เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 18 สิงหาคม 2010.

  1. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ไม่มีเรื่องแปลก ไม่มีเหตุบังเอิญทุกอย่างในโลกย่อมเกิดได้ทั้งนาน ตามเวรตามกรรม โลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญหรอก ไม่มีคำว่าแปลกหรอกมีแต่คำว่าธรรมชาติ ฉะนั้นพระศาสดาได้กล่าวว่าทุกอย่างในโลกล้วนไม่มีเหตุบังเอิญ ฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

    ในด้านที่พระเยซูท่าน กล่าวว่าเชื่อพระเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ เชื่อเรา ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าไม่ว่าจะทำชั่วอะไรมา ขอให้หยุด แล้วก็มีความเชื่ออย่าลังเลสงสัย หันมาทำดีมีเมตตารักเพื่อนบ้าน เชื่อในทางการปฏิบัติของพระเจ้าก็อาจได้ไปภพพูมิที่ดีได้ ถ้าเราหยุดทำชั่ว เช่นเดียวกับที่ผมเคยศึกษามาว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจสวรรค์หรือนรกก็อยู่ในตัวเรานี่แหละถ้าเรามีความสุขไม่หม่นหมอง ถึงทำชั่วมาแค่ไหน ตอนจะตายไม่หม่นหมองเข้าใจสัจธรรมหยุดที่จะทำชั่วก็ไปสวรรค์ก่อนได้ เช่นเดียวกับองคุลีมารที่ไล่ฆ่าคนมามากไม่เว้นแม้แต่จะฆ่ามารดาตัวเอง บาปมากแค่ไหนสุดท้ายท่านก็ยังบรรลุ เข้านิพพานได้ ดังนั้นพระเยซุท่านอาจอยากจะสอนทหารหรือคนที่เข่นฆ่ากันในสมัยนั้นให้ยุดเข่นฆ่า ให้เชื่อท่าน ให้หันมาเชื่อพระเจ้าและมีเมตตาใช้ความรักเพื่อนมนุษย์ให้ถูกทาง การทำดีไม่มีคำว่าสายก็ได้ อะไรประมาณนี้ ดังนั้นพระเจ้าของพระเยซู อาจจะเป็นพระพุทธเข้าของเราก็ได้ เช่นอย่างที่คุณพรานทะเลบอกว่า God มาจากคำว่า Godhama ฉะนั้นพระเจ้าที่พระเยซูกล่าวถึงที่ท่านได้พบอาจเป็นพระพุทธเจ้าของเราก็ได้ แล้วอีกอย่างที่เป็นไปได้เพราะศาสนาคริสต์ก็เกิดหลังพุทธ และเมื่อจิตท่านถึง อาจถึงขั้นพระโพธิสัตว์จริง ท่านก็อาจจะมีนิมิตรสื่อกับพระพุทธเจ้าได้ไม่ยาก เพราะดูท่านเท่าศึกษาดูท่านมั่นใจในความดีมากมั่นใจในคำสอนของพระเจ้ามากหนักแน่นมากแม่จะถูกตรึงกางเขนยังไม่กลัวยังกล้ายืนยันว่าพระเจ้ามีจริง คำสอนของท่านคือเรื่องจริง ให้มนุษย์หลงจากความโง่งมงายตื่นจากบาป จากมาร ฉะนั้นถ้าพระเยซุเป็นผู้หลอกลวงเรื่องพระเจ้า คงจะไม่หนักแน่นถึงขั้นตนเองจะตายก็ยังจะยืนยันว่าคำสอนของท่านคือของจริง แม้จะตายก็ยึดมั่นหนักแน่น ไม่กลัวแม้ชีวิตหลังความตาย และจะมีพระโพธิสัตว์ไปเกิดแถวยิวเพื่อนำคำสอนที่แท้จริงก็ไม่เห็นแปลก เพราะจะให้พระโพธิสัตว์มาเกิดแต่แถวเอเซียอย่างเดียวเลย ไม่ไปเกิดยุโรปเลย แล้วยุโรปจะเข้าถึงแสงแห่งธรรมได้อย่างไร ฉะนั้นผมว่าเรื่องจะเกิดขึ้นจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อันนี้ผมก็พิจารณาเอาเองนะครับ ไม่ไ้บอกว่าเป็นตามที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ว่าใช่หรือไม่ก็ไม่มีใครทราบมันเป็นเรื่องของอดีต คนเราทำสงครามกันเองหักล้างกันเอง ทั้งๆที่ไม่มีศาสดาคนไหนสอนให้ฆ่ากันเลย มีแต่ให้เป็นคนดีอยู่ร่วมโลกกันอย่างมีความสุข คนเราแบ่งแยกกันเอง ถ้าศาสดามากจากเบื้องบนทั้งหมดจริง ผมว่าก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด เบื้องบนเค้าคงไม่มีแบ่งแยกกันหรอก คนเราแบ่งแยกกันเองแหละผมว่า ฉะนั้น เราก็เกิดมาเป็นคนพุทธได้อยู่ใกล้คำสอนของพระศาสดามากที่สุดฉะนั้นดูใจตนแล้วปฏิบัติต่อไปเถอะทำดีรักษาศีลก็พอแล้วเรื่องจะจริงหรือไม่จริงก็เป็นเรื่องของอดีต ไม่มีผลกับเรา รอให้ผู้รู้มาพิสูจน์แต่ถ้าหากไม่มีผู้ใดมาพิสูจน์ก็เท่ากับว่าวาสนาพวกเราไม่ถึงที่จะได้รู้ก็เท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติซักหน่อย ฉะนั้นเราก็ตั้งใจทำตามหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดก็พอแล้วครับ อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับผม
     
  2. ไข่เค็ม

    ไข่เค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +121
    การเปลี่ยนความเชื่อมันยาก โดยเฉพาะพวกที่เชื่อฝังหัวปราศจากปัญญา และเหตุผล ของจริงมันต้องพิสูจน์ได้ ใช่มั้ยครับ:cool:
     
  3. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ที่โบสวัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ ก็มีรูปพระเยซูอยู่ เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์พระองค์นึง รูปพระเยซูในโบสวัดพุทธ พุทธแท้ๆคือตื่นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง ไม่ว่าศาสนาใด นิกายใด หากถึงซึ่งพระธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็เป็นแค่เปลือก จิตใจที่เข้าถึงซึ่งธรรมนั่นคือแก่นแท้
     
  4. Deetom

    Deetom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +825
    เอาที่พอรู้จากครูบาอาจารย์มานะครับ ก็บอกว่าพระเยซูท่านเป็นพระโพธิสัตว์ บารมีเต็มอยู่ชั้นดุสิตเทวโลก ฝึกกรรมฐานได้อภิญญา นี่ก็อาจเป็นไปได้ที่ท่านจะรู้หลักธรรมจากเบื้องบน แล้วนำมาสอน
     
  5. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    พระเยซูหน้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธแน่นอนครับ

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเล่าให้ฟังว่าเคยเจอพระเยซูที่บนสวรรค์

    และได้สนทนากันด้วย พระองค์อาจเป็นสาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้าหรือป่าวครับ

    ผมคิดเองนะครับ

    อนุโมทนากับกระทู้ดีอน่างนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. กรรัฐ

    กรรัฐ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +26
    อย่าเชื่อหูถ้าไม่เห็นด้วยตา อย่าเชื่อตาถ้าไม่ได้สัมผัส อย่าเชื่อสัมผัสถ้าไม่ได้ใช้สติปัญญา คิดให้มาก ก่อนที่จะทำ ในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่าง
    จะปรากฎขึ้นเอง เดี๋ยวรู้กัน
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำมีผลตอบแทน ****

    อยู่กับโลก ด้วยศีลทำความดี
    หลุดพ้นโลก ด้วยสัจจะ ปลดลดพันธนาการทั้งปวง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    เคยได้ยินได้ฟังเข้าเล่าว่าเช่นนี้เหมือนกันครับ
     
  9. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    ผู้ใดก็ตามเจริญจิตเมตตาให้มากยิ่งในหมู่สัตว์ทั้งหลายถือฌานโพธิสัตว์ค่ะ คือผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ แต่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ในทางพุทธ
     
  10. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    จิตมนุษย์ปรุงแต่งมาก เป็นกันเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยเปลี่ยน แม้จะล่วงเลยไปนานเท่าใด มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ
    ในยุคนี้มีความพยายามจากกลุ่มบุคคลที่จะทำให้ดูเหมือนว่า ทั้งสองศาสนาเป็นศาสนาเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งตอบได้ทันทีว่า....."ไม่ใช่ค่ะ"
    เจริญจิตไปกันคนละทาง คนละวิถี คือต้องเข้าใจเรื่องจิตก่อนว่า "จิตมนุษย์มีกระแสวิถีของมัน ซึ่งเป็นไปตามอดีตที่เป็นมา" ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นสุดท้ายมาพบพระพุทธศาสนาจึงเปลี่ยนศาสนาก็มี ผู้ที่นับถือพระศาสนาแล้วเปลี่ยนไปนับถืออย่างอื่นก็มี แล้วแต่จริตซึ่งเป็นไปตามกระแสจิตแต่เก่าก่อนที่เก็บไว้ในจิต

    ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีวิถีการปฏิบัติแตกต่างกันไปตามภูมิรู้ของศาสดาของ
    ศาสนานั้น ทุกศาสนาสอนให้คนมีจิตเอื้อเฟื้อต่อกันเป็นผู้มีใจดีต่อกัน นั่นย่อมดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมโลก โลกบังเกิดสันติสุข มิจำเป็นต้องทำให้รวมกันหรือทำให้เป็นแนวทางเดียวกัน มิเช่นนั้น ก็ไม่มีกำเนิดพระศาสดา ไม่มีการกำเนิดศาสนาต่างๆ ซึ่งแตกต่างไปตามกระแสจิตของมนุษย์ หมายความว่าตราบใดที่กระแสจิตของมนุษย์ไม่เป็นหนึ่งเดียว ย่อมมีกำเนิดศาสนาต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีกระแสจิตเดียวกันหรือเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ด้วยอดีตที่ต่างกัน
     
  11. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สาธุ...เห็นด้วยค่ะ นี่แหละชาวพุทธอย่างแท้จริง:cool::cool: ทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ
     
  12. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501

    แต่ว่าเปลี่ยนศาสนาเป็นเรื่องของมนุษย์ปัจจุบัน ส่วนเรื่องของศาสดาเป็นเรื่องของ สวรรค์ ไม่มีใครหยั่งถึงได้ว่าใช่หรือไม่ ศาสนาเป็นนามที่มนุษย์แต่งขึ้น นิพพานไม่มีศาสนาอยู่ที่มนุษย์อยู่ที่จิตอยู่ที่ปฏิบัติ
     
  13. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->โมก<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3781184", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    ผู้ใดก็ตามเจริญจิตเมตตาให้มากยิ่งในหมู่สัตว์ทั้งหลายถือฌานโพธิสัตว์ค่ะ คือผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ แต่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ในทางพุทธ<!-- google_ad_section_end -->
    รบกวนอธิบายเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานสักหน่อยเถิด...
    อยากรู้ว่าจริงๆแล้ว เธอหรือว่าเรา ที่งง


    จิตมนุษย์ปรุงแต่งมาก เป็นกันเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยเปลี่ยน แม้จะล่วงเลยไปนานเท่าใด มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ
    เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกันมาหลายรอบแล้วท่าน... สงสัยท่านเกิดไม่ทันมั๊ง 55555
    แต่ละยุคสมัยของโลก มีรายละเอียดของมายาโลกแตกต่างกันไป
    ส่วนความไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง มันก็อยู่เป็นสมบัติของจิตที่ยังมาเวียนว่ายขัดเกลาฝึกฝนเรียนรู้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

    ในยุคนี้มีความพยายามจากกลุ่มบุคคลที่จะทำให้ดูเหมือนว่า ทั้งสองศาสนาเป็นศาสนาเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งตอบได้ทันทีว่า....."ไม่ใช่ค่ะ"
    เจริญจิตไปกันคนละทาง คนละวิถี คือต้องเข้าใจเรื่องจิตก่อนว่า "จิตมนุษย์มีกระแสวิถีของมัน ซึ่งเป็นไปตามอดีตที่เป็นมา" ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นสุดท้ายมาพบพระพุทธศาสนาจึงเปลี่ยนศาสนาก็มี ผู้ที่นับถือพระศาสนาแล้วเปลี่ยนไปนับถืออย่างอื่นก็มี แล้วแต่จริตซึ่งเป็นไปตามกระแสจิตแต่เก่าก่อนที่เก็บไว้ในจิต

    ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีวิถีการปฏิบัติแตกต่างกันไปตามภูมิรู้ของศาสดาของ
    ศาสนานั้น ทุกศาสนาสอนให้คนมีจิตเอื้อเฟื้อต่อกันเป็นผู้มีใจดีต่อกัน นั่นย่อมดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมโลก โลกบังเกิดสันติสุข มิจำเป็นต้องทำให้รวมกันหรือทำให้เป็นแนวทางเดียวกัน

    ที่ความเป็นสมดุลย์ของเอกภาพมันต้องเสียไป ก็เพราะความคิดแบ่งแยกจากอวิชชานี่ล่ะ

    มิเช่นนั้น ก็ไม่มีกำเนิดพระศาสดา ไม่มีการกำเนิดศาสนาต่างๆ ซึ่งแตกต่างไปตามกระแสจิตของมนุษย์ หมายความว่าตราบใดที่กระแสจิตของมนุษย์ไม่เป็นหนึ่งเดียว ย่อมมีกำเนิดศาสนาต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีกระแสจิตเดียวกันหรือเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ด้วยอดีตที่ต่างกัน<!-- google_ad_section_end -->
    อะไรคือเป็นไปได้ แล้วอะไรคือเป็นไปไม่ได้... สุดท้ายแล้ว ก็สภาวะเดียวกัน
    หมดท่าน หมดเรา เมื่อไหร่ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนที่เคยเป็นมา


    จากการพิจารณาข้อความของท่านแล้ว...
    เราคิดเห็นว่า... ยังแบ่งแยก ยังไม่รู้จักแก่นจริงๆ ท่านวนอยู่แต่กับเปลือก คือศาสนา รูป นาม มายากระพี้และกำหนดสมมุติต่างๆ
    ยังหยาบ แต่เข้าใจว่าตนเองเข้าใจเรื่องละเอียด

    ลองพิจารณาสติปัญญาของตัวท่านเองดูนะว่าท่านกำลังศึกษาแนวทางการสร้างสติปัญญาของศาสดาท่านไหนอยู่กันแน่... กล่าวหลายๆเรื่องก็ไม่ตรงแนวทางการสอนของศาสดาตนเองที่ชูชื่อเอาไว้ว่าฉันบูชา

    ศาสดาทุกท่านสอนให้พึ่งตนเอง ไม่นิยมพึ่งพาอาทิสมานกายทุกรูปแบบ แค่รับรู้ว่ามีอยู่และเข้าใจบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกัน
    อัตตาหิ อัตโนนาโถ

    ศาสดาท่านกล่าวไว้เสมอๆเรื่อง ธรรมชาติ เป็นใหญ่ เมื่อเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ท่านก็จะได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจ ในเจตนารมณ์การกล่าวสอนสิ่งต่างๆของศาสดาทุกๆท่าน





    "ธรรม" มันแบ่งแยกไม่ได้ ศาสดาก็ไม่เคยแบ่งแยกหรือกีดกันใดๆเลย... เพราะกระบวนธรรมมันเป็นสากลแท้ของจักรวาล แค่เริ่มคิดแบ่งแยก ก็เริ่มก่อโมหะทิฐิตัวใหม่ขึ้นมาแล้ว

    แต่ผู้โง่เขลาที่ยังไม่รู้จักธรรม ไม่เข้าใจธรรม และยังเข้าไม่ถึงธรรม มักแบ่งแยกด้วยแรงอำนาจของความไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง



    All for One... One for All
     
  14. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737

    ในเว็บนี้มีความหลากหลายมาก การเห็นต่างย่อมเป็นธรรมดาค่ะ ยอมรับในความเห็นต่าง เข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามจะบอก แต่ดิฉันจะเห็นตามด้วยหรือไม่เป็นอีกประเด็น ความเข้าใจของมนุษย์ย่อมเป็นไปตามภูมิที่เป็นมา

    คนชอบพูดถึงการแบ่งแยกตัวตน ก็ต้องดูว่าแล้วเนื้อแท้ของบุคคลนั้นล่ะ เจริญให้มากรึยังเจริญถึงที่สุดรึยัง ส่วนจะถึงแค่ไหนบุคคลนั้นย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง การละตัวตนนั้นเป็นที่สุดแห่งธรรมอยู่แล้ว บุคคลใดพึงเจริญให้มาก ย่อมรู้แก่ตนเมื่อได้ศึกษาอย่างจริงจังและปฏิบัติอย่างจริงจัง ตำราเป็นเพียงส่วนประกอบ มนุษย์นั้นชอบพูด พูดเก่ง เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าแท้จริงยังไม่ได้ถึงไหนก็มี บางท่านกระแสจิตวกวนก็มี เนื่องจากยังไม่บรรลุอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะปรากฏมาตามอักษรข้อความที่พิมพ์นั่นล่ะ

    ตราบใดเมื่อมนุษย์คิดว่า ตนนั้นเป็นผู้รู้แล้ว ความรู้ใดๆที่ไม่เคยรู้ย่อมไม่บังเกิด ดิฉันจึงไม่เคยบอกว่า ดิฉันเป็นผู้รู้ หรือกล่าวอ้างใดๆว่า ละตัวละตนได้แล้ว เนื่องจากคำพูดสวยหรูไม่มีประโยชน์อันใดหากไม่ปฏิบัติ ท่านจะละความเป็นตัวเป็นตนได้หรือไม่ พิสูจน์ได้ด้วยว่าท่านผ่านการปฏิบัติอย่างอุกฤษมาแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ ความรู้ภูมิธรรมอันสูงสุดย่อมไม่บังเกิด มิเช่นนั้น ครูบาอาจารย์สอนสั่งตามตำรากันไป พูดให้ดูดีดูเท่ห์กันไป ใยต้องออกธุดงค์ในป่า ถูกทดสอบสารพัดจากเทวดาจากมารต่างๆ

    พระนักเทศน์บางองค์เทศน์เก่งมาก แต่จิตไปไม่ถึงไหน ถูกเทวดาทดสอบกำลังศีลกำลังธรรม ด้วยกิเลสที่มีมาก เป็นอันศีลไม่สมบูรณ์โดยไม่รู้ตัว เพราะอำนาจกิเลสมันบังตา สุดท้ายคราบสง่างามคราบผู้รู้ธรรมในหมู่ชนศรัทธา จึงปรากฏตัวตนที่แท้จริง ศิษย์บางคนร้องไห้สติแตกรับไม่ได้กับครูบาอาจารย์ที่นับถือมา เมื่อพบว่าถูกหลอก แท้จริงเป็นเช่นนี้เอง สติเพี้ยนไปก็มี ท่านจึงสอนให้ละวางตัวตน ยึดให้ยึดธรรม ไม่ใช่ยึดตัวบุคคล

    คำว่าฌานคือกำลังทางจิตซึ่งมีกุศลเจืออยู่ เป็นไปได้เกิดขึ้นได้ทุกศาสนา
    ผู้ที่เข้าใจว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ เนื่องด้วยต้องการทำให้ดูเกี่ยวเนื่องกับทางพุทธ จึงต้องทำความเข้าใจว่า พระโพธิสัตว์คืออะไร โพธิสัตว์คืออะไร และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีกลุ่มบุคคลเช่นนี้กำลังลงมือปฏิบัติสร้างความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในชนบทห่างไกล อันเป็นเหตุให้บางคนจึงเปลี่ยนศาสนาไป แต่นั่นเป็นความพึงพอใจส่วนตัว เมื่อสัญญามาอย่างนี้ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้แล
    อันนี้จึงเป็นการอธิบายด้วยสภาพทางจิต พูดเรื่องของจิต ผู้ที่จะเข้าใจก็ต้องมีความเข้าใจทางนี้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์

    แล้วถ้าท่านมีจิตมีสมาธิอันดีแล้ว ลองพิจารณาทุกตัวอักษร ใช้จิตอันปราศจากการปรุงแต่งพิจารณา ท่านจึงจะรู้ถึงแหล่งที่มาของอักษร

    เจริญธรรมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  15. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ถูกต้อง ครับ โพธิสัตว์อยู่ที่จิต แม้อสูรร้ายก็มีจิตโพธิสัตว์อยู่ เปรียบดังแสงหิ่งห้อยในคืนเดือนดับ ขอบคุณครับ
     
  16. ช่างแต้ม

    ช่างแต้ม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +50
  17. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    ที่ความเป็นสมดุลย์ของเอกภาพมันต้องเสียไป ก็เพราะความคิดแบ่งแยกจากอวิชชานี่ล่ะ

    อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้เพราะกิเลสมันจับอยู่ในจิต ตัวกิเลสนี่ซ่อนเก่งมาก หากไม่ปฏิบัติจริงๆย่อมตัดไม่หมด แล้วศาสนาใดสอนเรื่องกิเลส ศาสนาใดสอนนิพพาน ศาสนาใดสอนเรื่องวิชชาและอวิชชา มิใช่ศาสนาพุทธหรือ
    นิพพานคือการไม่เกิดอีก ผู้จะไม่เกิดอีก คือผู้ที่ดับกิเลสได้สิ้น อันนี้ก็ต้องเข้าใจว่าหากผู้ใดใฝ่นิพพาน จึงต้องเรียนรู้เท่าทันกิเลสทั้งหลายที่มามากมายหลายรูปแบบ ซึ่งเกิดจากจิตมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง เมื่อจิตเป็นธาตุรู้ ใช้กำลังสมาธิพิจารณาให้เป็นปัญญา เจริญปัญญาถึงขั้นสูงสุด จึงจะนิพพาน ไม่ใช่ใครอยากนิพพานก็นิพพานได้ คิดว่าจะได้นิพพานก็นิพพานเลย อันนี้ก็พูดกันไปเรื่อย ขาดการปฏิบัติทางจิตอย่างจริงจัง
    การสมดุลและการเสียสมดุลเกิดจากจิตมนุษย์ ปรุงแต่งกิเลสมาก ขาดความเข้าใจมาก ศีลธรรมตกต่ำมาก กระแสจิตอันตกต่ำชั่วร้ายแผ่ไป เป็นกระแสจิตลบแผ่ไปทั่วจักรวาล ยิ่งมีมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้มาก ก็ยิ่งเสียสมดุลย์มาก
     
  18. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    โมก<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3781640", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    ที่ความเป็นสมดุลย์ของเอกภาพมันต้องเสียไป ก็เพราะความคิดแบ่งแยกจากอวิชชานี่ล่ะ
    (ชอบตัวหนังสือสีน้ำเงินเหรอจ๊ะ)

    อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้เพราะกิเลสมันจับอยู่ในจิต ตัวกิเลสนี่ซ่อนเก่งมาก หากไม่ปฏิบัติจริงๆย่อมตัดไม่หมด แล้วศาสนาใดสอนเรื่องกิเลส ศาสนาใดสอนนิพพาน ศาสนาใดสอนเรื่องวิชชาและอวิชชา มิใช่ศาสนาพุทธหรือ
    นิพพานคือการไม่เกิดอีก ผู้จะไม่เกิดอีก คือผู้ที่ดับกิเลสได้สิ้น อันนี้ก็ต้องเข้าใจว่าหากผู้ใดใฝ่นิพพาน จึงต้องเรียนรู้เท่าทันกิเลสทั้งหลายที่มามากมายหลายรูปแบบ ซึ่งเกิดจากจิตมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง เมื่อจิตเป็นธาตุรู้ ใช้กำลังสมาธิพิจารณาให้เป็นปัญญา เจริญปัญญาถึงขั้นสูงสุด จึงจะนิพพาน ไม่ใช่ใครอยากนิพพานก็นิพพานได้ คิดว่าจะได้นิพพานก็นิพพานเลย อันนี้ก็พูดกันไปเรื่อย ขาดการปฏิบัติทางจิตอย่างจริงจัง
    การสมดุลและการเสียสมดุลเกิดจากจิตมนุษย์ ปรุงแต่งกิเลสมาก ขาดความเข้าใจมาก ศีลธรรมตกต่ำมาก กระแสจิตอันตกต่ำชั่วร้ายแผ่ไป เป็นกระแสจิตลบแผ่ไปทั่วจักรวาล ยิ่งมีมนุษย์ที่เป็นเช่นนี้มาก ก็ยิ่งเสียสมดุลย์มาก


    เราไม่เคยถกเรื่องศาสนากับใคร รวมถึงเธอด้วย...

    เราพูดถึงแก่นเพราะเราอยู่ด้านในแล้ว
    เธอยังกล่าวถึงเรื่องศาสนานั้นศาสนานี้ ซึ่งตัวเราคิดเห็นว่ามันคือเปลือกซึ่งอยู่ด้านนอก

    ระดับสติปัญญาคงสื่อสารกันให้รู้เรื่องเข้าใจความกันยาก

    ก็เรียนรู้กันไป เส้นทางและวิธีการ อาจแตกต่างกันในรายละเอียด แต่จุดหมายเดียวกัน

    ถ้าไม่ใช่เราที่ไปถึงก่อน ก็คงเป็นเธอที่ไปถึงก่อน
    ถ้าไม่ใช่เธอไปถึงก่อน ก็คงเป็นเราที่ไปถึงก่อน

    แต่สุดท้าย ก็ไม่แตกต่าง เมื่อวันที่เธอก็หมด และฉันก็หมด...
     
  19. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    อันนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ ดิฉันเคยเจออสูรหน้าตาน่ากลัวตนหนึ่งมาขอบุญ เขาเป็นบริวารของพระแม่ธรณี จึงรู้ว่า อ้อ อสูรที่ดีก็มี เหมือนกับเทวดา เทวดาที่ไม่ดี
    ก็มี อันนี้ทราบจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่รู้จักกัน ท่านเคยสู้กับเทวดาตนหนึ่งที่มีมนุษย์เลี้ยงไว้ด้วยเครื่องสังเวย เป็นเทวดาชั้นล่างๆ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่กิเลสเจืออยู่มาก
    เป็นอสูรยังไม่น่ากลัวเท่าเทวดา เป็นเทวดายิ่งต้องระวังให้มาก เจริญธรรมให้มาก วันใดวันหนึ่งกิเลสที่ซ่อนอยู่มันทำงาน หมดบุญแล้ว เทวดาท่านก็ไม่ได้ไปภพภูมิที่ดีกว่า มาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อเรียนรู้บำเพ็ญธรรมให้ภูมิธรรมสูงขึ้นนั่นยังดีหน่อย บางองค์สนุกเพลินกับความเป็นทิพย์ ไม่ระวังจิต กิเลสเล่นงานเข้ายิ่งมาร่วมเล่นกับมนุษย์ ปรุงแต่งกันเข้าไป พ้นภพนั้นไปปรากฏว่าดวงจิตไปภพภูมิที่ต่ำกว่าที่เคยเป็นซะอีก นี่ล่ะท่านถึงเตือนให้ระวังเรื่องจิตมาก ครูบาอาจารย์สั่งสอนตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นถูกต้องแล้ว คือต้องเจริญจิตให้มาก มีสติกำกับ ปัญญาเกิด ธรรมเกิด จิตจะไม่ตกอยู่เยี่ยงนั้น มีแต่ความเจริญธรรมยิ่งขึ้นไปค่ะ
     
  20. โมก

    โมก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,737
    จิตดิฉันเป็นไปตามแรงอธิษฐานบารมีที่มาทุกชาติค่ะว่า "จะเป็นกำลังแห่งผู้รักษาพระศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" อนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...