ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,904
    ค่าพลัง:
    +6,434
    แนบคำอ่่านและคำแปล จารึกที่กล่าวถึง หลักปฎิจจสมุปบาท หากเข้าใจการดับและการเกิดของวงจรนี้ได้ แล้วก็นำไปปฎิบัติให้เข้าถึงคือดับเหตุแห่งการเกิดได้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับหนึ่งไม่มีสอง คือดับสูญ(มหาสุญญตาหรืออนัตตา)ซึ่งเป็นหนึ่ง ไม่ใช่ยังเกิดตายๆๆซึ่งเท่ากับยังเป็นสอง

    พอดีกลับมาอ่่านสิ่งที่ตัวเองเขียนไปอีกครั้ง อ่านแล้วจึงรู้สึกว่าตัวเองเขียนเหมือนสอนคนอื่น ซึ่งไม่ใช่นะคะ เดี๋ยวคนเข้าใจผิดคิดว่าทางสายธาตุเก่งแล้วหรือ จึงจะมาสอนธรรม ไม่ใช่นะคะ ที่กล่าวนี้เป็นการทวนความเข้าใจของตนเองจ๊ะ จากการอ่านคำว่าหนึ่งไม่มีสอง ได้ยินมาตั้งแต่ครั้งไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ยามว่างดูโทรทัศน์ก็เคยได้ยินหลวงตาบัวเทศน์ว่าหนึ่งไม่มีสอง คำนี้ฟังมาหลายๆๆๆครั้ง แปลไม่ออกสักที เพิ่งเข้าใจตอนที่อ่านธรรมหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    หลังจากอ่านข้อธรรมหลวงปู่ดุลย์แล้วจึงไปอ่านคำสอนหลวงตาบัว จึงพอจะเข้าใจได้บ้างกับคำว่า หนึ่งไม่มีสอง หน่ะจ๊ะ จึงเขียนทวนความเข้าใจตนเองนะคะ ไม่ได้สอนธรรมะนะคะเพราะยังไม่เก่ง แค่เล่าสู่กันฟังถึงความเห็นของตนเองจ๊ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 317_1.pdf
      ขนาดไฟล์:
      31.7 KB
      เปิดดู:
      110
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,904
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    แสดงกระบวนจิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วยวงจรปฎิจจสมุปบาทและขันธ์๕

    หาอ่านได้ค่ะที่ลิงค์ที่ทำไว้ สำหรับทางสายธาตุอ่านแล้วมึนตั้งแต่ชื่อหลักปฎิจจสมุปบาทแล้ว อ่านมาหลายปี จนได้ดูวีดีโอฝึกกรรมฐาน แล้วกลับมาอ่านอีกๆ แล้วปฎิบัติกรรมฐาน กลับมาอ่านอีก ก็ยังไม่กระจ่างแต่ค่อยๆเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติของผู้เริ่มต้นศึกษาคิดว่ามักจะเป็นแบบนี้เองจึงไม่แปลกเลยค่ะ คุณนายเจ๊ที่พวกเราๆจะพูดว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะอริยบุคคลผู้เข้าใจลึกซึ้งในหลักนี้ล้วนเข้าสู่แดนนิพพานไปแล้ว พวกเราจึงต้องวัดรอยเท้าอริยะบุคคลเหล่านั้นไปค่ะ จะนานแค่ไหน จะไกลแค่ไหน จะเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องไปเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยเจ้าหลายองค์ ท่านได้ทำให้พวกเราเห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
    ตามรอยท่านไป
    ตามรอยท่าน
    ตามรอยท่าน
    ตามรอยท่าน
    ตามรอยท่าน
    .
    .
    .
    .
    .
    .


    http://nkgen.com/9.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,904
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ยังไม่ได้ตอบคุณเจ้าจันทร์เลยค่ะ เก็บไว้ก่อนนะคะเพราะยังไม่เคยหาข้อมูลท่านจันทร์มาก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  4. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ จะได้หาเหตุแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมกระทู้บ่อย ๆ ท่าน จขกท คงไม่ว่านะคะ

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ด้วยความยินดียิ่งครับ
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=614><TBODY><TR><TD height=45>ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมกับโครงการธรรมยาตรา ณ พุทธสถานผาซ่อนแก้ว
    ระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๔
    นำโดยพระอำนาจ โอภาโส
    รับ ๘๐ ท่าน ร่วมสนับสนุนโครงการท่านละ ๓,๙๐๐ บาท


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff height=118>

    <TABLE border=0 width=602><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ecxmenu_font_medium width=7>
    </TD><TD class=ecxmenu_font_medium colSpan=4>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=center colSpan=5 align=middle>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=614><TBODY><TR><TD height=45>อิ่มบุญ อิ่มใจ ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๕๔

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff height=118>

    <TABLE border=0 width=602><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ecxmenu_font_medium width=7>
    </TD><TD class=ecxmenu_font_medium colSpan=4>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=center colSpan=5 align=middle>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เที่ยวตามรอย...สมเด็จพระนเรศวรฯ

    <!-- main-content-block --><!--7 พฤศจิกายน 2553 - 00:00-->7 พฤศจิกายน 2553 - 00:00


    การท่องเที่ยวในรูปแบบตามซีรีส์ละครภาพยนตร์ดัง กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ โดยเฉพาะประเทศเกาหลีใต้ ไม่ว่าใครซื้อแพ็กเกจทัวร์ไปเกาหลีเป็นต้องได้ไปสถานที่ถ่ายทำแทบทุกทริป ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่บ้านเราจะมีที่เที่ยวตามรอยละครหรือที่เที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์เช่นนี้บ้าง
    หลังจากปล่อยให้เที่ยวตามรอยหนังแดนกิมจิอยู่นาน มาคราวนี้กระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี อาสาพาเราไปเปิดการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ตามรอยเส้นทางเดินทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเผยให้เราเห็นถึงเสน่ห์อีกแง่มุมหนึ่งของกาญจนบุรี เมืองที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องน้ำตก ล่องแพ และเส้นทางรถไฟสายมรณะ
    คณะสื่อมวลชนได้มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพฯ มายังกาญจนบุรี ก่อนไปเยี่ยมชมสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าเกิดเหตุการณ์ทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรฯ มีโอกาสไปเยือนสะพานข้ามแม่น้ำแคว สัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดนี้ ที่ไม่ว่าผ่านไปใครมาอดไม่ได้ที่จะแวะมาถ่ายภาพกินลมชมวิวยังสะพานแห่งนี้เป็นแน่ มองตัวสะพานข้ามแม่น้ำแคว ลักษณะเป็นสะพานเหล็กสีดำที่ทอดยาวไปคั่นกลางสองฟากฝั่งของแม่น้ำ ที่มีไว้สำหรับคนเดินและรถไฟแล่นผ่าน เต็มอิ่มกับจุดนี้แล้วก็ได้กลับเข้าที่พักชาร์จแบตตัวเองเพื่อเตรียมตัวทำภารกิจสำคัญในวันรุ่งขึ้น
    ในโปรแกรมเช้าวันต่อมา ก่อนจะได้เดินทางไปเที่ยวยังเจดีย์ยุทธหัตถีและโรงถ่ายพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ที่วัดอินทาราม พิพิธภัณฑ์เก่าแก่ประจำตำบลของชาวบ้านบ้านหนองขาว ซึ่งชาวบ้านได้ชวนพวกเราชาวคณะขึ้นรถอีแต๋นเที่ยวชมสถานที่สำคัญบริเวณบ้านหนองขาว ทั้งบ้านที่ทำการทอผ้าและทำขนมกล้วยไข่แสนอร่อยอีกด้วย
    ยามสายของวันหลังเพลิดเพลินกับการนั่งรถอีแต๋นท่องเที่ยวชมจนหนำใจแล้ว ได้นั่งรถฝ่าแดดอันร้อนระอุไปที่ อ.พนมทวน ที่คาดว่าจะเป็นตำแหน่งที่แท้จริงในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าเป็นพื้นที่ชนช้างของสมเด็จพระนเรศวรฯ กับพระมหาอุปราชา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ได้มีการขุดค้นพบซากกระดูกของช้างพม่าและวัสดุอุปกรณ์ที่วีรบุรุษไทยใช้รบในอดีต ทั้งดาบ ขวาน หอก ง้าว จำนวนมาก จนน่าเชื่อได้ว่าเหตุการณ์กอบกู้ชาติในวันนั้นจะเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้จริง สิ่งของเหล่านี้จัดเก็บแสดงไว้ที่ห้องเก็บวัตถุโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวมถึงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ มาเจดีย์ยุทธหัตถี...
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ... ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ มากนัก หากเดินลัดเลาะตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับเจดีย์ยุทธหัตถี เป็นเจดีย์เก่าๆ ไม่ใหญ่มากนัก ตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้างให้พวกเราได้สักการบูชากัน เราได้รำลึกถึงพระคุณของวีรบุรุษผู้ทำหน้าที่กอบกู้เอกราชสยามประเทศของเรา ใกล้กันนี้มีศาลาที่ถูกรายล้อมไปด้วยรูปปั้นไก่ชนนับร้อยๆ ตัว ที่คนซื้อนำมาถวายแก้บนองค์พระนเรศวร ภายในมีรูปหล่อสัมฤทธิ์พระองค์ด้วย พร้อมซากอาวุธโบราณที่ขุดค้นพบและโครงกระดูกช้างอีกจำนวนหนึ่ง
    ที่นี่เราได้พบกับลุงผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เฝ้าดูแลสถานที่ในบริเวณนี้ ท่านได้เล่าให้ฟังถึงความประทับใจว่า ได้เคยมีโอกาสรับเสด็จองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในครั้งที่พระองค์เสด็จฯ มาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้เป็นการส่วนพระองค์ ทรงไม่ถือพระองค์ พูดคุยอย่างเป็นกันเอง ฟังแล้วก็อดรู้สึกปลื้มไปกับคุณลุงคนนี้ด้วยไม่ได้
    ตกบ่ายดวงอาทิตย์ย้ายมากลางศีรษะพอดี พวกเราก็ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยัง "โรงถ่ายพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ" ที่อยู่ภายในค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี สถานที่นี้หากเรียกโรงถ่ายพร้อมมิตรอาจมีทำให้บางคนรวมถึงตัวเองที่ได้ยินในครั้งแรกมึนงงอยู่บ้าง แต่ถ้าบอกว่า "โรงถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ก็จะทำให้ร้อง อ๋อ... ขึ้นมาเลย
    ครั้งแรกที่ได้มาโรงถ่ายสมเด็จพระนเรศวรฯ เห็นสิ่งที่ก่อสร้างจำลองแบบในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต เราก็รู้สึกได้เลยถึงความยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือ เพียงแค่เส้นทางถนนที่รถของเราก่อนแล่นผ่านไปยังจุดจอดรถ ก็ได้ผ่านฉากยิ่งใหญ่สำคัญของเรื่องแล้ว มีทั้งฉากจำลองค่ายทหารริมน้ำพระเจ้านันทบุเรง และท่าเรืออโยธยา หลังฟังบรรยายสรุปเราได้ใช้เวลาเที่ยวชมความยิ่งใหญ่ และภาพบรรยากาศในส่วนที่เป็นฉากจำลองสถานที่ที่ปรากฏอยู่ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซะที
    เริ่มจากขึ้นนั่งรถรางที่ทางโรงถ่ายมีไว้บริการนักท่องเที่ยวในการพาไปชมสถานที่ต่างๆ จุดแรกที่แล่นไปก็คือ หมู่บ้านโยเดีย ได้เก็บภาพบรรยากาศ 2 ข้างทางของหมู่บ้านในเมื่อครั้งสมัยอโยธยา ก่อนรถจะแล่นผ่านไปจอดมีโอกาสเดินเข้าไปชมกุฏิและโบสถ์วัดมหาเถรคันฉ่อง ห้องเก็บศาสตราวุธที่เป็นที่เก็บพระแสงปืนต้นขององค์สมเด็จพระนเรศวรฯ ในหนัง รวมทั้งความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองหงสาวดี ที่ใช้โฟมเป็นวัสดุหลักในการสร้าง คนนำทางจากโรงถ่ายบอกเพื่อให้ติดไฟง่ายในฉากสู้รบ....
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...หลังเก็บภาพจนจุใจควรแก่เวลาแล้ว รถคันเก่งของเราก็ได้พาแล่นฝ่าแดดอันร้อนระอุยิ่งกว่าเดิมมุ่งหน้าผ่านกำแพงเมืองเข้าไปในเมืองจำลองของกรุงหงสาวดี ที่มีสัญลักษณ์เป็นสิงโตสีขาวขนาดใหญ่เบิ้ม หรือที่วัยรุ่นเรียกว่า "ใหญ่โฮก" ยืนขนาบสองฟากทางรถแล่นผ่านไป จุดนี้เองเมื่อผ่านเข้ามายังส่วนในสุดของเมืองหงสาวดี เราก็ได้มีโอกาสเดินลงไปชมสีหสาสนบัลลังก์ บัลลังก์ที่นั่งสีทองอร่ามงดงามของพระเจ้าบุเรงนอง ใกล้กับพระตำหนักนี้ ด้านหลังมีจำลองฉากคุกใต้ดิน ตำหนักพระนเรศวร พระราชวังพระยาละแวก และที่พิเศษคือมีบริการแต่งตัวถ่ายรูปตามตัวละครต่างๆ ในภาพยนตร์ซะด้วย
    สถานที่ต่อไปที่เราได้ไปดูกันก็คือ ความโอ่โถงอลังการสมจริงของพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท หากแต่ในปราสาทแห่งนี้ตอนที่เราไปกันนั้นต้องชมกันด้วยความเงียบสงบเป็นอย่างมาก เพราะข้างๆ ปราสาทมองผ่านหน้าต่างไปไม่ใกล้ไม่ไกล ได้เห็นการทำงานของท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ขณะที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์ในเรื่อง "พันท้ายนรสิงห์" แม้ไม่ได้เห็นใกล้ชิด แต่ก็สัมผัสได้ถึงทั้งบรรยากาศ สถานที่ การแต่งตัวดารานักแสดง ราวกับเข้าไปอยู่ในยุคนั้นจริงๆ
    แอบดูการถ่ายทำละครสักพัก ขึ้นนั่งรถรางต่อมุ่งหน้ามายังจุดสุดท้าย ตำหนักบุเรงนอง ห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก ซึ่งเป็นที่เก็บอุปกรณ์ประกอบต่างๆ นานาในห้องเก็บสรรพาวุธที่มีทั้งชุดเกราะ หมวกเหล็ก หอก ทวน ง้าว โล่ และดาบจำนวนกว่าพันเล่ม โดยเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่จุดตรงนี้ก็ไม่ได้หวงห้ามอะไรถ้าเราจะยืมชุดเกราะและหมวกเหล็ก พร้อมกับถือดาบถืออาวุธมาเต๊ะท่าเท่ๆ แชะถ่ายภาพกัน จากนั้นเราได้ไปเยี่ยมชมซื้อของในร้านขายของที่ระลึก และเดินวนกลับมาที่จุดลานจอดเพื่อขึ้นเจ้ารถคู่ใจคันเดิมพี่พาเราไปยังที่ต่างๆ ในทริปนี้ รวมทั้งได้พาเรากลับยังกรุงเทพฯ ในเวลาต่อมาอีกด้วย
    เที่ยวทริปนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่แค่ต่างชาติเท่านั้นที่จะมีทริปท่องเที่ยวตามฉากเด็ดละครดังอย่างเดียว ไทยเองก็เห็นทีจะมีแบบนั้นเช่นกัน อย่างทริปตามรอยเส้นทางเดินทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนี้ ไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยเรา เหมือนเป็นการย้อนเวลาไปรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญกอบกู้ชาติได้อย่างดีทีเดียว.

    ขอขอบคุณ เที่ยวตามรอย...สมเด็จพระนเรศวรฯ | ไทยโพสต์
     
  11. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    เจดีย์ยุทธหัตถี อยู่ที่ไหน?

    เจดีย์ยุทธหัตถี ตั้งอยู่ที่บ้านดอนเจดีย์ ม.2 ต.ดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เชื่อกันว่า
    เป็นเจดีย์ยุทธหัตถี ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชา กษัตริย์แห่งพม่า
    ดังปรากฎหลักฐานพอสรุปได้ดังนี้

    1. ในพื้นที่บริเวณเจดีย์ยุทธหัตถี และ บริเวณใกล้เคียง ชาวบ้านพบ กระดูกช้าง กระดูกม้า
    กรามช้าง กระโหลกช้าง และกระดูกคน มากมาย ซึ่งแสดงว่า สถานที่แห่งนี้ จะด้องเป็นสถานที่กระทำสงคราม
    ครั้งยิ่งใหญ่ หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วคงไม่มีกระดูกมากมายเช่นนี้

    2. ชาวบ้านดอนเจดีย์ พบ เครื่องศาสตรวุธ เครื่องม้า เครื่องช้าง ซึ่งประกอบด้วย หอก ดาบ ยอดฉัตร
    โกลนม้า ขอสับช้าง โซ่ล่ามช้าง แป้นครุฑจับนาค ปัจจุบันสิ่งของเหล่านี้แสดงไว้ที่ ศูนย์วัฒนธรรมสถาบันราชภัฎกาญจนบุรี

    3. ชาวบ้านดอนเจีย์ส่วนใหญ่ ใช้นามสกุล คชายุทธ มาลาพงษ์ และ ดอนเจดีย์ นามสกุลเหล่านี้มีความหมาย
    เกี่ยวข้องกับองค์เจดีย์แห่งนี้ และการตั้งนามสกุลได้ตั้งในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มในการค้นหาเจดีย์ยุทธหัตถี

    4. ชื่อตำบล ตะพังตรุ หนองสาหร่าย ที่ระบุใน พระราชพงศาวดารเป็นสถานที่ ที่มีอยู่ใน อ. พนมทวน จ.กาญจนบุรี
    ซึ่งแต่เดิมขึ้นอยู่กับแขวง เมืองสุพรรณบุรี ต่อมาภายหลังได้มีการแบ่งเขตการปกครอง โดย อ.พนมทวน มาขึ้นอยู่กับ
    จ.กาญจนบุรี เมื่อสมัยรัชกาลที่ 3

    5. เส้นทางการเดินทัพของ พม่า-ไทย โดยทัพ พม่า จะข้ามมาทางด่านเจดีย์ 3 องค์ ผ่านทุ่งลาดหญ้า ผ่านเขาชนไก่
    ผ่านเมืองกาญจนบุรีเก่า ผ่านปากแพรก ผ่านบ้านทวน ผ่านอู่ทอง สุพรรณบุรี ผ่านป่าโมก เข้า อยุธยา จะเห็นได้ว่า เจดีย์ยุทธหัตถี
    องค์นี้ตั้งอยู่ในเส้นทางการเดินทัพ คือ ที่อำเภอ พนมทวน

    6. เจดีย์ยุทธหัตถีองค์นี้ มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์วัดช้าง จ.อยุธยา ซึ่งเป็นที่เชื่อถือได้ว่า เจดีย์องค์นี่
    น่าจะสร้างในสมัย อยุธยา

    7.ในพงศาวดาร ได้กล่าวไว้ว่า ช้างศีกได้กลิ่นน้ำมันคชสารก็ ตกมัน ตลบปะปนกันเป็นอลหม่าน พลพม่ารามัญ ก็โหมยิงธนู หน้าไม้ ปืนไฟ
    ระดมเอาพระคชสารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ และ ธุมาการตลบมืด เป็นหมอกมัวไป แสดงว่าที่ทรงกระทำยุทธหัตถี
    พื้นที่จะด้องเป็น ดินปนทราย จึงมีฝุ่นคลุ้งไปทั่ว จากพงศาวดารที่กล่าวมา ทำให้สอดคล้องกับพื้นที่บริเวณเจดีย์ยุทธหัตถีแห่งนี้
    เนื่องจากบริเวณรอบองค์เจดีย์ เป็นที่ดอน และดินปนทรายซึ่งมีหลักฐานประจักษ์คือ หมู่บ้านที่ติดกับองค์พระเจดีย์
    ชื่อว่า หมู่บ้านหลุมทราย แสดงว่าพื้นที่แถบนั้นต้องมีทรายมาก

    8. ที่ดอนเจดีย์แห่งนี้มีต้นข่อย ขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นข่อยที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
    อยู่ห่างจากเจดีย์ประมาณ 100 เมตร ดังพระราชพงศาวดาร กล่าวไว้ว่าครั้งเหลือบไป ฝ่ายทิศขวาของพระหัตถ์
    ก็เห็นช้างเศวตฉัตรหนึ่งยืนอยู่ ณ ฉายาข่อย มีเครื่องสูงและทหารหน้าช้างมากก็เข้าพระทัยถนัดว่า ช้างมหาอุปราชา
    พระเจ้าอยู่หัวทั้งสอง ก็ขับพระคชสารตรงเข้าไป ทหารหน้าข้าศึกก็วางปืนจ่ารงคมณฑกนกสับตระแบงแก้ว ระดมยิง
    มิได้ต้องพระองค์และคชสาร สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า ตรัสร้องเรียกด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า
    " พระเจ้าพี่ ใยจะยืนอยู่ในร่มเล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็น เกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิดภายหน้าไป
    ไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว" พระมหาอุปราชา ได้ฟังดังนั้นแล้วละอายพระทัย มีขัตติยราชมานะก็ป้ายพระคชสารออกรบ

    9. เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฟันพระมหาอุปราชา ขาดคาคอช้างแล้ว ทัพไทยได้ไปทันพอดี จึงไล่ฆ่าฟัน
    ทหารพม่าอย่างหนัก จาก ตะพังตรุ ถึง กาญจนบุรี คาดว่า ทหารไทยฆ่าทหารพม่า ประมาณ 20,000 คน
    จับช้างใหญ่สูง 6 ศอก ได้ 300 เชือก ช้างพลายพัง 500 เชือก ม้าอีก 2,000 เศษ
    จะเห็นได้ว่า จากเจดีย์ยุทธหัตถี บ้านดอนเจดีย์ไปกาญจนบุรี มีระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร จึงเป็นไปได้ที่ทหารไทย
    จะไล่ฆ่าฟัน ทหารพม่าในวันเดียวถึงเมืองกาญจนบุรี ซึ่งระยะทางห่างกันไม่มากนัก

    10. ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต ได้กล่าวไว้ว่า ในการกระทำยุทธหัตถี ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    กับพระมหาอุปราชาได้ กระทำใกล้กับวัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งจะตรงกับสภาพพื้นที่เจดีย์ยุทธหัตถี บ้านดอนเจดีย์แห่งนี้
    ยังมีวัดร้าง อยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันคือ วัดบ้านน้อย และยังมีเจดีย์ โบสถ์เก่าแก่
    ให้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้

    จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวอ้างมานี้ น่าจะเป็นที่ยืนยันได้ว่า เจดีย์ยุทธหัตถีบ้านดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี
    เป็นเจดีย์องค์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างขึ้นหลังจากที่พระองค์ ทรงกระทำยุทธหัตถี ชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาเมื่อ พ.ศ.2135

    (จากหนังสือ "เจดีย์ยุทธหัตถีอยู่ที่ไหน เขียนโดย นเรศ นโรปกรณ์ และ คณะ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2516 และคัดเนื้อความบางส่วน

    จากหนังสือกระแสพระ ฉบับที่ 38 เดือน ตุลาคม 2548

    [​IMG]

    [​IMG]เจดีย์ยุทธหัตถีบ้านดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี

    [​IMG]

    [​IMG] พระบรมรูปท่านพ่อภายในศาล


    [​IMG]
    กระดูกช้างที่ขุดพบบริเวณ อ.พนมทวน

    [​IMG]
    ภาพต้นข่อยปัจจุบัน.....เป็นต้นที่แตกจากต้นเดิมขนาดหลายคนโอบที่ถูกเผาเพื่อปรับที่ดินสำหรับทำนา

    [​IMG]
    โบราณวัตถุ/เครื่องประดับ ช้าง-ม้าและอาวุธโบราณที่ค้นพบบริเวณโดยรอบองค์พระเจดีย์

    *ภาพประกอบจากนิตยสาร อสท
    และ www.konrakmeed.com<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->
    (คัดจากเทปที่หลวงพ่อ เล่า ในเดือนเมษายน 2522)

    [​IMG]<O:p

    วันหนึ่ง เดินผ่านอำเภอศรีประจันต์ คำว่า ศรีประจันต์ เป็นชื่อของบุคคลคนหนึ่งในเรื่องขุนช้างขุนแผน อำเภอนี้ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ตอนหนึ่ง คือ พระนเรศวรมหาราช ยาตราทัพ ทำยุทธหัตถี กับ พระมหาอุปราชคู่ปรับ

    มีคนเขาถามว่า เจดียุทธหัตถี เป็นจุดที่ทำยุทธหัตถีกันจริงๆ ใช่ไหม ครั้งหนึ่ง ก็เป็นการบังเอิญ นอนๆ อยู่ อยากจะอ่านประวัติศาสตร์ อยากจะอ่านเรื่องของ ขุนเหล็ก และ เรื่องพระนเรศวรมหาราช อ่านไปก็มีอารมณ์เคลิ้ม เมื่อเคลิ้ม ก็มีภาพปรากฏ เป็นชาย รูปร่าง หน้าตาสวย เอวบางร่างน้อย อ้อนแอ้น คล้ายสตรี แต่แข็งแรง ผิวกายนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นคนผิวดำ แต่ว่า ดำกว่าอีกคนหนึ่งซึ่งขาวกว่า ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านเอกาทศรถ

    ทั้งสองท่าน ปรากฏ ยกมือพนม บอกว่า ที่เจดีย์ยุทธหัตถีที่ทำไว้ในปัจจุบันนี้ ความจริงไม่ใช่ จุดที่ชนช้างกัน แต่ที่ทำเจดีย์ไว้ เป็นอนุสรณ์นั้น ใช่องค์นี้ ถ้าขุดลงไปกลางเจดีย์ จะมีเป็นอุโมงค์ ที่เก็บอาวุธยุทธหัตถีของพระมหาอุปราช แล้วก็มีแผ่นจารึกประวัติศาสตร์ไว้เป็นหลักฐาน

    [​IMG]

    <O:p
    ถามท่านว่า จุดที่ทำยุทธหัตถีจริง ๆ อยู่ตรงไหน ท่านบอกให้ตั้งศูนย์จากอำเภอศรีประจันต์ จากตัวอำเภอ ลากเส้นไปยังที่ว่าการจังหวัดกาญจนบุรี เดินทางไป 60 กิโลเมตรแล้วทำมุมเฉียงออกไป 15 องศาเดิน ไปอีก <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:metricconverter>6 กิโลเมตร บริเวณนั้น จะเป็นบริเวณที่รบกัน กับ พระมหาอุปราช ที่เรียกว่า ยุทธหัตถี นี่ ประวัติศาสตร์ของผีในเรื่อง ที่คนเถียงกัน จะถูกหรือไม่ถูกไม่รับรอง<O:p

    อ้างอิง .. เรื่องจริงอิงนิทาน ๓
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนากับคุณ เจ้าจันทร์ ครับ

    และขอถือโอกาสเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทไปด้วยกันกับคุณทางสายธาตุ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านกล่าวไว้ว่ามันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เมื่อพูดถึงหัวใจของพุทธศาสนา คนโดยมากก็นึกถึงเรื่องอริยสัจจ์ นี่ขอให้เข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ก็คืออริยสัจจ์ที่สมบูรณ์แบบ คือว่าเต็มขนาด จึงขอเรียกว่า "อริยสัจจ์ใหญ์" เป็นหัวใจของพุทธศาสนา
    สิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นมันมีอยู่ในคนเราแทบจะตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้ว ก็อาจจะปฏิบัติเพื่อดับความทุกข์ของตนได้ เราต้องถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำกันทุกคน และช่วยกันทำกันและกันให้เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ได้ มันเป็นหน้าที่ของคนเราที่จะต้องเข้าใจเรื่องนี้แต่ละคนๆ แล้วมันยังเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย ข้อนี้เป็นพระพุทธประสงค์

    ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร คือการแสดงให้ทราบว่า ทุกข์จะเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะดับลงไปอย่างไรโดยละเอียด และแสดงให้ทราบว่า การที่ทุกข์เกิดขึ้นและดับไปนั้น มีลักษณะเป็นธรรมชาติที่อาศัยกันและกัน มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่หลายๆชั้น และอาศัยกันแล้วทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นหรือจะทำให้ความทุกข์ดับไปก็ตาม คำว่า ปฏิจจ แปลว่า อาศัย คำว่า สมุปบาท แปลว่า เกิดขึ้นพร้อม เรื่องของสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกันแล้วเกิดขึ้นพร้อม นี่คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
    ทีนี้อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการแสดงให้รู้ว่า ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา อยู่ที่นี่ หรือว่าจะเวียนว่ายต่อไป มันเป็นเพียงธรรมชาติล้วนๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่เราเรียกว่า "ตัวกู" นี้ไม่มี ความมุ่งหมายของเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างนี้ ใจความสำคัญก็คือว่า แสดงให้รู้ว่า ทุกข์เกิดและดับอย่างไร และการเกิดและดับนั้น เป็นการอาศัยซึ่งกันและกัน
    ทีนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่า การที่มันอาศัยกันและกันเกิดขึ้นและดับลงนี้ มันรุนแรงแบบสายฟ้าแลบ คือรวดเร็ว รุนแรงแบบสายฟ้าแลบ ให้ทุกคนสังเกตดูให้ดีว่าความคิดนึกของคนเราที่เกิดขึ้น มันรวดเร็วรุนแรง ตัวอย่างเช่นความโกรธ เกิดขึ้นมารวดเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ นี้เรียกว่าพฤติของจิตที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ ที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ในชีวิตประจำวันของคนเรานั่นเอง
    นี่ถ้าถามว่า ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร อย่างเป็นภาษาธรรมดาสามัญที่สุด ก็ตอบว่าคือเรื่อง พฤติของจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อทุกข์ แล้วก็รวดเร็วรุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ แล้วก็มีอยู่ในชีวิตประจำของคนเรา....
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    การที่จะเข้าใจได้ดี ทีแรกก็จะต้องรู้เรื่องจำนวนปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๑ นั้นแหละเสียก่อน นั้ก็คือ
    ๑. อวิชฺชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร
    ๒. สงฺขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ
    ๓. วิญฺญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
    ๔. นามรูป เพราะนามรูปเป็นป้จจัย จึงเกิดอายาตนะหก
    ๕. สฬายาตน เพราะอายาตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
    ๖. ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา
    ๗. เวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
    ๘. ตฺณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน
    ๙. อุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ
    ๑๐. ภว เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ
    ๑๑. ชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มีมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ซึ่งเป็นความทุกข์ทั้งนั้นเกิดขึ้น
     
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังในการเป็นอยู่ทุกๆวัน ของคนเรา มีปฏิจจสมุปบาทอย่างไร เด็กเล็กๆคนหนึ่งร้องจ้าขึ้นมา เพราะทำตุ๊กตาตกแตก นี่ก็ลองกำหนดไว้ให้ดีเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่า เป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างไร เมื่อเด็กเห็นตุ๊กตาตกแตกนี้เรียกว่า ตากับรูป กระทบกันเกิดจักษุวิญญาณขึ้นมา รู้ว่าตุ๊กตาตกแตก ตามธรรมดาเด็กคนนี้ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เพราะว่าเขาไม่เคยรู้ธรรมะ ไม่รู้อะไรเลย เมื่อตุ๊กตาตกแตกนั้นใจของเขาประกอบอยู่ด้วยอวิชชา อวิชชาจึงปรุงแต่งให้เกิดสังขาร คืออำนาจชนิดหนึ่งที่จะให้เกิดความคิดความนึกอันหนึ่ง ที่จะเป็นวิญญาณ สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณก็เห็นตุ๊กตาตกแตก แล้วรู้ว่าตุ๊กตาตกแตก อันนี้เป็นวิญญาณทางตา เพราะอาศัยตาเห็นตุ๊กตาตกแตก แล้วมีอวิชชาอย๋ในขณะนั้นคือไม่มีสติ เพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องธรรมะเลย จึงเรียกว่า ไม่มีสติ และมีอวิชชาอยู่ ฉะนั้นจึงเกิดอำนาจปรุงแต่ง วิญญาณที่จะเห็นรูปนี้ไปในทางที่จะเป็นทุกข์ ความประจวบของตากับรูปคือตุ๊กตาแล้วกับวิญญาณที่รู้นี้ รวมกันเรียกว่าผัสสะ เดี๋ยวนี้ผัสสะทางตาได้เกิดขึ้นแก่เด็กคนนี้แล้วจากผัสสะอันนี้ ถ้าจะพูดให้ละเอียดก็ว่าได้เกิด นามรูป คือร่างกายและใจของเด็กคนนี้ขึ้นมาชนิดที่พร้อมสำหรับที่จะเป็นทุกข์ นี่ให้รู้ว่าตามธรรมดาร่างกายจิตใจของเราไม่อยู่ในลักษณะที่จะเป็นทุกข์ จะต้องมีอวิชชา หรือมีอะไรมาปรุงแต่งให้มันเปลี่ยนมาอยู่ในลักษณะ ที่มันอาจจะเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงเรียกว่า นามรูปก็พึ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เฉพาะกรณีนี้ หมายความว่ามันแต่งวิญญาณด้วยอวิชชานี้ขึ้นมาแล้ว วิญญาณนี้ก็จะช่วยทำให้ร่างกายกับจิตใจนี้เปลี่ยนสภาพลุกขึ้นมาสำหรับทำหน้าที่ที่พร้อมจะเป็นทุกข์ และในนามรูปชนิดนี้ขณะนี้จะเกิดมีอายตนะอันที่พร้อมจะเป็นทุกข์ คือไม่หลับอยู่ตามปกติ แล้วมันก็มีผัสสะที่สมบูรณ์ที่พร้อมที่จะเป็นทุกข์ เฉพาะในกรณีนี้ แล้วมันก็มีเวทนา คือความรู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเวทนาที่เป็นความทุกข์นี้ทำให้เกิดตัณหา คือความอยากไปตามอำนาจของความทุกข์นั้น อุปาทานยึดมั่นเป็นความทุกข์ของกู มันก็เกิด "กู" ขึ้นมาเรียกว่า ภพ แล้วเบิกบานเต็มที่เรียกว่าชาติ แล้วมีความทุกข์ในเรื่องตุ๊กตาแตกนี้คือร้องไห้ นั่นก็คือ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าอุปายาส แปลว่าความเหี่ยวแห้งใจอย่างยิ่ง....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2010
  16. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    อ่านแล้วครับท่าน ข้อมูลเยี่ยมมาก
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ทีนี้เรื่องชาตินี้มันมีความหมายกว้าง คือรวมชรา มรณะ อะไรไว้เสร็จ ถ้าไม่มีอวิชชา ก็จะไม่ถือว่าตุ๊กตาแตกหรือตุ๊กตาตาย หรืออะไรทำนองนั้น แล้วก็จะไม่มีทุกข์แต่อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเลย เดี๋ยวนี้ทุกข์มันเกิดเต็มที่เพราะว่ามันเกิดอุปาทานว่าตัวกู ตุ๊กตาของกู แล้วตุ๊กตาก็แตกแล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะมีอวิชชา ดังนั้นจึงร้องไห้ การร้องไห้คืออาการของความทุกข์ขึ้นสูงสุดเต็มที่ ถึงที่สุดของปฏิจจสมุปบาท

    ตรงนี้คนโดยมากฟังไม่เข้าใจในข้อลี้ลับของข้อที่ว่า ภาษาธรรมะหรือภาษาปฏิจจสมุปบาทนี้เขาไม่ได้ถือว่าคนได้เกิดอยู่แล้วตลอดเวลา หรือว่านามรูปได้เกิดอยู่แล้วหรืออยาตนะได้เกิดอยู่แล้ว ถือว่าเท่ากับยังไม่ได้เกิด เพราะมันยังไม่ได้ทำอะไรตามหน้าที่ ต่อเมื่อมีธรรมชาติอันใดอันหนึ่งมาปรุงแต่งให้มันทำหน้าที่เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่าเกิด เช่นลูกตาของเรา เราก็ถือว่ามีอยู่แล้วหรือเกิดอยู่แล้ว แต่ทางธรรมะถือว่ายังมิได้เกิด จนกว่าเมื่อใดตานั้นจะเห็นรูป ทำหน้าที่การเห็นรูป จึงจะเรียกว่าตาเกิดขึ้นมา แล้วรูปก็เกิดขึ้นมา แล้ววิญญาณทางตานั้นก็เกิดขึ้นมา สามอย่างนี้ช่วยกันทำให้สิ่งที่เรียกว่าผัสสะเกิดขึ้นมา แล้วผัสสะนี้ทำให้เกิดเวทนา ตัณหา เรื่อยไปจนตลอดสาย

    ทีนี้ถ้าต่อมาเด็กคนนี้เอาเรื่องตุ๊กตาแตกมานอนคิดแล้วมานอนร้องไห้อยู่อีก นี่มันกลายเป็นเรื่องทางมโนวิญญาณ ไม่ใช่ทางจักษุวิญญาณแล้ว คือเขานึกขึ้นมาถึงตุ๊กตาที่แตกก็เป็นเรื่องความคิดที่เป็นธรรมารมณ์ แล้วธรรมารมณ์กับใจสัมผัสกันทำให้เกิดมโนวิญญาณ รู้สึกถึงเรื่องที่ตุ๊กตาแตก นี้มันสร้างนามรูปกายกับใจในขณะนั้นให้เปลี่ยนปั๊บไปเป็น นามรูปที่จะเป็นที่ตั้งของอยาตนะที่จะเป็นทุกข์ อายาตนะนั้นก็จะสร้างให้เกิดผัสสะชนิดที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เกิดเป็น เวทนา ตัณหา อุปาทาน จนเป็นทุกข์ จนนอนร้องไห้อยู่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ตุ๊กตามันแตกมาตั้งหลายวันแล้ว ความคิดที่ปรุงแต่งทะยอยกันอย่างนี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ในตนเป็นประจำวัน...
     
  18. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676

    อนุโมทนาครับพี่จงรักและภักดีที่นำข้อธรรมมาเผยแผ่ให้แก่ผู้อ่านทุกท่าน...
    ภูมิธรรมของผมยังเป็นผู้เริ่มเดินทางธรรมจึงขอแสดงความคิดเห็นสนับสนุนข้อความของพี่จงรักและภักดีเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านบ้างครับ
    อวิชชาดับด้วยวิชชา สภาวะที่ปราศจากความรู้ดับลงด้วยความรู้ ยึดมั่น ยึดติด ตัวกู ของกู เพราะมีอวิชชาอยู่มาก เลิกยึดติด ตัวกู ของกูเพราะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ จีรัง ยั้งยืน มีแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาของโลก จึงทำให้ไม่เกิดทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ รู้วิธีดับทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน (สุญญตา) ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้นนัก ได้เกิดใต้ร่มพระพุทธศาสนา อันมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาอันประเสริฐแล้ว ไยไม่ศึกษาธรรมะอันเป็นธรรมดาของโลก ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางให้แก่ท่านทั้งหลายได้เดินไปตามวิถีทางแห่งการหลุดพ้นวัฎฎะ....
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    โมทนา สาธุครับ น้องนารถะสุญญตา เพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อ

    "หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสนนาน" .... ++ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ++
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE border=0 width=560 align=center><TBODY><TR align=middle><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE><! 3><TABLE border=0 width=700 align=center><! 3><TBODY><TR><TD align=middle>บ้านคนรักสุนทราภรณ์ </TD></TR></TBODY></TABLE><! 3><TABLE border=0 width=700 align=center><! 3><TBODY><TR><TD width="50%" align=left>คำร้อง



    </TD><TD width="50%" align=right>ทำนอง </TD></TR><TR><TD width="50%" align=left></TD><TD width="50%" align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><! 3><TABLE border=0 width=400 align=center><! 3><TBODY><TR><TD>บ้านคนรักสุนทราภรณ์ websuntaraporn.com</TD></TR><TR align=left><TD>(.)



    (.)



    (.)



    (.)




    (.)



    ()






    </TD></TR></TBODY></TABLE><! 3>
    <TABLE border=0 width=500 align=center><! 3><TBODY><TR><TD align=right>บ้านคนรักสุนทราภรณ์ .</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความหมายของเนื้อเพลงนี้ชัดเจนจนไม่ต้องบรรยายหรือคอมเม้นต์ใดๆแม้แต่น้อย นำมาฝากกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...