดียวกับหลวงปู่มั่นเห็น"

    -ท่านเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ยอม ท่านจะตกนรกด้วยเหตุอกุศลกรรมใน

    อดีตส่งผลท่านก็ยอม หรือ การเกิดเป็นมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากท่านก็ยอม"เพื่อ

    การเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ด้วยความเมตตาปรารถนาที่จะขนถ่ายสัตว์

    โลกทั้งหลายให้พ้นเวรพ้นกรรมหรือภัยในวัฏฏสงสารในศาสนาของพระองค์

    พระองค์ยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อพวกเราไม่ใช่หรือ"

    -หากบุญกุศลจากข้อเขียนนี้มีอยู่ ก็ขอให้เพื่อนสมาชิกและผู้อ่านกระทู้นี้จงได้

    รับผลบุญกุศลส่งเสริมให้ท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งในฐานะความเป็นอยู่ หน้าที่

    การงาน โชคลาภ และความรักของท่านจงสวัสดีมีชัยสมหวังทุกประการเทอญ

    -จากใจจริงของผม
    "อุตฺตโม"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009624.jpg
      24012009624.jpg
      ขนาดไฟล์:
      634.5 KB
      เปิดดู:
      3,149
    • 24012009639.jpg
      24012009639.jpg
      ขนาดไฟล์:
      748 KB
      เปิดดู:
      2,548
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2012
  2. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ขอคำอธิบาย หัวข้อนี้หน่อยครับ
    ในอดีตชาติของพญาช้างนาฬาคิรีสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า เสวยชาติเป็น

    "พระเจ้าธรรมเสน" ได้รับฟังพระธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า และมีความ

    เคารพศรัทธาปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งใน

    อนาคตกาล ได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วทรงใช้เล็บพระหัตถ์ของพระองค์ที่มี

    ความยาวและคมจิกที่คอของพระองค์และตัดพระเศียรถวายเป็นพุทธบูชาแด่

    พระโกนาคมนพุทธเจ้า
    การทำลายชีวิต ในศาสนาพุทธถือว่าเป็นบาปไม่ใช่หรือครับ แล้วทำไมผู้ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วจึงคิดว่าการเอาชีวิตตนเองถวายจะเป็นบุญกุศลล่ะครับ(นี้ถ้าปัจจุบันหากมีใครศรัทธาเอาอย่าง แล้วเอาชีวิตตนเองถวายเป็นพุทธบูชาจะไม่ยุ่งหรือครับ)....?
     
  3. อัสดงส์

    อัสดงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,319
    ค่าพลัง:
    +3,697
    ทุกอย่างอยู่ที่จุดประสงค์ครับ บุญ แปลว่า รู้สึกดี บาป แปลว่ารู้สึกไม่ดี... กรณีนี้ แม้กระทั่งชีวิตยังยอมสละได้ เพื่อพุทธบูชาถือว่ามีความตั้งมั่นและศรัทธราอันแรงกล้า สิ่งสําคัญที่สุดยังยอมสละ ไม่มีเยอะหรอกครับ ที่มีกําลังใจอย่างนี้ แค่คิดอาจจะดูง่าน แต่ทํายาก...ส่วนทําไปแล้วจะมีผลเป็นกรรมหรือเปล่า ก็คงต้องปล่อยเป็นไปตามกฏแห่งกรรม อย่างเราๆ ไม่อาจหยั่งรู้หรอกครับ[/COLOR]
     
  4. mumanu

    mumanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +256
    อนันตประทีป

    ประทีปดวงหนึ่ง สามารถเป็นสมุฏฐาน จุดประทีปให้ลุกโพลง ขึ้นอีกหลายร้อยหลายพันดวง ยังผู้ที่ตกอยู่ในความมืดให้ใด้รับแสงสว่าง และแสงสว่างนี้ก็มิรู้จักขาดสิ้นไป พระโพธิสัตว์องหนึ่งๆ ย่อมเป็นผุ้กล่าวแนะนำชี้ทางแก่สรรพสัตว์ อีกหลายร้อยหลายพัน ยังสรรพสัตว์เหล่านั้นให้ตั้งจิตมุ่งตรงต่อพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาญ มีจิตที่มุ่งมั่นในธรรมมานุธรรมปฎิบัติใม่รู้จักขาดสิ้นแสดงพระสัทธรรมตามฐานะอันควร ยังสรรพกุศลสมภารของตนเองให้ทวีใพบูลย์ขึ้น นี้แลชื่อ ว่า อนันตประทีป ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีจิตมุ่งมั่นต่อพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาญ เพื่อความเกษมศานแห่งสรรพสัตว์ในอนาคต
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -ขอน้อมอธิบายแด่คุณอั๋นวัดสาม โดยยกเรื่องพระพุทธองค์ในอนาคตอีกสอง

    พระองค์ ที่ได้แสดงการกระทำเช่นเดียวกับ"พญาช้างนาฬาคิรี"ตอนเสวย

    อดีตชาติเป็น"พระธรรมเสน"

    -1."พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า" ในอดีตชาตเคยเกิดเป็น "พระเจ้าสังข

    จักรพรรดิ" พระองค์ได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระสิริมัตตพุทธเจ้า" ได้

    ฟังพระธรรมเทศนาของพระสิริมัตตพุทธเจ้า แล้วมีความเคารพศรัทธาอย่าง

    สูงสุด

    -"เห็นว่า"ทรัพย์ต่าง ๆ โดยพระองค์พิจารณาแล้ว ไม่คู่ควรหรือมีค่า

    เทียบเท่ากับพระธรรมที่พระองค์ได้สดับฟัง ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

    พระองค์จึงได้ตัดเศียรของพระองค์บูชา"พระสิริมัตตพุทธเจ้า" และ"พระ

    ธรรม" ด้วยเห็นว่าเศียรของพระองค์น่าจะมีค่าคู่ควรมากกว่า

    -2."พญาช้างปาลิไลยกะ" พระพุทธเจ้าในอนาคตองค์ที่ 10 พระนาม "พระสุมัง

    คลพุทธเจ้า" ในอดีตชาติเคยเสวยชาติเป็น"พระเจ้ามหาปนาทะ" ได้พบ"พระ

    กกุสันธพุทธเจ้า" และได้สดับฟังพระธรรม เกิดมีความเคารพศรัทธาอย่างสูง

    สุด ได้ใช้เล็บตัดพระเศียรถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระกกุสันธพุทธเจ้าด้วยไม่

    เห็นว่าทรัพย์ใดจะคู่ควรในการถวายบูชา

    -และยังมีอดีตชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ และจดจำชื่อ

    พระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมแก่พระองค์ไม่ได้ เหตุการณ์นั้นพระองค์ได้ใช้ผ้า

    หลายพับพันห่อหุ้มตัวเองแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาตนเอง เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อ

    หน้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจนไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวเป็นเวลานาน และ

    พระพุทธเจ้าที่จุดไฟเผาตนเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจะบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

    ที่มีรัศมีสว่างไสวแผ่ไปไกลยิ่งกว่า"พระโคดมพุทธเจ้า"สมัยเราอีก

    -คุณอั๋นวัดสาม จำเรื่องราวชาดก "พญาเต่าเลือน"(ของเดิมไม่ใช้"เรือน")

    ตอนพระพุทธเจ้าของพวกเราเสวยชาติเป็นพญาเต่าเลือนแล้วได้ช่วยเหลือ

    มนุษย์ที่เรืออับปางเป็นจำนวนมากพาขึ้นขี่หลังไปไว้เกาะแห่งหนึ่ง ต่อมา

    ปรากฎว่ามนุษย์ไม่มีอาหารกินก็ต้องจะเข้าประหัตประหารเพื่อกินเนื้อมนุษย์ด้วย

    กันให้อยู่รอด

    -พญาเต่าเลือนมองเห็นเหตุการณ์เกิดเวทนาสงสาร และหวังจะสละชีพคือเนื้อ

    ของตนเป็นทานให้แก่มนุษย์เล่านั้นเพื่อสร้างบารมีในการเป็นพระพุทธเจ้าใน

    อนาคต พระองค์จึงไต่ขึ้นไปบนหน้าผาแล้วกระโดดลงมาเบื้องล่างถึงแก่

    ความตาย มนุษย์พวกนั้นก็ได้นำเนื้อของท่านมากินเป็นอาหารแล้วนำกระดอง

    เต่าที่มีขนาดใหญ่หงายขึ้น แล้วทำเป็นพาหนะกลับบ้านอย่างปลอดภัย มนุษย์

    รู้คุณของพญาเต่าเลือนจึงได้สร้างรูปของท่านไว้เคารพบูชา อันเป็นเหตุให้

    พระเกจิต่อ ๆ มาเช่น "หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตง" สร้างรูปของพญาเต่าเลือน

    แล้วนำหัวใจพระคาถาพญาเต่าเลือน "นา สัง สิ โม" มาพุทธาภิเษก

    -สรุปคือการสละชีพเลือดเนื้อในหนทางของพุทธภูมิ คือ "ปรมัตถ์บารมี" ด้วย

    เจตนาบริสุทธิ์บารมีจึงจะครบ 30 ทัศ ไม่เช่นนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย

    -อาจจะเรียกว่า"ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้" ไม่บาป

    หรอก

    -และที่ "พระธรรมเสน" ตัดเศียรถวายเป็นพุทธบูชาแด่ "พระโกนาคมน

    พุทธเจ้า" ก็ด้วยเห็นว่า ทรัพย์ใด ๆ ก็ไม่คู่ควรที่จะถวายบูชาพระพุทธองค์

    นอกจากพระเศียรของพระองค์เท่านั้นครับ

    -ขอบคุณครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  6. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ขอขอบคุณครับ ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก แต่ผมอาจจะเบาปัญญาไปนิด ขอให้ท่านช่วยอธิบายต่ออีกสักหน่อย ตามที่ผมอ่านมา ผมว่าจะเข้าข่ายเป็นการบูชายัญตามวิธีของพราหมณ์หรือป่าวครับ....?
    -และยังมีอดีตชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ และจดจำชื่อ

    พระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมแก่พระองค์ไม่ได้ เหตุการณ์นั้นพระองค์ได้ใช้ผ้า

    หลายพับพันห่อหุ้มตัวเองแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาตนเอง เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อ

    หน้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจนไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวเป็นเวลานาน และ

    พระพุทธเจ้าที่จุดไฟเผาตนเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจะบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

    ที่มีรัศมีสว่างไสวแผ่ไปไกลยิ่งกว่า"พระโคดมพุทธเจ้า"สมัยเราอีก
    หากจุดไฟเผาตัวเอง ต่อหน้าพระพักต์ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธองค์ทำไมไม่ทรงห้าม จะถือว่าพระองค์ทรงยอมรับการบูชานั้นหรือไมครับ.....?
    ขอท่านช่วยอธิบายด้วยครับ ผมเชื่อว่ามีอีกหลายท่านก็คงสงสัยแบบผมเหมือนกัน
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -การบูชายัญตามวิธีของพราหมณ์เป็นอย่างไร ผมต้องขอความรู้จากคุณอั๋น

    วัดสามช่วยเขียนอธิบายให้เข้าใจด้วย เพราะผมรู้เรื่องของพราหมณ์น้อยมาก

    -เมื่อเข้าใจแล้วผมสามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่ผมทราบแล้วมาตอบคุณได้

    ว่า"เป็นอย่างเดียวกันไหม"

    -"ขณะจิตจะดับ" หากจิตเป็นกุศลธรรม"สุคติ"เป็นที่ไป(ไปดี)

    -"ขณะจิตจะดับ" หากจิตเป็นอกุศลธรรม"ทุคติ"เป็นที่ไป(ไปไม่ดี)

    -พระพุทธองค์เราต้องยอมรับว่า"ท่านรู้วาระจิตของทุกคน" หากท่านรู้ว่าขณะ

    นั้นจิตพระโพธิสัตว์ที่จะจุดไฟเผาตนเองเพื่อบูชาพระพุทธองค์และพระธรรมมี

    จิตเป็น"อกุศลธรรม" มีหรือท่านจะไม่ทรงห้าม

    -แต่เพราะในขณะนั้น ท่านพิจารณาเห็นว่า"จิตของพระโพธิสัตว์"เป็นกุศล

    ธรรมที่ตั้งใจบำเพ็ญปรมัตถ์บารมี(บุญที่ยิ่งใหญ่) เพื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึง

    ไม่ทรงห้าม

    -พระโพธิสัตว์"ศรัทธาและเคารพธรรม"ยิ่งกว่าชีวิตของตน

    -"พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะของตน" "พึงสละอวัยวะของตนเพื่อรักษา

    ชีวิต" "พึ่งสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม" คติของท่านเป็นเช่นนี้ไม่เหมือนปุถุชน

    เราคิด

    -แล้วเรื่องราวที่ผมเขียนมาก็นำมาจากพุทธประวัติ ที่ท่านตรัสเล่าแก่พระสาวก

    ในแต่ละสถานที่ แต่ละเวลา พระสาวกที่จดจำได้ทั้งหมดคือ "พระอานนท์" ซึ่ง

    พระอานนท์ได้เข้าร่วมสังคายนาพระธรรมร่วมกับพระมหากัสสปหลังจากพระ

    พุทธองค์ปรินิพพานไป และได้ทรงเล่าเรื่องทุกเหตุการณ์ให้จดบันทึกไว้

    -การสร้างบารมีจะมี 10 อย่าง คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญา

    บารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขา

    บารมี

    -เมื่อสร้างบารมีให้ใหญ่ขึ้นมาอีกจะเป็น "อุปบารมีทั้ง 10 อย่าง" และใหญ่ที่สุด

    คือ "ปรมัตถ์บารมีทั้ง 10 อย่าง"

    -ซึ่งถ้าบารมี 30 ทัศเต็มเปี่ยมก็ไปถึงที่หมายได้

    -ว่าด้วยเรื่องการจุดไฟเผาตนเองเพื่อบูชาพุทธองค์นั้น ถ้าผมจำไม่ผิด"พระเจ้า

    อโศกมหาราช" หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระองค์ทรงเคารพ

    ศรัทธาพระพุทธองค์มาก ในคราวที่"พระอุปคุต" เสด็จขึ้นมาเพื่อปราบมารที่

    มารบกวนพิธีอะไรสักอย่างหนึ่ง และในคราวนั้นพระองค์ก็ได้ใช้ผ้าพับพันรอบ

    กายของตนหลายชั้นแล้วจุดไฟเผาตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเช่นกัน.

    -ขอบคุณ"คุณอั๋นวัดสาม" ที่ท่านถามมา "หากผมรู้เรื่องราวโดยละเอียดและไม่

    เกินกำลังสติปัญญาของผมแล้ว ผมยินดีที่จะตอบด้วยความเต็มใจครับ.
     
  8. markerkab001

    markerkab001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +780
    ไม่ว่าพระองค์จะเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็น มนุษย์ที่เคยเป็นบาป แต่ในกาลอนาคตเบื้องหน้าพระองค์จะหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดจากกิเลส ตัวข้าพเจ้าเองก็ขอสาบานว่าจะขอเกิดในภพที่มีพระพุทธองค์อยู่เหนือเกล้าทุกชาติ ทุกชาติไป สาธุ...
     
  9. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่หรอกครับ เคยอ่านเจอเมื่อนานแล้ว ว่าพราหมณ์จะทำพิธีบูชายัญต่อเทพเจ้าเพื่อให้อำนวยพรตามสิ่งที่ขอ
    ก็จะมีการบูชาหลักๆอะไรประมาณนี้มั้งครับ
    ฆ่าม้าบูชายัญ ฆ่าโคบูชายัญ ฆ่าช้างบูชายัญ ฆ่าคนบูชายัญ
    (ผิดถูกประการใด ผู้รู้ช่วยแก้ไขเพื่อความกระจ่างด้วยนะครับ)

     
  10. markerkab001

    markerkab001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +780
    อย่าไปเชื่อมันมากครับพวกนี้ มันบ้า
    พระพุทธเจ้าท่านเคยพูดเรื่องนี้กับพราหม์ครับ
    มีครั้งหนึ่ง
    พระพุทธเจ้า:ท่านพราหมณ์ ท่านบูชายัญสัตว์ด้วยชีวิตแล้วจะได้อะไร
    พราหมณ์ :เพื่อบูชาเทพเจ้าแล้วทั้งสัตว์ และ ตัวข้าพเจ้า จะได้ความสุข ความเจริญ พระเจ้าค่ะ
    พระพุทธเจ้า :ท่านมีลูกไหม
    พราหมณ์ :มี ทำไมหรือพระเจ้าค่ะ
    พระพุทธเจ้า :แล้วท่านอยากให้ลูกท่านเป็นสุข มีความเจริญมั๊ย
    พราหมณ์ : อยากสิ่พระเจ้าค่ะ
    พระพุทธเจ้า : แล้วทำไมท่านไม่ตัดคอลูกของท่านเพื่อบูชาเทพเจ้าหล่ะ
    พราหมณ์ : ทำไมท่านพูดอย่างนี้
    พระพุทธเจ้า : ใครเป็นคนที่อ้างว่า การบรวงสรวง เป็นสิ่งประเสริฐ พวกเขาก็คือนักบวชที่ยึดเรื่องนี้เป็นอาชีพหาเลี้ยงตนเอง ท่านก็ทำตามโดยที่ไม่มีเหตุผล
    พราหมณ์ : ถ้าเช่นนั้นท่านสมณะ อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ข้าพระองค์ควรจะบรวงสรวงแด่พระผู้เป็นเจ้า
    พระพุทธเจ้า :ก็ปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้สิ
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -อนุโมทนากับ คุณ siyan3 ด้วยครับ

    -การเขียนข้อธรรม หรือพุทธประวัติที่เคยได้ยินได้ฟังมาเล่าให้เพื่อนสมาชิก

    และผู้ที่เข้ามาติดตามอ่านกระทู้ได้ฟัง คือ "บุญกุศล" ที่ทำให้เกิดปัญญาตามรู้

    -ผู้ใดมาอ่านข้อเขียนของท่านครั้งหนึ่ง บุญกุศลก็จะเกิดแก่ท่าน 1 ครั้ง และ

    เทวดาที่ประจำตัวของท่าน(มีทุกคน) ก็จะอนุโมทนาและได้บุญกับท่านครั้ง

    หนึ่ง และถ้ามีผู้อ่านข้อเขียนของท่านหลาย ๆคน หลาย ๆ ครั้ง "บุญก็จะเกิด

    แก่ท่านทุกครั้งไปไม่มีที่สิ้นสุด" รวมทั้งผู้ที่อ่านข้อเขียนของท่านก็จะได้รับผล

    บุญไปด้วยทุกครั้ง

    -การให้"ธรรมเป็นทานเป็นเลิศที่สุด" (พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้แล้ว)

    -หากท่านใดมีความรู้ด้านธรรมต่าง ๆ ผมก็"ขอน้อมเชิญชวน"ให้มาร่วมเผย

    แพร่ธรรมด้วยกัน เพราะเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ

    -และก็ผลบุญอันนี้"ไม่ทำให้ท่านตกต่ำทั้งทางโลกและทางธรรมเลย"

    -ผมเขียนเรื่องราวมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านและผู้ที่เข้ามาติดตามอ่านได้อ่าน

    กัน ,ข้อแรก "ผมสุขใจครับ" และก็ชีวิตที่มีอุปสรรคของผมหลาย ๆด้าน มันคลี่

    คลายไปทางดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    -"จะเป็นผลบุญกุศลเกิดจากการเขียนนี้หรือไม่ก็ไม่รู้"

    -พระพุทธองค์ท่านยังทรงตั้งใจเผยแพร่พระธรรม อันเป็นหัวใจและสิ่งสำคัญยิ่ง

    ในการประกาศศาสนาของพระองค์

    -เราเดินตามทางของท่าน "ไม่ผิดทางหรอกครับ" มาช่วยกัน

    -และผมขออนุโมทนากับทุกความเห็นที่แสดงมา และก็ขอรับรองด้วยว่า

    "สิ่งนั้นเป็นบุญกุศลอย่างแน่นอนครับ"
     
  12. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    สมัยเรียนเคยได้ยินได้ฟังว่าศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าทั้งหมด 5 พระองค์
    แต่พอได้มาอ่านข้อเขียนนี้ กลับมี 27 พระองค์.....?
    ช่วยอธิบายขยายความด้วยนะครับ
     
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -เรื่องราวของอนาคตวงศ์ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสตอบแก่พระสา

    รีบุตรในขณะที่พระองค์พร้อมด้วยเหล่าพระภิกษุอยู่จำพรรษาที่บุพพาราม ใกล้

    กรุงสาวัตถี ซึ่งมหาอุบาสิกา "วิสาขา"ได้บริจาคทรัพย์เป็นจำนวน 27 โกฏิ

    สร้างถวาย

    -ตอนหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พระสารีบุตรว่า

    "ดูก่อน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาที่

    สุดมิได้ เราไม่อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ...ดูก่อน พระธรรมเสนาบดี

    สารีบุตร ในอนาคตพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ จักอุบัติขึ้น"


    -ตามพุทธดำรัสแสดงไว้ชัดเจนแล้วว่า "พระพุทธเจ้ามีจำนวนมากจนไม่อาจ

    คำนวณได้" แต่ที่ผมเขียนถึง 27 พระองค์ในอดีตที่ผ่านมาก็เพราะพระ

    พุทธองค์ได้กล่าวตรัสถึงเรื่องราวทั้ง 27 พระองค์ แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทรง

    ตรัสเล่าเรื่อง จึงไม่อาจบอกได้ว่าก่อนหน้านั้น"มีพระนามและประวัติเช่นไร"

    -ที่ท่านเรียนมา ผู้บอกเล่า"น่าจะหมายถึงพระพุทธเจ้าที่อยู่ในภัทรกัปเท่านั้น"

    -พระพุทธเจ้าใน"ภัทรกัป"จะมีเพียง 5 พระองค์ซึ่งถือว่า"ยิ่งใหญ่ที่สุด"

    -"สารกัป" จะมีพระพุทธเจ้าเพียง 1 พระองค์

    -"มัณฑกัป" จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 2 พระองค์

    -"วรกัป" จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 3 พระองค์

    -"สารมัณฑกัป" จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 4 พระองค์

    -ซึ่งกัปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ ยุคของเราที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง 5 พระองค์

    "พระศรีอาริยเมตไตรย" เป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปครับ.
     
  14. pinrat

    pinrat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +1,235
    มี ข้อมูล ของลิงที่อยู่ในภาพมั้ยครับ อ่านแล้วเพลิน
     
  15. ton3170

    ton3170 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,372
    เรื่องถวายชีวิตตัวบูชายัญเทพเจ้าของฮินดู คล้ายๆ กับทางพุทธก็มีให้เห็นเช่นกันครับ

    อย่างเรื่อง รามายณะ (รามเกียรติ์ของอินเดีย)
    ราวัล (ทศกัณฐ์ของไทย) กับน้องปฏิบัติบำเพ็ญบูชาพระพรหมเพื่อขอพร แต่เวลาผ่านไปนานก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายราวัลตัดสินใจตัดศีรษะตัวเองลงกองไฟเพื่อบูชาพระพรหม แต่ต้องตัดหลายครั้ง เพราะพอตัดศีรษะลงกองไฟทุกครั้งก็จะลอยกลับมาต่อที่หัวตัวเองทุกครั้ง จนในที่สุดพระพรหมยอมลงมาให้พร (อันนี้ดูมาจากหนังอินเดียอีกทีนะครับ)

    ส่วนที่คุณอั๋นวัดสามถามว่าเป็นบุญหรือบาป หรือทั้งบุญและบาป สุดปัญญาจะหยั่งรู้สำหรับผมครับ จะเอาชัวร์คงต้องถามพระอริยเจ้าครับ

    ส่วนพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ หมายถึง กัปนี้ครับ
    1 กัป เท่ากับ จักรวาลเกิดและแตกดับหนึ่งครั้ง (ไม่รู้เข้าใจถูก 100% ไหม) หลังจากนั้นจักรวาลจะเกิดใหม่เป็นการเริ่มกัปใหม่อาจจะมีหรือไม่มีพระพุทธเจ้าในกัปนั้นก็ได้ (ส่วนใหญ่จะไม่มี) ส่วนหนึ่งกัปเป็นเวลาเท่าไหร่ให้ลองหาลิ้งค์ หรือเสิร์ชจากอากู๋ดู พระพุทธเจ้าของเราเป็นองค์ที่ 4 ในกัปนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2010
  16. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ที่มา http://palungjit.org/posts/47678
     
  17. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ที่มา http://palungjit.org/posts/49627
     
  18. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ขออนุญาติตอบนะครับ

    เท่าที่ผมเคยได้ยินมาจากครูบาอาจารย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อเล็ก ฯลฯ

    คือพระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา มีมากมายหลายพระองค์ จนนับไม่ได้
    แต่ที่มี 27 พระองค์ นั้นคือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านได้รับพยากรณ์
    มาในระหว่างที่ท่านบำเพิญบารมีเพื่อบรรลุสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าครับ

    แต่ที่ท่านได้เรียนมาว่ามีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น นั่นคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้
    ในภัทรกัปนี้ นั่นเองครับ ซึ่งตอนนี้ตรัสรู้ไปแล้ว ๔ พระองค์ องค์ที่ ๕ คือ
    พระศรีอริยเมตไตร

    ส่วนที่ท่านถามว่า การฆ่าตัวตายนั้นในทางพุทธศาสนานั้นผิด หรือจะเหมือนกันกับในทางพราหมณ์ คือการบูชายันต์

    จริงๆ ในทางพุทธศาสนานั้น เจตนาในการฆ่าตัวตาย กับเจตนาที่ต้องการ
    บริจาคตนเอง กล้าที่จะเสียสละชีวิต ร่างกาย เลือดเนื้อ ของตัวเองเพื่อช่วย
    ผู้อื่นนั้น กำลังใจต่างกันมากนะครับ ถ้ามองจากภายนอก อาจจะเหมือนกัน
    แต่ผู้ที่ฆ่าตัวตายเพราะจิตเศร้าหมอง อยากจะตายให้พ้นจากปัญหา ทำให้ต้อง
    เกิดมารับกรรมจากการฆ่าตัวตาย 500 ชาติ
    ในขณะที่การสละ ร่างกาย ชีวิตตนเองเป็นทานแด่พระพุทธเจ้านั้น กำลังใจของผู้สละ คือเต็มใจที่จะทำบุญกับพระพุทธเจ้า โดยเจตนาในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น
    โดยเอาชีวิต ร่างกาย ตัวเอง สละแทนนั้น ถือว่ากำลังใจท่านเป็นบุญกุศล มากมายยิ่งนักครับ เพราะการให้ทาน คือการสละ แต่นี่ท่านสละแม้แต่ชีวิตตัวเอง
    ไม่ได้หวังว่าตนเองจะได้อะไรในบุญที่ตัวเองสละไป เพียงหวังให้ได้ช่วยผู้อื่น
    ให้ถึงซึ่งนิพพาน จิตเป็นกุศลมากๆ ครับ

    ในทางพราหมณ์นั้นผมไม่ทราบว่ากำลังใจของท่านคือยังไง เลยทำให้ไม่อาจจะบอกได้ครับ
    แต่ ที่สำคัญคือให้ดูที่เจตนา ครับ
     
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณ "คุณ ton3170" และ "คุณ nattadet" เป็น

    อย่างสูงครับที่ช่วยตอบข้อธรรมให้เพื่อนสมาชิกให้หายสงสัย อนิสงฆ์ในการนี้

    จะต้องส่งผลในทางที่ดีในชีวิตของท่านทั้งสองอย่างแน่นอนครับ

    -ใน"ภาพพระพุทธเจ้าปางป่าเลไลย์"นั้น ลิงที่ปรากฎอยู่นั้น ตามพุทธ

    ประวัติไม่ได้กล่าวไว้มากนัก กล่าวไว้แต่เพียงว่า เมื่อลิงได้ถวายรวงผึ้งแด่พระ

    พุทธองค์ซึ่งทรงรับไว้แล้ว เกิดอาการดีใจอย่างมาก ตามวิสัยของลิงเมื่อดีใจ

    ก็ได้กระโดดโลดเต้นปีนไต่ต้นไม้และได้พลัดตกจากต้นไม้ตกลงมาถูกตอไม้

    เสียบตาย "ตายในขณะที่จิตมีปิติและเป็นกุศล" ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรบน

    สวรรค์ ชั้น"ดาวดึงส์"

    -จึงเหลือเพียง"พระโพธิสัตว์พญาช้างปาลิไลยกะที่อยู่ปรนนิบัติพระพุทธเจ้า"

    -พุทธประวัติกล่าวว่า "เมื่อพระภิกษุสงฆ์ได้ตามหาพระพุทธเจ้าจนพบ หลังจาก

    ท่านเสด็จหนีมาอยู่ในป่า แล้วทูลเชิญกลับไป พญาช้างปาลิไลยกะเสียใจที่

    พระพุทธองค์จากไป ได้เดินตามด้วยความอาลัยอาวรณ์และร้องโหยหวลจน

    สิ้นใจตาย ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรชั้นดาวดึงส์"

    -ข้อคิดที่ปรากฎแก่พวกเราก็คือ "ภาวะแห่งเดรัจฉานสามารถได้ดีจนถึงได้ขึ้น

    สวรรค์ก็เพราะอานิสงฆ์ในการถวายทานแด่พระพุทธเจ้า เป็นบุญบารมีที่มาก

    จริง ๆ ครับ".
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2010
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระยาช้างต้นกับลูกสุนัข

    -ผมขอน้อมนำเสนอเรื่องของ"มิตรภาพของเพื่อนอันเป็นที่รักของสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ที่รัก

    ใคร่กลมเกลียวกัน" เพื่อให้เพื่อนสมาชิกและผู้ที่ติดตามอ่านกระทู้ได้อ่าน อ่านแล้วท่าน

    อาจจะมี"ความสุขเล็ก ๆ ประทับที่ใจเป็นที่ระลึก ณ ช่วงเวลานี้" ที่เห็นความน่ารักของสัตว์

    ทั้งสองในอดีตชาติ เป็นเรื่องระหว่าง"พระยาช้างต้นกับลูกสุนัข" ที่พระพุทธเจ้าของเรา

    ได้ตรัสเล่าให้พระภิกษุสาวกได้สดับรับฟังกัน โดยเรื่องมีอยู่ว่า

    -ที่นครสาวัตถี แคว้นโกศล จะมีชายหนุ่มสองคนเป็นเพื่อนที่รักใคร่กลมเกลียวกันมาก ต่อ

    มาเพื่อนคนหนึ่งได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในศาสนาของพระพุทธองค์เรา แต่ชายอีกคน

    ไม่ได้บวชแต่ก็บำเพ็ญตนเป็นอุบาสกที่ทำบุญให้ทานมาโดยตลอด

    -ทุก ๆวันเพื่อนที่เป็นพระจะไปฉันอาหารที่เรือนของเพื่อนอุบาสก เมื่อฉันเสร็จ เพื่อนผู้

    เป็นอุบาสกจะเดินทางร่วมกับพระมาส่งพระที่วัดเชตวันมหาวิหารและนั่งสนทนากันเป็นเวลา

    นาน พอถึงเวลาอุบาสกจะกลับบ้าน พระก็จะเดินมาส่งจนถึงประตูเมือง เป็นเช่นนี้ทุกวัน

    -เรื่องดังกล่าว พระภิกษุทั้งหลาย"เห็นความสนิทสนมรักใคร่ระหว่างพระกับอุบาสก"เป็น

    เรื่องที่ผิดปกติวิสัยทั่วไป จึงได้สนทนากันและทูลเล่าเหตุการณ์ถวายพระพุทธองค์ให้ทรง

    วินิจฉัยว่าเป็นเพราะเหตใด

    -พระพุทธองค์ได้ทรงนำ"ธรรมข้อการถูกอัธยาศัยกันของสัตว์ในอดีตชาติมาตรัสเล่าเป็น

    อุทาหรณ์ให้ฟัง" เป็นชื่อเรื่อง "อภิณหชาดก" เรื่องมีอยู่ว่า

    - ณ โรงช้างของพระเจ้าพรหมทัต มีลูกสุนัขตัวหนึ่งพลัดจากแม่มาอาศัยอยู่ในโรงช้าง

    นั้น พระยาช้างต้นรักและเอ็นดูลูกสุนัขมาก โดยให้ร่วมกินอาหารและขนมนมเนยด้วย

    กัน เมื่อกินแล้วก็จะเล่นหยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน ทั้งพระยาช้างต้นและลูกสุนัข

    อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันด้วยความผาสุกมาโดยตลอด

    -อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาในโรงช้างต้น "เห็นลูกสุนัขมีลักษณะดี ท่าทาง

    เฉลียวฉลาด จึงบังเกิดความเอ็นดู และเอ่ยปากขอซื้อลูกสุนัขจากคนเลี้ยงช้าง เพื่อนำ

    ไปเลี้ยง คนเลี้ยงช้างทนรบเร้าไม่ได้จึงขายให้ไป

    -นับแต่วันที่ลูกสุนัขถูกพรากไปจากพระยาช้างต้น พระยาช้างต้นก็ไม่เป็นอันกินอันนอน

    เหม่อลอยน้ำตาไหลพรากลงอาบแก้ม ใครจะเรียกขานอย่างไรก็ไม่รับรู้ ราวกับว่าหัวใจ

    สลายไปเสียแล้ว

    -เมื่อพระยาช้างต้นมีอาการเช่นนี้หลายวัน คนเลี้ยงช้างจึงนำความขึ้นกราบทูลให้พระเจ้า

    พรหมทัตทรงทราบ พระองค์จึงรับสั่งให้ "อำมาตย์บัณฑิต" ผู้หนึ่งไปตรวจดูอาการของ

    พระยาช้างต้นโดยเร็วพลัน

    -อำมาตย์บัณฑิตได้ตรวจดูอาการแล้ว "ไม่พบความผิดปกติใด ๆ" มีร่างกายแข็งแรงดีไม่

    ได้ป่วยไข้ "จึงสันนิษฐานว่าอาการที่ปรากฎนั้นต้องเกิดจากโรคทางใจ"

    -จึงได้สอบถามคนเลี้ยงช้างว่า "พระยาช้างต้นสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษหรือไม่ ท่านจง

    นึกให้ดี"

    -คนเลี้ยงช้างจึงตอบว่า "เห็นมีลูกสุนัขตัวหนึ่งเข้ามากินและวิ่งเล่นกับพระยาช้างต้นหลาย

    วันแล้วขอรับ....แต่ตอนนี้ได้ขายให้แก่ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักที่อยู่ไป"

    -อำมาตย์บัณฑิตจึงได้กราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบว่า "ที่พระยาช้างต้นมีอาการ

    เช่นนั้น เป็นเพราะคิดถึงลูกสุนัขที่เป็นเพื่อนรักกัน"

    -พระองค์จึงโปรดให้ประกาศไปทั่วเมืองให้ผู้ที่เลี้ยงลูกสุนัขตัวนี้ให้ปล่อยออกมา

    -กล่าวฝ่ายลูกสุนัข เมื่อถูกนำไปเลี้ยงก็มีอาการเช่นเดียวกับพระยาช้างต้น แม้ผู้ที่นำไป

    เลี้ยงจะเอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่มีอาการดีขึ้น เมื่อชาวบ้านผู้เลี้ยงสุนัขได้ยินประกาศดัง

    กล่าว จึงปล่อยมันไป

    -ทันทีที่พ้นจากรั้วบ้านของชาวบ้าน ลูกสุนัขก็ดมกลิ่นจำเส้นทาง และวิ่งอย่างสุดกำลัง

    ตรงมายังโรงช้างต้นด้วยใจที่ลิงโลด

    -พญาช้างต้นเห็นลูกสุนัขวิ่งมาแต่ไกล ก็เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจ และเมื่อลูกสุนัขมา

    ถึงพระยาช้างต้น พระยาช้างต้นได้ใช้งวงกอดรัดไว้ และน้ำตาแห่งความดีใจและปิติก็

    ไหลพรากออกมาจากสัตว์ทั้งสองด้วยกันทั้งคู่

    -พญาช้างต้นค่อย ๆ วางลูกสุนัขไว้บนตระพองด้วยความรักอย่างเดิม แล้วให้ลูกสุนัขกิน

    ข้าวและขนมของตน

    -เมื่ออิ่มแล้วพระยาช้างต้นจึงค่อยกินภายหลังดุจมิตรที่ดีทั่วไป

    -อำมาตย์บัณฑิตเห็นว่า "พระยาช้างต้นเป็นปกติสุขดีแล้ว" จึงไปกราบทูลให้พระเจ้าพรหม

    ทัตทรงทราบ

    -พระองค์ทรงตรัสชมเชยที่ท่านอำมาตย์บัณฑิตรู้อัธยาศัยของสัตว์ และทำให้พระยาช้างต้น

    เป็นปกติสุขเช่นเดิมได้ จึงได้พระราชทานยศและทรัพย์สินเป็นรางวัลจำนวนมาก

    -"ลูกสุนัข" ได้มาเกิดเป็น "อุบาสกผู้เป็นสหาย"

    -"พระยาช้างต้น" ได้มาเกิดเป็น "พระภิกษุผู้เป็นสหาย"

    -"พระเจ้าพรหมทัต" ได้มาเกิดเป็น "พระอานนท์"

    -"อำมาตย์บัณฑิต" ได้มาเสวยชาติเป็น "พระพุทธจ้าของเรา"

    -ข้อคิดที่ได้ก็คือ "ความผูกพันรักใคร่โดยแท้ระหว่างมิตร ย่อมนำความผาสุกมาให้ และแม้

    จะเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ต่างเผ่าพันธุ์กันก็เป็นเพื่อนรักกันได้"

    -ขอน้อมนำเสนอแด่เพื่อนสมาชิกและผู้ที่ติดตามอ่านกระทู้ทุกท่านครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...