เปิดจักระขั้นพื้นฐานผ่านหน้าเว๊บ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มีแปปเดียว, 24 สิงหาคม 2010.

  1. azuminami

    azuminami เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +230
    ขอบคุณมากครับ จะลองดูน่ะครับ
     
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    หินต่างๆที่มีพลังจะทำงานอยู่3ลักษณะ
    1 เป็นโล่ห์ shield กันพลังงานที่ไม่ดี
    2 เป็นตัวเก็บพลังงาน capacitor เมื่อสวมใส่จะทำให้พลังงานไม่รั่วไหลออก
    3 เป็นตัวขยายพลัง amplifier ทำให้สนามพลังงานหรือที่บางคนเรียกว่าออร่าเข้มขึ้น
    สีของหินจะสัมพันธ์กับจักระ เช่นหยกเขียวสัมพันธ์กับจักร หัวใจ ลิ้นปี่
    เมื่อสวมใส่จะทำให้จักระหัวใจมีความเข้มแข็งขึ้น เป็นพลังเย็น เมตตา
    สร้อยข้อมือที่ประกอบด้วยหยกจึงเหมาะกับผู้ต้องการเสริมคุณสมบัติดังกล่าว
    ส่วนรูปเคารพต่างๆก็มีพลังในตัวอยู่แล้วเช่นรูปพระอวโลกิเตศวรก็เปี่ยมไปด้วยกระแสความเมตตา เป็นต้น
    พลังงานที่ได้จากหินลาวา เป็นพลังงานของโลก เป็นพลังร้อน ส่งผลโดยตรงกับจักระที่1 ซึ่งทำให้ร่างกาย(รูป)แข็งแกร่งขึ้น
    การนำทั้งสองสิ่งมาผสานกันเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้ง2ด้านคือ ลาวาเสริมรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมนาม
    การจะใช้หินและเลือกหินนั้น หากผู้ใช้สามารถเข้าอุปจารสมาธิเพื่อกระตุ้นพลังของหินและเชื่อมโยงจิตของตนกับหิน หินที่ใช้จะมีอานุภาพมากกว่าคนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิตใช้ครับ หินแต่ละก้อนมีเรื่องราวต่างๆที่เมื่อเราแตะหรือกำเขาไว้ในมือเราจะรับรู้ได้ถึงพลังที่เขามีครับ
    ตามนิทานท่านเห้งเจียก็เกิดจากก้อนหินที่บำเพ็ญเพียรถ้าจำไม่ผิดนะครับ
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เห้งเจีย ผู้ยิ่งใหญ่เสมอสวรรค์


    <!-- show Content detail -->
    [​IMG]
    เห้งเจีย ผู้ยิ่งใหญ่เสมอสวรรค์


    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ผู้คนบนโลกมนุษย์ รู้จักของเทพเจ้าลิง ในนาม เห้งเจีย มากกว่าชื่ออื่น แต่ชื่อเจเทียนไต่เส่ง ฉีเทียนต้าเสิ้ง หรือ ไต่เส่งปุดจ้อ ล้วนเป็นชื่อเรียกของเห้งเจียเช่นเดียวกัน ตามประวัตินั้น เห้งเจียมีการกำเนิดที่แตกต่างจากวานรทั่วไป กล่าวคือ ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีเมืองชื่อว่าอ้าวไหลกั๋ว ซึ่งตั้งอยู่ริมมหาสมุทร โดยกลางมหาสมุทรนั้นมีภูเขาชื่อ ฮวากั่วซาน ซึ่งบนยอดเขานั้นได้มีหินเทวะเกิดขึ้น สูงสามจ้าง หกวา ห้านิ้ว หินเทวะนั้นตั้งอยู่กลางแจ้ง แต่บริเวณโดยรอบมีต้นไม้อยู่โดยรอบ เมื่อเวลาผ่านไป หินเทวะตั้งครรภ์และให้กำเนิดฟองไข่หิน ครั้นฟองไข่โดนหินลมพัด ก็บังเกิดเป็นลิงกายสิทธิ์ จนเมื่อแขนขาทั้งสี่ครบถ้วน ลิงนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวและเรียนรู้การเดินการปีนป่ายด้วยตัวเอง และกระทำกิริยาคารวะทิศทั้งสี่ ส่วนนัยน์ตาทั้งสองก็ฉายแสงโชติช่วงไปยังสวรรค์ ซึ่งชื่อแรกของลิงตัวนี้คือ หงอคง ต่อมาพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานชื่อให้ว่า เห้งเจีย[/FONT]

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]เห้งเจียมีนิสัยส่วนตัว ดุเดือด มุทะลุ หยิ่งผยอง ชอบคุยโวโอ้อวด ครั้งหนึ่งได้แสดงความกล้าหาญ เสี่ยงภัย จนได้ค้นพบถ้ำสุ่ยเหลียนต้ง ซึ่งตั้งอยู่ในเขาฮวากั่วซาน จึงได้รับการยกย่องจากบรรดาฝูงลิงว่าเป็น มุ้ยเกาอ๋อง ( เม่ยโหวหวัง) หรือ ราชาผู้ปกครองถ้ำสุ่ยเหลียนต้ง ต่อมาเห้งเจียได้ศึกษาความรู้ ปรัชญาทางธรรม วิชาเหาะเหินเดินอากาศ และแปลงร่างได้ 72 อย่าง จากพระอาจารย์ซิวผูถีจู่จือ โดยท่านได้ตั้งชื่อให้เห้งเจียว่า
    [/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]“ซุนหงอคง”[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif] คำว่าซุน หมายถึงผู้มีจิตใจคืนสู่ความบริสุทธิ์ของทารก และหงอคง (อู้คง) คือผู้เห็นแจ้งในสุญตา นอกจากนี้เห้งเจียยังได้สร้างวีรกรรมอันสะเทือนฟ้าและพิภพอีกมากมาย อาทิ บุกอาละวาดสววรค์ อาละวาดท้องสมุทร ริบกระบองวิเศษ รองเท้าใยบัว เกราะทองคำ มาลาปีกหงส์ทองคำ จากเมืองบาดาล

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]สำหรับสมญานาม [/FONT][/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]“ผู้ยิ่งใหญ่เสมอสวรรค์”[/FONT][FONT=arial,helvetica,sans-serif] ของเห้งเจียนั้น ได้มาจาก หลังจากที่เห้งเจียดับอายุขัยลง ก็ได้ไปต่อล้อต่อเถียงกับพญายมราช และขีดฆ่าชื่อของวานรทุกตัวให้พ้นจากสารบวัฏสงสาร จนทำให้ฮ่ายเหล็งอ๋อง เจ้าแห่งสมุทรและเจ้าท้องพิภพยมราช ยอมไม่ได้ จึงไปกราบทูลต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ เง็กเซียนฮ่องเต้ มีรับสั่งให้แป๊ะกิมแช หรือ ไท้ไป๋จินจง นำเห้งเจียมาตัดสินคดี แป๊ะกิมแช กราบทูลฮ่องเต้ว่าให้ใช้สันติวิธี โดยมอบตำแหน่ง เป๊กเบ๊อุน หรือ ปี้ม่าเวิน ให้เห้งเจีย คอยทำหน้าที่เลี้ยงม้าบนสวรรค์ ซึ่งเห้งเจียก็ยอมรับแต่โดยดี แต่เมื่อทราบว่าเป๊กเบ๊อุน เป็นตำแหน่งที่ด้อยที่สุดบนสวรรค์ จึงผิดหวังที่โดนเบื้องบนหลอกลวง คือหนีกลับอาณาจักรสุ้ยเหลียนต้งของตน และเล่าเรื่องราวให้พรรคพวกวานรทั้งหลายฟัง “ตู๋เจี่ยวกุ่ยหวัง” หนึ่งในปีศาจบอกแทนฝูงลิงว่า “ ท่านอ๋องมีฤทธิ์สูงส่งดังนี้ จะรับตำแหน่งเป็นแค่พนักงานเลี้ยงม้าได้อย่างไร เช่นท่านอ๋องของเราแล้วไซร้ ตำแหน่งฉีเทียนเต้าสิ้ง ผู้ยิ่งใหญ่เสมอสวรรค์ ไหนเลยจะเป็นของท่านไม่ได้” นับแต่นั้นมาเห้งเจียก็ได้รับตำแหน่งนี้ไป ส่วนทางด้านเง็กเซียนฮ่องเต้แม้จะอยากกำราบเห้งเจียให้อยู่หมัด แต่เพื่อความสงบสุขของสวรรค์ จึงปล่อยเลยตามเลย

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งหลังจากนั้นเห้งเจียยังได้สร้างวีรกรรมเพิ่มอีกมาย ทั้งดีและไม่ดี จนสุดท้าย ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะพระถังซัมจั๋ง เดินทางไปอาราธนาพระไตรปิฎกจากแดนไกล จนตอนสุดท้ายได้รับพระราชทานตำแหน่งจากพุทธองค์เป็น เต้าเจี้ยนเส้งฮุด – พุทธ[/FONT][/FONT]
    [FONT=arial,helvetica,sans-serif] [/FONT]




     
  4. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เรากับหินพูดกับทางจิตครับ ไม่ได้คุยกันแบบใช้ภาษาเว้นแต่หินบางก้อนเช่นหยกที่เทวดารักษาเพื่อรอเวลาคนนำไปแกะเป็นพระ เทวดาที่รักษานั้นคุยกับเราได้ครับ ตามประวัติที่เคยอ่านนะครับ
     
  5. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับข้อมูลที่ให้ความรู้ดีๆ อย่างนี้
     
  6. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    พระธาตุเขาสามร้อยยอด [​IMG] พระธาตุข้าวบิณฑ์[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif] [​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif, AngsanaUPC] พระธาตุห้าร้อยพระอรหันต์[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif] [​IMG][/FONT][/FONT]<TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD width="81%"><TABLE border=1 cellSpacing=0 borderColor=#ffcc00 cellPadding=5 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffe8>[FONT=Tahoma, MS Sans Serif]บทความนี้คัดลอกจากหนังสือธรรมปกิณกะ เล่ม 1 ที่เขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ หรือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพระมหาเถระที่มีจริยวัตรงดงาม และโดดเด่นในเรื่องเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเป็นอย่างมาก [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]"หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา เกิดเมื่อปี 2456 ที่ จ.ลำพูน บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 13 ปี และเมื่ออายุครบบวช จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดชีวิตของท่าน ได้ไปจำวัดสั่งสอนอบรมศิษย์ยังสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดพระบาทห้วยต้ม และมรณภาพในปี 2543 หลังจากมรณภาพแล้ว สังขารของท่านมิได้เน่าเปื่อย และยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดพระบาทห้วยต้ม จนถึงปัจจุบัน"[/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width="19%" align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#d5e0f0>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG] พระธาตุเขาสามร้อยยอด [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] [/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f4f7fb>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG][FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............[/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 500 ปี พระสงฆ์ทั้งหลายที่มาไม่ทันพระพุทธเจ้าแต่ยังทันพระศาสนา ในสมัยนั้นยังมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรม ยึดถือพระธรรมอันเคร่งครัดอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านั้นต่างแยกย้ายออกหาที่สงบวิเวกปฏิบัติธรรม [/FONT][/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............เขาสามร้อยยอด เป็นที่สนุกสำหรับการปฏิบัติธรรมเพราะเป็นป่าหิมพานต์ชั้นหนึ่ง ผู้ที่มาพักอาศัยส่วนใหญ่เป็นพระอภิญญาเพราะท่านต้องเข้ามาบิณฑบาตข้าวในเมือง ในกรุงเทพ เพียงครู่เดียวก็กลับไป คนใส่บาตรก็เห็นเป็นพระธรรมดา สถานที่ท่านอยู่ไม่มีคนเห็นเพราะอยู่ในป่าลึก พระสงฆ์เหล่านี้มีความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมเคร่งครัดดังได้อยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบกับมีอาจารย์ใหญ่ผู้เป็นศากยวงศ์ มาจากประเทศอินเดีย มาสอนปฏิบัติกรรมฐานให้หมดจากกิเลส ให้รีบปฏิบัติธรรมให้ทันพระพุทธเจ้าซึ่งรออยู่แล้ว [​IMG]พระสงฆ์ทั้งหมดต่างปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลนิพพานในถ้ำเขาสามร้อยยอดนั้น การมาปฏิบัติธรรมในที่นี้เป็นการหนีภัยอันตรายคืออันตรายจากการที่มีคนมาหาไม่หยุดหย่อนไม่อาจจะปฏิบัติธรรมได้ ดังเช่นพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ไม่ห่วงการตัดกิเลส ห่วงแต่โชคลาภ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............สังขารของพระอรหันต์ที่นิพพานในถ้ำมีเป็นจำนวนมาก ต่อมาช้านานกลายเป็นก้อนหินมีเทวดารักษา ก้อนหินนั้นมีลวดลายต่างๆ กัน พระอรหันต์ที่มีอานุภาพมากหินพระธาตุก็มีลวดลายสวยงาม พระอรหันต์ทีมีอานุภาพน้อยหินก็ไม่มีลาย พระอรหันต์แต่ละองค์จะมีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์แบบหนึ่ง พระอานนท์มีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระกัสสปะมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระสารีบุตรมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระโมคคัลลาน์มีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่ง บารมีที่สร้างมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อารมณ์เกิดเป็นนิมิตเป็นกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง พิจารณากรรมฐานนั้นให้ถึงอรหัตตผล ตัวอย่างเช่น ใช้กสิณไฟ กสิณน้ำ กสิณลม เอาสิ่งนั้นมาเป็นนิมิตเป็นรูปพระ พิจารณาให้กว้างและลึก ทำจนแก่กล้าขึ้น เรียนมาก รู้มากขึ้น เป็นพระอรหันต์ที่โปรดสัตว์ได้มาก พระธาตุก็มีลักษณะสวยงามมีลวดลายมาก[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="50%" noShade>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif] [/FONT]<TABLE border=0 cellSpacing=3 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffdd>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif] พระธาตุข้าว (ข้าวบิณฑ์) [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#fffff4>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG].............[/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่ระมิงค์เพื่อไปโปรดพวกละว้า พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก ผืนดินแห้งแล้งทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล ต้องหาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสมกับข้าวกินเป็นอาหาร เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่นั่น พวกละว้าก็เอาข้าวผสมมันซึ่งเป็นโภชนาหารของตนมาใส่บาตร [/FONT][/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............พระบรมโลกนาถก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้นซึ่งเรียกว่า ดอนน้อย เสร็จแล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย หลังจากนั้นจึงทรงนำข้าวที่เหลือก้นบาตรไปเทคว่ำไว้และแสดงปาฏิหาริย์ให้ข้าวนั้นกลายเป็นหิน(เป็นพระธาตุข้าวดังที่เห็นในปัจจุบันนี้) พวกละว้าเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก พระพุทธองค์จึงทรงให้ศีล 5 และแสดงธรรม และรับสั่งให้พวกละว้ารักษาดอนน้อยไว้ให้ดี และให้รักษาศีล 5 ไว้เป็นปกติ ถ้ารักษาได้ก็เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ถ้ารักษาไม่ได้ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจักรวาล ข้าวก้นบาตรที่กลายเป็นหินนี้แต่ละเม็ดมีเทพคุ้มครองอยู่ จากนั้นพระธาตุข้าวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............เมื่อพระครูบาชัยวงศาฯได้มาจำพรรษาเพื่อพัฒนาวัดพระพุทธบาทห้วยต้มที่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ท่านได้นิมิตเห็นพระธาตุข้าวซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 กม. ที่ดอยเกิ้ง ท่านจึงได้อัญเชิญพระธาตุข้าวบางส่วนมาไว้ที่วัดและแจกให้ลูกหลานนำไปสักการบูชา ผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมที่มีพระธาตุข้าวไว้บูชาแล้ว ความอดอยากขาดแคลนจะไม่บังเกิดขึ้น การทำมาค้าขายโดยสุจริตจะได้ผลเจริญงอกงาม เมื่อประสงค์สิ่งใดให้ทำสมาธิจิตระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาชัยวงศาฯ แล้วตั้งจิตขอในสิ่งที่ปรารถนาจะได้ผลดีมากสำหรับผู้ที่มีศีล 5 เป็นปกติ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............ถ้าหากเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ที่รับประทานยาแผนปัจจุบันแล้วไม่สามารถบรรเทาทุกข์เวทนาให้หายลงได้ ก็ให้ทำน้ำพระพุทธมนต์โดยจุ่มพระธาตุข้าวลงในภาชนะใส่น้ำที่จะทำน้ำพระพุทธมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วดื่มน้ำพระพุทธมนต์นั้นจะบรรเทาทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้นได้ และพระธาตุข้าวนี้อาจแตกหักได้ 2 กรณีคือ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............1. แตกโดยการชำรุด
    .............2. แตกหักโดยนำไปในสถานที่ที่ไม่เป็นมงคล
    [/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR width="50%" noShade>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][/FONT]​
    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#e4e4e4>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif] พระธาตุ 500 อรหันต์ [/FONT][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT][/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f3f3f3>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][​IMG][FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............[/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ในสมัยแห่ง พระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้มีค้างคาวหนู 500 ตัว ห้อยอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง วันหนึ่งได้มีพระเถระ 2 รูปเข้ามาบำเพ็ญสมณธรรมและสวดมนต์ (อภิธรรม) ค้างคาวหนูทั้ง 500 ตัวก็ได้ฟังเสียงสวดมนต์ด้วยความดื่มด่ำเพลิดเพลิน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจในความหมายแห่งบทสวดมนต์นั้นๆ [/FONT][/FONT][FONT=Tahoma, MS Sans Serif]ด้วยอานิสงส์นี้ ค้างคาวหนูทั้ง 500 ตัวจึงได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นานถึง 1 พุทธันดร เมื่อจุติจากสวรรค์ก็ได้มาเกิดในโลกมนุษย์ ในกรุงสาวัตถีสมัยพระพุทธเจ้ายุคปัจจุบัน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............ในพรรษาที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ โปรดพระมารดาที่ชั้นดาวดึงส์ด้วย พระพุทธนิรมิต จนกว่าจะกลับ แต่พระวรกายจริงกลับเสด็จไปยังป่าหิมพานต์ แล้วโปรดพระสารีบุตรกับศิษย์กุลบุตร 500 คน (ค้างคาวหนูทั้ง 500 ตัวที่มาเกิด) กุลบุตรทั้ง 500 คนเลื่อมใสใน ยมกปาฏิหาริย์ จึงได้บวชกับพระสารีบุตร พระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จกลับเทวโลก พระสงฆ์ทั้ง 500 องค์ได้เป็นผู้ชำนาญใน ปกรณ์ทั้ง 7 และ บำเพ็ญจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด 500 องค์ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ได้ทรงแวะทำภัตกิจ ณ ถ้ำแห่งนี้ พร้อมกับทรงประชวรเนื่องจากทรงเสวยเนื้อสุกร จึงได้ประทับในถ้ำเป็นเวลาพอสมควร ก่อนหน้าที่หมอชีวกโกมารภัจจ์จะติดตามมาทัน ดังนั้นจึงได้มีการสร้าง พระพุทธไสยาสน์ ประทับบนแท่นที่พระพุทธองค์เคยประทับมาก่อนเพื่อเป็นพุทธานุสรณ์ว่า พระพุทธองค์ได้เคยเสด็จมาประทับ ณ ที่แห่งนี้ก่อนเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ 500 องค์ ซึ่งยังคงอยู่ที่ถ้ำแห่งนั้นก็ได้นิพพานในเวลาที่ใกล้เคียงกับพระพุทธองค์ ส่วนพระอินทร์เมื่อทราบว่า พระอรหันต์ 500 องค์ นิพพานแล้วก็ได้เนรมิตไฟมาถวายเพลิง ไฟที่เผาไหม้ได้ร้อนไปถึงเมืองบาดาล พญานาคจึงขึ้นมาพ่นน้ำดับไฟจนเหลือแต่เถ้า จึงเรียกว่า ถ้ำดับเถ้า ตอนหลังเพี้ยนเป็น ถ้ำตับเต่า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............ปัจจุบันรูที่เกิดจากพญานาคผุดขึ้นมาจากเมืองบาดาล ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่อย่างนั้น เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ เพราะกลัวพญานาค และน้ำที่ผุดขึ้นมาค่อนข้างจะน่ากลัวเพราะเกิดจากแรงดันจากใต้บาดาล ทำให้น้ำไหลเชี่ยวและแยกเป็นหลายลำธารไม่เคยขาดสายตลอดปี สามารถนำมาใช้อาบและต้มดื่มกินได้ และยังมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถดับพิษไฟได้อีกด้วย[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif].............ส่วน เถ้าอังคาร ที่จมอยู่ในน้ำตามลำธารใกล้ถ้ำดังกล่าวได้จับตัวรวมกันเป็นพระธาตุมีหลายขนาด และหลากสีสันวรรณะ เราจึงเรียกพระธาตุเหล่านั้นว่า พระธาตุพระอรหันต์ 500 หรือ พระธาตุ 500 อรหันต์[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    วิชาจักระขั้นกลาง
    การฝึกจักระโดยการกำหนดสี
    ให้ดูรูปที่แนบมานี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chakra_img.gif
      chakra_img.gif
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      214
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ให้สวดมนต์ไหว้พระ
    กราบ9ครั้งอย่างที่สอน
    แผ่เมตตาเป็นอัปปมาณ ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณไปหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาล
    นั่งตัวตรง กระดกลิ้นกดเพดานปากบน
    หายใจลึกๆทางจมูก ช้าๆ เบาๆ ลมละเอียดๆ
    หายใจออกทางปาก ช้าๆ เบาๆ ลมละเอียดๆ
    มองที่รูป
    นึกถึงพลังแห่งพุทธะ เป็นรูปพระพุทธเจ้า สถิตอยู่เหนือจักรวาล
    สาดแสงเป็นประกาย สว่างจ้าเหมือนsuper nova
    ให้ลำแสงผ่านเข้าทางจักรมงกุฏ
    แสงจากรัศมีแห่งพุทธะ แยกออกเป็นสีตามรูป
    เข้าสู่จักระทั้ง7
    กระตุ้นจักระทั้ง7ให้หมุนจนเรารู้สึกได้
    ทุกขั้นตอนต้องโปร่ง โล่ง เบา สบาย
    ถ้าอึดอัด ร้อน แสดงว่าเพ่งเกินไป
    จักระทั้ง7เมื่อถูกกระตุ้น
    แสงของจักระจะปรากฏขึ้นตามจริตที่เราชอบ
    เช่นเห็นสีแดงแสดงว่าเป็นคนบ้าโลกียะ ติดฤทธิ์ เป็นต้น
    นี้เป็นบาทฐานแห่งการฝึกกสินสี
    จบบทที่2
    อย่าลืมเมื่อฝึกเสร็จให้กราบอีก9ครั้ง และแผ่เมตตาด้วยครับ
     
  9. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เวลานึกถึงพระพุทธเจ้า
    จงใช้ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่เรานึกถึงพ่อ แม่
    แม้ท่านจะไม่ได้อยู่กับเราแล้วก็ตาม
    แต่เรายังระลึกถึงความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น และความปรารถนาดีที่พ่อ แม่มีให้เราอยู่ได้ทุกขณะจิต
    อย่านึกถึงพระพุทธเจ้าแบบนึกถึงเทพเจ้า
    พลังแห่งพุทธะไร้รูปไร้ลักษณ์ ไร้ตัวไร้ตน ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ เหนือกาลเวลาและอวกาศ เหมือนอยู่แสนไกลแต่ที่จริงกลับใกล้จนสัมผัสได้
    เพียงแค่หลับตาแล้วปล่อยให้ใจเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติ
    สัมผัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกของสรรพสิ่ง
    เมื่อตัวตนหดเล็กจนหายไป เมื่อสิ่งที่เป็นเคยเป็นสาระกลับเป็นแค่มายากล
    เมื่อไม่มีความอาลัย
    ขณะจิตนั้นคุณจะสัมผัสได้ถึงพุทธะที่มิอาจบรรยายได้เป็นอักษรภาษาใด
     
  10. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    เรียนถามท่านอัคนีวาตครับ
    ผมได้เคยเปิดจักระทั้ง7แล้ว ได้นั่งเดินลมปราณทุกวัน
    แต่ผมสงสัยเรื่องการหมุนของจักระ ว่าท่าน
    1.รับรู้การหมุนของมันอย่างไร
    2.มีวิธีอย่างไรจึงจะรับรู้ว่ามันหมุน หรือไม่หมุน
    3.มันเป็นนิมิตรใช่ไหม คือ เวลาผมนั่งเมื่อจิตเริ่มสงบก็จะเห็น
    แสงสีคราม และเหลืองลอยไปมา แต่ในปัจจุบันเพียงแต่เห็น
    แสงสีเหลืองลอยไปมาและรู้สึกจิตสงบเท่านั้น

    ผมรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักท่านอัคนีวาตครับ
    ได้แต่แอบชื่นชมในความสามารถของท่านอยู่เงียบๆ
     
  11. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ
    ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอธิบายเรื่องจักระตามความรู้ที่มีนะครับ
    อย่างไรก็ตามวิช่จักระที่ผมฝึกอาจแตกต่างจากของคนอื่นอยู่บ้าง หากเป็นที่ขัดเคืองใจของผู้ใดก็กราบขออภัยมาณที่นี้นะครับ
    ตอบครับ
    1)เราจะรู้สึกถึงการหมุนของจักระได้ เพราะจักระจะหมุนให้เรารู้สึกได้ครับ
    เราจะรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าสถิตย์หมุนวนอยู่บนกระหม่อมของเรา
    2)ผมจะลองส่งพลังผ่านรูปของท่านเพื่อกระตุ้นจักระนะครับ ช่วยกรุณาบอกด้วยว่าท่านรู้สึกอะไรหรือไม่
    3) ตอบเรื่องโอภาสต่อข้างล่างนะครับ
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    [FONT=Arial, Helvetica]
    ปรากฏการณ์เมื่อสมาธิสงบดีแล้ว​
    <!--mstheme-->[/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica] <!--mstheme-->[/FONT]</TD></TR> <TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica] เมื่อพระโยคาวจรเจ้า มีจิตสงบเป็นสมาธิ เพ่งต่ออารมณ์ดีแล้ว จะมีโอภาสเกิดขึ้น สว่างรุ่งเรืองยิ่งนัก แสงสว่างนี้ย่อมส่องสว่างให้เห็นเป็นสิ่งของต่างๆ ที่ปรากฎขึ้นในใจ หรือปรากฎในมโนทวาร คล้ายคนนอนหลับฝันเห็นอะไรต่างๆ
    แต่การเห็นในทางสมาธิ พิเศษกว่าการเห็นในความฝัน เพราะผู้เห็นผ่านการกลั่นกรองของสติมาก่อน ผู้เห็นจึงมีสติ มิได้นอนหลับอยู่ ในชั้นแรกที่เห็น แสงสว่างมักจะหายไปโดยเร็ว เพราะผู้เห็นเกิดความสดุ้ง และความสงสัย สนเท่ห์มากขึ้น จิตก็คลาดเคลื่อนจากสมาธิ เมื่อสำรวมจิต เป็นสมาธิได้อีก ก็คงได้พบแสงสว่างอีก แสงสว่างนี้ยอมส่องให้เห็นภาพต่างๆ เหมือนอย่างเห็นภาพภายนอกในเวลากลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ก็ยังมืดอยู่ ไม่สามารถมองเห็นภาพอะไรต่างๆได้ เปรียบเหมือนจิตยังไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มีกำลัง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ก็สามารถมองเห็นภาพอะไรได้ เปรียบเหมือนจิต ที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีกำลังเกิดแสงสว่าง สามารถเห็นภาพอะไรๆได้
    การที่ได้พบ ได้เห็นแสงสว่างในเวลาที่ทำสมาธิ หลับตากำหนดจิตอยู่นั้น เรียกว่า โอภาสนิมิต การได้เห็นรูปนนิมิตที่เกิดขึ้น เล็กน้อยนี้เรียกว่า อุคคหะนิมิตต์ ถ้าผู้เห็นนิมิต สามารถนึกให้รูปนิมิตเหล่านั้น กลายเป็นรูปขนาดใหญ่ ประกอบด้วยความผ่องใสกว่าหลายเท่า เรียกว่าปฎิภาคนิมิต เห็นรูปต่างๆไม่มีประมาณเรียกว่า มหรคตจิต เป็นข้างฝ่ายอรูปฌาน เห็นแสงสว่าง อย่างเดียวไม่มีรูปนิมิต เป็นบาทฐานแห่งอรูปฌาน รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ สองอย่างนี้รวมเรียกว่า สมาบัติแปด
    เหตุที่พระโยคาวจรเจ้า ผู้พากเพียรไม่สามารถทำจิตตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิได้เพราะ อุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองในสมาธิ ๑๑ ประการ ดังมีเรื่องราวปรากฎใน พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสกสูตรดังนี้
    <!--mstheme-->[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica]
    คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสกสูตร
    เรื่องโอภาสนิมิต อุคคหนิมิต ปฎิภาคนิมิต ไม่เกิดไม่เจริญไม่ตั้งมั่น เพราะอุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองในสมาธิ ๑๑ ประการ ​
    <!--mstheme-->[/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica] ความว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ทรงแสดงให้พระอนุรุทธ์ฟังว่า เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงกระทำทุกกรกิริยา บำเพ็ญเพียรเพื่อถึงความตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณ ด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงได้โอภาสแล้ว โอภาสนั้นก็กลับมืดเหมือนก่อน แต่อาศัยที่เพราะพระองค์ทรงพิจารณาเห็นเหตุ จึงได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
    เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงหลับพระเนตร เจริญสมาธิ ณ โพธิพฤษบัลลังก์ ก็ได้แสงสว่างมองเห็นสรรพรูปต่างๆ พระองค์จึงทรงสงสัยว่า นี่สิ่งใดหนอ นี่สิ่งใดหนอ โอภาสนิมิตนั้นก็ดับศูนย์ไป แล้วก็กลับมาสว่างขึ้นอีก เป็นดังนี้เนื่องๆ ภายหลังจากพระองค์จับได้ว่า เพราะความลังเลสงสัยคือ วิจิกิจฉา ที่คิดว่า นี่สิ่งใดหนอ นี่สิ่งใดหนอ เมื่อคิดดังนั้นจิตของพระองค์ ก็เคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างจึงดับ
    คราวนี้พระองค์จึงทรงวางจิตเป็น อนมสิการ คือจิตไม่นึก ไม่กำหนดว่านั้นอะไร จิตก็เลื่อนลอย ไม่มีที่เกาะ ที่ยึด แสงสว่างก็ดับอีก
    ต่อไปพระองค์ก็ควบคุมสติเพ่งเล็งดู รูปที่พอพระหฤทัย อันเป็นอารมณ์แห่งกัมมัฎฐาน เมื่อรูปที่พอพระหฤทัยดับไปหมด เหลือแต่รูปที่ไม่พอพระหฤทัย ไม่เป็นอารมณ์แห่งพระกัมมัฎฐาน จิตของพระองค์ก็ไม่กระทำนมสิการ ไม่อยากเพ่งเล็งนิมิตต่อไป ก็เกิด ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน แสงสว่างก็ดับไป พระองค์ก็จับเหตุได้ว่าเพราะละเลยความกำหนดนิมิต จิตจึงง่วงเหง่าหาวนอน เป็นเหตุให้แสงสว่างดับ
    เมื่อพระองค์ทรงทราบเหตุดังนี้แล้ว พระองค์จึงตั้งไว้ซึ่งวิตก ความตรึก วิจาร ความตรอง กำหนดเพ่งดูรูปตามลำดับไป ก็ได้เห็นรูปที่น่าเกลียดน่ากลัว ก็เกิด ฉัมภิตัตต ความไหวจิต ไหวกาย เกิดขึ้น แสงสว่างจึงดับ รูปจึงดับ
    ต่อไปพระองค์ก็ไม่กำหนดดูรูปที่น่าเกลียดน่ากลัว เลือกดูแต่รูปที่ชอบอารมณ์ ภายหลังรูปที่ชอบอารมณ์เกิดขึ้นมากมาย จิตของพระองค์ก็กำเริบ กำหนดจิตทั้วไปในรูป ทุกรูปในนิมิต ทุกนิมิต จนเหลือความสามารถของจิต จิตก็ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน แสงสว่างก็ดับไป พระองค์ก็พิจารณาจับเหตุได้ว่า อุพพิลวิตก คือกิริยาที่จิตกำเริบกระทำความเพียรมักใหญ่ รวบรัดเพ่งเล็งดูรูปมากๆ แต่คราวเดียวกัน จิตก็คลาดจากสมาธิ โอภาสนิมิต อุคคหนิมิต ก็ดับ
    ต่อมาพระองค์ทรงกำหนดเพ่งเล็งดูรูปนิมิต โดยกำหนดแต่ช้าๆไม่รวบรัด จิตหย่อนคลายความเพียรลง จิตก็บังเกิด ทุฎฐุลล คร้านกาย มีอาการให้เกิดกระวนกระวายขึ้น แสงสว่างจึงดับไป
    เมื่อพระองค์จับเหตุได้แล้ว จึงกำหนดเหตุด้วย อัจจารัทธวิริยะ กำหนดความเพียรขึ้น ให้เคร่งครัดแรงกล้า เป็นเหตุให้แสงสว่างดับ จึงกำหนดลดความเพียรลงให้น้อย เรียกว่า อติลีนวิริยะ คือกระทำความเพียรอ่อนเกินไป แสงสว่างจึงดับ
    ต่อมาพระองค์จึงกำหนด กระทำความเพียรแต่พอปานกลาง สถานกลาง ในความเพียรพอให้แสงสว่างทรงอยู่ได้ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมความเพียรกล้าจึงให้โทษด้วย มีอุปมาว่าเหมือนคนที่จับนกกระจอก ต้องการจับนกได้ทั้งเป็น แต่จับบีบโดยเต็มแรง นกกระจอกก็ตาย ถ้าจับนกหลวมๆไม่ดีนกกระจอกก็จะหนีไป ต้องจับนกแต่พออยู่พอประมาณนกกระจอกก็ไม่ตาย จึงจะได้ประโยชน์ คือจิตเป็นสมาธิ
    การจับบีบนกโดยแรง เปรียบเหมือนมีความเพียรกล้า จับนกหลวมๆเปรียบเหมือนมีความเพียรน้อย จับนกแต่พออยู่ พอประมาณ เปรียบเหมือน มีความเพียรสถานกลาง
    เมื่อทรงทำความเพียรสถานกลางได้แล้ว จึงเห็นรูปเทวดา ที่งดงาม แลเห็นทิพย์สมบัติในเทวโลก จิตก็อยากเป็นอยากได้ ในทิพย์สมบัตินั้น แสงสว่างก็ดับไป พระองค์ก็ทราบว่าการกำหนดดูรูปปราณีต เช่นเทวดานั้นเป็นเหตุให้ เกิด อภิชัปปา ตัณหาเกิด แสงสว่างจึงดับ
    ต่อมาพระองค์จึงพิจารณาดูรูปที่ปราณีต และรูปที่หยาบพร้อมกัน จิตก็แยกเป็นสองฝัก สองฝ่าย สัญญาต่างกัน ก็เกิดขึ้นมีขึ้น เรียกว่า นานัตตสัญญา จิตก็เคลื่อนจากสมาธิ รูป และแสงสว่างจึงหายไป
    คราวนี้พระองค์จึงเพ่งพิจารณารูปมนุษย์ฝ่ายเดียว เมื่อเพ่งหนักรูปมนุษย์นานเข้า รูปมนุษย์งดงาม น่าพึงพอใจก็เกิด จึงเกิดความกำหนัดยินดี แสงสว่างจึงดับ พระองค์จึงทรงพิจารณาทราบว่า อตินิชฌายิตัตตะ การเพ่งหนักที่รูปมนุษย์ อันปราณีต เป็นเหตุให้ แสงสว่างดับ
    พระองค์ทรงกำหนดอุปกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ๑๑ ประการได้แล้ว จึงป้องกันไม่ให้เข้ามาครอบงำในพระหฤทัยของพระองค์ได้ ต่อมาแสงสว่างของพระองค์ก็พ้นประมาณ หาเครื่องกำบังมิได้ พระองค์จึงบรรลุฌานสี่ วิชชาสาม สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<!--mstheme-->[/FONT]
    </TD></TR><TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica]
    อุปกิเลส ๑๑ ประการ
    เครื่องเศร้าหมองในการเจริญสมาธิ​
    <!--mstheme-->[/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD width="100%"><!--mstheme-->[FONT=Arial, Helvetica]๑.วิจิกิจฉา ความสงสัยในโอภาสนิมิต จิตคลาดเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างจึงดับ
    ๒.อมนสิการ จิตไม่กำหนดนึก ว่านั้นอะไร นี่อะไร ทำให้จิตเลื่อนลอย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างก็ดับ
    ๓. ถีนมิทธะ จิตละเลยการกำหนดรูปนิมิต จิตจึงง่วงเหง่าหาวนอน จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูปจึงดับ
    แสงสว่างจึงดับ
    ๔.ฉัมภิตัตตะ ความไหวจิต ไหวกาย เพราะจิตเห็นรูปน่ากลัว จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่าง รูปนิมิตจึง
    ดับ
    ๕.อุพพิลวิตก ความที่จิตรวบรัดเพ่งเล็งดูรูปนิมิตมากมาย จิตกำเริบฟุ้งซ่าน จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิรูปนิมิต
    และแสงสว่างจึงดับไป
    ๖.ทุฎฐุลล ความกำหนดจิตดูรูปนิมิตมาก แต่กำหนดดูแต่ช้าๆ จิตคลายความเพียรลง เกิดความกระวน
    กระวาย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูปนิมิต โอภาสนิมิตจึงดับ
    ๗.อัจจารัทธวิริยะ กำหนดความเพียรมากเกินไป จิตจึงคลาดเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับไป
    ๘. อติลีนวิริยะ กำหนดความเพียรน้อยเกินไป อ่อนเกินไป จิตเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับ
    ๙.อภิชัปปา การกำหนดดูรูปปราณีต ตัณหาเกิด จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูป และแสงสว่างจึงดับไป
    ๑๐.นานัตตสัญญา การกำหนดดูรูปหยาบ รูปปราณีตพร้อมกัน จิตแยกเป็นสองฝ่าย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ
    รูปนิมิต และโอภาสนิมตหายไป
    ๑๑. อตินิชฌายิตัตตะ การเพ่งเล่งรูปมนุษย์ อันปราณีต เกิดความยินดี จิตเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่า
    จึงดับ

    [/FONT]</TD></TR>

    Read more: http://www.oocities.com/weera2548/tamnan/pakhad_01.htm?20106#ixzz0ykSE8PTO
     
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    สรุปก็คือเมื่อโอภาสเกิดแล้วให้ดำรงอารมณ์เป็นอุเบกขา ดำรงสติ เป็นกลาง
    มี2ทางคือ
    1)ดูนิมิตหรือภาพที่เกิดขึ้นมาเหมือนดูหนัง แต่ไม่สนุกตื่นเต้นไปกับหนัง จะทรงอารมณ์ได้นาน เขาไปเที่ยวสวรรค์ นรกกันก็แบบนี้ แต่อย่างที่หลวงปู่เทสก์พูดไว้ว่า เห็นนะเห็นจริงจริงแต่สิ่งที่เห็นไม่จริง ดังนั้น ฝึกแบบนี้อันตรายเพราะจะฟุ้ง
    2)เอาโอภาสที่ได้นี้มาเพ่งอาการ32ของร่างกาย โดยกำหนดรูปขึ้นมาในใจเช่น รูปร่างกายและอวัยวะภายในทั้งหลาย หรือโครงกระดูกของเราเอง ฝึกแบบนี้ดีกว่า ทำให้คลายความกำหนัดเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมครับ
     
  14. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    อายตนะภายในที่ว่ามานี้ มันเป็นของหลอกลวงเหมือนกันจะเชื่อมันเป็นของจริงเป็นของจังทั้งหมดไม่ได้ ของทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ จะต้องเป็นของจริงบ้าง ของปลอมบ้าง ด้วยกันทั้งนั้น สรรพสังขารทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งสารพัดวัตถุ สัตว์มนุษย์ ทั้งปวง ล้วนแต่เป็นของหลอกลวงกันทั้งนั้น
    โลก คือ จิต ของคนเรา มาหลอกลวงจิตให้หลงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง แต่แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงมายาเท่านั้นเกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปตามธรรมดาของมัน
    เช่นมนุษย์เกิดมาจากธาตุ 4 ประชุมกันเข้าเป็นก้อนอันหนึ่งเขาเรียกกันว่า ก้อนธาตุ จิตมนุษย์เข้าไปยึดถือเอา จึงสมมุติเรียกว่าเป็นมนุษย์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นหนุ่ม เป็นสาว แต่งงานกันมีลูกออกมา หลงรักหลงใคร่ แล้วก็โกรธเกลียดชังกัน เบียดเบียน ฆ่าฟัน อิจฉาริษยา ซึ่งกันและกัน ส่วนอาชีพการงานก็เหมือนกัน เกิดมาในโลกกับเขาแล้ว จะไม่ทำก็อยู่กับเขาไม่ได้ ต้องกระทำ ทำมาค้าขาย หรือกสิกรรมกสิกร หรือเป็นข้าราชการทำไปจนวันตายก็ไม่จบไม่สิ้น คนนี้ตายไปแล้วคนใหม่เกิดมา ตั้งต้นทำอีก ยังไม่ทันหมดทันสิ้นก็ตายไปอีกแล้ว
    ตราบใดโลกนี้ยังมีอยู่ มนุษย์คนเราก็เกิดมาทำอยู่อย่างนี้ร่ำไปทุกๆ คน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีใครหอบเอาสิ่งที่ตนกระทำไว้นั้นไปด้วยสักคนเดียว แม้แต่ร่างกายก็ทอดทิ้ง เว้นแต่กรรมดี และกรรมชั่วที่ตนทำไว้เท่านั้น ที่ตามจิตใจของตนไป
    โลกจิต ที่มีวิญญาณครองยังหลอกจิตได้ ไม่เห็นแปลกอะไรเลย แม้ที่สุด โลกที่หาวิญญาณครองไม่ได้ ก็ยังหลอกจิตเลย เราจะเห็นได้จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เช่น ป่า ดง พงไพร ต้นไม้ประกอบด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด เกิดในดงงดงาม เขียวชอุ่ม ประกอบด้วย กิ่ง ก้านดอก ผล เป็นช่อระย้า เรียงลำดับเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งกว่าคนเอาไปประดับตกแต่งไว้ ใครเห็นแล้วก็นิยมชมว่าสวยงาม ส่วนผาเล่าก็มีชะโงกเงื้อมงุ้ม เป็นตุ่ม เป็นต่อม มีชะง่อน ชะเงื้อม เพิงผา ดูน่าอัศจรรย์ เป็นหลั่นเป็นถ้องแถว ดังคนเอามาเรียงลำดับให้วิจิตรงดงาม
    ส่วนแม่น้ำลำธารซึ่งตกลงแต่ที่สูงแล้วก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ เป็นลำธาร มีแง่มีมุม เป็นลุ่มเป็นดอน มีน้ำไหลวกวนเวียน มีหมู่มัจฉาปลาหลากหลายพันธุ์ว่ายวนเป็นหมู่ๆ ดูแล้วก็จับใจ ดูไป เพลินไปทำให้ใจหลงใหลไปตามๆ กัน ดูแล้วเหมือนของเหล่านั้นจะเป็นจริงเป็นจังเดี๋ยวๆ ของเหล่านั้นก็อันตรธานหายจากความทรงจำของเรา หรือมิฉะนั้นคนเราก็จักต้องอันตรธานหายไปจากสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอะไรเหลือหลออยู่ในโลกนี้สักอันเดียว เป็นอนิจจังทั้งสิ้น
    เมื่อของในโลกนี้เป็นของหลอกลวงได้ "ธรรม" ธรรมที่เป็นโลกีย์ ก็หลอกลวงได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้จากการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ ตกใจผวา เหมือนกับมีคนมาผลักบางทีมีเสียงเปรี้ยง เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมาก็มี บางทีกายของเราแตกออกเป็นซีกๆ ก็มี บางทีมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาแลเห็นสิ่งต่างๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง พอลืมตาขึ้นหายหมด สารพัดแต่มันจะเกิด บางทีพอจิตจะรวมเข้าไป ปรากฏเห็นภูต ผี ปีศาจ ทำเป็นหน้ายักษ์ หน้ามารมาเลยกลัววิ่งหนี เลยเสียสติเป็นบ้าไปก็มี ธรรมที่ยังเป็นโลกีย์อยู่ก็หลอกลวงได้ เช่นเดียวกับโลกๆ เรานี้แหละ
    บางทีเราพิจารณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ เมื่อใจเราน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา เปื่อยเน่าเฟะไปทั้งตัวเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายมันก็เป็นอสุภะธรรมดาๆ เท่าที่มันมีอยู่นั้นแหละ แต่เราเข้าใจผิด หลงไปเชื่อตามจิตมันหลอก เลยหลงเชื่อว่าเป็นอสุภะจริงๆ ไปยึดถือเอาจนเหม็นติดไม้ติดมือติดตัว ไปไหนก็มีแต่กลิ่นอสุภะทั้งนั้น
    จิตเราที่ฝึกหัดให้เข้าถึงธรรมแล้ว แต่ธรรมนั้นมันยังเป็นโลกียะอยู่ มันหลอกได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงเทศนาว่า "จิตหลอกจิต" เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าจิตหลอกจิต เรื่องของใจ จิต กับ ใจมันคนละอันกัน ดังภาษาชาวบ้านที่พูดกันว่า ใจๆ นั่นแหละ ใจ เขาหมายเอาของที่เป็นกลางกลาง อะไรทั้งหมดที่เป็นของกลางแล้ว เขาเรียกว่า ใจ ทั้งนั้น
    คราวนี้มาพูดถึงเรื่อง จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่งสัญญาอารมณ์ร้อยแปดพันเก้า ไม่มีที่สิ้นสุด นั้นเป็นเรื่องของ จิตตามความรู้สึกของคนทั่วไปแล้ว จิต กับ ใจ มักจะเป็นอันเดียวกัน ดังพูดออกมาเมื่อไม่สบายว่า "ไม่สบายใจ จิตใจหงุดหงิด" ดังนี้ เป็นต้นถ้าสบายใจก็บอกว่า "จิตใจมันปลอดโปร่งโล่งไปหมด"
    จิต กับ ใจ แยกออกไว้เป็นคนละส่วนกัน บางทีท่านก็เรียกว่า จิตเป็นของผ่องใสอยู่เป็นนิจ แต่อาคันตุกะกิเลสจรมา ทำให้จิตเศร้าหมองต่างหาก หรือบางทีท่านก็ว่า จิตเป็นของเศร้าหมอง จิตนี้เป็นของผ่องใสสะอาด อะไรหลายอย่าง ต่างๆ นานา ทำให้ผู้ศึกษาเรื่องจิต เรื่อง ใจ ยุ่งกันไปหมด
    จิต นี้ถ้าเราจะพิจารณาด้วยสามัญสำนึกแล้ว มันให้คิดให้นึก ให้ปรุง ให้แต่ง ไปต่างๆ นานา สารพัดร้อยแปดพันอย่าง ยากที่บุคคลจะห้ามให้อยู่ในอำนาจของตนได้ แม้ที่สุดแต่นอนหลับไปแล้วยังปรุงแต่งท่องเที่ยวไปเลย อย่างเราเรียกว่า ฝัน ปรุงแต่งไปทำธุรกิจการงานต่างๆ ไปทำสวน ทำนา ไปค้าขาย หาเงิน หาทอง อาชีพต่างๆ หรือ อาฆาตบาดหมาง ฆ่าฟันกัน เป็นต้น
    ถ้าเราฝึกหัด จิต ของตนที่ดิ้นรนนี้ให้สงบอยู่เป็นหนึ่งได้แล้ว เราจะมองเห็นจิตที่เป็นหนึ่งนั้น เป็นหนึ่งอยู่ต่างหาก กิเลสมีโทสะ เป็นต้นนั้น อยู่อันหนึ่งต่างหาก จิต กับ กิเลส มิใช่อันเดียวกันถ้าอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะทำใจให้บริสุทธิ์ได้ จิต เป็นผู้ไปปรุงแต่งเอา กิเลส มาไว้ที่จิตต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ว่าอันใดเป็น จิตอันใดเป็น กิเลส
    พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า จิตตัง ปภัสสรัง อาคันตุเกหิกิเลเสหิ จิตเป็นของผ่องใสอยู่ทุกเมื่อ กิเลสเป็นอาคันตุกะจรมาต่างหาก นี้ก็แสดงว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดแล้ว
    ของในโลกนี้ต้องประสมกันทั้งหมดจึงเป็น โลก ของอันเดียวมีแต่ ธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้เห็นธรรมเป็นของหลายอย่างต่างๆ กัน ผู้นั้นได้ชื่อว่ายังเข้าไม่ถึงธรรม นัยหนึ่งเหมือนกันน้ำเป็นของใสสะอาด เมื่อบุคคลนำเอาสีมาประสมย่อมมีสีต่างๆ เช่น เอาสีแดงมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีแดงไป เมื่อเอาสีดำมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีดำไป สุดแท้แต่จะเอาสีอะไรมาประสม น้ำก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีนั้นๆ แท้จริงแล้วน้ำเป็นของใสสะอาดอยู่ตามเดิม หากผู้มีปัญญา สามารถกลั่นกรองเอาน้ำออกมาได้ น้ำก็ใสสะอาดเป็นปกติอยู่ตามเดิม สีเป็นเครื่องประสมให้น้ำเป็นไปต่างๆ
    น้ำเป็นของมีประโยชน์มาก สามารถชำระของสกปรกสิ่งโสโครกทั้งปวงให้สะอาดได้ ความสะอาดของตนมีอยู่แล้ว ยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในสิ่งโสโครกทั้งปวง ชำระเอาสิ่งโสโครกเหล่านั้นออกมาได้ นี่ก็ฉันใด ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมสามารถกลั่นกรองเอาจิตของตนที่ปะปนกับกิเลสออกมาได้ฉันนั้น
    คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่อง จิต กับ ใจ ให้เข้าใจกนก่อนจึงค่อยพูดกันถึงเรื่องกิเลส อันเกิดจากจิตต่อไป
    จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง สังขาร สัญญาอารมณ์ทั้งหมดเกิดจากจิต เมื่อพูดถึงจิตแล้วไม่นิ่งเฉยได้เลย แม้ที่สุดเรานอนอยู่ก็ปรุงแต่งไปร้อยแปดพันเก้า อย่างที่เราเรียกว่า ฝัน นั่นเอง จิตไม่มีการนิ่งอยู่เฉยได้ จิตนอนหลับไม่เป็น แลไม่มีกลางคืน กลางวันเสียด้วย ที่นอนหลับนั้นมิใช่จิต กายต่างหาก มันเหนื่อยจึงพักผ่อนจิต เป็นของไม่มีตัวตน แทรกซึมเข้าไปอยู่ได้ในที่ทุกสถาน แม้แต่ภูเขาหนาทึบก็ยังแทรกเข้าไป แทรกทะลุปรุโปร่งได้เลย จิต นี้มีอภินิหารมาก เหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้
    ใจ คือผู้เป็นกลางๆ ในสิ่งทั้งปวงหมด ใจก็ไม่มีตัวตนอีกนั่นแหละ มีแต่ผู้รู้อยู่เฉยๆ แต่ไม่มีอาการไป อาการมา อดีตก็ไม่มีอนาคตก็ไม่มี บุญแลบาปก็ไม่มี นอกแลในก็ไม่มี กลางอยู่ตรงไหนใจ ก็อยู่ตรงนั้น ใจ หมายความเป็นกลางๆ ดังภาษาชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ใจมือ ก็หมายเอาท่ามกลางมือ ใจเท้า ก็หมายเอาท่ามกลางเท้า แม้ที่สุดเมื่อถามถึงใจคนเรา ก็ต้องชี้เข้าท่ามกลางหน้าอก แต่แท้จริงแล้วที่นั้นไม่ใช่ใจนั่นเป็นแต่หทัยวัตถุ เครื่องสูบฉีดเลือดที่เสียแล้วกลับเป็นของดีให้ไปหล่อเลี้ยงสิ่งต่างๆ ในสรรพางค์ร่างกายเท่านั้น ตัวใจแท้มิใช่วัตถุ เป็นนามธรรม
    จิต กับ ใจ โดยความหมายแล้วก็อันเดียวกัน ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตอันใด ใจก็อันนั้น ใจอันใด จิตก็อันนั้น"จิต กับ ใจ เป็นไวพจน์ของกันแลกัน ดังพุทธภาษิตว่า จิตตังทันตัง สุขาวหัง จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ หรือ มโนปุพพังคมาธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน เป็นต้น แต่โดยส่วนมากท่านจะพูดถึงเรื่องจิตเป็นส่วนมาก เช่นเรื่องพระอภิธัมม์ จะพูดแต่เรื่องจิตเจตสิกทั้งนั้น จะเป็นเพราะจิตทำงานมากกว่าใจ ไม่ว่าจะเรื่องของกิเลส หรือเรื่องของการชำระกิเลส (คือ ปัญญา) เป็นหน้าที่ของจิตทั้งนั้น
    กิเลสมิใช่จิต จิตมิใช่กิเลส แต่จิตไปยึดเอากิเลสมาปรุงแต่งให้เป็นกิเลส ถ้าจิตกับกิเลสเป็นอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะชำระกิเลสให้หมดได้
    จิต แล กิเลส เป็นแต่นามธรรมเท่านั้น หาได้มีตัวมีตนไม่จิตที่ส่งไปทางตา หู เป็นต้น ก็มิใช่ตา หู เป็นกิเลส แต่จิตกระทบกับอายตนะจึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสเท่านั้น เมื่อตาเป็นต้น กระทบกับรูปให้เกิดความรู้สึก แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป จิตไปตามเก็บเอาความรู้สึกนั้นมาเป็นอารมณ์ จึงเกิดกิเลส ดีแลชั่ว รักแลชังต่างหาก ผู้ไม่เข้าใจ ไปหลงว่าจิตเป็นกิเลส ไปแก้แต่จิต ตัวกิเลสไม่ไปแก้ ไม่ไปแยกเอาจิตให้ออกจากกิเลส อย่างนี้ แก้เท่าไรๆ ก็แก้ไม่ออก เพราะแก้ไม่ถูกจุดสำคัญของจิต จิตไปหลงยึดเอาสิ่งสารพัดวัตถุเครื่องใช้ต่างๆมาเป็นของกูๆ ติดมั่นอยู่ในสิ่งนั้นๆ มันเลยเป็นกิเลส
    เป็นต้นว่า เรือกสวน ไร่นา ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุต่างๆแม้ที่สุดแต่บุตร ธิดา สามี ภรรยา พี่ ป้า น้า อา เป็นที่สุด ว่าเป็นของกูๆจิตเลยเป็นกิเลส แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นอยู่อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันหาได้ไปเป็นตามความหลงยึดมั่นถือมั่นของเราไม่ดังภรรยาสามีของเรา หลงยึดมั่นถือมั่น สำคัญว่าเป็นของเราจริงๆราวกับว่าเอาหัวใจของเขามาไว้ในหัวใจของเราเลยทีเดียว เวลาเขาคิดจะทำมิจฉาจาร เขาไม่ได้บอกเราเลยสักนิดเดียว พอรู้เรื่อง เราเกิดความทุกข์ระทมใจแทบตาย นี่ก็เพราะความหลง ไม่เห็นตามความเป็นจริงของมันนั่นเอง ยิ่งเป็นสิ่งที่หาวิญญาณไม่ได้เสียแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เช่น เพชร นิล จินดา ราคามากๆ เก็บใส่ตู้ใส่หีบไว้แน่นหนากลัวขโมยจะมาลักเอาไป แต่ตัวมันเองหาได้รู้สึกอะไรไม่ ใครมาลักมาขโมยเอาไปก็ไม่มีความรู้สึก จะโวยวายก็ตัวเจ้าของผู้ไปยึดมั่นถือมั่นนี้ต่างหาก กิเลสตัวผู้ไปยึดถือนี้มันร้ายกาจเอาเสียจริงๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มันเข้าไปยึดถือเอาเลยแล้วก็ฝังตัวลึกเข้าไปจนถอนไม่ขึ้นจิต ใจ และ กิเลส มีความหมายดังได้อธิบายมานี้
    จิต ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมไว้ให้ดีแล้ว มีแต่จะนำให้กิเลสมาทับถมถ่ายเดียว ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรม จิต ไว้ดีแล้วก็จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาล เพราะจิตเป็นผู้แส่ส่ายแสวงหากิเลสใส่ตัวเอง พร้อมๆ กันนั้นก็เป็นผู้แสวงหาปัญญามาให้ตัวอีกด้วย
    บ่อเกิดกิเลสของจิต ก็ไม่พ้นจากอายตนะทั้ง 6 ซึ่งจิตเคยใช้อยู่ประจำแล้ว อายตนะทั้ง 6 นี้ เป็นสมบัติอันล้ำค่าของจิตเท่ากับแก้วสารพัดนึกของจิตก็ว่าได้ จะใช้ให้ไปดูรูปที่สดสวยงดงามสักปานใดก้ได้ ตา ก็ไม่อั้น ตามัว ตาเสีย ไปหาแว่นมาใส่ก็ยังได้ หู ก็ยิ่งใช้ได้ดีใหญ่เลย ตาหลับแล้วหูยังได้ฟัง ได้ยินสบายเลย จมูก ก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องไปยืมเอาตา แลหู มาดมกลิ่นแทน แต่จมูกจะต้องรับหน้าที่คนเดียว ดมกลิ่นเหม็น กลิ่นหอมด้วยตนเองทั้งนั้นลิ้น ก็ไม่ต้องเกี่ยงให้ตา หู จมูกมาทำหน้าที่รับรสแทนเลย พอป้อนอะไรเข้าในปากเท่านั้นแหละ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ลิ้นจะต้องรับหน้าที่รับรู้ว่า รสเผ็ด เค็มหวาน เปรี้ยว อร่อย แลไม่อร่อย ทันที กาย ก็รับรู้ว่าสัมผัสอันนี้นิ่มนวล อ่อน แข็ง อะไรต่างๆ ยิ่ง ใจ แล้ว มโนสัมผัส รู้คิดนึกอะไรต่อมิอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องด้วยอายตนะทั้ง 5 หรือจิตใดๆ ทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของใจโดยเฉพาะเลยทีเดียว
    สิ่งทั้ง 5-6 นี้เป็นของเก่า เคยรับใช้จิตมานานแล้วจนคล่องแคล่วทีเดียว แต่ให้ระวังหน่อย ของเก่าเราเคยใช้มา ให้ความสุขสบายมานานนั้น มันอาจทำพิษให้เราเมื่อไรก็ได้ ดังโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ข้าเก่า งูเห่า เมียรัก ไม่ควรไว้วางใจ ของ 3 อย่างนี้ มันอาจทำพิษให้เราเมื่อไรก็ได้
    เมื่ออธิบายให้เข้าใจถึงเรื่อง จิต แล ใจ พร้อมด้วย กิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิตแล้ว ผู้ต้องการที่จะกำจัดกิเลสให้พ้นออกจากจิตของตน พึงหัดสมาธิให้ชำนาญเสียก่อน จึงแยกจิตแลกิเลสออกจากกันได้ ถ้ามิฉะนั้นแล้ว จิตแลกิเลสจะเป็นอันเดียวกันเลยไม่ทราบว่าจะแยกอย่างไรกันออก ถ้ามีสมาธิแลชำนาญแล้ว การแยกจิตแลกิเลสออกจากกัน จะค่อยง่ายขึ้น คือจิตตั้งมั่นในอารมณ์อันเดียวแล้ว เรียกว่า สมาธิ สมาธิไม่มีอาการส่งส่ายไปภายนอก นั้นเป็นที่ตั้งฐานของการต่อสู้กับกิเลส จิตที่มันส่งส่ายไปหาอารมณ์ภายนอกนั้น มันส่งส่ายไปหากิเลส
    ถ้าหากเรากำหนดรู้เท่าทัน อย่าให้มันไปหมายมั่นสัญญาจดจำแลปรุงแต่ง ให้มีแต่เพียงรู้เฉยๆ กิเลสมันก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะจิตนี้กว่าจะเกิดกิเลสขึ้น มันต้องจดจำ ดำริ ปรุงแต่ง มันจึงเกิดขึ้นถ้าเพียงแต่รู้เฉยๆ กิเลสไม่มี เช่น ตาเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น มันก็ไม่เกิดกิเลสอะไร
    ถ้าตาเห็นรูป จดจำว่าเป็นหญิง เป็นชาย ว่าดำ ว่าขาวสวย แลไม่สวย แล้วดำริ ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา มันก็เกิดกิเลสตามเราปรุงแต่ง จึงมาทับถมจิตเราที่ผ่องใสอยู่แล้วให้เศร้าหมองไปสมาธิเลยเสื่อม กิเลสเลยเข้ารุมล้อม
    หูฟังเสียงก็เช่นเดียวกัน เมื่อหูฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟังอย่าไปจดจำ หรือดำริ ปรุงแต่งในเสียงนั้นๆ ฟังแล้วก็ผ่านไปๆ มันก็จะไม่เกิดกิเลสอะไร เหมือนกับเราฟังเสียงนก เสียงกา หรือเสียงน้ำตก เป็นต้น ส่วนอายตนะอื่นๆ นอกนั้น มีจมูกเป็นต้น ก็ทำนองเดียวกัน
    เมื่อเราฝึกหัดสมาธิให้ชำนิชำนาญแล้ว เวลาอายตนะทั้งหลาย มีตาเห็นรูป เป็นต้น จะกำหนดจิตให้เข้าถึงสมาธิ แล้วจิตก็จะมองเห็นรูป สักแต่ว่ารูปเฉยๆ จะไม่จดจำว่ารูปเป็นหญิง เป็นชายเป็นหนุ่ม เป็นแก่ ขาวแลดำ สวย แลไม่สวย แล้วก็ไม่ดำริปรุงแต่งไปต่างๆ นานา กิเลสก็จะไม่เกิดในที่นั้นๆ การชำระจิตอย่างที่ว่ามานี้เป็นแต่ชำระได้ชั่วคราว เพราะเหตุทำสมาธิให้มั่นคงชำนิชำนาญ ถ้าสมาธิไม่มีกำลังแล้ว ไม่ได้ผลเลย ถ้าจะชำระจิตให้สะอาดหมดจริงจังแล้ว ต้องทำวิปัสสนา ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
    ฌาน สมาธิ วิทยาศาสตร์ ใช้นามธรรมพิจารณารูปอย่างเดียวกัน แต่ต่างกันในความหมายแลความประสงค์ ฌาน แลสมาธิ ดังอธิบายมาแล้ว จะอธิบายซ้ำอีกเล็กน้อย เพื่อทวนความจำ
    ฌาน พิจารณาด้วยนามธรรม คือ จิต เอาไปเพ่งรูปธรรมคือ เช่นเพ่งร่างกายอันนี้ให้เห็นเป็นธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม จิตน้อมเชื่อมั่นว่าตัวของเราเป็นสิ่งนั้นจริงๆ จนเกิดภาพเป็นดินขึ้นมาจริงๆบางทีตนเองพิจารณาเห็นภาพหลอกลวง ว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ จนกลัวเลยเกิดวิปริตจิตเป็นบ้าก็มี แลยังมีอาการมากกว่านี้อีกแยะ นี้เป็นเรื่องของ ฌาน
    เรื่องของ สมาธิ ก็พิจารณาอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พิจารณาเป็น 2 นัย คือ ไม่เห็นแต่ภายใน เห็นทั้งภายนอกด้วย เห็นภายใน คือเห็นแบบฌาน เห็นว่าร่างกายเราเป็นอสุภะ เปื่อยเน่าเป็นของน่าเกลียด ความเห็นอีกอันหนึ่งเห็นว่ามันจะน่าเกลียดอะไร เราอยู่ด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันเป็นอสุภะก็ของธรรมดาของร่างกาย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแต่ไรมาแล้ว นี่เป็นความเห็นของผู้ฝึกหัดสมาธิ
    เรื่องของ วิทยาศาสตร์ ก็พิจารณาอย่างนั้น พิจารณาจนนิ่งแน่วลงสู่เรื่องนั้นจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเช่น พิจารณากายวิภาค เห็นเรื่องของกายมนุษย์คนเรามีชิ้นส่วนประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ให้เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างนี้ๆ แล้วก็บันทึกไว้เป็นตำรา ดีเหมือนกัน ถ้าไม่มีวิทยาศาสตร์ เราเกิดมาก็ไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือสร้างโลก ของผู้ยังติดอยู่ในโลก ยังไม่เบื่อ บางคนอายุตั้ง 100 ปี ยังไม่อยากตายยังขออยู่ไปอีกสัก 50 - 60 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์สร้างโลกยังไม่จบตายไปแล้ว คนอื่นเกิดมาสร้างใหม่อีก ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตามมาสร้างโลก อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น
     
  15. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ผมต้องขออนุโมทนาเป็นอย่างมากๆเลยครับ
    ที่มีมีน้ำใจปรารถนาดี หาข้อมูลมาให้อ่านมากมายเลย

    ส่วนเรื่องที่ท่านจะส่งพลังผ่านรูปแทนตัวของผมนั้น
    พอดีเมื่อวานนี้ไม่รู้ตัวจึงไม่ทันสังเกตุต้องขออภัยครับ

    แต่ก็อยากให้ท่านลองใหม่อีกครั้ง ตามปกติผมจะนั่งอยู่หน้าคอม
    เกือบตลอดทั้งวันครับ ผมขอให้ท่านลองPMมาบอกเวลาล่วงหน้า
    สักหน่อยก็จะดีครับ:cool:
     
  16. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    อืมผมมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
    1.ผมเคยเปิดจักระทั้ง7กับอาจารย์หม่าม้าแล้ว
    2.วันที่22ส.ค.53ผมได้รับเลือกให้ติดเครื่องมือของเทพต่างดาว สำหรับใช้รักษาโรค
    จากกลุ่มประสานงานภัยพิบัติ(เขากะลา)ครับ
     
  17. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ตอนที่เปิดจักระกับอ.หม่าม๊า คุณวสุธรรมรู้สึกเหมือนขนหัวลุกหรือหว่างคิ้วตึงหรือเหมือนมีสว่านไชเบาๆหรือเปล่า ถ้ารู้สึกได้นั้นคืออาการที่จักระหมุน
    ได้ลองส่งพลังผ่านรูปไปอีกที ไม่ทราบว่าจะได้ผลหรือไม่
    อีกอย่างคือถ้าฝึกพลังจักรวาลให้เอาความรู้สึกมาอยู่ที่จักระ
    อย่าเอาความรู้สึกไปอยู่กับการภาวนาพุทโธหรือลมหายใจนะครับ
    เอาทีละอย่าง
    เดินลมปราณก่อนให้มีพลัง เสร็จแล้วค่อยหมุนจักระ
     
  18. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    1.ตอนที่เปิดจักระกับอ.หม่าม๊า คุณวสุธรรมรู้สึกเหมือนขนหัวลุกหรือหว่างคิ้วตึงหรือเหมือนมีสว่านไชเบาๆหรือเปล่า
    ตอบ ใช่ครับมีทั้งสองอาการเลยครับ

    2.ได้ลองส่งพลังผ่านรูปไปอีกที ไม่ทราบว่าจะได้ผลหรือไม่
    ตอบ ฮาๆๆ พลังจิตของท่านอัคนีวาตสูงมากครับ ได้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนขนหัว
    ลุกหรือหว่างคิ้วตึงหรือเหมือนมีสว่านไชเบาๆ อย่างไม่น่าเชื่อเลย
    3.อย่าเอาความรู้สึกไปอยู่กับการภาวนาพุทโธหรือลมหายใจ
    ตอบ ครับ ผมจะตั้งใจอย่างท่านแนะนำครับ

    ขออนุโมทนาเป็นอย่างมากๆครับ
     
  19. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    เรียนคุณอัคนีวาต
    ผมอยากรบกวนช่วยแนะนำผมบ้างครับ ปกติบนหัวผมหมุนเองประจำเลย แล้วก็รับอะไรบางอย่างได้แต่ไม่กล้าเขียนครับ แต่ยังไม่เคยเปิดจักระครับ
     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลองทำตามวิธีที่ผมโพสไว้หน้าแรกดูสิครับ
    ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามได้เลยนะครับ
    แต่ดูจากชื่อแล้วท่านน่าจะฝึกธรรมกายหรือเปล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...