น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    หมายถึงเรา หรือ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    กาลามสูตรของเรา แปลว่า ให้ออกจากกะลามาพิสูจน์

    ไม่ใช่นั่งคาดเดา สร้างตรรกะ ทฤษฎี และบอกนี่ข้าอัจฉริยะ

    พุทธศาสนาก้าวข้ามความเชื่อ ก้าวข้ามวิทยศาสตร์ ก้าวข้ามปรัชญา

    พุทธองค์ ย้ำเสมอ "ตนที่พึ่งแห่งตน"

    นัยยะว่า ให้ลงมือพิสูจน์ ว่าธรรมเที่ยงแท้ไหม เป็นอกาลิโกจริงไหม

    แต่นี่! เตชปญฺโญ ภิกขุ อยู่ๆเขยิบตัวมาคว่ำคำสอนทั้งที่ไม่เคยพิสูจน์พุทธวจนะ

    อย่างนี้ กาลามสูตรดูจะเหมาะกับเตชปญฺโญ ภิกขุ มากกว่า

    เอาล่ะ ถ้ายังไม่เบื่อ

    เรา! ปุถุชน คนกิ๊กก๊อกมีคำถามมากมาย รอท่านเมตตาตอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กรกฎาคม 2010
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เตชปญ ภิกขุ เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี กรรมไม่ส่งผลข้ามภพ

    หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติ เกิดตายครั้งเดียว ไม่มีการเวียนว่าย ถูกไหม

    หากเป็นเช่นนั้นจริง!

    จะสนใจโลกไปใย นรกเป็นเรื่องเหลวไหล

    ถ้าอย่างนั้น! สุขย่อมดีกว่าทุกข์แน่นอนที่สุด

    เราปล่อยตาให้เห็นสิ่งสวยงาม

    เราปล่อยจมูกให้ดมกลิ่นหอมรัญจวน

    เราปล่อยหูให้ฟังเสียงไพเราะ

    เราปล่อยลิ้นให้ชิมแต่อาหารรสเลิศ

    เราปล่อยกายให้สัมผัสแต่สิ่งเย้ายวน

    เราปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มแต่สิ่งน่าพิศมัย

    ปล่อยอายตนะไปกับความรื่นรมณ์

    แล้วจะสนไปใย ในสุขที่ได้มา


    บางอย่าง ทำดีกลับส่งผลตรงกันข้าม

    ระหว่างดีกับชั่ว ทำชั่วย่อมง่ายกว่า

    หากระยะหวังผลคือบำเรอสุขในตน

    หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติ เกิดตายครั้งเดียว

    กรรมไม่ใช่ที่อาศัย

    กรรมไม่ใช่แดนเกิด

    กรรมไม่ใช่ที่หล่อเลี้ยง

    กรรมไม่ส่งผลชาติหน้า

    การรับผลที่กระทำนั้นไม่จริงเสมอไป

    อย่างนั้นหรือ ที่ท่านพยายามสอน...
     
  3. ลูกเกต

    ลูกเกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +104
    พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้แล้ว ถูกต้องแล้ว ว่าพระพุทธศาสนา จะสิ้น ในที่สุด
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    [​IMG]

    <TABLE borderColor=#f0f0f0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center bgColor=#f0f0f0 border=1><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>ความคิดเห็นที่ : 3
    ภาพนี้ เป็นภาพที่ โรงมหรสพทางวิญญาณ ที่สวนโมกข์ คะ

    ภาพดวงตา 1 ดวง ที่ติดอยู่ที่รูปคนตัวใหญ่
    หมายถึง โลก - ทุกข์

    ภาพดวงตา 4 ดวง หมายถึง โลกธรรม 8
    คือ ฝ่าย ดี 4 ฝ่ายชั่ว 4

    ภาพดวงตา ทั้ง 4
    รูปหนึ่ง มีคนรับแล้ว ติดที่หัวแล้ว
    หมายถึง บุคคลผู้ติดอยู่ในโลกธรรม
    รับแล้วมีวงแหวนเหมือนกับเป็นเทพเจ้า
    เพราะหลงติด คิดว่าดี ว่าเลิศ

    รูปหนึ่ง มีคนกำลังจะติด
    รูปหนึ่ง กำลังรับเข้ามา
    ความหมายก็ คล้ายกับภาพนั้นแหละคะ

    ดวงตาที่กองไว้มากมาย
    ก็ หมายถึง โลกธรรมมากมายที่มีอยู่

    ส่วนภาพที่เป็นคล้ายรูปคนกระโดดโลดเต้น
    มีการกระโดดก้าว เดิน
    มีลักษณะคล้ายดีใจ เป็นอิสระ
    เดินตามกันไป เป็นแถว
    5 บน 5 ล่าง หมายถึง สังโยชน์ 10
    แบ่งออกเป็น เบื้องล่าง 5 กับเบื้องบน 5

    ไม่มีมือ ไม่มี หมายถึง ละอายตนะทิ้งเสีย
    ไม่รับดวงตา หมายถึง ไม่รับเอาโลกธรรม เข้าไว้ในใจคะ

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f0f0f0>โดย : dhammada [ 2006-10-25</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=308

    ถามท่าน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เตชปญฺโญ ภิกขุ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3532894", true); </SCRIPT> ท่านเข้าใจความหมายของปริศนาธรรมนี้ว่าอย่างไร

    และดวงตานี้ หมายถึงอะไร

    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    นัยยะว่า ให้ลงมือพิสูจน์ ว่าธรรมเที่ยงแท้ไหม เป็นอกาลิโกจริงไหม

    แต่นี่! เตชปญฺโญ ภิกขุ อยู่ๆเขยิบตัวมาคว่ำคำสอนทั้งที่ไม่เคยพิสูจน์พุทธวจนะ
    --------------------
    นี่แสดงว่าคนพูดนี่เคยพิสูจน์ความเชื่อของคุณจนบังเกิดผลจริงแล้วใช่หรือไม่? (เช่น จิตหรือวิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ เทวดานางฟ้า เป็นต้น)
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    เตชปญ ภิกขุ เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี กรรมไม่ส่งผลข้ามภพ

    หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติ เกิดตายครั้งเดียว ไม่มีการเวียนว่าย ถูกไหม

    หากเป็นเช่นนั้นจริง!

    จะสนใจโลกไปใย นรกเป็นเรื่องเหลวไหล

    ถ้าอย่างนั้น! สุขย่อมดีกว่าทุกข์แน่นอนที่สุด

    เราปล่อยตาให้เห็นสิ่งสวยงาม

    เราปล่อยจมูกให้ดมกลิ่นหอมรัญจวน

    เราปล่อยหูให้ฟังเสียงไพเราะ

    เราปล่อยลิ้นให้ชิมแต่อาหารรสเลิศ

    เราปล่อยกายให้สัมผัสแต่สิ่งเย้ายวน

    เราปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มแต่สิ่งน่าพิศมัย

    ปล่อยอายตนะไปกับความรื่นรมณ์

    แล้วจะสนไปใย ในสุขที่ได้มา


    บางอย่าง ทำดีกลับส่งผลตรงกันข้าม

    ระหว่างดีกับชั่ว ทำชั่วย่อมง่ายกว่า

    หากระยะหวังผลคือบำเรอสุขในตน

    หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติ เกิดตายครั้งเดียว

    กรรมไม่ใช่ที่อาศัย

    กรรมไม่ใช่แดนเกิด

    กรรมไม่ใช่ที่หล่อเลี้ยง

    กรรมไม่ส่งผลชาติหน้า

    การรับผลที่กระทำนั้นไม่จริงเสมอไป

    อย่างนั้นหรือ ที่ท่านพยายามสอน...<!-- google_ad_section_end -->

    ----------------------

    นี่เป็นคำถามปลายแถว ถึงตอบไปก็จะทำให้มีคำถามใหม่ๆเกิดขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน จึงไม่มีประโยชน์ที่จะตอบในตอนนี้

    ถ้าจะให้หมดปัญหาจริงๆก็ต้องกลับไปที่ปัญหาต้นตอของทุกปัญหา อันได้แก่คำถามที่ว่า "ยอมรับหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น?"

    ถ้าเข้าใจคำถามนี้แล้ว ปัญหาทุกเรื่องที่เป็นปลายแถวก็จะหมดไปได้เอง

    www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    ดวงตาใหญ่คือพระพุทธเจ้าที่แจกดวงตา ซึ่ง ดวงตาคือธรรมะ

    คนรับดวงตาคือผู้ที่รับธรรมะมาปฏิบัติ

    คนกำลังสวมดวงตาคือคนที่กำลังปฏิบัติธรรมะ

    คนมีดวงตาคือผู้ที่ปฏิบัติธรรมะและได้รับผลจากธรรมะแล้ว และกำลังเคารพพระพุทธเจ้าอยู่

    ส่วนคนที่วิ่งหนีและไม่มีดวงตาก็คือคนที่ไม่สนใจธรรมะหรือหนีธรรมะ จึงเหมือนคนตาบอดที่มีอยู่มากมายในโลก ส่วนคนมีดวงตาและกำลังรับดวงตารวมทั้งคนกำลังสวมดวงตานั้นมีน้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ย่อมอยู่ในทาง

    แล้วท่านล่ะ เตชปญฺโญ ภิกขุ พิสูจน์หรือยัง(เช่น จิตหรือวิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ เทวดานางฟ้า เป็นต้น)
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เป็นเช่นนั้น สิ่งหนึ่งมี สิ่งหนึ่งย่อมมี เป็นธรรมดา

    ท่านล่ะ "ยอมรับหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น?"



    เรื่องหนึ่งชีวิตหนึ่งชาติ เกิดตายครั้งเดียว ไม่มีการเวียนว่าย

    คำถามเราก็ไล่เหตุ ไล่ผล ชี้แจงชัดแล้ว

    ต้นคำถามมันมาจากความเชื่อส่วนตัวของท่านล้วนๆ

    แล้วอย่างใดเรียกปลายแถว ท่าน หรือ เรา

    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรียนถาม ท่านตีความตามความเข้าใจของตนเอง
    หรือรู้จากเจ้าของภาพโดยตรง
    ท่านเข้าใจเจตนาของคนวาดภาพตรงตามจริงไหม
    เคยได้สอบถามโดยตรงจากเจ้าของภาพวาดไหม
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    แล้วท่านล่ะ เตชปญฺโญ ภิกขุ พิสูจน์หรือยัง(เช่น จิตหรือวิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ เทวดานางฟ้า เป็นต้น)<!-- google_ad_section_end -->
    __________________

    สิ่งที่ไม่มี ถึงจะพิสูจน์อย่างไรก็ไม่มีทางได้พบ

    คำถามนี้ต้องถามผู้ที่เชื่อว่ามี "ว่าเขาพิสูจน์พบแล้วหรือยัง?" ไม่ใช่มาถามคนที่ไม่เชื่อ

    แต่จะขอตอบสักนิดว่า "ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็คงไม่กล้ามาเผยแพร่"

    แต่ผลของการปฏิบัติก็คือ "ทำให้ทุกข์ระงับดับลงได้จริงๆ" อันนี้คุณลองปฏิบัติดูสิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    เป็นเช่นนั้น สิ่งหนึ่งมี สิ่งหนึ่งย่อมมี เป็นธรรมดา

    ท่านล่ะ "ยอมรับหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น?"
    -------------------------------
    เมื่อทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัย

    ก็แสดงว่า จิต หรือ วิญญาณ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยด้วยเหมือนกัน

    และเหตุที่ทำให้เกิดจิตหรือวิญญาณขึ้นมาก็คือ ร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่นี้

    ดังนั้นเมื่อ ไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ จิตหริอวิญญาณก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ใช่หรือไม่?
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    เรียนถาม ท่านตีความตามความเข้าใจของตนเอง
    หรือรู้จากเจ้าของภาพโดยตรง
    ท่านเข้าใจเจตนาของคนวาดภาพตรงตามจริงไหม
    เคยได้สอบถามโดยตรงจากเจ้าของภาพวาดไหม<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    เคยอ่านจากที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวไว้เอง แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน

    แต่ลองอ่านจากลิ้งค์นี้ดู โตสื่อพระธรรม TOESUEPRATAM

    หรือจากลิงค์นี้ http://www.onopen.com/2007/01/1508
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โรงมหรสพทางวิญญาณ ภายในบรรจุภาพปริศนาธรรมต่างๆ ซึ่งจะใช้เป็นอุปกรณ์ศึกษาธรรม



    [​IMG]ภาพคนแจกดวงตาที่ข้างโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งแสดงถึงผู้ที่เป็นพระอริยสงฆ์ พระอริยบุคคล กำลังแจกดวงตา (ธรรมะ)
    ให้กับผู้ที่สนใจให้เห็นธรรม ส่วนกลุ่มคนที่ไม่สนใจธรรมก็วิ่งหนีกันไปด้วยความไม่รู้ ความบอดของตน


    [​IMG] ภาพปริศนาธรรม "ค้นหาดอกบัว(ความหลุดพ้น)ได้ในตัวเรา"

    [​IMG] คำอธิบายของภาพค้นหาดอกบัว

    โตสื่อพระธรรม TOESUEPRATAM

    ภาพปริศนาธรรมภาพแรกของโรงมหรสพทางวิญญาณแห่งนี้ อยู่ที่ผนังตึกโรงหนังด้านนอก ด้านทิศใต้ ภาพนี้มีชื่อว่า “แจกดวงตาแห่งธรรม” มันเป็นภาพแจกดวงตาที่ตึก ในรูปมีคนเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับเอาลูกตา นอกนั้นก็วิ่งหนีไปเป็นฝูงๆ โดยที่ไม่มีลูกตาติดไป พวกเขาหนีกลับไป และปฏิเสธอยู่ตลอดเวลาที่จะรับเอาดวงตาแห่งธรรม ในโลกนี้ยังมีน้อยคนนักที่จะสนใจ และจะยอมรับเอาประโยชน์ทางจิตวิญญาณ การมาที่สวนโมกข์นี้จะไม่ได้อย่างอื่น และจะไม่มีอะไรให้นอกจาก “ดวงตาแห่งธรรม” ซึ่งเป็นมรดกของอินทปัญโญนี้เท่านั้น
    http://www.onopen.com/2007/01/1508


    อนุโมทนากับท่าน อินทปัญโญ ในการสร้าง “โรงมหรสพทางวิญญาณ” และธรรมะที่เรียบง่าย
    ชีวิตคือสันตติ ไม่มีสิ่งใดคงเดิม มันเป็นเสมือนภาพเคลื่อนไหว มันคือกระแสแห่งความนึกคิดที่เกิดดับอย่างต่อเนื่อง ชีวิตประจำวันอย่างที่เป็นอยู่ของคนธรรมดาสามัญ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่แตกต่างจากในโรงภาพยนตร์ เพราะมันก็เป็นผลจากการประมวลปรุงแต่งประสบการณ์รู้ของแต่ละขณะจิต ซึ่งเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว โดยที่ ชีวิตและโลกความจริงมีเพียงขณะจิตเดียว คือขณะจิตที่กำลังเกิดเป็นปัจจุบันอยู่เท่านั้น

    ความเห็นส่วนตัว
    ผู้รู้ธรรม ย่อมมีความสามารถแจกจ่ายธรรมที่มีในตนให้ผู้อื่นได้ตามธรรมที่มีในตน
    ผู้ไม่รู้ธรรม ก็แจกจ่ายเผยแพร่ความไม่รู้ของตนไป วันไหนรู้ตัวก็หยุดได้เอง
    ถ้ายังไม่รู้ ก็หมุนต่อไปด้วยความไม่รู้ เป็นวงล้อแห่งความไม่รู้ ไม่รู้จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ จิตหริอวิญญาณก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ใช่หรือไม่?<!-- google_ad_section_end -->

    อันนี้ดิฉันมีความเห็นอย่างนี้นะ พระคุณเจ้า
    จิตหรือวิญญาณ อาศัยกรรมทั้งชั่วและดี เป็นเหตุเกิด ไม่ได้อาศัยเกิดในร่างกายของมนุษย์
    หรือสัตว์ที่ยังเป็นๆ เพียงอย่างเดียว

    ขอแปะบทความนี้ ไว้พิจารณานะคะ ใช้หลักกาลามสูตร พิจารณาไตร่ตรอง ตามปัญญาตน
    ถือว่าเป็นอีมุมมองหนึ่ง ที่เห็นต่างกันไป


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>บทที่ 1 แนวคิดในการปฏิรูปมนุษย์</TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=p_content>1.3 แนวคิดในการปฏิรูปมนุษย์ (6) 1.3.9 ความเห็นเกี่ยวกับสัตว์ที่ผุดขึ้นเกิด </U>
    สัตวโลกทั้งหลายมีการเกิดอย่างไร
    พระพุทธศาสนาให้ความรู้แก่เราว่า การเกิดของสัตวโลกทั้งมวลมี 2 ลักษณะ คือ การถือกำเนิดในมนุษยโลก กับการถือกำเนิดนอกมนุษยโลก

    การถือกำเนิดในมนุษยโลกมีอยู่ 3 ประเภท คือ
    1) เกิดในฟองไข่ (อัณฑชะกำเนิด) ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉาน ต่างๆ เช่น นก จิ้งจก เต่า เป็นต้น
    2) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะกำเนิด) ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเป็นส่วนมาก เช่น คน แมว ช้าง เป็นต้น
    3) เกิดในสิ่งโสโครก (สังเสทชะกำเนิด) คือเกิดในสิ่งโสโครก จากสิ่งโสโครก ในซากศพ ในน้ำเน่า อาหารบูดเน่า ได้แก่ หนอน จุลินทรีย์ หรือสัตว์เซลล์เดียวหลากหลายชนิด จุลชีวันเหล่านี้ แม้เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็สามารถ ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูได้
    การถือกำเนิดนอกมนุษยโลกมีอยู่ประเภทเดียว ด้วยการผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันที ชนิดที่เรียกได้ว่า เกิดปุ๊บโตปั๊บ การเกิดโดยการผุดขึ้นนี้ มีคำศัพท์ทางธรรมว่า "โอปปาติกะกำเนิด" หรือ "อุปปาติกะกำเนิด" โดยทั่วไปมักพูดกันว่า "โอปปาติกะ" เป็นการเกิดโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ แต่อาศัยแรงกรรมในอดีตทั้งฝ่ายลบและฝ่ายบวก แรงกรรมฝ่ายบวกจะนำไปถือกำเนิดในสุคติภพ ได้แก่ เทวดา และพรหม แรงกรรมฝ่ายลบจะนำไปถือกำเนิดในทุคติภพ หรืออบายภูมิ ได้แก่ นรก (นิรยะ) เปรต (ปิตติวิสัย) และอสุรกาย

    โลกมนุษย์เป็นสุคติหรือทุคติ
    โลกมนุษย์เป็นสุคติของมนุษย์ เป็นทุคติของดิรัจฉาน เหตุที่โลกมนุษย์เป็นสุคติ ก็เพราะเป็นสถานที่แห่งเดียวสำหรับสร้างกรรมดีได้เต็มที่ของมนุษย์ เนื่องจากประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ
    1) มนุษย์มีรูปกายแข็งแรงทรหดอดทน เหมาะแก่การสร้างกรรมดีทุกรูปแบบ
    2) โลกมนุษย์เป็นแดนแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มนุษย์ทั้งหลายจึงมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตโดยตรง หรือจากพระอรหันตสาวกทั้งปวง แม้พระตถาคตและเหล่าพระอรหันตสาวกจะเข้านิพพานกันไปหมดแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ทรงจำพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ไว้ แล้วนำมาถ่ายทอดปลูกฝังอบรมมวลมนุษย์ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ตั้งใจสร้างแต่กรรมดี อันเป็นเหตุแห่งการไปสู่สุคติ
    3) โลกมนุษย์เป็นแดนแห่งเนื้อนาบุญ คือ มีพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นเนื้อนาบุญ ให้ผู้คนได้ถวายทาน เพื่อสั่งสมบุญกุศล ในปริมาณสูงกว่าการทำทานแก่ปุถุชน สูงกว่าการทำสังคมสงเคราะห์คนทั่วไปและการสงเคราะห์สัตว์ดิรัจฉาน 1

    ด้วยเหตุปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวแล้ว โลกมนุษย์จึงเป็นสุคติของเหล่าเทวดาซึ่งจุติจากสรวงสวรรค์มาเกิดเป็นคน และเป็นสุคติของเหล่าสัตวโลกที่พ้นกรรมจากทุคติมาเกิดเป็นคน เนื่องจากเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สร้างกรรมดีอย่างเต็มที่ และเท่าเทียมกัน
    อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้ถือกำเนิดเป็นคนในโลกนี้แล้ว ถ้าไม่รู้หรือไม่สนใจศึกษาพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎแห่งกรรม แล้วใช้ชีวิตอย่างประมาท อยู่กับการสร้างกรรมชั่ว เขาก็จะไม่มีโอกาสพบสุคติเลย แม้โลกนี้ก็เป็นเสมือนทุคติสำหรับเขา เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ต้องไปสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน
    อนึ่ง เหตุที่กล่าวว่าโลกมนุษย์เป็นทุคติของดิรัจฉาน ก็เพราะเป็นแดนเกิดของสัตว์ดิรัจฉานนั่นเอง

    ทำไมคนเราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องโอปปาติกะ

    มีเหตุผลอยู่หลายประการ ที่คนเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องโอปปาติกะ แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งมีอยู่ 2 ประการ คือ
    1) ความรู้เรื่องนี้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการพัฒนาหิริ โอตตัปปะขึ้นในจิตใจของคนเรา เพราะทำให้มีความรู้สึกอายต่อการทำบาป ขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวผลของบาปที่จะเกิดขึ้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า โดยสรุปก็คือกลัวตกนรกนั่นเอง ดังนั้น คนเราก็จะตั้งใจทำแต่กรรมดีจนเป็นนิสัย ไม่ปล่อยกาย วาจา ใจ ให้ทำกรรมชั่วใดๆ ทั้งสิ้น แม้ไม่มีใครรู้เห็นก็ตาม
    2) ความรู้เรื่องโอปปาติกะนี้จะเป็นแรงบันดาลใจคนเรา ให้ขวนขวายศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดประสบการณ์ภายในรู้แจ้งเห็นแจ้งตามพระธรรมคำสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการออกผลของกรรม เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องโลกนี้มีที่มา โลกหน้ามีที่ไป โดยมีกรรมของตนเป็นตัวกำหนด
    แม้การปฏิบัติธรรมยังไม่เกิดผลถึงขั้นรู้แจ้งเห็นแจ้ง แต่ความสุขและความสงบอันเกิดจากความสว่างที่กลางใจ ซึ่งเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา ก็สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความศรัทธามั่นใน พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความเพียรยิ่งๆ ขึ้นไปแล้ว ยังจะช่วยให้เขาตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิได้โดยตลอด ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลาน ญาติมิตร และผู้คนในสังคม ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยสรุปก็คือ ความรู้เรื่องโอปปาติกะเป็นเครื่องช่วยให้คนเราไปสู่สุคติในปรโลกได้ง่ายขึ้น

    คนเราโดยทั่วไปสามารถพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะได้ หรือไม่อย่างไร
    เรื่องโอปปาติกะนั้นเป็นเรื่องที่คนเราสามารถพิสูจน์ได้ โดยวิธีพิสูจน์ที่ถูกต้องเหมาะสมตามธรรมชาติ การที่คนเราจะพิสูจน์หรือค้นหาความจริงเรื่องใดให้พบ ก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีการพิสูจน์หรือค้นหาให้ถูกต้อง ถ้าใช้วิธีผิดหรือทำผิดวิธีย่อมจะไม่พบความจริง เช่น ถ้าต้องการรู้เรื่องจุลินทรีย์ ก็ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู ถ้าต้องการรู้เรื่องดาวอังคาร ก็ต้องใช้กล้องดูดาวส่องดู ใครที่อุตริเอากล้องดูดาวไปส่องดูจุลินทรีย์ย่อมไม่พบ เป็นต้น การพิสูจน์เรื่องโอปปติกะก็เช่นเดียวกัน มีวิธีพิสูจน์ซึ่งเป็นวิธีของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น เรียกว่า "ทิพยจักษุ" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ตาทิพย์" ถ้าใช้วิธีอื่น ก็ไม่มีวันจะได้พบโอปปาติกะ

    ทิพยจักษุเกิดขึ้นได้อย่างไร
    ทิพยจักษุจะเกิดขึ้นแก่คนเราได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา โดยการทำใจให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกาย (ได้อธิบายไว้บ้างแล้ว ในเรื่อง "โลกหน้า") ขณะที่ใจรวมเป็นหนึ่งและหยุดนิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ณ ศูนย์กลางกาย ใจก็จะใสสว่างขึ้นถึงขั้นสว่างโพลง ยิ่งหยุดได้นานเท่าใด ความสว่างโพลงก็จะทวีขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น เท่านั้น เมื่อใดมีความสว่างโพลงที่กลางใจเกิดขึ้น ราวกับตะวันเที่ยงหลายๆ ดวงมารวมกันที่ศูนย์กลางกายของเรา เราก็จะสามารถมองเห็นกระบวนการไปเกิดมาเกิดของเหล่าสัตวโลกที่เป็นโอปปาติกะทั้งในทุคติและสุคติ รวมทั้งบรรยากาศ และสภาพธรรมชาติของนรกสวรรค์ได้ตามที่เป็นจริง การเห็นเช่นนี้เรียกว่าเห็นด้วย "ทิพยจักษุ" ไม่ใช่เห็นด้วยตาธรรมดาของคนเรา

    อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ยังไม่สามารถฝึกอบรมตนให้เกิดทิพยจักษุได้ ก็ไม่ควรคิดตั้งข้อสงสัยว่าคำสอนของพระพุทธองค์จะไม่เป็นจริง คือสงสัยว่าโอปปาติกะไม่เป็นจริง แต่ควรคิดในแง่ดีว่า พระพุทธองค์ นั้นทรงเป็นทั้งกัลยาณมิตร และบุพการี ของชาวโลก คือทรงให้ความอุปการะชาวโลกด้วยธรรมทาน โดย ที่ชาวโลกไม่ได้ขอร้อง และชาวโลกก็ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทรงหวังการตอบแทนใดๆ จากชาวโลกด้วยซ้ำไป เหตุที่ทรงให้ธรรมทานอย่างยิ่งใหญ่แก่ชาวโลก ก็เพราะทรงสงสารห่วงใย และปรารถนาดีเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง ไม่อยากให้ชาวโลกต้องเสวยทุกข์ในทุคติภพ แต่ทรงปรารถนาจะให้ได้เสวยสุขในสุคติภพ และบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด ดังเช่นพระองค์ และพระอรหันตสาวกทั้งปวง

    ความคิดเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราเกิดศรัทธามั่นในพระธรรมคำสั่งสอนทั้งปวง โดยไม่มีข้อกังขา แล้วตั้งหน้าเพียรพยายามประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดี มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นกิจวัตรประจำวันตลอดชีวิต แม้ไม่คิดจะทำให้เกิดทิพยจักษุ เพื่อพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะ แต่วันใดวันหนึ่ง เมื่อเราสั่งสมประสบการณ์ภายในได้มากขึ้นๆ หรือจะเรียกว่า "บุญ" ก็ได้ ทิพยจักษุย่อมเกิดขึ้นเองโดยปริยาย และเมื่อนั้นเราก็จะประจักษ์แจ้งตามพระธรรมคำสั่งสอน

    ในทางกลับกันถ้าเรายังคิดสงสัย ศรัทธาของเราที่มีต่อพระธรรมคำสั่งสอนย่อมจะไม่เกิดขึ้นหรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มั่นคง ทำให้คนเราตั้งอยู่ในความประมาท ประพฤติตนไปตามอำนาจกิเลส ไม่ต้องมากเพียงแค่ดื่มสุราจนเมามายบ่อยๆ ก็จะต้องประสบปัญหาเดือดร้อนตั้งแต่ปัจจุบันชาติแล้ว เมื่อละโลกไป ย่อมไม่แคล้วจากทุคติ นอกจากนี้ถ้าดื่มสุราเมามายแล้วไปทำผิดศีลข้ออื่นอีก ทุกข์และโทษย่อมทวีขึ้นอย่างเห็นได้ในปัจจุบันชาติ โดยไม่ต้องรอไปถึงปรโลก

    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวว่า มีผู้คนจำนวนมาก มีปัญญามืดบอดด้วยอำนาจกิเลสในกมลสันดาน เห็นว่า "สัตว์ผุด ขึ้นเกิดไม่มี" หรือ "โอปปาติกะไม่มี" ทั้งๆ ที่โอปปาติกะมีอยู่จริง ความเห็นผิดของพวกเขาจัดเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ในทางกลับกัน กลุ่มบัณฑิตเห็นว่า "สัตว์ผุดขึ้นเกิดมี" คือมีอยู่จริง ความเห็นถูกของพวกเขาจัดเป็น "สัมมาทิฏฐิ"
    สรุป
    สาระสำคัญเกี่ยวกับสัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดหรือโอปปาติกะ ก็คือ ความเห็นที่ว่า "โอปปาติกะมีจริง" เป็นเรื่องสภาพใจของคนที่เชื่อมั่นว่า "นรกสวรรค์มีจริง"

    เรื่องโอปปาติกะและนรกสวรรค์ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยมังสจักษุ คือ ตาเนื้อธรรมดา แต่สามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ ซึ่งเกิดขึ้นได้ ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาจนเกิดประสบการณ์ภายในในระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็อย่าด่วนปฏิเสธ แต่ควรจะค้นคว้าหาความจริงต่อไป ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นบรรลุ "ทิพยจักษุ" เป็นอย่างน้อย เราก็จะได้เครื่องมือวิเศษสำหรับพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ให้กระจ่างแจ้งได้เอง

    อย่างไรก็ตาม พระธรรมคำสั่งสอนเรื่องนี้ ได้ให้นัยว่าคนเราต้องทำดีไว้เผื่อเหนียว คือ ต้องบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เมื่อใจพัฒนาขึ้นตามลำดับๆ แม้ยังไม่บรรลุทิพยจักษุ เราก็พอจะตรองได้ด้วยปัญญา จนเกิดความเชื่อมั่นว่า เรื่องโอปปาติกะและนรกสวรรค์มีจริง ก็จะทำให้เราดำเนินชีวิตโดยไม่ประมาท บุคคลที่มีความเชื่อมั่นเช่นนี้ ชื่อว่า มีความเห็นถูก เป็น "สัมมาทิฏฐิ" และแน่นอนจิตใจย่อมพัฒนาความรับผิดชอบให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง

    ในทางกลับกัน บุคคลที่มีจิตใจมืดมิดด้วยอำนาจกิเลส ไม่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม มีความเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นด้วยมังสจักษุ สิ่งใดที่ตนไม่เห็นก็จะไม่เชื่อ ไม่คิดจะทำกรรมดีไว้เผื่อเหนียว มีชีวิตอยู่อย่างประมาท ด้วยการทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ บุคคลที่ขาดการพัฒนาใจเช่นนี้ ชื่อว่า มีความเห็นผิดเป็น "มิจฉาทิฏฐิ"



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://main.dou.us/view_content.php?s_id=241&page=10

    ส่วนอันนี้ มาจากรายการเจาะใจ เพื่อการพิจารณามุมมองจากบุคคลต่างๆ
    ใน part ที่2 (ช่วงกลางๆ) มีการอธิบายเรื่องของนรก-สวรรค์ ในแบบวิทยาศาสตร์
    มีเหตุ มีผล ที่จับต้องได้ในระดับหนึ่ง

    เจาะใจ :: พระภาสกร ภูริวุฑฒโน (ภาวิไล) 01-07-53 [ part 1]

    http://www.manytv.com/videos/11942-_01_07_53_part_1_.php

    เจาะ ใจ :: พระภาสกร ภูริวุฑฒโน (ภาวิไล) 01-07-53 [ part 2]
    http://www.manytv.com/videos/11943-_01_07_53_part_2_.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2010
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    อันนี้ดิฉันมีความเห็นอย่างนี้นะ พระคุณเจ้า
    จิตหรือวิญญาณ อาศัยกรรมทั้งชั่วและดี เป็นเหตุเกิด ไม่ได้อาศัยเกิดในร่างกายของมนุษย์
    หรือสัตว์ที่ยังเป็นๆ เพียงอย่างเดียว
    --------------------
    นี่คือการศึกษาตามตำราหรือตามคนอื่นเขาว่ามา ไม่ได้ใช้หลักกาลามสูตรมาศึกษา

    การศึกษาตามหลักกาลามสูตรก็คือ ต้องศึกษาจากสิ่งที่เราทุกคนสามารถพบเห็นได้จริง

    ความเชื่อเรื่องกรรมชั่ว กรรมดีนั้น เป็นความที่ฝังหัวชาวพุทธมานาน ทั้งๆที่เป็นเรื่องอจินไตย(ไม่ควรศึกษา) และเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนานานมาแล้ว

    ถ้าเราจะศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง ที่เราทุกคนสามารถพบเห็นได้ก็คือ จิตหรือวิญญาณต้องอาศัยร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่เพื่อเกิดขึ้นมา

    แล้วคุณ k.kwan ศึกษาธรรมะแบบไหน? ตามตำรา ,ตามคนอื่น, หรือตามที่พบเห็นได้จริง?

    ถ้ายังเชื่อว่าจะมีจิตหรือวิญญาณได้โดยไม่ต้องอาศัยร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ ก็คงสนทนากันไม่ได้ เพราะแม้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า "เมื่ออายตนะภายใน (เช่นตา,หู) กระทบเข้ากับอายตนะภายนอก(เช่น รูป,เสียง) วิญญาณ(การรับรู้)จึงเกิดขึ้น(เช่นเกิดวิญญาณทางตา, วิญญาณทางหู) นี่ก็แสดงถึงว่า ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป (เช่นขาดอายตนะภายในหรือภายนอก) วิญญาณก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นมาไม่ได้

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้ง(คือเห็นได้จริงแต่ละเอียดอ่อน) ไม่ได้ลึกลับ(อยู่ห่างไกล เห็นไม่ได้)อย่างของศาสนาพราหรมณ์

    ลองศึกษารายละเอียดได้จาก www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ​
     
  17. ccdd

    ccdd Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +26
    เตชะปัญโญภิกขุ เขียนว่า "ถ้ายอมรับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย

    ดังนั้น "จิต" ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยด้วยหมือนกัน

    ซึ่งเหตุที่มาปรุงแต่งให้เกิดจิตก็คือร่างกาย(คือร่างกายก็มีระบบประสาททำให้เกิดการรับรู้หรือเกิดวิญญาณขึ้นมาและรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นอีกที) โดยมีความทรงจำจากเนื้อสมองมาเป็นปัจจัยให้จำสิ่งต่างๆได้ และคิดได้ ดังนั้นถ้าไม่มีความทรงจำ ก็จำอะไรไม่ได้ และคิดอะไรไม่ได้ ที่สำคัญ ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ ก็ย่อมที่จะไม่มีการรับรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของจิตได้

    แล้วเมื่อร่างกายตาย การรับรู้หรือวิญญาณ จะอาศัยอะไรเพื่อเกิดขึ้นมา รวมทั้งสมองเมื่อตายแล้วความทรงจำทั้งหมดก็ย่อมที่จะหายตามไปด้วย แล้วมันจะจำและคิดได้อย่างไร?

    ความเชื่อว่าเมื่อร่างกายตายแล้วจิตหริอวิญญาณจะยังไม่ตายและออกไปเกิดใหม่ได้นั้น เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เขา(ที่เรียกว่า อัตตา) ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนานมนานมาแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว

    พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่เว้นแม้แต่จิตมนุษย์ ขอให้เข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะเข้าใจผิด แล้วก็เลยทำให้เข้าใจว่า คนที่มีความเห็นตรงข้ามกับความเห็นของตนเองนั้นว่าเขาเป็นบ้า ทั้งๆที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไร"

    โดยหลักเหตุผลแล้วประเด็นที่ท่านยกมากล่าวนี้ เป็นสัจจะความจริง ที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ แต่สัจจะความจริงนี้มีประโยชน์อะไรในเรื่องของการพ้นทุกข์ ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนมากสามารถเข้าใจสัจจะความจริงนี้ แต่ก็เป็นเพียงการเข้าใจด้วยปัญญาเท่านั้น ไม่สามารถจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เพียงการเข้าใจสัจจะความจริงนี้ จะต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ละลดเลิก ลาภะ โทสะ โมหะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้ในขั้นต่อไป เพื่อให้สามารถดับทุกข์ได้ในที่สุด หรือว่าเรื่องของความหลุดพ้นจากทุกข์นี้เป็นเรื่องที่เพียงแนะนำกันได้แต่สอนกันไม่ได้ ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง ค้นพบด้วยตัวเอง!

    อีกอย่างหนึ่งถ้ายอมรับตามคำกล่าวข้างต้น ก็แสดงว่าถึงที่สุดแล้ว คน สัตว์ พืช และสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ต่างก็ล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งสิ้น และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะต้องไปสนใจศาสนา หรือความหลุดพ้น ฯลฯ ไปทำไม ทำดวามดีไปทำไม เกรงบาปกลัวกรรมไปทำไม เพราะหลุดพ้น หรือไม่หลุดพ้น คนดี คนชั่ว คนที่หลุดพ้นแล้ว คนที่ไฝ่หาธรรมะ กับโจรบาป และทุกๆสรรพสิ่ง ก็ล้วน ว่างเปล่า ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างไร?????<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความเชื่อเรื่องกรรมชั่ว กรรมดีนั้น เป็นความที่ฝังหัวชาวพุทธมานาน ทั้งๆที่เป็นเรื่องอจินไตย(ไม่ควรศึกษา) และเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนานานมาแล้ว

    คำอ้างอันนี้ท่านรู้จริง หรือเชื่อตามตำรา กันล่ะ

    ท่านกล้าที่จะใส่ความคณะสงฆ์ที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกในหลายกรรม
    หลายวาระ ว่าท่านเหล่านั้น บิดเบือนพระธรรมของพระศาสดาหรือไร
    ตัวท่านเองถ้ามีโอกาสสังคายนาพระไตรปิฎก ท่านกล้าเปลี่ยนแปลงบิดเบือน
    คำสอนพระศาสดาตามใจตัวเองไหม คุณธรรมของคนยุคนี้ ยังเทียบของคน
    ยุคโบราณไม่ได้เลย การสอบทานเนื้อหาในพระไตรปิฎก ก็มีคนตรวจสอบ
    มากมายทั้งในภาคภาษาบาลี และสันสกฤต ก็เทียบเนื้อหาได้ ว่ามีต่างกัน
    หรือผิดเพี้ยนอย่างไร เนื้อหาในพระไตรปิฎกก็ถือเป็นตำราโบราณสืบทอดมา
    พระศาสดาก็มีหลักกาลามสูตร มาให้อีกด้วยว่าอย่าเชื่อตำรา ให้ลองพิสูจน์
    ด้วยตนเองไม่ใช่ให้เชือตำราแบบงมงาย คนที่พิสูจน์ด้วยตัวเองไม่สำเร็จ
    แล้วบอกว่ามันไม่ถูกไม่มี นับว่าด้อยปัญญา เพราะตัวเราทำไม่ได้แต่ไม่ได้
    หมายความว่าคนอื่นทำไม่ได้เหมือนเราด้วย คนที่ทำได้พิสูจน์ได้ก็ย่อมมี
    แต่เราจะมีวาสนาได้เจอท่านเหล่านั้นเพื่อพิสูน์ในสิ่งที่เราไม่รู้ได้หรือเปล่า

    เรื่องที่อ่านจากตำราแต่เรายังพิสูจน์ความจริงไม่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้แปลว่า
    ตำรานั้นไม่จริง เพราะคนที่เขียนตำรานั้นๆย่อมมีความรู้ระดับหนึ่งเขาจึงเขียน
    เป็นตำราให้เราศึกษาได้ เมื่อเรานำตำรามาพิจารณาเราย่อมใช้หลักกาลามสูตร
    สิ่งใดที่เรายังไม่รู้จริง มันก็เป็นได้แค่เราเห็นตามตำราที่เราเอามาอ้างอิงและ
    เรียกมันว่า เป็นความเห็น เป็นทัศนะ เป็นความเชื่อ ของเรา แต่สิ่งใดที่เรารู้จริง
    ด้วยปัญญาของเราเอง เราย่อมบอกตามจริงว่าเราพิสูจน์ชัดด้วยตนเอง
    เป็นความรู้แจ้งของเรา มันเป็นคนแบบ ในโลกนี้จะมีผู่รู้แจ้งซักกี่คน แน่นอน
    เรายังไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง เราย่อมไม่กล้าที่จะคว่ำตำราพระไตรปิฎกในส่วนที่เรา
    พิสูจน์ไม่ได้ วันได้ที่เรารู้แจ้งอริยสัจจ์แล้ว เราย่อมจะพิสูจน์ความจริงในทุก
    เรื่องที่เราต้องการรู้ได้ถูกต้องตรงตามจริง
    แล้วพระคุณเจ้า ล่ะ รู้แจ้งอริยสัจจ์4 หรือยัง ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้ว ก็ไม่ต่างจาก
    ปุถุชนอย่างเรา ที่มีทิฏฐิและความไม่รู้ เป็นตัวตน ย่อมไม่อาจพิสูจน์เรื่องที่
    อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสหยาบๆของมนุษย์ได้ เรื่องบางเรื่องอย่าง
    ประสาทการรับรู้ของสัตว์เดรัจฉานบางชนิดก็ปราณีตกว่าคนอย่างเราๆ มาก
    เรื่องการดมกลิ่น เราก็หยาบกว่าสุนัข เรื่องเสียงเราก็หยาบกว่าสุนัข
    หรืออย่างค้างคาวก็มีประสาทสัมผัสแบบเรดาห์ ที่มนุษย์อย่าเราไม่มี
    การมองเห็นของคนก็หยาบกว่าสุนัขอีกด้วย สิ่งที่เรารับสัมผัสไม่ได้แต่สุนัข
    เขาสัมผัสได้ก็มีอยู่ ถ้าเราคุยกับสุนัขรู้เรื่อง เราอาจได้รู้อะไรดีๆที่คาดไม่ถึง
    ก็ได้ สิ่งมีชีวิตในโลกที่ไม่เข้าใจธรรมชาติเลยก็คงเป็นมนุษย์นี่แหละ ที่ปิดหู
    ปิดตาตนเองด้วยทิฏฐิของตนเอง แล้วเชื่อแต่ตรรกะตามความคิดของตน

    หลักกาลาสูตร ไม่ได้สอนให้เชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา
    ก็ถือเป็นสมมุติฐาน ที่รอการพิสูจน์ อันไหนยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็วางไว้ก่อน
    ไม่ใช่ให้ปฏิเสธ วันนี้อาจพิสูจน์ไม่ได้เพราะเครื่องมือของเรายังไม่พร้อม
    ไม่ถึงขั้น เทคโนโลยี่ยังต่ำต้อย ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ต้องใช้ปัญญา
    พิจารณาโดยแยบคาย ดูปัญญาผู้รู้ของคนอื่นประกอบด้วย แล้วก็พิสูจน์
    ความจริงต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ หรือถ้าเลิกลาไปก่อนก็เพิ่งด่วนติตำรานั้น
    ว่าเป็นเรื่องไม่จริง เพราะการจะบอกว่าเรื่องไหนไม่จริงก็ต้องหาหลักฐาน
    มาพิสูจน์ด้วยว่ามันไม่จริงตรงไหนอย่างไร ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต

    ปล. ดิฉันคิดว่า ควรหยุดสนทนากับ พระคุณเจ้าจะดีกว่า คาดว่าจะไม่เกิด
    ประโยชน์ใดๆ เพราะพระคุณเจ้าก็ไม่รู้ความจริงแค่พิสูจน์เรื่องเหล่านี้ไม่ได้
    ก็ไม่ได้แปลว่าตัดสินถูกผิดเรื่องเหล่านี้ได้ และดิฉันก็ไม่รู้จริงเหมือนกัน ก็
    กำลังพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะรู้แจ้งรู้จริง การสนทนา
    ระหว่างผู้ไม่รู้จริง กับผู้ไม่รู้จริง ย่อมไม่อาจพบความจริงได้ มีแต่ทิฏฐิและ
    ความเห็นตามตำราเท่านั้น ที่ใช้อ้างอิง ก็ไม่สามารถตัดสินถูกผิดได้ ก็จะ
    เป็นการเปล่าประโยชน์ต่อดิฉันเอง ด้วย ก็ขอจบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผิดแล้ว

    ท่านไม่เชื่อโลกหน้า และสอนคนไม่ให้เชื่อโลกหน้า ถูกหรือไม่

    พูดอย่างนี้ เหมือนไม่เคยตาย

    แน่นอน การที่จะพิสูจน์โลกหน้ามีจริงหรือไม่

    มีแต่ความตายเท่านั้น จึงเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน

    ในเมื่อท่านเอง ไม่เคยพิสูจน์ด้วยตนเอง แล้วจะอ้างเหตุผลไปใย

    ในพระไตรปิฏก พุทธวจนะ อภิธรรม ยังมีอ้างอิง

    อาจไม่วิจิตรเท่าวรรณคดี ไตรภูมิ แต่ก็รู้ว่ามีอยู่

    พุทธสอน สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ชั่วดีอยู่ที่ขณะจิต ที่ผลกรรมนั้น

    สูงกว่านรกสวรรค์ ยังมีนิพพาน ซึ่งพุทธองค์แสดงไว้ดีแล้ว

    เรื่องกาลามสูตรนั้น ความตอนหนึ่งว่า "อย่าเชื่อแม้คำเรา ที่เป็นครู"

    หาก วิเคราะห์คำตถาคตผู้ทรงมหากรุณาธิคุณ

    ผู้มีปัญญารู้แจ้ง ผู้หวังดี เปลี่ยมด้วยพรหมวิหารสี่

    เราปักใจเชื่อ และพร้อมปฏิบัติตามอย่างไร้ข้อสงสัย

    เพื่อพิสูจน์ธรรมอันเป็นอกาลิโก


    คงไม่ขอกล่าวอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เพราะไม่พ้นเรื่องเดิมๆ

    ของที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าพิสูจน์ไม่ได้

    :cool:
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    โดยหลักเหตุผลแล้วประเด็นที่ท่านยกมากล่าวนี้ เป็นสัจจะความจริง ที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ แต่สัจจะความจริงนี้มีประโยชน์อะไรในเรื่องของการพ้นทุกข์ ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนมากสามารถเข้าใจสัจจะความจริงนี้ แต่ก็เป็นเพียงการเข้าใจด้วยปัญญาเท่านั้น ไม่สามารถจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เพียงการเข้าใจสัจจะความจริงนี้ จะต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ละลดเลิก ลาภะ โทสะ โมหะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้ในขั้นต่อไป เพื่อให้สามารถดับทุกข์ได้ในที่สุด หรือว่าเรื่องของความหลุดพ้นจากทุกข์นี้เป็นเรื่องที่เพียงแนะนำกันได้แต่สอนกันไม่ได้ ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง ค้นพบด้วยตัวเอง!

    -----------------------------------

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องไม่มีใครโต้แย้งด้วยเหตุผลได้

    ถ้าโต้แย้งได้ก็แสดงว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

    ถ้าคุณเข้าใจและยอมรับความจริงนี้ ก็แสดงว่าคุณเริ่มเข้าใกล้การเห็นธรรมแล้ว

    ซึ่งขั้นต่อไปก็เพียงนำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างอยู่อย่างแน่วแน่และนานๆ(ตลอดทั้งวัน) แล้วการเห็นแจ้งก็จะเกิดขึ้น

    ลองอ่านบทความนี้ดู www.whatami.ob.tc/lum/lum86.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...