เตรียมพร้อมวันเปลี่ยนโลก!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย mead, 17 กรกฎาคม 2010.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    อาการนี้สันโดษเป็นมาก่อนเมื่อปีที่เเล้ว เป็นจนขนาดที่รู้สึกว่า ทุกขณะที่อยู่นอกบ้านไม่ได้

    เพราะจะเกิดอาการปวดหัว เหมือนจิตกำลังจะเเตก เหมือนมีสัญญาณเข้ามาในสมองมากเกินไป

    จำได้เลยว่า อาการหนักขนาดที่ครบรอบวันเกิดไม่สามารถลุกขึ้นมาเป่าเค้กได้ ต้องนอนเท่านั้น เป่าเค้กอีกวันถัดมา

    ถ้าตื่นมาก็จะเกิดอาการเเบบนี้ทุกๆวัน ประมาณ กลางเดือนเกิด เป็นหนักสุดก็วันเกิดเลย

    มันปวดหัวทรมาณขนาดที่ว่า ตายไปเลยจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ

    เเละรู้ตัวด้วยว่า อาการปวดหัวที่เป็นไม่ใช่ปวดหัวเเบบทั่วไป

    วิธีเเก้ของสันโดษ คือ เข้าห้องพระเเละนั่งสมาธิอธิษฐานจิตขอถวายร่างนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา

    ขอทำงานช่วยเหลือพระพุทธศาสนา เพราะ อาการตอนนั้น ตัวเองต้องระวังให้มีสติ วินาทีต่อวินาทีก็ว่าได้

    เจ็บให้รู้ว่าเจ็บ กลัวให้รู้ว่ากลัว ฟังเเต่หลวงพ่อปราโมทย์ กับ บทสวดมนต์รักษาโรคหลายๆคาถา

    จนสันโดษต้องไปตั้งกระทู้
    สันโดษปลีกวิเวกในห้องหลุมดำ เพื่อสร้างสมาธิเเละคุ้มครองตัวเองขึ้นมาค่ะ

    รู้ว่าจิตกำลังหวาดผวา หวาดกลัว เเละ หวาดระเเวงจากสิ่งรอบตัว มันเป็นอาการที่ทรมาณมากจริงๆ

    สันโดษจะฟังเเต่บทสวดมนต์ตลอดเวลาทั้งวันตั้งเเต่ตื่นนอนจนเข้านอน ผ่าน mp3

    ผ่านคอมที่บ้านเเละออฟฟิศเปิดให้เสียงดังกลบคลื่นที่เข้ามาในหัวตัวเอง

    คิดว่าถ้าตายไปจะไ้ด้ไปที่ดีๆ เหมือนกับเป็นการฝึกเดี่ยวของตัวเอง

    สุดท้ายก็มาเจอ การนั่งสมาธิหมุนของพระมหาสีไพร เเละลองฝึกเองที่บ้าน

    ด้วยการ ปล่อยกายให้เป็นอิสระกับบทสวดมนต์ ร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบันนี้

    อาการต่างๆก็หายไปเเต่ก็ยังรู้สึกว่า ร่างกายยังไม่เเข็งเเรง 100%

    เหมือนเมื่อก่อนช่วงปี 2007 - 2008 ร่างกายเเข็งเเรงเเต่มีการทดสอบจิตอย่างหนัก

    ส่วนกลางปี 2009 ร่างกายเเละจิตอ่อนเเอมากๆค่ะ คาดว่า ทุกอย่างจะลงตัวหลังจากปี 2012 เป็นต้นไป

    ตามหลักสากลจักรวาล เพราะฉะนั้น คนที่คิดว่าตัวเองกำลังป่วยขอให้สบายใจได้

    เพราะ เมื่อธรรมชาติปรับสมดุลจนสมบูรณ์เเล้ว ร่างกายของพวกเราจะดีขึ้นกว่าเดิมมากค่ะ

    หรือ พูดง่ายๆก็ คือ เมื่อไรที่พลังลบจากความคิดมนุษย์น้อยลงหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อนั้น ทุกอย่างจะดีขึ้นนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  2. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    มีข้อมูลเกี่ยวกับการประทับจิต ลองมาอ่านดูกันค่ะ


    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=3 height=19>วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ

    </TD></TR><TR><TD align=right colSpan=3 height=1></TD></TR><TR><TD align=right colSpan=3 height=1></TD></TR><TR><TD align=right colSpan=3 height=1>ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา</TD></TR><TR><TD align=right colSpan=3 height=19>วันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ</TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber4 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">สวัสดียามบ่ายอีกครั้งหนึ่งรู้สึกมีความสุขมากที่พวกท่านมาในวันนี้ ตอนนี้เป็นบ่ายวันเสาร์และเวลาของพวกท่านมีค่ามากฉันดีใจที่พวกท่านสละเวลาทำงานของท่านเพื่อมาที่นี่ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมายากที่จะย้อนกลับมาสู่ความคิดตามปกติในระดับของมนุษย์ทั่วไป

    เพื่อจะได้ใช้ภาษาสื่อต่อต่อกันได้แต่ฉันจะพยายามดู หลังจากพูดไปสักครึ่งชั่วโมงมันก็จะพูดต่อไปได้เองโดยอัตโนมัติ ในตอนนี้ขอได้โปรดช่วยฉันและร่วมใจกับฉันในการสวดอธิษฐานเพื่อให้การสัมมนาของเรา การประชุมของเราประสบผลสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อพวกท่านทุกคนรวมทั้งบุคคลที่ท่านรักด้วย เพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้นขอให้เราช่วยอธิษฐานให้พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพพูดผ่านมาทางตัวฉัน และให้พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพในตัวท่านตื่นขึ้นมาฟัง ขอบคุณๆ





    </TD></TR><TR><TD width="100%"></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD colSpan=3 height=16>[​IMG] ดินแดนพุทธะอยู่ที่ไหน</TD></TR><TR><TD colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>พระศากยมุนีพุทธเจ้าสมัยเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ จริงๆ แล้วตอนนี้ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันหมายถึงสมัยเมื่อท่านยังอยู่ในโลกแห่งวัตถุ อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อหนังนี้ ท่านได้แนะนำให้เรารู้จักดินแดนอันมหัศจรรย์มากมายซึ่งเราเรียกว่า ดินแดนแห่งพุทธะ และพระเยซูคริสต์สมัยเมื่อท่านยังอยู่ในโลกนี้ท่านก็เล่าให้เราฟัง และแนะนำให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์จำนวนมาก ซึ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ของจิตสำนึกนั่นเอง นอกจากนี้ท่านยังบอกเราด้วยว่า “ในบ้านพระบิดาของเรา มีคฤหาสน์อยู่มากมาย” พวกเธอจำได้ไหม? จำได้ใช่ไหม? ดินแดนแห่งพุทธะมากมายนี้หมายความว่าอย่างไร? และที่กล่าวว่า “ในบ้านพระบิดาของเรา มีคฤหาสน์อยู่มากมาย” นั้น หมายความว่าอย่างไร?</TD></TR><TR><TD width="5%" colSpan=2 height=1></TD><TD width="60%" height=1></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15><TABLE id=AutoNumber5 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">ฉันอยากจะแนะนำพวกเธอให้รู้จักดินแดนพุทธะแห่งหนึ่ง และเธออาจจะเรียกที่นั่นว่าเป็นคฤหาสน์ของพระเจ้าหลังหนึ่งก็ได้ ในทางพุทธศาสนานั้นมีดินแดนพุทธะแห่งหนึ่งซึ่งสวยงามมาก จริงๆ แล้วดินแดนพุทธะมีอยู่มากมายแตกต่างกันแต่วันนี้เราจะพูดถึงดินแดนพุทธะเพียงแห่งเดียวก่อน ดินแดนพุทธะแห่งนี้เรียกว่าดินแดนแห่งราชาของไภษัชคุรุพุทธะ

    เมื่อสมัยที่พุทธะองค์นี้ยังอยู่ในร่างกายเนื้อและท่องไปทั่วโลกเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นนั้น ท่านมีปฏิญญาอยู่ 12 ข้อเพื่อยังประโยชน์ให้แก่ผู้คน การตั้งคำสัตย์ปฏิญานนี้หมายความว่าอย่างไร? เวลาที่เธอบำเพ็ญปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ หรือหมายถึงเมือเธอกำลังบำเพ็ญปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ หรือหมายถึงเมื่อเธอกำลังบำเพ็ญตนเพื่อเป็นนักบุญนั้น

    เธอก็อยากจะช่วยผู้คนด้วยวิธีการบางอย่าง ดังนั้น เธอจึงตั้งปรารถนาไว้ในใจว่าผู้คนต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากเธอด้วยวิธีการบางอย่าง นี่แหละที่เรียกว่า “ปฏิญญา” และจากพลังแห่งการบำเพ็ญของเธอ คุณธรรมของเธอ ความตั้งใจจริงของเธอ และความปรารถนาดีของเธอ ปฏิญญาเหล่านี้จะกลายเป็นจริงได้





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ปฏิญญาข้อหนึ่งของราชาแห่งไภษัชคุรุพุทธะซึ่งในภาษาจีน เรียกว่า “เอี้ยว ซือ โฝ” ก็คือ ถ้าหากใครมาหาท่านด้วยโรคภัยไข้เจ็บไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ในขั้นแรกท่านก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพวกเขา เอาอาหารมาให้รับประทานให้ยาเพื่อรักษาสุขภาพ

    จากนั้นท่านก็จะช่วยทำให้พวกเขาตระหนักรู้ในพลังความสามารถอันสูงสุดซึ่งมีอยู่ในตัวของพวกเขาอย่างช้าๆ ซึ่งสิ่งนี้เราเรียกว่าธรรมชาติแห่งพุทธะ หรืออาจจะเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อบรรดาลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเดินทางไปถึงดินแดนของท่านไภษัชคุรพุทธะ พวกเขาก็พบว่าดินแดนแห่งนี้มีอัญมณีมากมายและพื้นดินก็ทำด้วยแก้วผลึก

    ส่วนใหญ่ดินแดนแห่งพุทธะทั้งหลายจะมีลัการะคล้ายคลึงกัน ดินแดนของท่านไภษัชคุรุพทุธะก็มีลักษณะคล้ายกับดินแดนของท่านอมิตาภพุทธะ พื้นดินทำด้วยแก้วผลึกหรืออัญมณีอันมีค่า บ้านเรือนก็สร้างขึ้นด้วยอัญมณี 7 ชนิด... ได้แก่ ทับทิม เพชร และทอง ฯลฯ และผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแบบนี้ก็จะมีความสุขอยู่เสมอมิได้ขาด ไม่เคยมีความยากลำบากอะไรเลย ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอันทุกข์ยากเลย แม้แต่คำว่าความทุกข์ยากก็ไม่มีอยู่ในดินแดนนี้ ประสบการณ์เกี่ยวกับความทุกข์ที่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับนั้นแทบจะไม่ต้องกล่าวถึงเลย





    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ในขณะที่โลกของเราซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์นั้น มีการผสมผสานกันระหว่างความสุขและความทุกข์บางครั้งเราก็มีความสุข บางครั้งก็มีความทุกข์ บางคนมีความสุข บางคนมีความทุกข์ แต่ในดินแดนของพุทธะนั้นจะต่างออกไป มีแต่ความสุข มีแต่ความสนุกสนาน มีแต่ความปลื้มปีติ มีแต่ความรัก ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความเข้าใจผิด ความรุนแรง การตำหนิติเตียน การทะเลาะเบาะแว้ง หรือสงครามเลย


    พระพุทธเจ้าท่านมีวัตถุประสงค์อะไรจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับดินแดนอันสวยสดงดงามนี้ให้ผู้คนฟัง? ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักรู้ว่ายังมีจักรวาลอื่นๆ อีก ยังมีโลกอันสวยงามอื่นๆ อีก ซึ่งเราสามารถไปอยู่อาศัยได้อย่างถาวรไม่จำเป็นต้องมายึดติดอยู่กับโลกที่ทุกข์ทรมานนี้ ถ้าหากเราคิดว่าโลกของเรานี้น่าทุกขเวทนาเกินไปสำหรับเรา และเราไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่เราก็ยังมีทางเลือก นี่แหละคือวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าลงมาในโลกนี้ นี่แหละคือวัตถุประสงค์ของพระเยซูเมื่อท่านลงมาในโลก เพื่อแนะนำผู้คนในโลกของเราให้รู้จักโลกอื่นๆ อีกมากมายซึ่งมีชีวิตอันสุขสบาย เหมาะแก่สภาพจิตใจของเราหรือความปรารถนาของเรามากกว่าโลกแห่งนี้




    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  3. ingshie

    ingshie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +531
    สวัสดีค่ะ

    เป็นความรู้ที่ดีมากเลยค่ะ

    วันนี้ไปทำบุญ ถวายเทียน ผ้าอาบน้ำฝน ที่วัด มากมาย

    รู้สึก มึนๆ ตึงๆ เหมือนถูกกระตุ้น ปวดๆนิดๆ

    แต่ก็ไม่คิดมาก ค่ะ ทำใจ เริ่มจะชินกับอะไรพวกนี้แล้ว
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สนามแม่เหล็กโลกมีผลต่อสุขภาพ อาจส่งอิทธิพล ถึงขั้นฆ่าตัวตาย

    <table width="100%" align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table width="95%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table width="95%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td valign="top"> นักวิทยาศาสตร์รัสเซียสงสัยว่า สนามแม่เหล็กโลกอาจมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมการฆ่าตัวตายของคนเรา

    นายโอเก ชุมิลอฟ แห่งสถานศึกษาปัญหานิเวศวิทยาจากอุตสาหกรรมในรัสเซีย ได้พบในการศึกษาสนามแม่เหล็กโลก ช่วงระหว่าง พ.ศ. 2491-2540 ได้พบว่ามีช่วงสูงสุดในระหว่างเดือน มี.ค.-พ.ค. และ ก.ค.-ต.ค. และพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของประชาชนในเมืองคิรอฟสค์ ของรัสเซีย ได้เพิ่มสูงขึ้นผิดสังเกตในช่วงระหว่างเวลาเหล่านั้น

    การศึกษาหลายหน ก็เคยพบความเกี่ยวพันของสุขภาพของคนเรากับสนามแม่เหล็กโลก

    นาย ไมเคิล ไรครอฟท์ อดีตนายกสมาคมธรณีศาสตร์แห่งยุโรปก็เคยพบในการศึกษาทบทวนเมื่อปี พ.ศ.2549 ในเรื่องอนามัยของหัวใจและหลอดเลือด ว่าอาจมีความเป็นไปได้ในเรื่องความเกี่ยวพันและอิทธิพลระหว่างกันอยู่ใน ระดับสูง และระบุว่าธรณีศาสตร์อาจมีอิทธิพลเหนือประชาชนอยู่มากประมาณ 10-15% วารสาร “นิว ไซเอนติสต์” อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ รายงานว่า นายไรครอฟท์กล่าวว่า “การศึกษาของคนอื่นด้วยข้อมูลคนละชุด ก็เคยพบสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ส่อว่ามีบางอย่างผูกพันปัจจัยทั้งคู่ด้วยกัน”

    ก่อน หน้านี้เมื่อ พ.ศ. 2549 นักวิทยาศาสตร์เมืองจิงโจ้เคยศึกษาส่อว่า มีความเกี่ยวพันระหว่างอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่กับปฏิกิริยาของสนามแม่ เหล็กโลก นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งสหรัฐฯ ดร.เคลลี โปสเตอร์ เคยแจ้งว่า ต่อมเมล็ดสนในสมอง ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมพฤติกรรมที่เกิดเป็นจังหวะในรอบ 24 ชม. และการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน อ่อนไหวต่อสนามแม่เหล็ก.

    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr><td><center>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</center></td></tr> <tr><td>
    </td></tr></tbody></table>
     
  5. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ(ตอน 2)
    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>

    หนทางสู่ปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด



    ทีนี้ เรามักจะคิดกันว่า พระพุทธเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว พระเยซูตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ไม่ใช่เช่นนั้น ทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแต่พระองค์อยู่ในสถานที่ที่ต่างไปได้มีการวิวัฒนาการไปตามเวลารวมทั้งหน้าที่การงาน และการเรียนรู้ของพระองค์เราไม่มีวันที่จะเรียนรู้ได้หมด อย่าคิดว่าหลังจากเราเป็นพุทธะหรือเป็นเหมือนพระคริสต์แล้วเราจะหยุดเรียนรู้ ไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ตีบตันอยู่แค่นั้นหนทางแห่งปัญญานั้นไม่มีที่สิ้นสุด

    เพราะฉะนั้น เธอคงจำได้ว่าในคัมภีร์ไบเบิลพระเยซูได้ตรัสอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดไว้ ท่านกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นมหัศจรรย์หรือความยิ่งใหญ่อะไรซึ่งเราทำไว้ในวันนี้ พวกท่านสามารถจะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีกในวันข้างหน้า พระองค์พูดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? ใช่ ใช่! การพูดเช่นนี้แปลกไหม? เราจะทำได้ดีกว่าพระเยซูได้อย่างไร? ใครทราบบ้าง?

    กรุณายกมือขึ้น บางทีฉันอาจจะให้แอปเปิ้ลเป็นรางวัล ใช่ มีใครทราบบ้างว่าทำไมพระเยซูจึงตรัสอะไรแปลกๆ แบบนั้น? ทำไมพระองค์จึงกล่าวว่า เราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเคยทำมาแล้ว? ทำไม? ทำไมพระองค์จึงถ่อมตัวแบบนี้ ใช่ แต่ว่าทำไมจึงต้องยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูด้วย? พระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรคนเดียวของพระเจ้าดอกหรือ? (ผู้ฟัง: พวกเราก็เหมือนๆ กับพระองค์)

    แล้วทำไมเราจึงควรจะยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ล่ะ? ท่านควรจะพูดว่า พวกเธอก็สามารถทำได้เหมือนๆ กับพระองค์ ทำไมพระองค์จึงกล่าวว่า : พวกเธออาจจะทำได้ดีกว่าตัวพระองค์อีก?






    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>สิ่งที่พวกเธอพูดมานี้ถูกต้องหมด ทุกคนพูดถูกเฉพาะบางส่วนทีนี้ฉันจะเพิ่มเติมให้อีกบางส่วน ผู้ชายที่ตอบคนสุดท้ายนั้นพูดได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่เธอได้พบกับครูของเธอหรือที่เราเรียกว่าได้รับการประทับจิตนั้น เธอเพิ่งจะได้ลิ้มรสสวรรค์เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เข้าใจไหม?

    เพียงแค่ส่วนเล็กน้อยจากพลังภายในตัวของเธอทั้งหมดเพราะฉะนั้นเธอก็จะยกย่องพระเยซู หรือคนที่เป็นครูของเธออย่างมาก เธอจะพูดว่า “โอ! เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านอาจารย์ทำอะไรให้ฉันน่ะ? ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!” ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่ใช่! ไม่ใช่! สิ่งที่เธอได้นั้นยังไม่มีอะไรเท่าไร เธอจะทำได้ดีกว่านี้อีก” ท่านคงหมายความว่า เมื่อเธอพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นเธอก็จะรู้มากกว่าสิ่งที่เธอรู้ในวันนี้ นี่คือคำอธิบายที่เป็นไปได้อันหนึ่งสำหรับช่วงเวลานั้น ยังอาจมีความหมายที่เป็นไปได้อีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ในช่วงเวลานั้นพระเยซูอาจจะยังไม่พัฒนาก้าวหน้ามากเท่าที่ควรจะเป็น บางทีในตอนนี้ถ้าหากพระเยซูกลับมาใหม่ในตอนนี้ท่านอาจจะยิ่งใหญ่กว่าสมัยนั้นก็ได้ นี่ก็อาจเป็นคำอธิบายอีกแบบหนึ่ง </B>






    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ยังมีคำอธิบายอีกลักษณะหนึ่ง คือ บางทีในสมัยนั้นถึงแม้ว่าพลังของพระเยซูจะยิ่งใหญ่มากก็จริงแต่ก็เป็นการยากที่จะแผ่ออกไป ยากที่จะนำไปใช้เป็นประโยชน์แก่ผู้คน เพราะในช่วงเวลานั้นจิตใจของมนุษย์เรายังไม่ได้รับการพัฒนามาก ไม่ใช่หรือ? ในตอนนั้นเรายังไม่เจริญ ยังไม่ฉลาด เหมือนในปัจจุบันนี้ จริงไหม?

    แม้แต่พระเยซูผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่สามารถจะทำอะไรได้มากเลย ก็คล้ายๆ กับเธอเป็นแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นวิศวกร หรือเป็นอะไรก็ได้ แล้วเธอเดินทางไปแอฟริกา พร้อมกับความรู้ระดับปริญญาเอกของเธอ เธอจะสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะในป่าเขาแบบนั้น? ใช่ไหม? เธออาจจะทำได้แค่ใช้ยาแผนโบราณบางชนิด เอาคนป่วยมากทำความสะอาดด้วยสบู่ ก็ทำได้แค่นั้นเอง และถ้าหากคนป่วยเขารู้สึกดีขึ้น เขาก็ยกย่องเธอ เธอก็อาจจะบอกว่า “ไม่หรอก! ไม่หรอก! นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ซึ่งก็เป็นความจริง มันแทบจะไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่แพทย์สามารถจะทำได้ในสภาวะปกติทั่วไป ในโรงพยาบาลที่ดีๆ ซึ่งแพทย์มีเครื่องมือทุกชนิดพร้อม รวมทั้งมีพนักงานคอยช่วยเหลือให้เขาทำงานได้สะดวก

    </B>

    นอกจากนี้ตอนที่พระเยซูมานั้นเป็นเวลา 2,000 ปีมาแล้ว หลังจากผ่านไปนานถึงสองพันปี ท่านก็คงได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ถ้าใครซึ่งอยู่ในอนาคตมาพบกับพระเยซูในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสมัยก่อน ผู้คนมีความเจริญมากกว่าแต่ก่อนแน่นอน พวกเขาก็ต้องสามารถทำมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ ใช่ไหม?





    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>เพราะฉะนั้นถ้าเราดูในคัมภีร์ไบเบิลพระเยซูแทบไม่ได้มีโอกาสพูดอะไรมากเลย สิ่งที่พระองค์ตรัสออกมานั้น ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่พูดออกมาอย่างนี้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายอะไร เข้าใจที่ฉันพูดไหม? ฉันไม่ได้หมายความว่าพระเยซูไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพียงแต่พระองค์ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรออกมามากนัก

    นอกจากนี้ ผู้คนในสมัยนั้นก็ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจมากมายอะไร ไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะมาเทียบเคียงกับปัญญาของพระเยซู เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องเล่านิทานเปรียบเทียบ ต้องเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ต้องใช้พลังการรักษาโรคบางอย่างและสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อจะได้สามารถปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้น และยังต้องพูดโดยใช้คำที่ง่ายๆตรงไปตรงมาบอกพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติ ให้เชื่อในพระเจ้า ให้สวดอธิษฐานถึงพระเจ้า ฯลฯ มีลูกศิษย์ของท่านเพียงไม่กี่คนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ถ่ายทอดข่าวสารของท่าน ที่เหลือนอกนั้น ท่านก็ได้แต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ ยกระดับจิตใจพวกเขาให้สูงขึ้นนิดหน่อยโดยใช้วิธีการซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือช่วยทำให้พวกเขาสุขสบายขึ้น เตือนพวกเขาถึงเรื่องกฎบัญญัติต่างๆ หรือเตือนให้ระลึกถึงพระเจ้า</B>






    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>เพราะฉะนั้นผู้ที่มาภายหลังพระเยซูซึ่งมีความสามารถเหมือนๆ กับท่าน ได้รับการรู้แจ้งในระดับเดียวกับท่านจึงสามารถทำอะไรได้มากกว่าท่านเยอะ สามารถพูดอธิบายโดยใช้เหตุผลได้ดีกว่า ซึ่งก็เหมาะกับสังคมสมัยใหม่มากกว่า ไม่จริงหรือ? ฉันพูดถูกต้องไหม? ใช่ หรือไม่ใช่? ถูกไหม? ฉันรู้ว่ามันน่าง่วงนอนนิดหน่อย ฉันจะพูดเรื่องตลกให้ฟังทีหลังพวกเธอจะได้ตื่นขึ้น

    เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์กับเรามากนักถ้าเราจะมัวยึดติดกับภาพพจน์เก่าๆ ในสมัยโบราณของพระเยซูหรือของพระพุทธเจ้า เราต้องเดินต่อไปข้างหน้าและสิ่งที่เราเรียนรู้ในปัจจุบันนี้ก็ไม่จำเป็นแบบเดียวกับผู้คนในอดีตเขาเรียนรู้กัน </B>

    ทีนี้ก็มาถึงจุดที่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงมีเวลามากมาย และพูดเกี่ยวกับดินแดนแห่งพุทธะจำนวนมากมายเอาไว้? จริงๆแล้วไม่ใช่ “ตัวท่าน” ที่เป็นคนพูดเรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำแต่เป็นลูกศิษย์ของท่าน

    ซึ่งได้ถูกนำไปยังดินแดนแห่งพุทธะและกลับมาเขียนเป็นบันทึกเอาไว้ แน่นอน พระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วยอยู่ในดินแดนแห่งพุทธะนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้พาลูกศิษย์ไปชมรอบๆ แนะนำโน่นนี่ให้แก่ลูกศิษย์ และจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่ท่านจะต้องพูดให้ชาวโลกฟังด้วยภาษามนุษย์ เข้าใจไหม? ลูกศิษย์ของฉันบางคน, อาจจะเรียกว่า ลูกศิษย์, นักเรียน หรือเพื่อนบำเพ็ญก็ได้ตามใจเธอ บุคคลเหล่านี้ก็ได้รับประสบการณ์คล้ายคลึงกัน พวกเขาถูกพาไปยังดินแดนอันสวยงาม ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความสงบสุข หรือความรุ่งเรือง เป็นพระราชวังทอง ซึ่งมีพื้นปูลาดด้วยแก้วผลึก และเมื่อพวกเขากลับมาลงมายังโลกนี้ใหม่ พวกเขาก็จดบันทึกประสบการณ์เหล่านี้ ความสุขที่เขาได้รับในอาณาจักรสวรรค์ หรือในดินแดนแห่งพุทธะเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ดินแดนพุทธะเหล่านี้จึงมีอยู่จริง และมีความสวยงามมากกว่าโลกของเรามากนัก


    แก้ไขให้ตัวใหญ่ขึ้น แล้วค่ะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ช่วยแก้ไข font หน่อยได้ไหมครับน้อง dalink
    ตัวเท่ามดเนี่ย..พวกพี่หลายคนในนี้แก่ๆกันแล้ว
    หูตาก็ไม่ค่อยจะดีกันแล้ว..นึกว่าเอาบุญเถอะนะหนูนะ

    (แหะๆ..ไม่ยอมแก่คนเดียวเด็ดขาด..ยังไงก็ขอลากพรรคพวกไปด้วยซะหน่อยเถอะ)

    .................................
     
  7. joyplayerman1

    joyplayerman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +331
    หึหึ รุ่นเดียวกันครับ ความรู้สึกเดียวกันเลย เพ่งกันตาถลน..
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยกันสร้างสรรค์แบ่งปันประสบการณ์และเข้ามาอ่านในกระทู้ด้วยครับ

    และขอบคุณน้อง Dalink ด้วย
    ข้อความจากท่านอนุตรจารย์ชิงไห่ชุดนี้ ช่วยเปิดมุมมองต่างๆให้กระจ่างแจ้งมากเลยครับ

    ตราบใดที่มนุษย์ในยุคนี้ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ดังนั้นสิ่งที่เราเรียนรู้ในปัจจุบันก็ไม่จำเป็นจะต้อง เหมือนกับคนในอดีตซะทีเดียว เพราะความล้ำหน้าทางวิทยาการที่ก้าวกระโดดไป ในแต่ละยุค ทำให้เราต้องวิวัฒน์ทั้งความเชื่อและความรู้ตามไปด้วยนะครับ

    พูดถึงเรื่องความเชื่อนี่ ก็อยากจะขอแชร์สิ่งดีๆร่วมกันสักเล็กน้อยนะครับ
    เพราะมีสิ่งหนึ่งที่พี่นักเขียนฯมักจะคอยเน้นย้ำและพูดถึงให้พวกเราฟังบ่อยๆ
    ก็คือ "การสำรวจความเชื่อ" (หรือการสำรวจสภาวะจิต) ซึ่งใช้ได้ดีมาโดยตลอด

    เนื่องด้วย..อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด มักให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆตามความเชื่อของเรา
    เช่น ความสุข ความสำเร็จ ความรัก-ความกลัว การตัดสินระหว่างความดีกับความชั่ว ฯลฯ

    ในขณะที่จิตวิญญาณ ให้ความสำคัญกับความรู้ ความเป็นจริงตามธรรมชาติ
    เช่น การใฝ่รู้ การสร้างสรรค์ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน การสั่นสะเทือนร่วมกัน ฯลฯ


    + ความเชื่อ ในทิศทางหนึ่งๆ เปิดรับ ทัศนคติ มุมมองและความเชื่ออื่นๆ เสมือนทุ่งกว้าง
    + ความเชื่อ อีกทิศทางหนึ่งๆ ปิดกั้น เส้นทางทัศนคติ มุมมองและความเชื่ออื่นๆ เสมือนถ้ำ


    ความเชื่อหนึ่งๆนั้น อาจทำให้เราห่างไกลความรู้ ความเป็นจริง
    หรือทำให้เราต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเข้าใจถึงความรู้ ความเป็นจริง
    แต่ในทางจิตวิญญาณนั้น กลับไม่มีความเชื่อใด ห่างไกล หรือปิดกั้น ความรู้ความเป็นจริงมากน้อยไปกว่ากันเลย

    เพราะจิตวิญญาณนั้นดำเนินไปในมิตที่ปราศจาก ช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา
    การมีสติพร้อม และการใช้สัญชาติญาณควบคู่กับปัญญา จะทำให้เราปราศจากความกลัว
    และพบว่า ทุกจุดของความเชื่อนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้ที่เราเก็บเกี่ยวได้เสมอ

    ความเชื่อของเราก็เปรียบไปก็เหมือน ลูกตุ้มที่แกว่งไปมาในทิศทางต่างๆ
    ให้สำรวจดูว่าเรากำลังเหวี่ยวลูกตุ้มความเชื่อนั้นเข้าไปทางด้าน ความรัก หรือ ความกลัว
    แรงต้านทานนั้นก็คือความคิดในแง่ลบ ต้องแก้ไขด้วยการจดจ่อกับความคิดในแง่บวก

    การเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความเป็นความรู้นั้น จะทำให้เกิดมุมมองหลายๆแง่มุม ทำให้เห็นภาพรวมที่กว้างขึ้น ตระหนักถึงผู้อื่นได้ไม่น้อยไปกว่าตนเอง และเอื้ออำนวยให้เราก้าวไปสู่ภาวะที่บรรลุความสำเร็จในระดับจิตวิญญาณ

    จงชื่นชมต่อทุกผู้คน ทุกสภาวะการณ์ และจงขอบคุณ
    ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยการเลือกแบบสุ่มๆ หรือแม้แต่โชคชะตาก็ตาม
    ให้ลองจินตนาการถึง....

    ความรักที่สมบูรณ์แบบ...
    คำสัญญาที่สมบูรณ์แบบ...
    บุคลิคที่สมบูรณ์แบบ....
    ศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด....

    จิตวิญญาณแต่ละดวง จะบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดนั้นได้ ไม่ว่าร่างนั้นจะมีข้อจำกัดใดๆ
    พลังจิตที่แท้จริงก็คือ พลังแห่งความเชื่อในแง่บวกที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้


    ขอให้มนุษย์ทุกคนจงรักกัน.....ๆๆๆๆๆๆๆ ตลอดไป
    สำหรับมิตรภาพที่ดีต่อกันแห่งปัจุบัน-นิรันด์กาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ก็ไปเจอข้อความหนึ่งที่น่าสนใจจาก พี่ไร้เงา ท่านนี้มาให้อ่านครับ

    .......................................................
    .....ก่อนอื่นให้ทิ้งตัวตนบนโลกด้วยจิตสำนึก แล้วจะพบตัวตนจริงๆ ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกเราเอง
    ก่อนมาจุติบนโลก ส่วนใหญ่จะมีสิ่งมาทดสอบ เพื่อให้เราทิ้งตัวตน
    (ทิ้งตัวเองที่มิติล่างแล้วจะเจอตัวเองที่มิติสูงกว่า)
    เพราะบททดสอบทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นจากจิตของเราเอง ในมิติที่สูงกว่า


    สุดท้ายสิ่งที่เราอธิฐานมาเกิดนั้น ไม่มีเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่เป็นตัวตนบนโลกนี้เลย เรามาเพื่อรักษาจิตสำนึกเราเอง และ เมื่อเราพร้อมแล้วก็จะสามารถรักษาจิตอื่น (ซึ่งก็คือจิตใต้สำนึกเราเอง) นั้นเอง (1) ตัวตน รูป เวลา ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการสร้างเองของจิต จิตเราถึงกัน จิตเราแท้จริงแล้วเป็นจิตเดียวกัน (2) อนาคตของเราคืออดีตที่ยังมาไม่ถึง จิตสำนึกเรา หรือพูดอีกทางหนึ่ง รูป เสียง ทั้งหมดเกิดขึ้นไปแล้ว เราแค่มาเพื่อรับรู้ประสพการณ์ที่เราเลือกด้วยจิตสำนึกเราเอง เท่านั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนอดีตได้ แต่เราเปลี่ยนปัจจุบันได้

    จิตสำนึกที่ปัจจุบันเลือกความเชื่อ แล้วจิตใต้สำนึก สร้างเหตุการณ์ภายนอกทั้งหมดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเราเอง เพื่อรับรู้ประสพการณ์ด้วยจิตสำนึกเราเอง (4) อดีตและอนาคตทั้งหมดอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันสร้างปัจจุบัน อยู่ที่ความเชื่อที่เรากำหนดเองว่าเชื่อ (5) ตัวตน รูป เสียง เวลา แรงดึงดูดของโลก เป็นเพียงภาพลวงตาที่จิตเราสร้างขึ้นเอง ทั้งจากจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก ของจิตเราเองทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2010
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** โลกุตตระธรรมเป็นบรมาจารย์ ****

    เมตตาตน...
    สัจจะ....
    ซื่อสัตย์เด็ดขาด...
    มีตัวกระทำเที่ยง เป็นที่พึ่ง....

    - " หนุมาน ผู้นำสวาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2010
  11. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ (ตอน 3)




    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในกลุ่มดาวอื่นและในโลกอื่น

    ภายในจักรวาลเราสามารถใช้ตาเนื้อของเรามองเห็นว่ามีโลกอยู่มากมายหลายแห่ง นักวิทยาศาสตร์ของเรากำลังพยายามอย่างหนักที่จะค้นพบว่าโลกเหล่านี้เป็นแบบไหน มีผู้คนอาศัยอยู่หรือไม่? ผู้คนที่นั่นคล้ายคลึงกับพวกเราหรือไม่? และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์บางอันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าโลกบางโลกมีผู้คนอาศัยอยู่ ซึ่งมีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับพวกเราแต่บางครั้งก็ไม่ค่อยเหมือน โลกต่างๆ เหล่านี้ในระบบจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ซึ่งมีแตกต่างกันมากมายหลายแบบ บางแห่งก็มีความแตกต่างกันทางด้านความถี่ แรงสั่นสะเทือน

    ซึ่งตาเนื้อของเราไม่สามารถรับรู้ได้ ถึงแม้ว่าเราจะส่งยานอวกาศออกไปยังโลกนั้นโดยมนุษย์อวกาศของเรามีเครื่องมือพร้อมสรรพ เราก็ยังไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ เพราะฉะนั้น เมื่อนักบินอวกาศของเราเดินทางไปยังดวงจันทร์ เขาจึงมองไม่เห็นอะไรเลย เขาก็เลยเอาก้อนหินบางชนิดกลับมาบ้าน หินเหล่านี้ราคาแพงมาก ฉันคิดว่าเราควรจะไปซื้อมัน แล้วเอามาห้อยไว้ที่คอของเรา....เป็นหินจากดวงจันทร์ เพราะว่ามีราคาแพงกว่าทองอีกเมื่อเอาราคาของยานอวกาศมาใช้คำนวณด้วย





    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ทำไมตาของเราจึงมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นซึ่งอยู่ในแกแล็คซี่อื่นหรือโลกอื่น ก็เพราะว่าตัวเราทำด้วยสารซึ่งมีความหนาแน่นแตกต่างออกไป ถูกไหม? จริงๆ แล้วสารก็ไม่ใช่สารหรอก ฉันคิดว่าวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์เรื่องนี้ไว้ อันที่จริงสารนั้นมีธรรมชาติของความว่างเปล่าเพียงแต่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาจึงมีทฤษฎีที่เกี่ยวกับความว่างๆ นี้หมายความว่า ธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า เพียงแต่มันมีความหนาแน่นแตกต่างกันเท่านั้น </B>




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ทีนี้ฉันจะพยายามทำให้เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เช่น อวกาศ..... เราไม่สามารถมองเห็นอากาศเราเพียงแต่ใช้มันได้เท่านั้น เราหายใจได้และรู้สึกว่ามีอากาศอยู่เมื่อมีลมพัด มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะไม่สามารถเห็นอากาศ ไม่สามารถรู้ว่าอากาศนั้นมีอยู่ อากาศประกอบด้วยออกซิเจน และ ไฮโดรเจน ทุกคนรู้เรื่องนี้ ใช่ไหม? น้ำก็ประกอบด้วยได้โดรเจนและออกซิเจน ไม่ใช่หรือ? มีองค์ประกอบเหมือนกันคือ H2O แต่อากาศก็แตกต่างจากน้ำโดยสิ้นเชิง จริงไหม? ถ้าเรากระหายน้ำเราไม่สามารถดื่มอากาศได้ เราต้องดื่มน้ำถึงแม้ว่าทั้งสองอย่างจะประกอบด้วยสารอย่างเดียวกัน มีเปอร์เซ็นต์ขององค์ประกอบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่แปลกใหม? </B>

    ทีนี้น้ำแข็งก็ยิ่งต่างออกไปใหญ่ น้ำแข็งมีความหนาแน่นต่างออกไป ฉันคิดว่าน้ำรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นจนกลายเป็นของแข็งเราก็เลยมีน้ำแข็ง เรื่องนี้จึงช่วยให้เราอธิบายสิ่งที่แตกต่างกันในจักรวาล ทำไมบางอย่างจึงเป็นของแข็งมองเห็นได้ แต่บางอย่างก็แทบจะจับต้องไม่ได้มองก็ไม่เห็น ฉันคิดว่ามันก็เป็นทฤษฎีอันเดียวกัน เราจึงได้ยินคนพูดว่า “ทุกสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแก่นแท้อย่างเดียวกัน” วันนี้ ฉันรู้แจ้งในเรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกเธอ ถ้าฉันไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันก็คงลืมปัญญาส่วนนี้ไปแล้ว ฉันคงจำไม่ได้เข้าใจไหม? เพราะว่าเธอมาวันนี้และต้องการจะรู้เรื่องนี้ ฉันก็เลยมีโอกาสได้ขุดข้อมูลนี้ออกมาให้เธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันก็คงไม่ต้องการข้อมูลส่วนนี้ มันคงจะถูกเก็บสะสมไว้และถูกลืมไป





    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>การรู้แจ้งก็คล้ายๆ แบบนี้ เราจำเป็นต้องเปิดความทรงจำของเราออกมา เราต้องใช้มันทุกวันในชีวิตประจำวันของเรา ในการบำเพ็ญปฏิบัติทุกๆ วัน เราจะเปิดความลี้ลับออกมามากขึ้น ยังมีความสามารถอีกมากมายที่ถูกเก็บเงียบอยู่ในสมองของเรา นี่แหละที่เราเรียกว่า การรู้แจ้งนี่แหละที่เราเรียกว่าได้รับปัญญามากขึ้น ไม่มีอะไรลึกลับทุกสิ่งทุกอย่างเรามีอยู่แล้วในสมองของเรา ถูกเก็บสะสมไว้ เพียงแต่ว่าเมื่อเราไม่ได้ใช้มัน เราก็เลยลืมมัน จึงดูคล้ายๆ กับว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่</B>




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>ตามที่ฉันเล่าให้พวกเธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของ น้ำ อากาศ และน้ำแข็ง ซึ่งสร้างจากธาตุชนิดเดียวกันนั้นตัวของเราก็ถูกสร้างขึ้นจากแก่นแท้ชนิดเดียวกัน เป็นธาตุชนิดเดียวกันนั่นก็คือแสง แรงสั่นสะเทือน ซึ่งเราเรียกว่าพระวจนะหรือคำพูด ในคัมภีร์ไบเบิลพระวจนะนี้หมายถึงแรงสั่นสะเทือน ในสมัยโบราณเขาไม่เรียกว่าแรงสั่นสะเทือน เขาเรียกว่าพระวจนะ เป็นอะไรบางอย่างที่มีเสียง เป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดเสียง...นั่นก็คือพระวจนะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่มองไม่เห็นหรือเสียงที่มองเห็น เขาก็ไม่มีวิธีอธิบายมัน จึงเรียกกันว่าพระวจนะ เล่าจื๊อก็ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้ท่านจึงกล่าวว่า “ถ้าเธอกดดันฉันมากไป ฉันก็จะกล่าวสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ออกมา สิ่งนี้คือ เต๋า ฉันไม่มีชื่อเรียกมัน” คำศัพท์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า กระแสเสียง ใช่ไหม? เป็นเสียงภายใน ทุกอย่างนี้ก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน เราจึงได้ยินคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลว่า “ในปฐมกาลก็มีพระวจนะอยู่แล้ว พระวจนะนั้นอยู่กับพระเจ้า แต่พระวจนะนั้นก็คือพระเจ้า” ใช่ไหม?</B>




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>เพราะฉะนั้นแรงสั่นสะเทือนนี้หรือแสงนี้ก็ค่อยๆ มีความหนาแน่นมากขึ้น เมื่อมันเคลื่อนลงมาในระดับชั้นต่างๆ ของจักรวาลตามลำดับ มันจะหนาแน่นมากขึ้น และหนาแน่นที่สุดที่นี่ เราจึงมีร่างกายที่มองเห็นได้เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวไปรอบๆ แต่เมื่อบางคนบำเพ็ญปฏิบัติขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สุดมาก พัฒนาตัวของเขาสู่ปัญญาสูงสุด สู่พลังสูงสุด เขาก็จะกลับหลอมรวมกับแหล่งดั้งเดิม เพราะฉะนั้นบางครั้งเธอจึงเห็นร่างกายของเขาอันตรธานหายไป แต่ไม่ใช่ว่าเขาหายไปจริงๆ เพียงแต่เขาหลอมรวมกลายเป็นลักษณะดั้งเดิม ก็เหมือนกับน้ำแข็งที่ถูกแสงหรือถูกไฟมันก็หลอมละลายกลายเป็นน้ำ จากนั้นก็หายไปกลายเป็นอากาศอีกครั้งหนึ่ง แต่เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราปฏิบัติ เรากลายเป็นพุทธะเป็นมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เราจะไม่หายตัวไปรวดเร็วนัก เรายังสามารถควบคุมร่างกายของเราได้ ควบคุมจุดหมายปลายทางของเราได้ และเราต้องการจะอยู่เพื่อประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แต่ร่างกายของเราไม่ได้เป็นร่างกายจริงๆ อีกต่อไปแล้ว</B>




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15>เพราะฉะนั้น ในบางครั้งถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยายธรรมด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะอยู่ในสมาธิหรือกำลังสอนผู้อื่นด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะมีบางคนซึ่งไม่เห็นร่างกายของอาจารย์ท่านนั้นเลยเพียงแต่เห็นแสงที่กว้างใหญ่ไพศาลดุจมหาสมุทร และแสงนั้นจะกลืนเอาทุกคนที่ฟังการบรรยายธรรมนั้นไว้ พวกเขาอาจจะมีประสบการณ์แบบนี้ได้ในบางครั้งอาจจะนานสักครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมง, 2 หรือ 3 ชั่วโมงก็ได้ ตัวเธอจะถูกกลืนหายไปในทะเลของแสงและความสุขสันต์ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ อาจารย์ท่านนั้นได้หลอมรวมเข้ากับมหาสมุทรแห่งแสง บางครั้งผู้ที่เป็นอาจารย์อาจเลือกที่จะปรากฎตัวให้ลูกศิษย์บางคนได้เห็น เพื่อทำให้เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะลูกศิษย์คนนั้นมีบุญสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่กับอาจารย์ท่านนั้นในอดีตก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเห็นปรากฏการณ์นี้และไม่ใช่ว่าอาจารย์ทุกท่านจะมีความสูงส่งจนสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้หมด</TD></TR></TBODY></TABLE></B>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2010
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** โลกุตตระ ไม่แยกย้าย ****

    หน้าที่เรา...คือ พยายามดึงคนที่แยกย้าย สนใจกันคนละเรื่อง
    ให้มารวมตัว ศูนย์หมู่ กันด้วยสัจจะธรรม
    โลกุตตระธรรม นำพาสัตว์พ้นทุกข์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    เวลาที่ปฏิบัติสมาธิประจำวัน
    บริกรรมพระคาถาไปด้วย
    รู้สึกมีพลังพุทธคุณมาห่อหุ้มกาย
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โอ้โห..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!!

    ข้อความของคุณ Dalink เยี่ยมยอดมากครับ
    แต่อ่านดูแล้ว น่าจะยังมีต่ออยู่นะเนี่ย

    ถ้ายังไง..ก็ช่วยเอามาลงให้จบหน่อยนะครับ
    เพราะรอตามอ่านอยู่ครับ

    ................................................
     
  15. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    มาต่อกันค่ะ ใกล้ถึงตอนสำคัญละ
     
  16. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436

    อารมณ์นี้ เหมือนตอนที่ลิ้งค์ รออ่านกระทู้คุณชยุต เช่นเดียวกันค่ะ

    วันไหน ไม่ได้อ่าน ก็จะคิดถึงพระเจ้า อิอิๆ
     
  17. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3 height=24>
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ(ตอน 4)



    นักบุญผู้รู้แจ้งมีอยู่ในทุกยุคสมัย


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="65%" colSpan=3 height=15></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber3 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">การได้พบอาจารย์แบบนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าพวกเขาค่อนข้างจะเหมือนคนธรรมดามากเกินไปเข้าใจไหม? เหมือนคนปกติมากไป เขาอาจจะไม่ได้สวมชุดนักบวชเลยก็ได้ อาจจะสวมเสื้อผู้ธรรมดาๆ แต่ยิ่งธรรมดามากเท่าไรก็อาจจะยิ่งใหญ่มากขึ้นก็ได้ บางครั้งเราเดินอยู่บนถนนเราอาจจะเห็นพระโพธิสัตว์จำนวนมากก็ได้ เขาเป็นนักบุญแต่เราอาจจะไม่รู้ พวกเขาทำงานกันเงียบๆ ในพระสูตรทางพุทธศาสนาซึ่งเราเรียกว่า ปุณฑริกสูตรนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด พระโพธิสัตว์...ซึ่งหมายถึงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักบุญที่รู้แจ้ง จะปรากฏอยู่ในโลกนี้เสมอ เพื่อปกป้องคำสอนอันยิ่งใหญ่ ปกป้องคุ้มครองธรรมะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจำบุคคลเหล่านี้ได้ทุกครั้ง เพราะพวกเขามีอยู่เป็นจำนวนมากทำงานในสาขาต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ กัน เธออาจจะเห็นเป็นวิศวกร หรือบางทีอาจจะเป็นแพทย์ หรือคนขับแท็กซี่ แต่พวกเขาเป็นนักบุญยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงควรเคารพบุคคลอื่นไม่ว่าเธอจะไปเจอกับใคร ทัศนคติที่ดีที่สุดก็คือ มองทุกสิ่งให้เป็นพุทธะ

    เป็นนักบุญแล้วเธอก็อาจจะมีประสบการณ์อันมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ อาจมีการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ



    </TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>


    </TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber4 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">ฉันเคยพูดเอาไว้แล้วว่า เธอไม่จำเป็นต้องไปที่เทือกเขาหิมาลัย หรือโกนศีรษะของเธอเพื่อจะได้รู้แจ้ง ฉันเคยทำแบบนี้มาแล้วเพราะว่ามันเป็นหนทางของฉัน เข้าใจไหม? เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่รู้แจ้ง จริงไหม? และตอนนี้ สมมุติว่าฉันรู้แจ้งแล้ว สมมุตินะ สมมุติว่าฉันรู้แจ้ง และฉันเป็นนักบวชอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันปล่อยให้ผมมันยาวออกมามากๆ แล้วฉันก็นุ่งกางเกงยีนส์ และเที่ยววิ่งไปโน่นไปนี่ พวกเธอคิดว่าฉันจะสูญเสียการรู้แจ้งนั้นไปไหม? ไม่หรือ? ถูกต้อง ก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>


    </TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber5 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">ไม่ว่าเธอจะทำอะไรในโลกนี้ ไม่ว่าเธอจะมีภาระหน้าที่กี่อย่างที่เธอจะต้องดูแล ถ้าหากเธอรู้แจ้งแล้วเธอก็จะรู้แจ้งตลอดไป เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องการกุญแจสู่การรู้แจ้งเท่านั้น ยิ่งรู้แจ้งได้เร็วขึ้นก็ยิ่งเป็นวิธีที่ดี แน่นอนเราไม่มีเวลามาก เราอยู่ในยุคสมัยใหม่ เราไม่สามารถจะมานั่งอยู่นานหลายๆ ปี และคอยให้เกิดการตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน ถ้าเราไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ก็เป็นการยากมากสำหรับในยุควิทยาศาสตร์นี้ ที่ผู้คนจะยอมเชื่อในสิ่งที่เขาพิสูจน์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาจารย์ในยุคปัจจุบัน จึงต้องมอบหลักฐานเกี่ยวกับระดับชั้นของจิตที่สูงขึ้นไปให้คนได้รับรู้อย่างเปิดเผย ต้องให้พวกเขาได้มีหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า หรือแสงแห่งพุทธะ เพื่อให้พวกเขาได้มีข้อพิสูจน์บ้างจะได้เชื่อมั่น มีอะไรที่ยึดถือได้และพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นได้


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">เพียงแต่ว่าจะมีการรู้แจ้งในระดับที่แตกต่างกันเท่านั้นแต่เมื่อเธอรู้แจ้งแล้วเธอก็รู้แจ้ง เธออาจจะเลือกทางเดินให้มีความเจริญพัฒนายิ่งใหญ่มากขึ้น หรือเธออาจจะเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่ไปไหนก็ได้ เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อเธอได้รับการประทับจิตแล้วเธอก็จะกลายเป็นคนใหม่ มีระดับชั้นต่างไปจากเดิมเข้าใจไหม? คล้ายๆ กับเธอเรียนจบชั้นมัธยม เมื่อลงทะเบียนเข้าในวิทยาลัยแล้วเธอก็กลายเป็นนักศึกษาของวิทยาลัย ถูกไหม? ไม่มีการย้อนกลับมาใหม่ ไม่มีใครเรียกเธอว่านักเรียนอนุบาลหรือเป็นนักเรียนมัธยมอีกต่อไป แต่เธออาจจะเลือกเรียนให้สูงขึ้นจนได้รับปริญญาเอก หรือเธออาจจะเลือกอยู่ที่เดิมไม่ยอมเรียนเพิ่มเติมแล้วก็ลาออกไป เข้าใจไหม? อย่างไรก็ดี เธอก็ยังเป็นนักศึกษาของวิทยาลัย หรือเคยเป็นนักศึกษาจะไม่ใช่นักเรียนมัธยมอีกแล้ว


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>เพราะฉะนั้นเมื่อเธอได้รับการรู้แจ้งโดยอาศัยพระพรของอาจารย์ท่านหนึ่ง และโดยอาศัยความพยายามของตัวเธอเอง เธอก็จะรู้แจ้งตลอดไป เธอจะไม่เป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีก หลังจากนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเธอขยันบำเพ็ญปฏิบัติหรือไม่ ไม่ใช่ว่ารู้แจ้งเพียงแค่แวบเดียวแล้วจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะ ถูกไหม? ไม่ใช่ว่าเธอลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยแล้วไม่เคยได้เรียนอะไรเลย แล้วจะกลายเป็นหมอไปได้ ไม่ใช่ๆ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก


    </TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16><TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">ในวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ ก็เหมือนกันเราจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง และฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง แต่เราก็ยังต้องได้รับการรับรองจากครู ต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่านด้วย บางครั้งเราอาจจะลื่นล้มลงหรืออาจจะไม่รู้ว่าได้รับความก้าวหน้าแล้ว บางครั้งเราไม่รู้ว่าหลุมพรางอยู่บนหนทางแห่ง

    บางครั้งการบำเพ็ญนั้น ซึ่งแนวทางนี้เป็นหนทางที่ยาวไกลและยากยิ่งเราจึงต้องการเพื่อน ซึ่งเป็นผู้ซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่ตัวและมีปัญญาเพื่อช่วยนำทางเรา เพื่อช่วยเราในขณะที่กำลังเดินทางแต่เราต้องเป็นผู้เดินด้วยตัวเอง เพื่อนอาจจะเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเท่านั้น เข้าใจไหม? ช่วยให้สิ่งต่างๆ รวมทั้งการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นรวดเร็วและได้รู้แจ้งมากขึ้น เข้าใจไหม? ดังนั้น ครูจึงเป็นเพื่อนที่ดี คอยเดินอยู่ข้างๆ เธอ ช่วยเหลือเมื่อเธอล้มลง ใช่ไหม? คอยปรุงอาหารให้เธอยามเจ็บป่วย ช่วยเหลือยามเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า คอยให้กำลังใจเมื่อเธอหมดความกระตือรือร้น แต่ครูไม่สามารถรู้แจ้งแทนเธอครูคอยช่วยให้เธออยู่บนหนทางเท่านั้น จากนั้นเราก็สามารถเดินไปได้



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>เอาละฉันจะหยุดการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เพราะเวลาที่เธอถามคำถาม ฉันจะมีแรงบันดาลใจในการพูดได้มากขึ้น และช่วยทำให้ข้อสงสัยของเธอทั้งหมดได้รับความกระจ่าง เพราะฉะนั้น กรุณาถามคำถามได้ถ้าต้องการเราจะหยุดเพียงแค่นี้</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2010
  18. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ(ตอน 5)

    <TABLE height=1 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อะไรคือธรรมวิถีที่ถูกต้อง</TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : เราจะทราบได้อย่างไรว่า ธรรมวิถีใดเป็นธรรมวิถีที่ถูกต้อง? ท่านทราบได้อย่างไรว่าธรรมวิถีนั้นๆ เป็นธรรมวิถีสูงสุดและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของท่าน?</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ธรรมวิถีใดก็ได้ที่นำเธอให้เข้าใกล้พุทธะมากขึ้น ใกล้ธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอ นำเธอกลับไปสู่พระเจ้าแสดงให้เธอรู้ว่าเธอมีพลังของพระเจ้า ให้รู้ว่าเธอมีแสงของพระเจ้า แสงแห่งพุทธะ นั่นแหละคือธรรมวิถีที่ถูกต้อง โอเค? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : เราจะทราบได้อย่างไรว่า เราได้เข้าถึงธรรมชาติแห่งพุทธะของเราแล้วในตอนที่ได้รับการประทับจิต? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : เธอจะเข้าถึงสิ่งนั้นโดยทันทีไม่จำเป็นต้องถามว่าเกิดขึ้นอย่างไร เธอจะรู้ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ท่านหนึ่งให้ผลแอปเปิ้ลแก่เธอๆ ก็รู้ทันทีว่านี่คือแอปเปิ้ลและเธอก็กินมันทันที เธอไม่มีเวลาจะมาถามว่า “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือแอปเปิ้ล?” </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>ถ : ฉันเป็นชาวพุทธมานาน 3 ปีแล้ว แต่ไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยปัญหานี้เกิดจากอะไร? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ: ปัญหาก็คือ เขาเอาแต่อ่านประสบการณ์ของคนอื่น และไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวของเธอเอง ยกตัวอย่างเช่น ในพุทธศาสนา เรามีคัมภีร์ซึ่งบรรยายถึงดินแดนแห่งท่านอามิตาภพุทธะ ซึ่งมีความสวยงามต่างๆมากมาย พื้นก็ปูลาดด้วยทอง แม้แต่นกยังสามารถร้องเพลงเป็นคำสอนอันยิ่งใหญ่ มีพระราชวังสวยงามมากมาย ผู้คนที่นั่นใช้ดอกบัวบินไปในอากาศ ฯลฯ มีสระน้ำอันสวยงามซึ่งมีน้ำอมฤต เมื่อเธอได้ดื่มมันเธอก็จะมีกำลังมาก มีพลังและสติปัญญา ฯลฯ แต่เขาไม่เคยไปที่นั่นเลย กๆ วันเขาได้แต่ท่องสวดมนต์เกี่ยวกับดินแดนแห่งพุทธะนี้และไม่มีแม้แต่ความอยากที่จะไป เขาอาจจะหิวก็ได้แต่เขาก็ไม่มีอาหารกิน ธรรมวิถีของฉันจะให้อะไรเธอบ้างนิดหน่อยได้ลิ้มรสดินแดนแห่งพุทธะ เธอจะได้รู้ว่าเธออยู่บนหนทางที่ถูกต้องและมีกำลังใจที่จะเดินต่อไป เธอก็จะรู้ว่าเธอได้รับความสำเร็จหรือเปล่า มิฉะนั้นแล้ว ถึงเธอจะศึกษานาน 30 ปีก็ยังไม่ได้รับความสำเร็จอยู่ดีไม่ต้องพูดถึง 30 ปีเสียด้วยซ้ำ 3 ปีนี่นับว่าสั้นมากแล้ว บางคนรอนานถึง 30 ปี ก็ยังไม่เคยเห็นดินแดนแห่งพุทธะ ไม่เคยเห็นแสงของพุทธะแม้แต่แวบเดียว ไม่เคยได้ยินเสียงดนตรีแห่งพุทธะเลยแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่ยากมากถ้าเธอไม่มีครูที่ถูกต้อง ไม่รู้จักหนทางที่ถูกต้องจะไม่มีวันได้รับความสำเร็จเลย
    ก็เหมือนกับมีใครพาเธอไปที่ร้านอาหาร เธอหิวมากและอยากจะหาร้านอาหารสักแห่งหนึ่ง ถ้าอย่างน้อยบุคคลนั้นเขาพาเธอมาบนถนนที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเธอจะยังเดินทางมาไม่ถึงร้านอาหาร เธอก็รู้แล้วว่าเธออยู่บนถนนที่ถูกต้องสามารถเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้ เธอสามารถได้กลิ่นอาหารลอยมาจากครัวนิดๆหน่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นกลิ่นที่มาจากไกลๆ เธอก็รู้แล้วว่าใช่แน่ๆ เธออยู่บนหนทางที่ถูกต้องแน่ๆ มิฉะนั้นแล้ว เธออาจจะเดินนานตั้งหลายวันเปลี่ยนไปถนนโน้น ถนนนี้หลายสายก็แล้วแต่ยังไม่เคยได้อะไรเลย
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>ถ : ฉันไม่ได้นับถือศาสนาอะไรและไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มของศาสนาไหนเลย ฉันเพียงแต่นั่งสมาธิด้วยตัวเองฉันจะรู้แจ้งได้หรือไม่? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : นี่แสดงว่าเธอยังไม่รู้แจ้งนั่นเอง ถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็ต้องรู้แล้ว อย่างน้อยเธอก็ต้องรู้สึกมันมีความมั่นคงมากกว่านี้ เราไม่จำเป็นต้องสังกัดอยู่ในกลุ่มหรือศาสนาไหนเลยในการที่จะได้รับการรู้แจ้ง เราไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อก่อนที่เราจะเห็นด้วยซ้ำ แต่เมื่อเราได้เห็นเราก็ต้องเชื่อจริงไหม? เมื่อเธอมาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าหรือพุทธะหรือว่าเธอได้ไปที่ดินแดนแห่งพุทธะ เธอก็จะรู้เองว่าใช่แล้วมีพุทธะจริงตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว การไม่นับถือพระเจ้านั้นไม่เป็นไรหรอก (อาจารย์หัวเราะ) แต่ก็ไม่ดีนักที่จะเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต เราต้องหาข้อพิสูจน์ตราบใดที่เราสามารถจะหาได้ และต้องพยายามสุดความสามารถของเรา ถ้าไม่มีใครให้ข้อพิสูจน์แก่เธอได้ก็ไม่มีใครสามารถจะมาตำหนิเธอ ในการที่เธอไม่นับถือศาสนาได้เลย แต่ถ้ามีใครยื่นข้อพิสูจน์ให้แก่เธอ อย่างน้อยเธอก็จะให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์ว่าโลกที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นมีจริง จากนั้นเธอก็สามารถจะเชื่อได้ว่ามีพุทธะ มีพระเจ้า หรือมีนักบุญอื่นๆ อยู่
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=15>ถ : กรุณาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของคนจำนวนมากๆ พวกเขาเคยมีความผิดมาก่อนหรือ เขาจึงต้องมาทนทุกข์แบบนี้? </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=justify width="65%" colSpan=3 height=10></TD></TR><TR><TD align=justify colSpan=3 height=16>อ : ไม่มีใครบริสุทธิ์หรอกฉันบอกเธอแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้ฉันไม่ได้ต้องการจะประณามใคร ทุกๆ อย่างคือบทเรียน แต่การเรียนรู้ก็อาจจะเจ็บปวด แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นเธอก็ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในแสงสว่างที่ต่างไปจากเดิม และเธอก็รู้ว่ามันเป็นเพียงบทเรียนทั้งสิ้น ดูการฆ่าหมู่ที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเรามีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปีสิ มีชีวิตกี่ชีวิตแล้วที่ถูกฆ่าไปทั้งปลา, กุ้ง, ไก่, หมู, วัว, ควาย? เธอคิดว่าพลังงานเหล่านี้จะละลายหายไปโดยไม่เกิดมีสงคราม ความทุกข์ยาก หรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้นหรือ?
    ทุกๆ สิ่งที่เราทำถูกบันทึกไว้ในอากาศเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรสูญหายไป มันจะเจือจางลงได้ก็โดยอาศัยพลังงานชนิดหนึ่งที่แตกต่างออกไปเท่านั้น มันจะถูกหักลบกลบหนี้ไปได้ก็โดยอาศัยการกระทำที่ต่างออกไป แต่มิใช่สูญหายไปเฉยๆ ยกตัวอย่างเช่น ไอน้ำกลายมาเป็นน้ำแข็งได้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงมาจากน้ำ ทีนี้ ถ้าเธออยากจะให้น้ำแข็งมันหายไปเธอก็ต้องใช้แสงอาทิตย์ แสงไฟ แสงสว่างหรือความร้อนเพื่อทำให้มันกลับกลายเป็นอากาศอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอเคยฆ่าสิ่งต่างๆ จำนวนมากอยู่ตลอดเวลา ทำให้สัตว์เหล่านี้ได้รับความทุกข์ทรมานสัตว์พวกนี้มีจิตสำนึก คิดได้ และมีพลังงานแห่งความเกลียดชังอยู่ ความเกลีดชังและความกลัวเหล่านี้ ก็จะรวมตัวกันเป็นพลังงานที่ทำงานได้ลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ เมื่อมีมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความทุกข์ยากในคนจำนวนมาก
    เราจะต้องจ่ายคืนทุกสิ่งทุกอ่างที่เราใช้ไปในจักรวาลนี้ทั้งหมด ดังนั้นบรรดาอาจารย์ทั้งหลายจึงเน้นย้ำถึงเรื่องอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นการสูญเสียน้อยที่สุดต่อความเป็นอยู่ของสิ่งต่างๆ สัตว์มีชีวิต พืชก็มีชีวิต แต่เป็นการสูญเสียที่น้อยที่สุด เข้าใจไหม? ก็เหมือนกับเธอทำงานหาเงินได้ร้อยเหรียญ แล้วเธอใช้ไปสองร้อยเหรียญแน่นอนเธอต้องเป็นหนี้เธอก็จะเกิดความยุ่งยาก แต่ถ้าเธอพยายามซื้อของถูกๆ ซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้โดยใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน เพราะฉะนั้นเราจึงเลือกทานอาหารมังสวิรัติ ผลไม้ เมล็ดพืช นม หรือเนย.... สิ่งต่างๆ เหล่านี้สร้างบาปน้อยกว่าเป็นสิ่งที่มีจิตสำนึกต่ำในตัวของมันเอง
    ถ้าเธอรีดนมจากวัวๆ จะตายหรือไม่? ไม่ เข้าใจไหม? ถูกต้อง ถ้าเธอเอาเมล็ดพืชจำนวนหนึ่งมาจากต้นไม้ ต้นไม้ก็ยังคงมีเมล็ดอีกมากมายพอที่จะงอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ได้เป็นพันๆ ต้น เข้าใจไหม? มันจะไม่สูญหายไป ถ้าเธอตัดดอกไม้สักดอกหนึ่งหรือตัดผักมาสักก้านหนึ่ง ก็จะยิ่งเกิดการงอกออกจากก้านมากขึ้น เกิดเป็นพืชผักมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าอาหารมังสวิรัติมีอันตรายน้อยกว่า ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยกว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    รู้ความหมาย สัจจะธรรม
    รู้จักนำ สัจจะธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
    รู้คำสอน ไว้โปรดสัตว์โลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    โมทนาด้วยจ้า Dalink
    บรรยายธรรมของท่านอนุตรจารย์ชิงไห่ชุดนี้ เคยอ่านเมื่อหลายปีก่อนนู้น
    พอมาอ่านตอนนี้ความเข้าใจยิ่งขยายวงกว้างออกไปอีกมากทีเดียวล่ะครับ

    และในช่วงปี 2010 นี้ ก็อาจมีสิ่งที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นอีกเรื่องนึงด้วยครับ
    เป็นเรื่องที่จะมากระตุ้นให้เกิดการเปลื่ยนแปลงทางความเชื่อครั้งใหญ่
    เกี่ยวกับการเผยตัวอย่างเป็นทางการของมนุษย์ต่างมิติ ที่เฝ้าดูเราอยู่
    ซึ่งกำลังจะถูกประกาศโดยรัฐบาลสหรัฐฯในไม่ช้านี้ (โดยนาย บารัค โอบาม่า)
    ซึ่งในกระทู้คุณชยุตก็กล่าวถึงบ่อยๆ ขอนำข้อความบางส่วนมาลงไว้
    จะได้เป็นสักขีพยานร่วมกันในปลายยุคนี้ครับ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    [​IMG]

    ข้อความสื่อสารผ่านทางโทรจิตมาจากชาวดาวซีรีอุส (Sirius)
    แห่งสหพันธ์กาแล็กซี่ (Galactic Federation)

    "วัฏจักรสุริยะ กำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุดในไม่ช้านี้แล้ว แต่มันจะไม่ใช่วันสิ้นโลก
    เพราะว่าโลกใหม่กำลังจะอุบัติขึ้น พร้อมกับชาวโลกทุกๆคน
    ที่จะตื่นรู้และเลื่อนระดับขึ้นไปพร้อมๆกับมันด้วย"


    "ในขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์โลก ก็กำลังเดินหน้า
    ไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอยู่

    สภาวะอากาศที่ผิดปกติ ก็กำลังทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น, น้ำท่วม, และน้ำป่าไหลหลากขึ้น ทั้งในทวีปอเมริกา, ยุโรป, อาฟริกา และหมู่เกาะในแปซิฟิกทั้งหลายอยู่

    เพราะฉะนั้น พวกเราจึงอยากจะเตือนพวกคุณให้รู้ว่า โลกที่พวกคุณเคยรู้จัก กำลังจะมาถึงจุดที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว

    ซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ดังกล่าวนี้ ก็คือจุดที่โลก
    ย้ายจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 5 นั่นเอง

    แน่นอนว่า เมื่อถึงจุดๆนั้นจริงๆ พวกคุณจะไม่สามารถอยู่เฉยๆแล้วก็รอดชีวิต จากการปรับโครงสร้างใหม่ของพื้นผิวโลกได้

    นี่จึงเป็นเหตุผลเบื้องต้นอย่างหนึ่ง ที่พวกเราจำเป็นจะต้องมาติดต่อกับพวกคุณอย่างเป็นทางการเสียที"

    "วัตถุประสงค์ของข้อมูลนี้ ก็เพื่อที่จะช่วยให้พวกคุณยอมรับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น ว่าพวกคุณไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และดาวเคราะห์โลกของพวกคุณ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณถูกเสี้ยมสอนมาแต่อย่างใด"

    "ซึ่งนั่นก็คือ การประกาศเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการของพวกเรา และความจริงที่ว่า พวกเรามาด้วยความเมตตากรุณาที่มีต่อพวกคุณ"

    "ในช่วงท้ายของกระบวนการนี้ พวกเราก็จะสามารถ
    ประกาศออกอากาศเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องมีการอภิปรายกัน ได้อย่างเปิดเผย ก่อนที่ “การลงจอดบนพื้นพิภพครั้งใหญ่” (The Mass Landing) จะเกิดขึ้น"


    ตามไปอ่านต่อกัน...
    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-19
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...