ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 28 กันยายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

    <!-- Main -->พอไมเคิล แจ็กสัน เสียชีวิต คนอื่นก็ฆ่าตัวตายตาม เรื่องของความหลงว่ากันไม่ได้ เพราะถ้าหากหลง แปลว่าไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ การยึดมั่นถือมั่นจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่รู้เขาจะเห็นว่า เขาทั้งหลายน่าสงสารมาก วันนี้เห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า มีตั๋วผีสำหรับเข้างานไมเคิล แจ็กสัน ใบละหนึ่งแสนดอลลาร์ มีใครจะซื้อบ้างไหม สามล้านเศษ ๆ เท่านั้น คาดว่าเข้าไป ภาพที่เห็นก็คงประมาณหัวไม้ขีดเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนยอมซื้อ

    ในเรื่องของบรรดาดาราและนักร้อง ต้องดูในตาลปุตตะสูตร พระตาลปุตตคามิณี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก มีคนตามดูเป็นจำนวนมหาศาล เรียกง่าย ๆ ว่าแม่ยกเยอะ พระตาลปุตตคามิณีไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ข่าวว่าพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า เป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่อง ทีนี้บรรดานักแสดงของอินเดียเขามีความเชื่อว่า บุคคลที่สร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้อื่น เมื่อตายไปจะได้เป็นสหายของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ ก็คือ ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระตาลปุตตคามิณีสงสัยว่าเรื่องที่กล่าวมาจะกลายเป็นจริงหรือไม่ เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้ทุกเรื่อง จึงขอเข้าเฝ้าแล้วทูลถามปัญหานี้

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มาณเว ดูกรมาณพ ปัญาหานี้เธออย่าได้ถามเลย พระตาลปุตตคามิณีในสมัยนั้นก็ยังคงทูลถามถึงสามวาระด้วยกัน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด พระตาลปุตตคามิณีเชื่อพระพุทธเจ้า จึงนั่งร้องไห้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า เข้ามาบวชแล้วปฏิบัติธรรม ภายหลังพระตาลปุตตคามิณีเถระสำเร็จอรหันต์

    เหตุที่น้องร้องนักแสดงตายแล้วลงนรก เพราะว่าสิ่งที่เขาทำเป็นมายาการ ทำให้คนหลงยึดติดมาก อย่างเช่นว่า พอพระเอกนางเอกมาก็กรี๊ด จนกระทั่งบ้านแทบพัง ถ้าเป็นลูกเป็นหลานอาตมา จะฟาดให้หลังลาย หรือไม่ก็พวกบรรดานางร้ายเข้าตลาดไปจะโดนเปลือกทุเรียนตบเอา ก็เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไปหลงอยู่กับบทบาทการแสดงของเขา

    พระพุทธเจ้าสอนให้เราละรัก โลภ โกรธ หลง แต่บรรดานักร้องนักแสดงสร้างรัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดขึ้นในจิตใจของคน แถมยังยึดมั่นแน่นแฟ้นมาก ดังนั้นบรรดานักร้องนักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเอาไว้ ไม่มีกุศลอื่นหนุนช่วย ตายเมื่อไหร่ลงนรกหมด เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ เราจะเห็นตัวอย่างนักร้องนักแสดงพอถึงเวลาตายแล้ว มีคนร้องไห้หา ยิ่งกว่าพ่อตายแม่ตาย บางทีก็เป็นหมื่นเป็นแสนเลย อย่างไมเคิล แจ็กสันตาย ก็มีคนจะฆ่าตัวตายตามไปหลายคน ก็แปลว่าทั้งหมดพร้อมที่จะลงนรกไปด้วยกัน

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พึงสังวรไว้ โดยเฉพาะนักร้องนักแสดง จำเป็นต้องสร้างกุศลให้มากเข้าไว้ เพื่อที่กำลังจะได้สูงพอ ถ้าหากกุศลบารมีมีความสูงพอ ก็จะพาตนให้หลุดพ้นจากอบายภูมิได้ เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจน เพราะเกรงว่าจะมีผลผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่อาตมาเองไม่กลัว อยากให้ทุกคนตาสว่างได้รู้อะไรมากขึ้น จึงนำมาบอกกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน


    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์โปรดญาติโยม บนศาลาวัดท่าขนุน
    วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (วันเข้าพรรษา)




    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #181818 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #181818 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #181818 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #181818 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>ทำไมดารา นักร้อง นักแสดง ส่วนใหญ่ตกนรก?.....หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    ดารา นักร้อง นักแสดงส่วนใหญ่ตกนรก
    <HR style="COLOR: rgb(153,128,73); BACKGROUND-COLOR: rgb(153,128,73)" SIZE=1>
    1.ถาม : เมื่อกี้ผมเล่าให้น้องเขาฟังครั<WBR></WBR>บ เรื่องดารา ถ้าไม่เคยทำบุญอย่างอื่น ตกนรกหมดเพราะทำให้คนยึดติด ก็รู้สึกเอ๊ะ ในเมื่อดาราเขาทำสัมมาอาชีวะแล้<WBR></WBR>ว ทำไมต้องไปตกนรกด้วย
    ในเมื่อถ้าเขาไม่ทำเขาก็ไม่มีกิ<WBR></WBR>น ?

    ตอบ : มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ สิ่งที่เขาทำมันค้านกับธรรมะที่<WBR></WBR>แท้จริง เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็<WBR></WBR>นมายา มันทำให้คนหลงยึดติดอยู่

    สังเกตไหมล่ะว่า นางอิจฉาเข้าไปในตลาด ดีไม่ดีเจอเปลือกทุเรียน ไม่ก็รองเท้าขว้างเอานั่นน่ะ คนมันยึดขนาดนั้น

    พระพุทธเจ้าสอนให้ละ พวกนี้ทำให้ยึด มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุ<WBR></WBR>ทธเจ้าสอน เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ โทษของมิจฉาทิฏฐินี่มันหนั<WBR></WBR>กมากนะ อเวจีที่เดียว น่าสงสารมากเลย

    ในพระไตรปิฎกมีอยู่ คือ พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสี<WBR></WBR>ยงมาก ได้รับการอบรมมาจากวงการนักแสดง เขาบอกไว้ว่า บุคคลที่สร้างความรื่นเริงให้<WBR></WBR>แก่ผู้อื่น จะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึ<WBR></WBR>งส์ ก็คือว่าจะได้ไปเกิดที่นั่น ภาษาบาลีฟังยากมันต้องแปลเป็<WBR></WBR>นไทยอีกทีหนึ่ง ท่านเองท่านก็ยึดมั่นในจุดนั้<WBR></WBR>นมา

    คราวนี้พอไปเปิดการแสดงที่เมื<WBR></WBR>องสาวัตถี ได้ยินมาว่าสมณโคดมทราบเรื่องทุ<WBR></WBR>กอย่าง ได้โอกาสก็เข้าไปกราบทู<WBR></WBR>ลถามพระพุทธเจ้าว่าสิ่งที่ท่<WBR></WBR>านทำจะให้ท่านได้เกิดบนสวรรค์ชั<WBR></WBR>้นดาวดึงส์จริงไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อนมายาการ อย่าเพิ่งให้เราพยากรณ์เลย ท่านเองถามถึง ๓ วาระ พอถึงครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่าลงอเวจีมหานรก

    คราวนี้ดีตรงที่ว่าท่านเชื่อ นั่งร้องไห้เลย ถามว่าทำอย่างไรถึงจะรอดได้? พระพุทธเจ้าบอกว่า บวชแล้วปฏิบัติ ไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์ รอดไปถ้าไม่เชื่อก็ซวย

    คราวนี้มันมีตัวอย่างอยู่ ดาราวัยรุ่น ธรรม์ โทณวณิก ที่ตาย ดูคนไปงานศพกี่หมื่น? ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ออกมาเห็<WBR></WBR>นแล้วตกใจ มันทำให้คนติดได้ขนาดนั้น แล้วดาราเพลงร็อคของญี่ปุ่น มันมากันที คนแห่กันไปดอนเมือง รถติดบรรลัยวายวอดเลย คนติดมันขนาดไหน? แต่มันเป็นการยึดในทางที่ผิด จริง ๆ แล้วการปฏิบัติมันต้องปล่อย ยึดเมื่อไหร่ก็อยู่แค่นั้นแหละ

    2.ถาม : แต่มันเป็นเรื่องทางโลกนะครับ ไม่มีก็ไม่ได้

    ตอบ : ก็มันไม่มีก็ได้ ถ้าหากว่าคนเราพอใจมี<WBR></WBR>ธรรมะประกอบอยู่ แต่บังเอิญว่าคนเรามันไม่<WBR></WBR>สนใจจะหันมาหาธรรมะ มันสนใจแต่ทางด้านโน้นจริง ๆ แล้วพวกนี้น่าสงสารมาก การแสดง แสง สี เสียง อะไรต่าง ๆ ก็ดี ที่มันเกิดขึ้นมา เพื่อกระตุ้นในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้ มันทำให้ปีติเกิดขึ้นในใจชั่<WBR></WBR>วคราว ทำให้จิตมันฟูขึ้นมาทำให้รู้สึกว่ามีความสุข แต่มันเป็นความสุขที่เกิ<WBR></WBR>ดจากการกระตุ้นภายนอก

    มันไม่เหมือนกับการรักษาศีลเจริ<WBR></WBR>ญภาวนาที่เป็นความสุข ที่เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากภายใน มันอยู่ยั่งยืนยงกว่า เพราะมันสร้างขึ้นมาเอง แต่ว่าอันโน้นมันเกิ<WBR></WBR>ดจากการกระตุ้นภายนอก เมื่อขาดสิ่งกระตุ้นนั้นมันก็<WBR></WBR>ขาดไป พวกนี้ก็จะเกิดอาการทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ตรงที่ว่า เอ๊ะ ทำไมไอ้ความสุขที่เคยมีมันหายไป? ก็ตะเกียกตะกายไปหาอีก ก็ต้องไปกินเหล้าเมายา ไปเต้นรำ ไปเข้าคลับเข้าบาร์กัน เข้าโรงหนังฟังเพลง ไปกรี๊ดกันถึงจะมัน

    3.ถาม : พวกนักร้องก็เหมือนกันหรือครับ?

    ตอบ : เหมือนกันหมด พวกนี้ส่วนใหญ่แล้ว ทำให้คนยึดติ<WBR></WBR>ด ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นมา ในลักษณะที่เรียกว่ากำลั<WBR></WBR>งใจทรงตัวนะ โอกาสรอดอเวจีน้อยเต็มที น่าสงสาร

    4.ถาม : อย่างนี้พวกนักฟุตบอล มันก็เกี่ยวเนื่องไหมครับ ?

    ตอบ : มันก็มีสิทธิ์เหมือนกัน

    5.ถาม : อย่างพวกแมนยูฯ ลิเวอร์พูล อาร์เซนอล

    ตอบ : พวกนี้จริง ๆ มันไม่น่าโทษเขานะ ไอ้คนระยำดันไปติด

    6.ถาม : เลยพาเขาซวยไปด้วย

    ตอบ : ต้องดูเจตนาของเขา ถ้าเจตนาของเขา คือ ว่าวางลีลา จะมีท่าแปลก ๆ อะไรออกมาเพื่อดึงดูดใจคน นี่เจตนาชัดเลย โทษ ๑๐๐% แต่ถ้าหากว่าเป็นอาชีพของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คนอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่เกี่<WBR></WBR>ยว นี่โอกาสรอดยังมีเยอะ คราวนี้แบบแรกมันจะเยอะ เป็นแบบแรกเกือบหมด

    7.ถาม : ตายแน่ เดวิด เบคแฮม ...(หัวเราะ)... โฮ ทั้งสามีภรรยาเลย

    ตอบ : เอาให้ถึงเวลาก็ไปดูแล้วกัน ถ้าคนไปติดเขาเองน่ะ จริง ๆ แล้ว โทษเขาไม่มี แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่เจตนาหาจุด<WBR></WBR>เด่นขึ้นมาเพื่อดึงดูด มันช่วยได้เยอะ ชื่อเสียงของตัวเองก็ได้ เงินทองก็มากขึ้น

    8.ถาม : ถ้าเป็นดารา ก็คิดว่าเราทำหน้าที่ของเรา

    ตอบ : คือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุ<WBR></WBR>ดไป แล้วถึงเวลาเรื่องของบุ<WBR></WBR>ญของบาปนะ บาปเราก็ละ บุญเราก็ทำ ให้จิตใจมันเกาะบุญมากกว่าบาป โอกาสรอดมันก็มี

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pat-naja&month=16-10-2009&group=3&gblog=19]Bloggang.com

    http://www.buddha-dhamma.com/index....egory=buddha-dhammacom&thispage=10&No=1299638

    ปล. เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจ การแสดงทุกประเภท รวมถึงการแสดงธรรม หากมี
    เจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่นในตัวผู้แสดง...เพื่อชื่อเสียง เกียรติยศของ
    ตนเอง เพื่อลาภสักการะ เพื่อโลกธรรม8 ย่อมไม่เป็นผลดีกับตนเอง แต่หาก
    เป็นเจตนาบริสุทธิ์ ผู้รู้ย่อมสรรเสริญ เกิดเป็นผลกุศลแก่ตัวเอง ขออนุโมทนาธรรม ของพระผู้ปฏิบัติดี
    ปฏิบัติชอบ ทุกๆท่าน สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สาธุ..ค่ะ ดีนะ นี่เกือบไปเป็นนักร้อง :'(แล้วนี่ๆ ฮี่ๆ
    อะไรที่ทำให้คนอื่น ผู้อื่นหลง ที่เจตนาจงใจล้วนผิด
    แต่ว่าคนส่วนใหญ่จะโดนพวกมากลากไป
    ก็ว่ากันไปเนอะ พี่ขวัญ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
    สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค</CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center background="" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD width="100%" bgColor=darkblue hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>




    <CENTER></CENTER><CENTER>ตาลปุตตสูตร</CENTER>[๕๘๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆกล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้างในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรพระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ [๕๙๐] แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ฯ [๕๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่าม-*กลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะอนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ [๕๙๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลย นายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ คามณี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มี-*พระภาคตรัสอย่างนี้กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะรื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชื่อปหาสะข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคนายนฏคามณีนามว่าตาลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วท่านพระตาลบุตรอุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แลท่านพระตาลบุตรเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ<CENTER><BIG>อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค คามณิสังยุตต์</BIG> <CENTER class=D>๒. ตาลปุตตสูตร</CENTER></CENTER>



    <CENTER>อรรถกถาตาลปุตตสูตรที่ ๒ </CENTER>ในตาลปุตตสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
    บทว่า ตาลปุตฺโต คือ เขามีชื่ออย่างนั้น.
    เล่ากันมาว่า นายบ้านนักฟ้อนรำคนนั้น มีผิวพรรณผ่องใสเหมือนลูกตาลสุกที่หลุดจากขั้ว. ด้วยเหตุนั้น คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อเขาว่า ตาลบุตร.
    นายตาลบุตรผู้นี้นั้น เขาถึงพร้อมด้วยอภินิหาร (บุญเก่า) เป็นบุคคลเกิดในภพสุดท้าย(ไม่ต้องเกิดอีก). แต่เพราะธรรมดาปฏิสนธิเอาแน่นอนไม่ได้ เหมือนท่อนไม้ที่ขว้างไปในอากาศ ฉะนั้น นายตาลบุตรนี้จึงบังเกิดในตระกูลนักฟ้อนรำ. พอเจริญวัยก็เป็นยอดทางนาฏศิลป ศิลปฟ้อนรำ มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วชมพูทวีป.
    เขามีเกวียน ๕๐๐ เล่ม มีหญิงแม่บ้าน ๕๐๐ คนเป็นบริวาร แม้เขาก็มีภรรยาจำนวนเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงพร้อมด้วยหญิง ๑,๐๐๐ คนและเกวียน ๑,๐๐๐ เล่มอยู่อาศัยนครหรือนิคมใดๆ ประชาชนในนครหรือนิคมนั้นๆ พากันให้ทรัพย์แสนหนึ่งแก่เขาก่อนทีเดียว.
    เมื่อเขาแต่งตัวแสดงมหรสพกำลังเล่นกีฬาพร้อมด้วยหญิง ๑,๐๐๐ คนอยู่ ประชาชนต่างโยนเครื่องประดับมือเท้าเป็นต้น ตบรางวัลให้ไม่มีสิ้นสุด. วันนั้น เขาแวดล้อมด้วยหญิง ๑,๐๐๐ คนเล่นกีฬาในกรุงราชคฤห์ เพราะมีญาณแก่กล้า พร้อมด้วยบริวารทั้งหมดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
    บทว่า สจฺจาลิเกน ได้แก่ ด้วยคำจริงบ้าง ด้วยคำเท็จบ้าง.
    บทว่า ติฏฺฐเตตํ ความว่า ข้อนั้นจงพักไว้.
    บทว่า รชนิยา ได้แก่ มายากลแสดงลมเจือฝนพัดด้ายห้าสีออกจากปาก ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งราคะ และนัยที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างอื่นซึ่งแสดงอาการที่ประกอบด้วยความยินดีในกาม.
    บทว่า ภิยฺโยโส มตฺตาย ได้แก่ โดยประมาณยิ่ง.
    บทว่า โทสนิยา ได้แก่ อาการที่แสดงมายากลมีการตัดมือและเท้าเป็นต้นซึ่งเป็นปัจจัยแห่งโทสะ.
    บทว่า โมหนิยา ได้แก่ มายากลชนิดเอาน้ำทำน้ำมัน เอาน้ำมันทำน้ำอย่างนี้เป็นต้นซึ่งเป็นเป็นปัจจัยแห่งโมหะ.
    บทว่า ปหาโส นาม นิรโย ความว่า ธรรมดานรกที่ชื่อว่า ปหาสะ มิได้มีเป็นนรกหนึ่งต่างหาก แต่เป็นส่วนหนึ่งของอเวจีนั่นเอง ที่พวกสัตว์แต่งตัวเป็นนักฟ้อนรำ ทำเป็นฟ้อนรำและขับร้องพากันหมกไหม้อยู่ ท่านกล่าวหมายเอานรกนั้น.
    ในบทว่า นาหํ ภนฺเต เอตํ โรทามิ นี้ พึงทราบเนื้อความด้วยอำนาจสกรรมกิริยาอย่างนี้ว่า ข้าพระองค์มิได้ร้องไห้ถึงการพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าข้อนั้น พระเจ้าข้า.



    อนึ่ง ในข้อว่า ชนทั้งหลายปรารภถึงคนตายมีน้ำตาไหลร้องไห้เป็นต้นนี้ พึงทราบว่าเป็นอีกโวหารหนึ่ง. <CENTER>
    จบอรรถกถาตาลปุตตสูตรที่ ๒


    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=589
    </CENTER><CENTER><CENTER>http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=7768&Z=7822</CENTER>


    </PRE>


    </CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  4. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1153907/[/MUSIC]:boo::boo::boo:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ดีแล้วจ้ะ สาธุ เกือบไปเป็นนักร้องซะแล้ว..น้องเรา ฮุฮุ

    ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา ถ้าทำเพราะอยากเด่น อยากดัง อยากมีชื่อเสียง
    อยากให้คนอื่นมารักมาชอบมาเชิดชูตัวเอง นี่เสร็จเจตนาของตัณหาพาหลง หมด
    คนอื่นเขาจะเข้าใจเจตนาเราถูกหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่า เราควรรู้เท่าทันเจตนาของเรา
    ทั้งหมดก็เพื่อตัวเราเอง ภาวนาก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อจะได้หลุดพ้นอบายภูมิด้วยตัวเราเอง...เนาะ

    [​IMG]...กระทู้พลีชีพเพื่อตัวเอง...เนาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  6. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ใช่ค่ะ พลีชีพ กด V1. เอกวีร์ V2. ปราบเทวดา

    ล้อเล่น จริงๆ หลบภัยก็คิดนานแล้วนะ ตั้งแต่ศีล ข้อ 4 ข้อมุสาอ่ะ
    มันจะรวมถึงการเป็นนักแสดง การเป็นดาราไหม มาๆ ลองคิดู
    ก็อ้อ อะไรที่ทำให้คนอื่นหลง แบบเจตนาจงใจเราก็ผิด
    หากเราไม่รู้ อันนี้ย่อมไม่ผิด หากใครอยากทืบหลบภัย หลบภัยไม่ได้เจตนาค่ะ
    หลบภัยไม่ผิดนะ นอกเรื่องอีกแระ โทษทีพี่ขวัญ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิอิ...ตามสบายน้องเอ๊ย...
    การพูดตามจริง ทำให้เราได้เห็นของจริง ที่มันหลบๆ อยู่
    ตอนพูดเราไม่ได้มีเจตนาอะไร นี่นา
    แต่หลังจากที่พูดออกมาแล้ว ก็ใช้ประโยชน์จากมันซะ ทวนรู้ก็ได้รู้ เหมือนกัน เนาะ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แต่ที่พิจารณาจากที่พระท่านสอนด้านบนอะนะ
    ถ้าไม่ได้มีเจตนาจะให้คนมาหลงไหลได้ปลื้มในตัวเอง
    แต่มีเจตนาทำไปเพราะอาชีพ เป็นหน้าที่ที่รับมา โดยหวังจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
    ไม่ได้หวังลาภ สักการะ ชื่อเสียง เงินทอง สวรรค์ชั้นต่างๆ หรือมีเจตนาให้แฟนๆมานิยมชมชื่น
    ก็จะไม่มีโทษ ถือว่ามีเจตนาทำไปตามหน้าที่ แต่ว่ามันทำยากใช่ไหม หลงพลิกนิดเดียว
    ก็เสร็จเจตนาของตัณหาไปซะแล้ว เหมือนคนยืนบนคมหอกคมดาบ ขาดสติพลาดเมื่อไร
    ก็เสร็จโจร ใช่ไหม

    ปล. ขอโหวตให้ V1 เอกวีร์พลีชีพเป็นอาจิณ.. อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  9. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ผมว่านักแสดงบางท่านก็ไม่ได้มีเจตนาให้คนหลงติดหรือยึดติดกับบทบาทที่ตนได้แสดงหรอกครับ
    คิดเพียงแต่ว่าเราจะแสดงออกมาอย่างไร ให้เข้าถึงบทบาทที่ตนเองได้แสดงไว้มากที่สุด
    จนลืมคิดไปว่าผลลัพธ์ที่ตนเองได้ทำไว้สุดความสามารถนั้น จะทำให้ผู้ชมยึดติดในบทบาทที่ตนเองได้แสดงไว้หรือไม่

    ซึ่งมีทั้งโทษและประโยชน์แก่ผู้ชมการแสดง
    หากคนดูลุ่มหลงยึดติดในสิ่งที่นักแสดงได้แสดงไว้ ก็เป็นโทษแก่นักแสดงและผู้ชม
    แต่หากคนดูแล้วเกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่นักแสดงได้แสดง ดูแล้วไม่อยากให้ชีวิตตนเองเป็นอย่างที่เขาแสดง
    ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่เขาแสดง ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ชม และเป็นกุศลแก่ผู้แสดง เพราะทำให้ผู้ชมเป็นคนดีขึ้น

    เจตนาของผู้แสดงละครหรือแสดงธรรมะเป็นอย่างไรจึงไม่น่าสนใจ
    หากเรามองในสิ่งที่เขาแสดงไว้ไม่ดีให้เกิดประโยชน์ มองให้เป็นธรรมะ
    เราก็จะได้ประโยชน์นั้นแก่ตนเอง และเป็นการไม่ก่อโทษและความทุกข์แก่ผู้อื่นอีกด้วย

    เจตนาของผู้ชมละครหรือธรรมะจึงสำคัญกว่าเจตนาของผู้แสดงละครหรือแสดงธรรมะ
    คือ เจตนาของเราเอง สำคัญกว่า เจตนาของผู้อื่นครับ

    _________________
    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นคือทุกข์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    [​IMG]
    นักร้องหนุ่ม ตูน เอเอฟ 3 เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณพ่อ-แม่ ณ วัดภาษี เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยมีฉายาทางธรรมว่า ''อัคคปัญญโญ''

    ขอขมาหนุ่มตูน และอนุโมทนา ที่ได้บวชในพุทธศาสนา
    การทดแทนพระคุณพ่อแม่ ไม่ใช่การบวช แต่การทดแทน
    พระคุณพ่อแม่คือ หากพ่อแม่เป็น มิจฐาทิฐิ
    ให้เป็นสัมมาทิฐิได้ นั้นคือ การทดแทนที่เป็นอนิสงค์สูงสุด
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เจตนาของผู้ชม ก็เป็นกรรมของผู้ชม มีเจตนาดูเพื่อสงเคราะห์ตนเองให้เห็น
    ธรรมในตนก็ได้ประโยชน์ตน

    เจตนาของผู้แสดงก็เช่นกัน จะก่อโทษหรือก่อประโยชน์ให้เกิดแต่ตนหรือแก่
    ผู้อื่นก็ตาม ถ้าเกิดผลเสียแก่ตนก็ควรจะพิจารณาตั้งแต่ต้น ทำเพราะรู้ผลดี
    รู้ผลเสียก่อนทำ ย่อมไม่เสียใจในภายหลัง แต่ถ้าทำไปเพราะไม่รู้หรือรู้แล้วยังทำ
    ก็ต้องน้อมรับกรรมไปตามนั้น วิบากกรรมเป็นผลเที่ยงแท้เสมอ
    แต่สัญญาไม่เที่ยง ได้ยินมาอีกทีนะ

    เจตนาของใครของมัน กรรมก็ของใครของมัน
    ส่วนใหญ่เจตนาดี แต่ส่งผลร้ายให้ตัวเองก็มี การระวังตนไม่ประมาทในธรรม
    บัณฑิตผู้รู้ย่อมสรรเสริญ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่มีใครห้ามใครไม่ให้เล่นกับไฟได้หรอก
    ทำได้แค่เตือนว่า อย่าประมาทเล่นกับไฟ
    กรรมใครกรรมมัน เจตนาของใครของมัน
    ต่อให้คนแสดงมีเจตนาไม่ดีแต่ต้น แต่คนรับเกิดมีสติเห็นธรรมขึ้นมา
    คนแสดงก็ต้องรับกรรมที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ส่วนกุศลของผู้ชมการแสดงก็เป็นส่วนของเขา
    อานิสสงค์จะมาถึงผู้แสดงไหม เราก็ไม่รู้หรอกนะ

    ดังนั้น ก่อนแสดงอะไร ก็ควรรู้เจตนาของตนเองให้ชัด หรือทำไปโดยไม่มีเจตนาร้ายก็ยังดี

    แต่ในทางกลับกันนะ
    ผู้แสดงมีเจตนาดี หวังดี แต่ผู้รับเกิดอกุศลจิตพาลงอบายภูมิเพราะกิเลสในใจตนเกิดโทสะ
    เกิดพยาบาท ก็ไม่รู้ว่าวิบากกรรมจะตกถึงผู้แสดงที่มีเจตนาดีไหม มันก็อันตรายเป็นผลร้าย
    กับตัวเองทั้งที่แสดงเพราะรู้และแสดงเพราะไม่รู้ จะว่าไปก็มากเรื่องอีก...เนาะ
    ระวังตนไว้ก็ได้ชื่อว่าไม่ประมาท ก็แล้วกัน ส่วนใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ใจท่านแล้วกัน

    เราว่า มีเจตนาทำเพื่อให้ตนเองได้ดี เป็นผลดีกว่ามีเจตนาทำเพื่อให้คนอื่นได้ดี
    เพราะผลดีหรือเสียเราทำเองก็รับเอง แต่ผลดีผลเสียที่ไปตกที่คนอื่นเพราะเจตนาที่เกิดจากเรา
    บางที่มันพลิกล๊อคหวังดีกลับกลายเป็นร้ายก็จะมานั่งเสียใจจิตตกเองอีกถ้าคุณธรรมของตัวเองไม่พอ
    ช่วยตนเองให้พ้นจิตตกไม่ได้ ก็กลายเป็นทำร้ายทั้งเขาและทั้งตัวเอง อีก กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม
    ไปกันไม่ถึงไหนซักที หรือเกิดช่วยคนอื่นให้ได้ดีแล้วเกิดมานะอัตตายึดว่าเขาได้ดีเพราะเรา ก็ไม่เป็น
    ผลดีกับเราอยู่ดี กิเลสตัณหาไม่เข้าใครออกใคร ทุกอย่างที่ทำไปต้องสำรวจตรวจตราที่ใจตนเองว่า
    มีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้นในใจเราไหม หลงในความดีของตนก็เป็นโมหะ หลงในบุญกุศลก็เป็นโมหะ
    ตัดรักตัดหลงได้ ก็ถึงความบริสุทธิ์แท้จริงได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  13. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อย่างละคร สอนธรรม จัดทำเพื่อขัดเกลา
    อันนี้ถือว่าเจตนาเป็นกุศล

    เพลงธรรมมะ จัดทำเพื่อให้จิตอ่อนน้อม
    บำบัด แม้เป็นทางโลกก็ตาม
    เจตนาเพื่อให้ได้สติ

    ทุกอย่างใช้เจตนาเป็นตัวกลาง
    การกระทำ เป็นตัวสืบเนื่องของเจตนาอีกที ---กรรม(วิบาก) คือ ผล ของเจตนานั้นๆ
     
  14. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ...........ข้าพเจ้าเคยรู้จัก ท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เป็นข้าราชการ หน้าตา ผิวพรรณลักษณะ

    จัดว่าเป็นคนสวย แต่ที่ดีกว่าสวยกว่าสี่งภายนอกที่พบเห็นก็คือ ท่านจิตใจดี เป็นคนใจดี สวยจากภายใน เป็นคนมีคุณธรรม

    ก่อนท่านผู้นี้จะหันมาปฏิบัติธรรมก๋ไช้ชีวิตอย่างทางโลกอย่างบุคคลทั่วๆ ไป แต่ท่านไม่ละเมิดศีลห้า แค่นั้นเอง รักษาศีลห้าได้ดี

    ต่อมา ท่านก็เริ่มหันเข้ามาปฏิบัติธรรม ท่านมีทุนเดิมดีแล้ว คือศีลห้า ก็ได้มาฝึกสมาธิ วิปัสสนา

    พอฝึกได้ไม่นาน ก็สามารถ สร้้้้้า้งทิพย์จักขุญาณไห้เกิดขึ้นมีแก่ตนได้ พระ

    ท่านบอกว่าเป็นของเก่าที่ติดตัวมา ตั้งแต่อดีต พอพระท่านไปชี้แนะ หรือไปเคราะสนิมไห้ ของเดิมแท้ก็ปราฏกตัวออกมา

    เดิมทีท่าน ชอบเอวิส เพรชลีย์ อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะว่าเป็นแฟนคลับก็ได้ นิยมชมชอบ
    ในตัวเอวิสเป็นพิเศษ พอฝึกสมาธิได้ ก็อยากจะรู้ว่า เอวิส ตอนนี้ อยู่ที่ไหน อยากรู้ว่าเอวิสตายแล้วไปไหน

    ปรากฏว่า ไปเจอเอวิสอยู่ข้างล่าง ปีนต้นงิ้วอยู่ กำลังถูกหนามสปริง แทงทลุจากหน้าอก ทลุออก

    ด้านหลัง เลือดโทรมกาย ปากซีด ท่านก็ตกใจ คือไม่ได้คิดว่าภาพที่เจอจะเป็นเช่นนี้

    เพราะท่านก็ติดตามอยู่ว่า เอวิสเป็นคนของสาธารณะชน ประชาชนต่างชื่นชอบ

    ท่านบอกว่า เคยอ่านนิตยาสาร TIMES ขนาดเผัวเมีย นิโกรคู่หนึ่ง เป็นคนจนธรรมดา

    ไปยืนดูรถโรสลอยด์ ด้วยความอยากได้ เอวิส ดูสิ ยังซื้อไห้เลย ซื้อรถไห้ ยกไห้ฟรีๆ


    แต่คำตอบจากท่านที่เป็นใหญ่ในโลกเบื้องล่าง บอกว่า เอวิส ที่ทำแบบนั้น ทำเพื่อเอาหน้า

    หวังสร้างกระแสนิยมสร้างภาพ มีอย่างอื่น

    เคลือบแฝงในจิตใจ ไม่ได้มาจากใจที่บริสุทธิ์ หรือเจตนาดีจริงๆ (ไม่ไช่กุศลทาน)

    และก่อนตายเอวิส

    มัวเมาอยู่ในโลกีย์เป็นอย่างมาก มีผู็หญิงเข้ามาเยอะมาก

    ด้วยเหตุนี้ ที่ไปของเอวิส ก็คือ ฉิมพลีนรก
    .....................................................

    อนุโมทนากับทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กันยายน 2010
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ต้องดูด้วย ว่า พระสูตรนั้น พระศาสดากล่าวเพื่ออะไร เช่นบางทีอาจจะกล่าวเพื่อสงเคราะห์ให้ บุคคลนั้น เห็นสัจธรรม ก็มี

    การเป็นนักแสดง เป็นอาชีพที่ให้ความบันเทิง กับ ผู้คน บางทีก็มีคติสอนใจ บางทีก็มีคติชีวิต นักแสดงเป็นเพียงแค่การถ่ายทอดบทบาท จะไปตกนรกได้อย่างไร ไม่ต่างอะไรกับ คนเขียนนิยาย เขียนตำรา ที่ถ่ายทอด สิ่งหนึ่งไปให้ ผู้คนรับรู้
    นักแสดงท่านใด เข้ามาอ่าน วางใจได้ ไม่ตกนรก และ อาชีพนักแสดงไม่ได้ ขัดต่อการทำความดีเลย

    บางคน เป็นนักแสดงที่เป็น ศิลปินแห่งชาติ บางคนเป็น นักร้องที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ มีมากมาย

    อย่าว่าแต่ นักแสดงเลย คนเป็นพระ ถ้าไม่มีกุศลเข้ามาช่วยหนุน มีแต่อกุศล ก็ลงอเวจีง่ายกว่า นักแสดงเสียอีก
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ขอโทษนะ ถ้าจะกล่าวว่า นักแสดงกระตุ้น ขันธ์ทั้ง 5 ให้คนไหลหลง แล้ว นักแสดงตกนรกแล้ว

    เมียทุกคน จะต้องตกนรก เพราะกระตุ้น ต่อมตัณหาให้ผัว และ รุนแรงมากกว่า นักแสดง ร้อยเท่าพันเท่า

    แต่ ว่า ความจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ในทางพระเราเรียกว่า กามคุณ คือ สิ่งที่เป็น เครื่องสนองต่อ รูป รส กลิ่น เสียง หล่อเลี้ยง ขันธ์ 5 นี้ให้บันเทิงอยู่ ไม่ห่อเหี่ยว

    นี่ให้ พิจารณา
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระท่านก็บอกละเอียดแล้วนา ดูที่เจตนา ถ้าไม่ได้หวังลาภยศสรรเสริญ
    หรือให้คนอื่นมาชื่นชม ชื่นชอบตนเอง แต่ทำไปเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
    ก็ขยายความว่าได้ว่า เขียนเนื้อหาเพื่อวิชาชีพนักเขียนให้ดีที่สุด แสดงให้ดีที่สุดตามหน้าที่
    ของนักแสดง ก็ไม่มีโทษต่อตัวเอง ส่วนคนอื่นจะยึดติดจะหลงไหลผู้แสดงหรือผู้เขียน
    ก็เป็นกรรมของคนอื่นแล้ว ไม่เกี่ยวกัน แต่ถามว่ามีซักกี่เปอร์เซนต์ที่แสดงหรือทำไปเพราะ
    มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุดทำโดยไม่หวังผลทางโลกธรรม8 เราก็ว่าเป็นการไม่
    ประมาทถ้าได้รู้เรื่องพวกนี้ เพราะโดยอาชีพมันก็เสี่ยงกับอบายภูมิอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ประมาท
    ก็เลี่ยงกรรมเลี่ยงวิบากเอาตัวรอดได้ มีแต่เรื่องที่เป็นคุณ การรู้จักสังวรณ์ตัวเองเนืองๆ
    เรียกว่าไม่ประมาท ไม่ลงสู่อบาย
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเมียมีเจตนาจะยั่วยวนให้ผัวรักลุ่มหลงในกามคุณ เราว่ามีเจตนาไม่ดีมีอบายไปที่ไปนะ
    แต่ถ้าทำตามหน้าที่ของเมีย ตามวาระ ไม่มีเจตนาจะทำให้ใครลุ่มหลง ก็คงรอดจากอบาย
    ไม่เกิดลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณ ดูที่เจตนา เป็นสำคัญ บางคนเขาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
    ช่วยกันสร้างบารมี แต่ก็มีบางคนบางคู่อยู่เพื่อร่วมก่ออบายลุ่มหลงแต่ในกามคุณ
    มันมีทั้ง2 ด้าน ก็ต้องใช้สติปัญญาตรองดู ดูที่เจตนา และไม่ทำผิดศีล5 ธรรมะของปุถุชนคนครองเรือน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไร้เหตุผล พ่อครัวทำอาหารอร่อย ก็อยากได้รับคำชม
    จิตรกรวาดรูป ก็ต้องการคำชม
    คนตั้งใจทำงานก็ต้องการคำชม
    เด็กทำดี ก็ต้องการพ่อแม่ชม

    นี่แหละ เขาเรียกว่า สุดโต่ง ไม่พิจารณา เสพธรรมอย่างเดียว
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นี่ก็สุดโต่ง เมียกับผัว ก็จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่นอนด้วยกันหรือ มันก็ก่อให้เกิด ตัณหาราคะ เหมือนกัน
    จะไปแบ่งแยกประเภท เพื่อให้เข้าทางตน มันไม่เข้าท่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...