ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

แต่ถ้าเมียจะทำตัวเองเป็นซากอสุภะ น่าเกลียดน่ากลัว ให้สามีปลงหนอ นี่ไม่รู้จะได้บุญมากไหม
หรือสามีทนอยู่กับอสุภะอันอ้วนท้วนของเมียไม่ได้ไปทำผิดศีล5 นี่ก็ไม่รู้เมียจะได้วิบาก
กรรมไหมที่ทำให้สามีทำผิดศีล ก็ว่ากันไป ดูเจตนาเนาะ เจตนาของใครเป็นอย่างไร
กรรมของเขาก็เป็นไปตามเจตนานั้น

 

ธรรมะเพื่อปล่อยวางโลก ก็อย่างหนึ่ง
ธรรมะของคนยึดทางโลก ก็อย่างหนึ่ง
จะเลือกอะไรกันเล่า ณ.นาทีนี้

พระตาลบุตร ยังต้องร้องไห้ และเข้าบวชเพื่ออะไร ก็เพื่อความสุขนิรันด์
ท่านจะยื่นความสุขทางโลก ก็กรุณาไปตั้งกระทู้ใหม่นะ ท่านขันธ์ที่เคารพ

 

กระโดด ไปทำไมหละ พูดถึงว่า ถ้า นักแสดงกระตุ้น ให้คนหลงไหล แล้ว มันก็เหมือนกัน

ลบภาพ ภายนอกออกไป มันคือ การทำให้เกิดความรู้สึก เหมือนกัน

แบบนี้ หากเปรียบเทียบกับ ภาพยนตร์ ผู้กำกับ เขาเป็นคนกำกับ บทบาท ให้นักแสดงทำอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่า ผู้กำกับนี้ตกนรกคนแรกเลยนะสิ
มันไม่เข้าท่า

ขออภัย หากความเห็นไปกระทบใครต่อใคร

 

กามคุณ คือ เครื่องยัง ขันธ์ 5 ให้บันเทิง ให้ รู้จัก พอประมาณ ในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ ห้าม
และ ไม่ใช่ว่า คนที่สร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้ จะเป็น การทำบาป

เดินทางสายกลาง ขอตัว

 

พระที่ท่านสอนเรา ชื่อหลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนนะ หลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนนี่นะครับ

เป็นพระไทยที่ไปสร้างวัดในพระพม่าำหลายแห่ง เพื่องจรรโลงพระพุทธศาสนา

และหลวงพี่เล็ก เป็นพระไทยรูปเดียวที่สามารถเดินไปอยู่ ในดินแดนส่วนลึกของพม่า

ซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลพิเศษขนาดไหนของไทย ก็ไม่มีสิทธิ์นะครับ ตายเอาง่ายๆ

เรื่องที่จะกลายเป็นผีเฝ้าเมืองพม่า่ไม่ได้กลับเมืองไทย ง่ายมากๆ

ท่านถ่ายรูป ที่พม่าห้ามถ่ายโดยเด็ดขาดใน ชนบทบางที่ ท่านก็ถ่ายมาได้

รัฐบาลพม่า ไม้ได้เห็นพระมีความสำคัญอะไรนะครับ ดูที่การประท้วงในพม่า่นะครับ

มันทุบ มันตี ฆ่าทิ้ง แล้วเป็นพระไทยไปเดินโท่งๆ ในพม่า โดนข้อ แฝงตัวเข้าไป
จารกรรม ตายสถานเดียว

หลวงพี่เล็ก เป็นพระไทยองค์เดียวนะ ที่ทำได้อย่างนี้ ทุกที่ทุกแห่งในพม่า

ที่ใด ท่านอยากจะไป ท่านไปได้ทุกที่ มีคนไทยคนไหน ทำอย่างนี้ได้บ้าง

ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทาง พศนี่นะ

ท่านบอกที่ทำได้อย่างนั้น เพราะพุทธบารมีช่วยท่าน

พม่าท่านบอกอดีตท่านเคยอยู่ที่นั่น บ้านเก่าท่าน (อดีตชาติ) ลองไปหาหนังสือของท่านอ่านดูนะครับ

 

แ้ล้วถ้าดาราแสดงหนังอย่างว่าละครับ ก็ต้องดูที่เจตนาเหมือนกันหรอครับ

 

ในกรณีนี้พิจารณาได้ว่า หากเป็นภรรยาที่ ทำตามหน้าที่ก็ไม่ผิด
ไม่ผิดศีล 5 พระโสดาบันก็ครองเรือนได้

หากเป็นอีกรณีหนึ่ง คือ เจตนาเพื่อยั่วยุ ให้ผู้อื่นสนองตน
และผู้นั้น ก็มีอีกคนเป็นผู้ครอบครองอันนี้ผิด ในศีลข้อ 3

หากจะพิจารณาธรรมขั้นละเอียด คือ กามคุณ 5 นั้น
เรื่องเป็นเจตนาทำเพื่อละ

ศีลมีขั้น หยาบ ปานกลาง และ ปราณีต
ขึ้นอยู่ที่เจตนา มีฉันทะเป็นรากเหง่า

 

อันนี้ เจตตนาเพื่ออะไร ทั้งคนถาม คนตอบก็รู้ว่าผิดอยู่แล้ว

ไปดูสารคดีสัตว์โลกผู้น่ารัก อันนั้นไม่ผิดศีล เลยจะดีกว่า

 

ทำไมอยู่ๆเอาเรื่องนี้มาพูดละครับ มันมีเหตุอันใดหรือเปล่าครับ หรือว่าเพียงชี้ให้ทราบว่าในพระสูตรมีเรื่องราวเหล่านี้อยู่ครับ

 

ก็อย่างสมมุติคนแสดงเขาแสดงเผื่อเงิน เอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ครอบครัว ทำเพราะคิดว่าเป็นอาชีพ แบบนี้ ไม่ได้ทำเพราะคิดว่าทำให้คนหลง

ส่วนคนดู ดันดูไปแล้วเกิดความหลงไปเอง

 

สัมมาอาชีโว..
:boo:

 

แบบนี้ยาวแน่นอน ชัวร์

 

ใช้ปัญญาตรองดู ก็จะรู้สิ่งไหนสมควรทำ สิ่งไหนไม่ควร
พระท่านก็บอกละเอียดแล้วคนฟังเห็นต่างไปก็แล้วแต่เวรกรรมจะพาไป

ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

พระท่านก็บอกด้วยความปรารถนาดีต่อคนทั่วไป แต่ถ้าคนไหนฟังแล้วเป็นทุกข์เดือดร้อนใจ
หรือเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร ก็เป็นกรรมของคนนั่นแล้ว

รู้ว่าทำแล้วเสี่ยงอบาย แต่เลิกไม่ได้ ก็ต้องเร่งสร้างกรรมดีให้เกิดวิบากดีมาช่วยตัวเอง
ถ้าไม่ชอบฟังความจริง ก็ปล่อยไปเหอะ ตัวใครตัวใคร

 

ยกพระสูตร จริงมาให้พิจารณาก่อน ตัดสิน นักแสดง

และ ให้พิจารณาก่อนว่า ทำไมพระศาสดาจึงเว้นการพยากรณ์ฺนี้ หลายครั้ง

ท่านพูดเพราะเหตุว่า ต้องการแสดงให้เห็น ความเชื่อแบบผิดๆ ที่ว่า ถ้าทำให้คนดูหัวเราะ แล้วขึ้นสวรรค์

ต้องดู เรื่องของการเต้นรำ ในมหรสพ แล้วเปรียบเทียบให้ดี

ที่พูดนี้ ก็เพราะว่า ให้พิจารณา ธรรมที่ถูกต้อง ว่าต้องมีเหตุมีผล

 

นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริงด้วย
คำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพผู้นั้นเมื่อแตกกาย
ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด
ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่าง
หนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ
-------------------------
ก็ชัดแล้ว จะให้เห็นอย่างไร

 

คนละประเด็น อย่าเอามาขยำรวมกัน.....


ควรพิจารณาด้วยสติปัญญาอย่างละเอียด...ด้วยหลักเหตุผล
ไม่ใช่เชื่อลูกเดียว... ขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

ถ้าแสดงเพื่อหาเงิน เอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ครอบครัว
ประเด็นนี้..... เป็นการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา


หากการแสดงนั้น....มีที่มาที่ไป...ในเหตุผลของบทบาทแสดง
โดยเฉพาะการแสดงนั้น...มีคติสอนใจ..เป็นประโยชน์สังคม..ให้แง่คิด
แบบนี้...ไม่ผิด


ไม่ใช่ตนเอง...ก็รู้อยู่ว่า การแสดงนั้นเป็นหนังโป๊ลามก....
ถึงจะคิดว่า...ทำเพราะคิดว่าเป็นอาชีพ
อาชีพอื่นสุจริตมีเยอะแยะ...ทำไมไม่ทำ แบบนี้เรียกว่า...ทำเพราะ้เงินตัวเดียว
ไม่ใช่สัมมาอาชีโว

ในพระสูตร ควรพิจารณา พระศาสดาท่านต้องการแสดงและสอนให้เห็นถึง...อะไร
ไม่ใช่....เชื่อแบบผิดๆ

 

ให้่ทำความเข้าใจว่า พระศาสดาไม่ได้กล่าวสรุปว่า

นักแสดงทั้งหลาย ถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

ท่านตั้งใจจะเว้นการพยากรณ์ ผมคิดว่า คำพูดท่านอาจจะทำให้คนได้ยินแตกตื่น ว่า นักเต้นรำ นั้นตกนรก ท่านจึงเว้นการพยากรณ์

แต่ท่านได้ กล่าวชี้แจงว่า แท้จริงแล้ว นักเต้นรำนั้น กระทำสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทต่างหาก หาใช่ กระทำให้คนหัวเราะ บันเทิง จนตนเองได้บุญขึ้นสวรรค์ไม่ ดังที่เคยเชื่อกันมา

สุดท้ายแล้ว พระองค์ กำชับว่า นักเต้นรำ นั้นตนเองก็ตั้งอยู่ในความประมาท มัวเมา ย่อมบังเกิดในนรก ชื่อ ปหาสะ

ตามธรรมดา หากว่า ข้อใดเป็นธรรม พระศาสดาทรงไม่ เว้นการพยากรณ์แน่
แต่ เท่าที่เห็นข้อนี้ น่าจะเป็นการพูดให้พิจารณา ให้เห็นตามความจริงมากกว่า

 

จะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า

หากว่า มีคนพูดกันในสังคมว่า นักแสดงทุกคนเนี่ย ทำให้คนมีความสุขนะ ตายไป ก็ไปเกิดเป็นเทวดาแน่นอน

หากผู้ที่พิจารณา ตามหลักธรรม ก็ต้องบอกว่า ไม่จริงหรอก นักแสดงเนี่ย ทำเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท ไม่ใช่ว่า ตายไปจะไปเกิดเป็นเทวดา แต่ หากว่า ตนประมาทอยู่อย่างนั้น ไปนรก นะสิไม่ว่า

พิจารณาประโยคข้างบน แล้วเทียบดูซิว่า มันคนละความหมายกับ

บรรดานักแสดงทั้งหลาย ถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

คนละความหมายกันไหม ลองพิจารณาดู

 

แต่ก็มีอีก พระท่านก็บอกเพิ่มในรายละเอียดว่า ถ้าถือเป็นหน้าที่ ต้องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
โดยไม่หวังลาภยศสรรเสริญ ไม่หวังคำชม ก็ถือว่าไม่มีโทษ แต่จะมีสักกี่คนทำใจเพื่องาน
ไม่หวังผลลาภยศเงินทองชื่อเสียงได้ ให้ดูเจตนาเป็นสำคัญ เรื่องทางโลก กับเรื่องทางธรรม
มันมักจะสวนทางกัน ถ้ารู้ก็จะได้ระวัง ถ้าไม่ระวังก็พลาดได้จะเสียชาติเกิดรึป่าว
ได้ชื่อเสียงเงินทอง ลาภยศ แต่ตายไปมีอะไรติดตัวไปได้บ้าง เขาก็เตือนกันแค่นี้ แล้วทางที่
ทำเพื่อความดีก็มี ทำหนังทำละครให้ข้อคิดให้ปัญญาแก่คนก็ได้ ได้บุญ แต่อาจไม่ได้ตังค์
หรือถ้ามีฝีมือได้ทั้งบุญ ได้ทั้งกล่อง ก็ได้ แต่ให้ตั้งเจตนาดีทำเพื่อหน้าที่ ทำเพื่องาน อย่าไป
ตั้งเจตนาทำเพื่อเงินหรือกล่อง ก็ไม่มีโทษ ส่วนที่เหลือถ้าได้มาก็ถือเป็นผลพลอยได้
พระท่านสอนเรื่องการวางใจ เรื่องการตั้งเจตนาให้ไม่มีโทษ

 

ในหลักธรรม..นั้น
ท่านให้ตั้งเจตนาแต่พอดี คิดแต่พอดี กระทำแต่พอดี ตามสมควรแห่งเหตุผลฐานะตน
จึงได้ชื่อว่า...เดินสายกลาง

ทางที่สมควรแห่งฐานะ...
พระคิดแบบพระ โยมคิดแบบโยม นักแสดงคิดแบบนักแสดง

ถ้าพระคิดแบบโยม โยมคิดแบบพระ นักแสดงคิดแบบพระ
โลกคงวุ่นวาย...เพราะต่างคนต่างไม่รู้ฐานะตน
ขาดความพอดี...กลายเป็นเว่อร์...เละเทะไปหมด