พระนิพพานคืออะไร? มีสภาวะเป็นอย่างไร? ต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าพระนิพพานได้?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little yoda, 31 สิงหาคม 2007.

  1. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    พระนิพพานคืออะไร
    ตอบ ผมไม่รู้ครับเพราะยังไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้ไปอยู่ และก็ไม่ขอเดา เพราะเป็นเรื่องอจินไตย เอาง่ายๆละวางกิเลสได้แล้วหรือยังถ้ายังก็เฉยๆดีกว่าครับอย่าไปคิดมาก
     
  2. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน [​IMG]
    <!--MsgIDBody=0-->"วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆจะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า "คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ"
    เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม....
    วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า "คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่"
    ท่านบอกว่า "มี ๓๗ สาย"
    ถามว่า "สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร....?"
    ท่านบอกว่า "สองแสนโยชน์ของนิพพาน"
    แล้วก็ไปดูเห็นหมดทั้ง ๓๗ สาย สองฝั่งของถนนวิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมดบอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป
    ทางด้านของนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง
    ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสป และกลุ่มของพระสมณโคดม
    เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฎที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน
    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า
    ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปมันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า
    ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฎิบัติ เพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ
    เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆเอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น
    สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า
    "การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕00 ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"
    ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒0 ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น
    และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒0 ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า
    "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"
    ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ"
    ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔0 กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด"
    บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย" ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"
    ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔0 นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔0 ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"
    ท่านก็ถามว่า "คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา"
    ก็บอกว่า "เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท"
    ท่านถามว่า "คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ....?"
    เลยบอกท่านว่า มี
    ท่านถามว่า "ทำไมว่ามี....?"
    ก็เลยบอกว่า "ยังไม่รู้ตัวว่าดี"
    ท่านบอกว่า "เออ ใช้ได้"
    คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้วเราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์
    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า
    "งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"

     
  3. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,413
    เมืองนิพพานของหลวงพ่อสด และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ..........อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน

    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว

    แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)

    ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่

    ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อ สดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก

    รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์์.........
     
  4. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ง่ายมาก เมื่อท่านไม่ค้นหามันนั้นแหละพระนิพพาน
     
  5. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    ไม่มีใครทำได้แล้ว

    หายาก ยาก ยาก ยากกกกกกกกกกกกกกกกกกก............................................เป็นไปไม่ได้ และก็ทำยากกกกกก
     
  6. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    อนุโมทนาสาธุ คำสอนหลวงพ่อสุดยอดแล้ว แล้วรู้กันได้งัยว่าที่เข้านิพานแล้ว
    ท่าน ๆ นั้นมาไม่ได้ ผมว่าคนทีพูดต่องเรียนอีกเยาะ อายุมากซะเปล่า ความคิดเด็กน้อย
    ผมไม่ได้เก่งอะรัยหลอกนะ แต่แค่รู้ เท่านั้นเอง สาธุ กับเจ้าของกระทู้ดว้ยครับ
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อย่าพากันหาพระนิพพานนอกตัว

    นิพพานมีสมบูรณ์อยู่ในสรรพสัตว์

    เพียงแค่เค้าจะกลับมาหาความสุข

    ที่มีอยู่ในตัวเอง จนทำลายอวิชชา

    คือความไม่รู้ลงได้ พระนิพพานก็จะ

    อยู่ที่นั่น
     
  8. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    นิพพาน เป็นเพียงมโนทัศน์ที่ให้ทุกคนทำความดี
    บาปบุญเกิดที่ใจ และก็ดับที่ใจ
    นิพพานก็เกิดที่ใจ และก็ดับที่ใจเช่นกัน

    ความบริสุทธิ์ หมดจด นั้นไม่มี
    บริสุทธิ์จริงๆ นั้น คือ การไม่เกิด

    มนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้
    มีทั้งที่ทำดีและไม่ดี คละเคล้ากันไป
    ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่เคยทำดี
    ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่เคยทำเลว
    สุดท้ายแห่งชีวิต คือ ความว่าง กลับสู่ธรรมชาติทุกรูปนาม
    ก็เหลือแค่เพียงดวงจิต ที่รอวันวิพากษา

    พลังจิตแห่งชีวิต ย่อมทำให้จิตเป็นประภัสสร
    ผู้ปฏิบัติจิตถึงแล้วเท่านั้น ย่อมรู้กำลังและญาณทัศนะ
    หนทางที่ไปย่อมเป็นไปตามบารมีและวาสนา
    สุดท้าย ก็ไปบรรจบที่เดียวกัน

    อย่าได้หลง มายาแห่งนิพพาน
     
  9. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ "นิพพาน" คือความดับ แห่งเหตุปัจจัยนั้น"
     
  10. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    เราควรขอบคุณข่าวสารข้อมูลอันพึงประโยชน์
    ที่เขานำเอามาให้พิจารณา

    เราควรรับฟังแล้วนำมาพิจารณา
    การตีความไปต่างๆ นานๆ ตามจิตเราปรุงแต่ง
    ย่อมมีทั้งบวกและลบ

    บางเรื่องเป็นอจินไตย
    เห็นควรแค่พึงรับฟัง
    ก็เป็นสุขใจแล้ว
     
  11. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    บางคนนี่เราอาจกล่าวได้ว่า ประหลาด ทั้งที่เค้าบอกในสิ่งที่ฟังง่าย เข้าใจง่าย ก็ยังพยายามใช้คำนิยามให้ยาก ให้เป็นผู้ทรงภูมิ ทรงวิชา...บางคนก็เพ้อพก ดวงจิตรอวันตัดสิน...ตัดสินอะไรใครตัดสิน....บางคนก็น่าเสียดาย ดูน่าจะมีปัญญา ถ่ายรูปแทนตัวดูก็น่าจะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแต่พยายามจะทำตนให้เป็นผู้ทรงภูมิรู้ ใช้คำประหนึ่งผู้ถึงแล้ว แจ้งแล้ว ส่วงแล้ว ทำจนสำเร็จซึ่งพระนิพพานแล้ว

    ก็บอกอยู่เนี่ย ว่านิพพานน่ะ ไม่ใช่สภาวะ ไม่ใช่อารมณ์ มีอยู่จริงๆ....ไอ้พวกสงบแล้วดับสิ้น หมดสูญน่ะ....ไปเลย..ไปเป็น อรูปพรหมให้หมด...ไปเลย

    แล้วtelwada ปรามาสพระอรหันต์ผู้มีภูมิธรรมอันหาได้ยาก...อย่ามัวแต่จะอยากเป็นพระศรีอาริย์อยู่เลย....มันจะดิ่งลงนรก พร้อมดอกเบี้ยชาติต่อชาติอีกยาวนะ

    แล้วใครที่ชอบใช้ชื่อ อ้างชื่อ ศรีอารยะ หรือศรีอาริย์หรือพยายามจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นนะ อ่านลายเซ็นต์ข้างล่างด้วย ให้มันฟาดเข้าแก่นกระโหลกสักหนึ่งโป๊ก...ก่อนที่จะดิ่งลงนรกแล้วพาผู้ไม่รู้ตามลงไปด้วยนะ
     
  12. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    เห้อ.....เดินถึงหรือยังครับนิพานนะพยามเข้านะ เอาจัยช่วย
    เอาเวลาที่ ออกมาติติงคนอื่นนะ ไปหานิพานในตัวตนไห้เจอก่อนนะ
    เที่ยวมาว่าคนนั้นคนนี้ หยุดเถาะผมจะหยุดแล้วนะอีก ติสนึง
    ฉะเพราะตน จริงๆ ..............อนูโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
    อ่านอีกรอบ ความรู้เพิมขึ้นอีกเยาะเลยละ สาธุ
     
  13. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393

    ภูมิรู้มีเท่าไร จึงจะมาเอาใจช่วยเราน่ะ หืม เจ้าหนู สติตั้งให้มั่นมากพอที่จะพิมพ์ได้ไม่ผิดเสียก่อนเถิดนะ จึงมาสอนเรา นิพพานเราเดินตามหลวงพ่อท่าน แต่ไม่ถึงในเวลานี้ เรายังเหลืออีกหลายอสงไขยนัก แต่เราก็รู้ถึงนิพพานไม่ผิดเพี้ยนจากเจ้าของกระทู้....เจ้าล่ะ....รู้เช่นเดียวกันนี้หรือไม่ หรือเพียงแต่ได้อ่านและได้แต่อนุโมทนา...
     
  14. ratchayud

    ratchayud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +154
    ถ้านิพพานมีจริงแล้วถ้าเกิดเราบารมีน้อยบ้านหลังเล็กหรือวิมารไม่สวยแล้วจะแก้ได้ยังไงครับ
    เพราะเกิดไม่ได้อีกแล้ว(ถ้าตัดเรื่องของความอยากมีอยากเป็นไป)หรือถ้าเข้าพระนิพพานแล้วยังสะสมบารมีเพิ่มได้อีก ขอความกรุณาผู้รู้ตอบทีครับ
     
  15. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    ถ้ายังสนใจเรื่องอย่างนี้ ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ ความลังเลสงสัย

    ยังมีอยู่ ไม่จบ ไม่สิ้น สิ่งเหล่านี้ขวางดวงจิตหมดเลย เส็จเลย!!!

    รู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้เลยนะฮับผม ถ้าขืนเป็นแบบนี้เจ้าตัวไม่หายสงสัยสักที ก็ได้

    เอาแต่คิดว่าจริงแล้วสภาวะนิพพานนี่ มันเป็นอย่างไรกันหนอ

    เรื่องวิมานเล็ก วิมานใหญ่ ความเป็นอยู่จะอึดอัดไหม กำลังบุญบารมี

    ของเราจะเป็นอย่างไร วิมานสมบัติ จะเป็นเช่นไร สถานที่โดยรอบของเราจะเป็นเช่นไร

    ผมตอบอย่างนี้นะ สิ่งที่คุณจะเห็นสภาวะ จะเป็นสวรรค์สมบัติก็ดี พรหมโลกสมบัติก็ดี

    หรือนิพพานสมบัติก็ดี มันก็มาจากสิ่งต่างๆ สาธารณะประโยชน์ที่คุณสร้างไว้ ทำไว้ คุณความดี

    ที่คุณเคยช่วยคน สงเคราะห์คน เจ้าความดีทั้งหลายแหล่ ของทุกชาติ ทุกภพ

    ที่คุณเกิดมานับไม่ได้ว่ากี่ล้านชาติ จนถึงปัจจุบัน ก็จะไปรวมตัว

    สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจากกำลังใจของคุณเองทั้งสิ้น ว่าคุณได้ทำอะไรมาบ้างในอดีตที่ผ่านมา

    ถ้าคุณทำถึง ทำได้แล้ว ก็จะถึงบางอ้อเอง!! (แต่สภาวะพระนิพพาน หมดความยึดมั่น ถือมั่นแล้ว มีแต่ความเบา ความสดชื่น ของดวงจิต มันไม่สนหรอกเรามีไอนั่น เราไม่มีไอ้นี่ ใจเราบรู้แค่นั้นเอง ความกังวลแม้แต่ธุลี ของสภาวะนิพพานนี่ไม่มี ใจเบาปลดภาระทางใจหมดสิ้นแล้ว แต่พอเรากลับมาสภาวะดังเดิมที่เป็นอยู่ใจมันก็อดคิดไม่ได้ธรรมดา)


    วิธีการก็คือ คุณต้องรักษาศีลห้าไห้ได้ถ้าเป็นคนธรรมดา สมาธิต้องฝึกไห้มีเกิดขึ้น

    และที่สำคัญกำลังใจการตัดความรัก ความอาลัยทั้งหมดในโลก แม้กระทั่งร่างกายของคุณเอง ตัดไห้ได้เด็ดขาด มองเห็นแต่โทษ เห็นแต่ความไม่ดีของร่างกายจริงๆ นั่นแหละคุณจึงจะมีโอกาสเข้าสู่สภาวะพระนิพพานได้

    คุณลองทำดูนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่น ถือมั่น

    อุปทานทั้งหลายแหล่ ช่วงที่คุณทำกำลังใจตัดมันได้อย่างเด็ดขาดแล้ว

    ใจคุณจะสงบ มีความสุข สดชื่นในดวงจิต

    ศีล สมาธิ ปัญญา ทำบ่อยๆ โอกาสพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองจึงจะมีเกิดขึ้นได้

    ไม่งั้น ไม่หายสงสัยนะ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กรกฎาคม 2010
  16. ratchayud

    ratchayud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +154
    ถ้าเราเห็นสวรรค์ นรก จากมโน สิ่งที่เห็นจะจริงไหมครับหรือพิสูจน์ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเห็นมันจริง
     
  17. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    ของง่ายๆนะ ถ้าคุณสนใจที่จะฝึกจริงๆ


    ยกตัวอย่างคนที่จะเป็นครูคน ต้องฉลาดมากพอไช่ไหม


    แล้วที่จะสอนลูกศิษย์ได้ ก็ต้องฉลาดกว่าลูกศิษย์ไช่ไหมครับ มีความรู้มากกว่าลูกศิษย์ถูกไหมครับ ไม่งั้นสอนลูกศิษย์ไม่ได้ ถูกไม่ถูก???


    การสอนมโนยิทธิ จะไม่เหมือนสำนักอื่นๆ ตรงที่ว่าสำนักสอนส่วนมาก ไช้วิธีการสอบถามอารมณ์ ลูกศิษย์ไช้ถามเอา บางทีก็มีศิษย์โดนลูกศิษย์หลอกเอาได้ ก็ไช้วิธีถามเอา
    ตอนนี้ จิตใจ สภาวะอารมณ์เป็นไง ก็ถามมาตอบไป
    แต่การฝึกมโนยิทธิ อาจารย์หรือครูผู้ฝึกเขาจะนั่งสมาธิควบคู่อยู่กับลูกษย์ ใช้กำลังสมาธิ หรือทิพย์จักขุญาณตามกำลังใจความรู้สึกของคนที่ไปฝึก

    ทำไม่ได้ นั่งไปมืดตื้อไปหมด ครูเขาเห็นนะ!!เขารู้ใจคุณ หลอกไม่ได้ นั่งไปมันมืดสนิทแล้วบอกว่าผมเห็นนั่น เห็นนี่ ถ้าไปเจอครูผู้ฝึกมารยาทท่านดีหน่อย ท่านอาจจะบอกวันนี้ พอแค่นี้ก่อน

    ถ้าไปเจอครูนิสัยตรงๆมีหวังโดนตะเพิด!! แล้วจะเสียหน้าเอา
    ที่ฝึกได้เลย ส่วนมากจะเป็นของเก่าแต่เดิมติดตัวมา
    อาจารย์หรือครูฝึกเคาะสนิมไห้แปปเดียวก็เรียบร้อย
    ไปได้เลย
    ที่ฝึกไม่ได้ก็มีเยอะมาก ที่ไปครั้งแรก ครั้งสอง สาม สี่ ไม่ได้ก็เยอะ ครั้งหก ครั้งเจ็ดถึงได้ก็มี
    ที่ไม่ได้เลยก็มาก แต่ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้น้อยอก น้อยใจอะไร วาสนาใครก็ของใคร ทำกันมาไม่เหมือน ก็ต้องค่อยๆทำกันไป ก็อาศัยเดินแบบสาย
    วิปัสสโก ไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
    แต่รู้จักการละ การวาง ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง

    ก็มีความโลภ อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ที่เป็นไฟเผาผลาญใจ ความหลง หลงผัวหลงเมีย หลงทรัพย์สมบัติ หลงชีวิต ว่าสิ่งต่างๆมันจะอยู่กับเราตลอดกาล ตลอดสมัย หลงประมาทในการดำเนินชีวิต แบบนี้เป็นต้น อันนี้สำคัญมาก

    เรื่องฝึกมโนยิทธิ ต้องไปหาครูอาจารย์ที่ทำได้จริง

    แล้วจึงจะสอนเราไห้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้

    ไปได้ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที

    ถ้าสนใจซ.สายลมก็มีฝึกสอนทุกๆต้นเดือนลองดู
    ไม่ลองไม่รู้ไช่ไหม(สายมโนมยิทธิ ครูผู้ฝึกถ้าไม่รู้ ไม่เห็นกำลังใจลูกศิษย์ เป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้ ศิษย์บางคนทำกรรมชั่วไว้ในอดีต แล้วเจ้ากรรมนี่มันมาปิด
    ไม่ไห้ทำดี สร้างความดีต่อ อาจาย์เขาก็เห็นนะ บางราย พอขอไห้เจ้ากรรรมนายเวรอโหสิ ก็ไปได้เลย แบบนี้ก็มี)


    (การไปฝึกก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แม้แต่บาท เสียแต่ค่ารถของผู้ที่จะไปเท่านั้นเอง

    นอกนั้นก็ฟรี น้ำเย็นๆก็มีไห้ดื่ม เอาแต่สงสัย มันหายนะ!!ไม่ลองรู้ ไช่ไหม ไม่มีอะเสียหายเลยนี่น้า)

    ผมหมอ........ฟันธง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กรกฎาคม 2010
  18. ratchayud

    ratchayud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +154
    ช้าสุดคนที่ฝึกที่ผ่านมากี่ปีครับ แบบเห็นจริงๆเลยทดสอบได้เลย
     
  19. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    อนุโมทนาครับ กับเจ้าของกระทู้

    หากเรามีใจเป็นกลาง ไม่มีเหลือความชอบใจและไม่ชอบใจในตน
    จักมองคำสอนของแต่ละคนเป็นเหมือนดั่ง "สาร" ที่ต้องแกะรหัสกันไป
    ตามมโนภาพที่เราเชื่อและศรัทธา
     
  20. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    จุดหมายปลายทางคือระยะทางเดินนั้นยาวเท่ากันหมดทุกคน หมายถึง ให้จิตนั้นออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ได้ ให้หมดสิ้น ใครละได้มากกว่า ได้บ่อยกว่า ก็อิสระก่อน
    ครขยันเดินก็ถึงก่อน
    ใครเดินบ้างหยุดบ้างก็ถึงช้า
    ใครไม่เดินก็ไม่ถึง

    ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของตนเอง คือของใครของมันเท่านั้นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...