สิ้นสุดแห่งการแสวงหา ชีวิต และความตาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 8 พฤษภาคม 2010.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ข้าพเจ้าอยากพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่รวมเอาทั้งหมดของชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน บางอย่างที่มิได้เป็นเพียงส่วนเสี้ยว แต่เป็นทั้งหมดของการดำรงอยู่ของมนุษย์ สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากให้ท่านมองดูให้ดีก็คือ ข้าพเจ้าพูดถึงมนุษย์ไม่ใช่คน พวกเรามักเข้าใจผิดว่ามนุษย์กลับคนคือสิ่งเดียวกันทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ นิชเช่พูดถูกทีเดียว มนุษย์คือสะพาน สะพานที่เชื่อมระหว่าแผ่นดินพระเจ้า นิพพาน เต๋า กับคน มนุษย์เป็นการเดินทาง เป็นการเลื่อนไหลไปที่ไหนสักแห่ง เป็นกระบวณการ คล้ายกลับแม่น้ำที่กำลังไหล ไปยังที่ที่ไกลแสนไกล เข้าไปในความมืดมิด

    ต่คนไม่ใช่เช่นนั้นคนเป็นอะไรที่หยุดนิ่ง คนกลัวความตาย กลัวการมีชีวิต แต่มนุษย์ไม่ความตายคือการผจญภัย คือการกลับไปยังจุดเริ่มต้นแล้วเขาจะกลัวมันได้อย่างไรล่ะ ก่อนอื่นเพื่อที่จะสืบสาวลงไปให้ลึกมากกว่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะต้องปล่อยวางจากการยึดมั่นในความรู้ ความเชื่อ และหลักคำสอนทั้งหลายที่ท่านยึดมั้นเสียก่อน เพราะมิเช่นนั้นท่านจะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหัวเราะท่าน

    ถ้าท่านไม่อาจจะล่ะทิ้งถ้อยคำใดก็ตามที่ท่านไปรับจากผุ้อื่นมา สิ่งที่ไม่ได้จากประสบการณ์ของท่านจริงๆ ท่านก็จะไปต่อไม่ได้ เพราะจิตใจของท่านนั้นจะไม่รู้จักที่จะวางลง ท่านเอาแต่วิเคราะห์ ถกเถียงว่านั้นถูกต้องหรือนั้นผิด นั้นดีหรือนั้นชั่ว นั้นเป็นแสงหรือความมืด ท่านแบ่งแยก ท่านทำตัวน่าสมเพสและน่ารำคราญ ท่านเป็นใครกัน ที่จะมาบังอาจ ฉีกสรรพสิ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถ้าท่านทำแบบนี้ท่านก็จะไม่เข้าใจกระบวนการทั้งหมดของชีวิต

    ท่านเองแต่เดินตามทางของคนอื่นเท่านั้น เพราะมันอาจจะทำให้ท่านรู้สึกปลอดภัยเพราะการเดินตามฝูงชนนั้นมีหลักประกัน จงทิ้งความเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรืออะไรก็ตามไปก่อนก่อนที่จะตามข้าพเจ้ามา

    ถึงตอนนี้มีสามสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งร่ามกัน หากพวกเราเราต้องการซึมทราบในกระบวนการทั้งหมดของชีวิต นั่นคือ เวลา ความทุกข์ กับความตาย การที่จะเข้าใจเวลา ซึมซับถึงความสำคัญเต็มเปี่ยมของความทุกข์ และอยู่กับความตายได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ของรัก และอยู่กับการเกิด แก่ เจ็บ และความตายได้ ความรักในแบบของพระเยซู และพระพุทธเจ้า นั้นไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่อุดมคติอะไร ถ้าท่านต้องการที่จะสัมผัสมันให้ได้ ท่านต้องก้าวข้ามมาถึงจุดที่ว่าความรักนั้นมีแค่ รักหรือไม่รัก มีเพียงเท่านี้ ท่านไม่อาจเรียนรู้วิธีที่จะรัก ไม่มีวิธีฝึกฝนประจำวันเพื่อให้รู้ว่าความรักคืออะไร มีแต่เลื่อนไหลไปกับมันเท่านั้นความรักที่แท้จริงจะต้องหลอมรวมความรักแบบที่ท่านเข้าใจ และ ความเกลียดเข้าไว้ด้วยกัน มันเป็นความรักแบบไร้เงื่อนไข

    ความรักที่ทำเพื่อตนเองอย่างแท้จริงความรักที่มอบอิสรภาพให้ท่านและคนที่ท่านรักนี่แหละวิธีที่ท่านจะมองได้ว่ารักของท่านนั้นเป็นรักแท้หรือไม่ ท่านให้ความรักเพราะท่านอยากที่จะรัก ท่านทำเพื่อตนเอง ดังนั้นท่านไม่ได้ทำเพื่อใคร และใครก็ไม่ต้องมาตอบแทนท่าน ท่านอาจจะบอกได้ว่าความรักเป็นอย่างไร แต่ ท่านไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าความรักคืออะไร พระพุทธเจ้าแสดงให้ท่านเห็นว่าท่านเองก็สามารถที่จะมีความรักได้อย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายดาย และเป็นไปเอง มันไม่ใช้เรื่องเพ้อฝัน เราสามารถที่จะมีดวงตาที่สดใสกล่าวที่เป็นอยู่ไม่มืดบอดก็เพราะความรักนี่เอง การที่จะเข้าใจความทุกข์ได้นั้น
    มันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เมื่อเราเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความหมายของกาลเวลา เข้าใจถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของความทุกข์ และความบริสุทธิ์ที่มาพร้อมกับความตายมันก็เป็นไปได้


    ในชีวิตเรานั้นบางทีอาจจะมีสักครั้งที่เรามานั้งพินิจพิจารณาถึงธรรมชาติของเวลา พิเคราะห์ถึงคุณลักษณะหรือโครงสร้างของความทุกข์ และสิ่งพิเศษสุดที่เราเรียกว่าความตายได้ตามความเป็นจริง ซึ่งท่านจะต้องไม่มองมันในเชิงทฤษฎีหรือนามธรรมใดๆ ทั้งสามสิ่งนี้มิได้แยกขาดจากกัน ถ้าท่านเข้าใจเวลา ท่านก็จะเข้าใจว่าความตายคืออะไร และท่านก็จะเข้าใจด้วยว่าอะไรคือความทุกข์ แต่หากท่านถือว่าเวลาเป็นสิ่งที่แยกขาดจากความทุกข์และความตาย แล้วพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมันเป็นส่วนๆ วิธีการของเราก็เป็นการแบ่งแยก เราจะไม่มีวันซึมทราบถึงความงามยิ่งและความมีชีวิตชีวาของความรักได้
    เรากำลังเข้าไปสัมพันธ์กับกาลเวลามิใช่ในฐานะที่เป็นนามธรรม แต่ตามความเป็นจริง กาลเวลานั้นเป็นคาบ เป็นความสืบเนื่องของการมีอยู่เป็นอยู่ มีเวลาที่เป็นลำดับ เป็นชั่วโมงและวัน ยืดขยายออกไปจนเป็นล้านปี กาลเวลาที่มีลำดับต่อเนื่องนี้เองที่สร้างจิตปรุงแต่งที่เราใช้ประกอบภารกิจ ใช้กระทำสิ่งต่างๆ จิตใจเป็นผลของกาลเวลาที่เป็นความสืบเนื่องของการมีอยู่เป็นอยู่ การขัดเกลาหรือการฝึกจิตใจให้สมบูรณ์พร้อม โดยอาศัยความสืบเนื่องนั้น เรียกว่า ความก้าวหน้าซึ่งเป็นไปไม่ได้การขัดเกลานั้นน่าหัวเราะ

    นอกจ่ากนี้เวลายังเป็นคาบซึ่งเกิดจากกระบวนการทางจิต ที่ความคิดสร้างขึ้น เป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จ เราใช้เวลาในการสร้างความก้าวหน้า เพื่อบรรลุความสำเร็จ เพื่อกลายเป็น หรือนำมาซึ่งผลลัพท์อย่างหนึ่ง เราสร้างจุดมุ่งหมาย ท่านอาจจะอยากเป็นเศรษฐี เป็นนักการเมือง เป็นนักบุญ เป้นพระเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น เวลาจึ่งเป็นเสมือนสะพานให้เดินข้ามไปสู่อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อพัฒนาความสามารถพิเศษบางประการ เพื่อสร้างความสมบูรณ์พร้อมเพื่อบรรลุความสำเร็จ หรือบรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะมีค่าควรแก่การสรรเสริญหรือไม่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ เราจึงคิดว่าเวลามีความจำเป็นต่อการตระหนักรู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือพระเจ้า อะไรที่อยู่พ้นไปจากความทุกข์ยากทั้งหมดทั้งมวลของมนุษย์
    พวกเราส่วนใหญ่ถือว่า เวลาเป็นระยะห่างระหว่างขณะปัจจุบัน กับบางขณะที่อยู่ในอนาคต และเราก็ใช้เวลาแบบนี้บ่มเพาะลักษณะเฉพาะของตัวตนของเราขึ้นมา หรือขจัดนิสัยบางอย่างไป เพื่อขยายอำนาจหรือโลกทัศน์ สองพันปีมาแล้วที่จิตใจของชาวคริสต์ถูกวางเงื่อนไขให้เชื่อในพระผู้ไถ่ เชื่อในนรก สวรรค์ ส่วนในทางตะวันออก จิตใจก็ถูกวางเงื่อนไขทำนองเดียวกันนี้มาเป็นเวลาที่นานกว่ามาก เราคิดว่าเวลาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องทำหรือต้องเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงกลายเป็นสิ่งหน่วงหนัก เป็นอุปสรรคขัดขวางการรับรู้สภาวะที่เป็นจริง มันกันเรามิให้มองเห็นสัจจะของบางสิ่งบางอย่างในฉับพลันทันที เพราะเราคิดว่าเราต้องใช้เวลา เราบอกว่า "พรุ่งนี้หรือในเวลาสองปี ฉันจะต้องเข้าใจสิ่งนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง" ในทันทีที่เรายอมรับเวลา เราก็ได้เพาะความเกียจคร้านขึ้นมา เป็นความเกียจคร้านอย่างยิ่งที่ขัดขวางมิให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นอยู่จริงได้ในฉับพลันทันที
    ท่านคิดว่าท่านต้องการเวลาในการเอาชนะเงื่อนไขที่สังคมกำหนดไว้ให้จิตใจ สังคมที่มีศาสนา เป็นองค์กร และสถาบัณอื่น ท่างสังคม ที่มีจัดตั้งอย่างเป็นระบบ มีหลักศีลธรรม มีหลักคำสอน มีทิฐิ และมีจิตใจที่แก่งแย่งแข่งขันกันท่านคิดโดยสัมพันธ์กับเวลา เพราะความคิดเป็นผลของเวลา ความคิดเป็นการสนองตอบของความทรงจำ ความทรงจำเป็นภูมิหลังที่สั่งสม สืบทอด และได้รับมาโดยเผ่าพันธุ์ ชุมชน กลุ่มคน ครอบครัว และโดยตัวของปัจเจกเอง ภูมิหลังนี้เป็นผลจากกระบวนการสะสมพอกพูนของจิตใจ และการสะสมนี้ก็ต้องใช้เวลา สำหรับเราทุกคนแล้ว จิตใจก็คือความทรงจำ และเมื่อใดก็ตามที่มีการท้าทาย การเรียกร้อง ความทรงจำของเรานั่นเองที่เป็นตัวสนองตอบ เหมือนการตอบสนองของสมองกลที่ทำงานโดยอาศัยความสัมพันธ์ ความคิดเป็นการตอบสนองของความทรงจำ ซึ่งโดยธรรมชาติของมันแล้วเป็นผลผลิตของกาลเวลาและเป็นผู้สร้างเวลาขึ้นมาเอง ท่านมักหนีจากตัวเองไปยังอดีตเมื่อครั้งที่ท่านเคยงดงาม ร่ำรวย เยาว์วัย เต็มไปด้วยอำนาจ พลังในการมีชีวิต หรือไม่ก็หนีไปยังอนาคตที่ซึ่งสวรรค์ โลกใบใหม่ที่มีแต่ความเท่าเทียม โลกพระศรีอาริยน์ โลกแห่งประชาธิปไตย โลกอนาคตที่ซึ่งความทุกข์ระทมหายไป ท่านรู้ดีว่าชีวิตคือความทุกขื ท่านจึ่งพยายามกนี ท่านไม่อาจจะอยุ่กับปัจจุบัน และท่านก็พลาดจากปัญญาที่จะพาตนเองพ้นไปจากวงเวียนแห่งการเวียนนว่ายตายเกิด ทั้งที่ท่านทุกคนๆมีอยู่พร้อมแล้ว เสมอกันมิแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยมันไม่ได้อยู่กลับใครสักคนที่สั่งสมบุญบารมีมาแต่ภพชาติไหน มันไม่ได้อยู่กับศาสดา ไม่ได้อยู่กลับนักบุญ ไม่ได้อยู่กลับผู้ทรงปัญญา มันอยู่กับตัวท่าน เพียงแต่ท่านไม่รู้เอง มันอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่อนาคตที่ท่านมีทุกอย่างพร้อม มันเป็นแค่การปลอบใจ
    ท่านมัวแต่ไปแสวงหาอะไรกันก็ไม่รู้ ดังนั้นโลกจึ่งวุ่นวาย ปัญญาที่จะหาวิธีละทิ้งซึ่งอัตตาไปจากใจตน รู้เท่าทันมัน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกของท่านว่ามรรค
    ผู้ปฏิบัติธรรม มักเอาแต่มัวเมา สวดมนต์ กราบไหว้พระพุทธรูป การไหว้คำสอนของพระพุทธเจ้า คิดว่านำมาท่องบ่น แขวนคอ แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลบันดาลปัดเป่าสิ่งร้ายๆ ให้พ้นไปจากตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้พ้นจากความทุกข์ การเกิดแก่เจ็บตาย นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ พระพุทธเจ้า พระเจ้า พระเยซู เต๋า อยุ่ต่อหน้าท่านตอนนี้ตรงนี้ ขยะเหล่านี้ความรู้ ความเชื่อ และหลักคำสอนที่ท่านเองแต่หลงใหลเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นอัตตา แม้ท่านจะกราบไหว้แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสอน ไม่ทำความเข้าใจ ก็หามีประโยชน์ใดไม่ ไม่มีใครช่วยท่านข้ามฝั่งได้นอกจากตัวท่านเอง
    ท่านหนีจาสกปัจจุบันและปล่อยให้เวลาพันธนาการ
    เพราะงั้นท่านจึ่งเกลียดกลัวความตาย ท่านมักเห็นว่าความตายคือศัตรูที่สำคัญทึ่สุดของท่าน ท่านมักใช้ชีวิตหมดไปกับอะไรบางอย่างโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองมาที่ความตาย ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าความตายสำหรับท่านหมายถึงอะไร?

    การสูญสิ้นร่างกาย สูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ความทรงจำ สูญสิ้นอัตตาจอมปลอมทั้งหลาย ที่ทำให้ท่านรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของท่าน และท่านก็ทำตัวน่าสมเพสด้วยการหวังและเชื่อว่า จะมีความสืบเนื่องต่อไปหลังการตาย ตัวตนของท่านไม่ได้หายไปไหน ท่านยังคงมีชีวิตนิรันดริ์ อะไรบางอย่างที่เรียกว่าตัวตนของท่านยังคงดำรงอยู่ไม่ได้ไปไหน(วิณญาณ)

    แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า บางทีมันก็แค่การที่มีอะไรบางอย่างที่หายไปจากตรงนี้ อะไรบางอย่างที่เรียกว่าอัตตาตัวตน อะไรบางอย่างที่กลับไปยังที่ที่มันจากมา สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเห็นด้วยกลับกฤษณมูรติ ความสืบเนื่องของความทรงจำนั่นเองที่นำความตายมาสู่ท่าน และความทรงจำก็เป็นเพียงผลของตัณหา อุปาทาน และความอยาก ที่ขับเคลื่อนไป สิ่งนี้หมายความว่ายังไง

    อัตตาของท่านที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งพวกนี้ ทำให้ท่านรู้สึกถึงการดำรงอยู่เพราะท่านได้ถูกจองจำในเวลาเสียแล้ว เวลาทำให้เกิดการสะสมทั้งวิชชา(ในที่นี้หมายถึงความรู้ที่ยังนำความทุกข์โศกมาสู่ท่านความรุ้ที่ไม่ได้นำไปสู่การดับสิ้นความทุกข์โศก)และอวิชชา(ความไม่รู้) และ ท่านก็แสวงหาอะไรบางอย่างมาเติมเต็มท่านเปรียบเสมือนคนบ้า ท่านเหยียบได้แม้แต่หัวของพระเจ้าหรือศาสดาของท่าน ท่านทำได้แม้แต่กระทั้งขู่เข็นบังคับอะไรก็ตามเพื่อตอบสนองท่าน เมื่อท่านสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า พระพุทธรูปหรืออะไรบางอย่าง ท่านก็เอาเศษเดนของท่านมาติดสินบนสิ่งต่างๆเหล่านี้ พร้อมทั้ง กดขี่พวกเขาลงมาเป็นทาสรับใช้ของท่าน ท่านทำในสิ่งที่น่าเนื้อใจเสือ ปากท่านพร่ำร้องว่าท่านอาจารยน์ผู้ยิ่งใหญ่ พระบิดา แต่ลึกในใจท่านท่านคิดว่า ถ้ามีอะไรก็ตาม สามารถให้พรท่าน ให้เอาอะไรก็ได้1อย่าง ท่านก็จะพูดว่า เอาทุกอย่าง ถ้าแกให้ข้าไม่ได้ข้าจะฆ่าแกทิ้งซะแล้วเป็นพระเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า แทนแกเอง นี่คือเหตุผลที่นำมาซึ่งความทุกข์ระทม อัตตาทำให้เกิดภพชาติ ดังนั้นท่านความตายจึ่งเริ่มขึ้นตรงนี้

    ดังนั้น สำหรับผู้ที่ปราศจากตัณหาความทะยานอยาก จึ่งไม่มีความตาย เพราะอัตตาที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจะหายไป การดำรงอยู่ของท่านจึ่งไม่มีทั้งการเริ่มต้นและสิ้นสุด ไม่มีทั้งความรัก และความโศกเศร้า ข้าพเจ้าอยากที่จะกล่าวว่าการพยายามไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้ามย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น ย่อมทำให้เกิดความทุกข์ระทมขึ้น

    หากข้าพเจ้ากลัว ข้าพเจ้าก็ต้องแสวงหาความกล้าหาญ กระนั้นความกลัวก็ยังติดตามข้าพเจ้าอยู่ เหมือนเงาตามตัว เชือกที่ชักใยยังไม่ถูกตัด ข้าพเจ้ายังเป็นหุ่นเชิดที่ถูกพันธนาการ ข้าพเจ้าเพียงแต่หนีจากความกลัวอย่างหนึ่งไปอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น
    ขณะเดียวกัน หากข้าพเจ้าตัดเชือกทิ้งและแสดงบทบาทเอง ปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระจากความกลัว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักทั้งความกล้าและความกลัว ในสิ่งต่างๆที่ตรงกันข้ามก็เป็นเช่นนี้ ถ้าท่านแสวงหาความดีท่านก็จะถูกพันธนาการ ถ้าท่านแสวงหาความสมบรูณ์แบบท่านก็จะถุกพันธนาการ คนเรามักชอบยึดติดกับสำนวนหรือคัมภีร์ใดๆ พวกเขามักจะไม่แสวงหาเส้นทางของตน พวกเขามักดีแต่เดินตามฝูงชน เพราะงั้นท่านจึ่งเห็นว่าพวกเขามักทำสิ่งที่โง่เขลาเช่น กราบไหว้ต้นไม้ คัมภีร์ หิน สิ่งก่อสร้างอะไร ก็ตามที่พวกเขาคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึ่งไม่โตเสียที การปลดพันธนาการคือ สิ่งที่เรียกว่าวุฒิภาวะ มันไม่ใช่อะไรอื่นมันคือการย้ำเตือนให้ท่านหยุดแสวงหาและเหลียวกลับมามองที่ข้างใน


    พันธนาการต่างๆที่ท่านสร้างขึ้น ทำให้ท่านตกเป็นเครื่องมือของพวกพระ นักบวช แร็บไบ ปลอมๆทั้งหลาย ที่กล่าวมานี้เป็นเกมของผลประโยชน์ทั้งนั้น ธุรกิจมหาศาลของขยะสังคม ปรสิตพวกนี้ เกิดตรงจุดนี้เมื่อพวกเขาครอบงำท่าน ด้วยความกลัว เขาทำให้ท่านคิดว่า ตนเองเป็นคนบาปได้ ท่านจะต้องตกนรกและมีแต่พวกเขาที่ช่วยท่านได้ ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องโง่ๆแบบนี้ทำไมถึงไม่มีใครบอกท่านล่ะว่านี่คือ เรื่องโง่ๆ แน่ล่ะว่าไม่

    เพราะ คนอื่นยังคงกราบไหว้ ยังคงทำแบบเดียวกับท่าน พวกเขาก็โง่เขลา ถ้าท่านเข้าใจที่ข้าพเจ้าพูด ถ้าท่านล่ะทิ้งการแสวงหาการเปรียบเทียบคุณค่าของสิ่งต่างๆท่านก็จะมองว่าทุกๆสิ่งนั้น ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่ อิฐ ดิน หิน ที่อยุ่ตามโบรถ์ที่ท่านปั้นขึ้นแทนพระพุทธเจ้า เจ้าลัทธิของท่านหรืออะไรก็ตามที่ท่านนำมาแขวนคอไว้เยี่ยงสุนัขมีเจ้าของ ที่มีปลอกคอฝั่งเพชรที่ช่างสวยหรู ท่านจะพบว่าท่านสามารถเห็นสิ่งไร้ค่าต่างนั้นงดงามขึ้นมาได้ เมื่อท่านมองด้วยสายตาที่ตื่นแล้วแบบนี้ แม้แต่การอาบน้ำหุงข้าวก็จัดเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ได้ นี่เป็นการลืมตามองความจริง หรือที่เซ็นเรียกว่าการมีสติ การตื่น ไม่พยายามที่จะไขว่คว้า และเป็นอิสระจากแรงจูงใจที่ชักจูงทำให้เกิดการกระทำนั้นขึ้น ท่านก็จะหลุดรอดออกจากพันธนาการไปได้
    การแสวงหาที่ภายนอกแต่หลงลืมภายใน ไม่สามารถเติมเต็มการมีชีวิตให้ท่านได้หรอก หากท่านเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จงเฝ้าดูมัน อย่าสร้างแรงจูงใจใดๆ ที่จะทำให้ท่านกระทำสิ่งที่กล้าหาญ แต่จงเฝ้าดูต่อไปดูให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากความกลัว นั่นเป็นการกระทำที่ปราศจากแรงจูงใจ เป็นการกระทำที่ข้าพเจ้ามักพูดเสมอๆว่า ทุกการกระทำล้วนมีจุดประสงค์แต่ปราศจากเป้าหมาย


    คนมักแสวงหาความหมาย การเปรียบเทียบนำไปสู่ การแสวงหาความหมายท่านเข้าใจไหม บางคนหาความหมายของชีวิต บางคนหาความหมายของจริยธรรม สุดแล้วแต่ ถ้าท่านไปหานักบวชพวกเขาก็จะพูดแบบนี้ พวกเขากำลังทำสิ่งนี้ แต่พอท่านถามว่าแล้วท่านได้ความหมายว่าอย่างไรล่ะ กับจริยธรรมที่ท่านหามาทั้งชีวิต

    ลึกในใจเขาจะตอบว่า กูไม่ได้อะไรเลยกูเลิกทำสิ่งนี้ไปนานแล้ว ท่านรู้ไหมว่ามันเพราะอะไร? ง่ายมากทุกๆสรรพสิ่งล้วนไม่มีความหมาย ชีวิตคนเราล้วนไร้ความหมาย มันไม่มีความหมายที่ท่านจะแสวงหา ท่านแค่ดื่มด่ำไปกับมันก็พอ สรรพสิ่งมันไม่ได้กำลังจะไปไหน มันเพียงเลือนไหล และดำรงอยู่ เป็นความปิติ ทำไมคนเราจึ่งชอบหาความหมาย เพราะพวกเขารู้ว่าชีวิตไม่มีความหมาย สรรพสิ่งไม่มีความหมาย มันแค่ดำรงอยู่ดังนั้นพวกเขาจึ่งรับไม่ได้

    หากท่านเข้าใจสิ่งนี้จริงๆ ท่านจะเห็นว่าเวลา และความตายในฐานะที่เป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคตจะสิ้นสุดลง ความตายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุที่พวกเราหมกมุ่นอยู่กับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนั้น ดังนั้นพวกเราจึงต้องวิ่งเข้าหาผู้อื่น สิ่งอื่น เช่นท่านต้องการเอกภาพ ท่านค้นหาสิ่งที่ดำรงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง แบบนี้นั้นมันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้ามแบบที่กล่าวไป และด้วยเหตุนี้ พวกท่านจึงยึดเอาความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไว้ตลอดไป ยึดเอาความทุกข์โศกไว้ตลอด


    ลองฟังเรื่องนี้ดูเรื่องเล่าที่ข้าพเจ้าชอบมากๆ ชายที่สิ้นหวังและกำลังจะโดดตึกตาย ทันใดนั้นหญิงชราอัปลักษณ์ก็มาหาเขา

    หล่อนพูดว่า "หยุดเจ้าจะทำอะไร ข้าคือแม่มดข้ามีพรให้เจ้าสามข้อที่จะช่วยเจ้าได้"

    ชายคนนั้นพูดว่า "ยอดเลย แต่ผมต้องให้อะไรท่านตอบแทนล่ะ"

    เจ้าจะต้อง "ร่วมรักกับข้า1คืน"

    แน่นอนว่าชายคนนั้นตกลง เขาสิ้นหวัง ลุกเมียหนีเขาไป เขาตกงาน เป็นหนี้ และป่วยเป็นโรคร้าย ถึงแม้ว่ามันจะต้องหลับตาบิ้วอารมณ์ไปนิด เพราะหน้ายายแก่คนนี้ช่างทุเรศเหลือทนแต่ก็ดีหกว่าชีวิตตอนนี้แหละน่า ผลตอบแทนก็คุ้มอยู่ ทั้นใดนั้นเขาก็ขอพร เขาขอชีวิตเขาให้คืนมาทั้งหมด และ ทั้ง2ก็ไปจบที่โรงแรมท่ามกลางความยายลำบากของชายผู้ฝืนทน

    ระหว่างที่เขากำลังใส่เสื้อเพื่อกลับไปบ้าน เพื่อดูลูกเมียที่กลับมา เงินกองใหญ่ และโรคที่หายไปตามพร หญิงชราก็พูดขึ้นว่า "เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วพ่อหนุ่ม"
    เขาตอบว่า "ข้าอายุ40"

    หญิงชราหัวเราะและพุดว่า "เจ้าก็แก่แล้วนี่แล้วทำไมยังเชื่อเรื่องเหลวไหลอย่างแม่มดอีกล่ะ"

    บางครั้งท่านอาจจะ สนใจเรื่องเหนือธรรมชาติ เพื่อหนีจากการเผชิญหน้ากับความเปล่าเปลี่ยวนั้น ดังนั้นจึ่งมักพูดถึงพระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับนรกสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อเรื่องเหลวไหลแบบหนึ่ง ท่านก็จะเชื่อมันทุกเรื่อง นี่แหละคือสาเหตุที่ท่านไม่รุ้จักโตเสียที เพราะงั้นท่านจึ่งไม่เคยมองเห็นว่า ศาสนาที่แท้จริงนั้นคือเรื่องของวุฒิภาวะไม่ใช่เทววิทยา<!-- google_ad_section_end -->
    การทิ้งเรื่องไร้สาระเหล่านี้ และหันมาพูดอย่างพระเจ้า เป็นการปลดปล่อยท่านออกจากความเขลา ความไร้เดียงสา และนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการจะสื่อนิพพานหาใช่สิ่งใดอื่นไม่นอกจากอิสรภาพทางจิตวิณญาณ



    ในการเผชิญหน้ากับความเปล่าเปลี่ยวนั้น ในการยินดีกับมันอย่างเต็มเปี่ยม รู้จักมันอย่างมีสติ เท่ากับท่านได้ทำลายความเปล่าเปลี่ยวในปัจจุบันนั้นไปได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึ่ง ปราศจากความตาย เพราะแรงปราถนาที่ต้องการเติมเต็มนั้นหายไป

    สรรพสิ่งต้องมีการเสื่อมสูญไป สิ่งทั้งหลาย ได้แก่ ร่างกาย คุณลักษณะ การต่อต้าน อุปสรรคขัดขวาง ทั้งหมดนี้ต้องเสื่อมสูญไปโดยแท้ แต่ผู้ที่เป็นอิสระจากการต่อต้านและอุปสรรคขัดขวาง ทั้งในทางความคิดและอารมณ์ ย่อมรู้ซึ้งถึงความเป็นอมตะ มิใช่รู้ถึงความสืบเนื่องแห่งข้อจำกัดของตัวเขา แห่งอัตลักษณ์ และปัจเจกภาพของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเพียงชั้นต่างๆ ของตัณหา อุปาทานและความอยาก ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนีการใช้ชีวิตตามความจริง เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิดว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ท่านอาจไม่เห็นด้วย แต่หากท่านปราศจากความคิด หากท่านหยั่งลึกลงไปโดยอาศัยการตระหนักรู้ในตนเอง โดยอาศัยการมีสติจดจ่อ โดยอาศัยเปลวไฟอันแรงกล้าเหล่านั้น ท่านก็จะพบความเป็นอมตะซึ่งเป็นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ ที่ซึ่งความแตกต่างทั้งหมดสิ้นสุดลง

    ท่านเคยสงสัยไหมว่า ทำไมถึงมีการความกลัวตาย? ทั้งที่ท่านเองก็ไม่รู้จักมัน ท่านจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อท่านไม่เคยมีประสบการณ์กลับมัน เมื่อใดที่เรายึดมั่นอยู่กับความสืบเนื่อง ก็จะมีความกลัวตาย การกระทำที่ไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์นำมาซึ่งการกลัวความตาย ท่านยังมีเรื่องค้างคาใจ ท่านยังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำ ท่านยังมีสิ่งที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม
    ความกลัวตายจะมีอยู่ตราบเท่าที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่องของอัตลักษณ์ ถ้าท่านกลัวความตาย ท่านก็กลัวการมีชีวิตอยู่ ความสืบเนื่องของการกระทำ ความสามารถ ชื่อเสียง และอื่นๆ ตราบใดที่ยังมีการกระทำอันหวังผล ก็ต้องมีผู้คิดที่แสวงหาความสืบเนื่อง ความกลัวเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนเมื่อความสืบเนื่องถูกคุกคามด้วยความตาย ดังนั้น จึงยังมีความกลัวตายอยู่ตราบใดที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่อง


    สิ่งที่สืบเนื่องนั้นแตกสลายได้ ความสืบเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดก็ตาม ไม่ว่าจะมีศีลธรรมหรือไม่ ก็เป็นกระบวนการที่แตกสลาย ในความสืบเนื่องนี้ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ และมีแต่ในการเกิดขึ้นใหม่เท่านั้นที่มีการหลุดพ้นจากความกลัวตาย หากเรามองเห็นสัจจะข้อนี้ เราจะเห็นสัจจะในความเท็จ จากนั้นจึงจะหลุดพ้นจากความเท็จได้ เมื่อนั้นจะไม่มีความกลัวตาย หรือ กลัวการมีชีวิตอยู่

    ถ้าท่านเริ่มแสวงหาท่านจะมองเห็นตรงจุดนี้ ท่านจะเริ่มละทิ้งสิ่งที่เกินจำเป็นไป ท่านจะรู้ว่าท่านไม่รุ้อะไรเลย ตรงจุดนี้ท่านจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังดูแลท่านอยุ่ ความรุ้สึกที่ว่าท่านได้รับความดูแลจากอะไรบางอย่างที่ท่านเองก็ ไม่รู้ว่ามันคือะไรนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือคิดไปเอง นั้นไม่ใช่อะไรที่เกี่ยวกับด้วย แต่มันคือตัวสิ่งนั้นเอง ซึ่งท่านอาจจะเรียกว่าพระเจ้า ก็ได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่พระเจ้าที่ท่านพึ่งได้มา ท่านมีอยุ่นานแล้ว เพียงแต่ท่านไม่รู้สึกมันมานาน เพราะงั้นพระเจ้าในความคิดท่านหรือใครหลายๆคน (จะเรียกว่า สวรรค์ นิพพาน แดนสุขาวดี ความสุขหรืออะไรก็ตามที่จะเรียก) จึ่งขะมุกขะมัว ไม่ชัดเจน เหมือนท่านคลำอยู่ในความมืด แต่ถ้าท่านเริ่มที่จะแสวงหาที่มาของอัตตาตัวตน แบบตอนนี้ท่านจะเริ่มรู้สึกถึงมัน มันอาจจะอยู่ในจิตใต้สำนึกของท่าน ใต้โพรงแห่งการดำรงอยู่ อยู่ในความฝัน และพอถึงที่สุดเมื่อท่านหยุดและเปิดตาท่านจะเริ่มจำได้ ท่านจะเริ่มคิดว่าตนเองโง่ แค่ไหนที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันอยู่กับท่านมานานแล้วที่ภายใน แต่ท่านมัวแต่ไปแสวงหาที่ภายนอก ท่านจะพูดว่า นี่คือพระเจ้าของข้า ข้าจำท่านได้ ข้ามองเห็นถึงสิ่งที่ตลอดมาข้ามองไม่เห็น นี่คือจุดประสงค์ของการทำภาวนา การมีชีวิตอยู่ การแสวงหาประสบการณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันขณะ ทั้งมิใช่หนทางไปสู่ความสืบเนื่อง
    เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ชีวิตจากขณะนี้ไปสู่ขณะอื่นอย่างสดใหม่อยู่เสมอ? การเกิดใหม่มีอยู่ในความสิ้นสุดเท่านั้น ไม่ใช่ในความสืบเนื่อง ในช่วงต่อระหว่างการสิ้นสุดและการเริ่มต้นของเรื่องราว มีการเกิดใหม่อยู่

    ความตาย ภาวะที่ไร้ความสืบเนื่อง ภาวะแห่งการเกิดใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก ความตายเป็นสิ่งไม่รู้เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์กับมันถ้ามีคงไม่มีท่านมาอ่านกระทู้นี้หรอก
    จิตวิณญาณ ความรู้สึกว่ามีตัวตน เป็นผลของความสืบเนื่อง ไม่สามารถรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักได้ มันรู้ได้แค่สิ่งที่รู้ได้เท่านั้น มันจึงมีความสามารถกระทำและดำรงตนอยู่ได้เฉพาะในสิ่งรู้เท่านั้น ซึ่งก็คือความสืบเนื่อง ดังนั้น สิ่งรู้จึงเกรงกลัวสิ่งไม่รู้ สิ่งรู้ไม่สามารถรู้ในสิ่งไม่รู้ได้ ความตายจึงยังคงเป็นความลี้ลับเสมอ หากมีการสิ้นสุดจากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง จากวันหนึ่งไปยังอีกวันหนึ่ง ในการสิ้นสุดนี้ สิ่งไม่รู้จะปรากฏตัวขึ้น


    ท่านเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ เริ่มแรกเดิมทีเมื่อ พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรกขึ้นมา และพระองค์ทรงห้ามไม่ให้พวกเขากินผลไม้แห่งความรู้ แต่แล้วพวกเขาก็ทำ คัมภีร์ไบเบิลพูดถูกทีเดียวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะอะไรนะหรือเพราะตอนนี้พวกเขาได้กินความรู้เข้าไป และ พวกเขาก็หยุดเรียนรู้ หยุดแสวงหา ความไร้เดียงสา หายไป เขากลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เข้าสร้างอัตตาขึ้นมาเต็มไปหมดเขามีความรู้เป็นของเขาเองมันแสร้งทำให้เหมือนพวกเขารู้ทุกสิ่งซุกซ่อนความกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ ท่านคงจะสงสัยว่าอะไรคือผลไม้แห่งความรู้ มันไม่ใช่แอปเปิ้ลหรอกมันเป็นไปไม่ได้ แค่กินแอปเปิ้ลนี่นะ ที่จะทำให้พวกเขาถูกโยนออกมาจากแผ่นดินพระเจ้า งั้นมันคืออะไร มันคือความรู้ต่างๆ คือถ้อยคำ เพราะอะไรนะหรือยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากก็ยิ่งแสดงออกได้มาก ยิ่งเป็นที่นับหน้าถือตา ยิ่งใหญ่มากแบบนักการเมืองที่ใช่เพียงการตีฝีปากปลุกระดม เป็นยิ่งนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าตนจะไขความลับทั้วงหมดได้ และท่านจะเริ่มคิดเริ่มหลอมรวมถ้อยคำและเป็นคนบ้า คนบ้านั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่มีอัตตาในใจมาก คนบ้านั้นเป็นพวกที่คิดมากเกินไป ดังนั้นจึ่งบ้า พวกที่มีอัตตายิ่งมากก็เช่นกันพวกเขาจะเริ่ม คิด เริ่ม เรียนรู้สะสมถ้อยคำ เพื่อเติมเต็มความสำคัญความหมายในการดำรงอยู่

    และ เจ้างูคือครูผู้สอน มันคือจุดเริ่มต้นของระบบการศึกษาเมื่อมนุษย์เริ่มเรียนรู้ และพวกเขาก็เริ่มหลงทางพวกเขาเริ่มคิดว่าตัวเองเป็นนั้นเป็นนี่ ยิ่งใหญ่เหนือใคร แม้แต่พระเจ้าก็ต้องฟังพวกเขา ต้องฟังคำขอ ต้องเชื่อพวกเขา อดัมกับอีฟกลายไปเป็นผู้ทรงความรู้กลายไปเป็น อัตตา แต่ผลตอบแทนที่ได้มาคือพวกเขาไม่ใช่สิ่งบริสุทธิ์ พวกเขารู้ถึงการดำรงอยู่ พวกเขารู้ถึงความตาย ดังนั้นพวกเขาจึ่งไม่ได้เป็นนิรันดริ์อีกแล้ว พวกเขาตายลงได้

    ถ้าดูดีๆแล้วท่านจะเห็นว่า เจ้างูจึ่งไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากวัฒนธรรม สังคม อรรยธรรม เงื่อนไข ต่างที่จองจำอิสรภาพ ที่ดึงท่านไปนั้นทีไปนี่ที ทำไมความรุ้จึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาทั้งมวลนะหรือ เพราะเมื่อท่านเริ่มเรียนรู้ ท่านก็เริ่มคิดว่าตัวเองคือใคร ท่านก็เริ่มทำแบบอดัมและอีฟ พวกเขาเริ่มรุ้ว่าตัวเองคืออดัม ตัวเองคืออีฟ พวกเขาเริ่มที่คิดว่าตนเองรุ้ ตนเองทำได้ทุกสิ่ง พวกเขาเริ่มทะเยทะยาน เริ่มอยากจะเป็นพระเจ้า

    ความเป็นอมตะ มิใช่การสืบเนื่องไม่สิ้นสุดของฉัน ตัวกูและของกูอย่างที่พุทธทาสกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่เนื่องกับเวลา เป็นผลจากการกระทำที่มีจุดมุ่งหมาย ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวกูและของกูกับสิ่งซึ่งเป็นอมตะและไร้ซึ่งกาลเวลา เราชอบคิดว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่ แต่นั่นเป็นมายา สิ่งซึ่งเป็นอมตะไม่อาจถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งที่ต้องตายได้ สิ่งที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ไม่สามารถถูกตาข่ายของกาลเวลาจับไว้ได้

    ความหวาดกลัวความตาย ย่อมมีอยู่ในที่ที่แสวงหาทางสนองตอบต่อความปรารถนา การสนองความปรารถนานั้นไร้จุดสิ้นสุด ความปรารถนานั้นแสวงหาอยู่เสมอ และเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่ปรารถนาอยู่ตลอดเวลา มันจึงติดอยู่ในตาข่ายของเวลา
    ดังนั้น การแสวงหาเพื่อสนองตอบต่อความปรารถนาของตัวเอง ก็เป็นอีกรูปหนึ่งของความสืบเนื่อง และความไม่สมหวังพยายามค้นหาความตายในฐานะที่เป็นหนทางแห่งความสืบเนื่อง สัจจะมิใช่การสืบเนื่อง สัจจะเป็นสภาวะของการมีอยู่เป็นอยู่ เป็นการกระทำที่ปราศจากกาล ความมีอยู่เป็นอยู่ของสัจจะนี้ อาจประสบได้เมื่อเข้าใจความปรารถนา ซึ่งเป็นที่มาของความสืบเนื่อง ได้อย่างหมดจดสมบูรณ์เท่านั้น ความคิดก่อตัวขึ้นจากอดีต ความคิดจึงไม่อาจรู้ในสิ่งไม่รู้ ไม่อาจรู้ในสิ่งซึ่งวัดไม่ได้ กระบวนการคิดต้องสิ้นสุดลง เมื่อนั้นเองสิ่งซึ่งไม่สามารถรู้ได้จึงจะปรากฏ เมื่อตระกนักถึงความไม่รู้เมื่อนั้นหนทางก็เปิดออก การตื่นรู้เริ่มที่จุดนี้ท่านมองเห็นแล้วว่าความตายคือจุดสูงสุดของชีวิต คือจุดสูงสุดของการตื่นรู้ คือช่วงเวลาที่มีสติมากที่สุด คือภาพสะท้อนการใช้ชีวิต ถ้าท่านใช้ชีวิตอย่างถึงที่สุด มีความรักอย่างต็มเปลี่ยม ความตายของท่านก็คือจุดสูงสุดของความรักที่ท่านส่งผ่านนั้น ความตายคือจุดสูงสุดของความปิติยินดีนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2010
  2. sinyorrae

    sinyorrae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +424
    ไม่ยยึดติด ก็ไม่ดิ้นรน ก็จะสบาย
     
  3. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,354
    ผมไม่รู้สึกกลัวความตายเลยครับ

    แต่ห่วงคนข้างหลังมากกว่าครับ

    ถ้าเราจะต้องตาย แล้วไม่ห่วงครอบครัว ไม่ห่วงคนข้างหลัง

    เราจะบาปไหมครับ
     
  4. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729

    ไม่บาปครับ กลับเป็นบุญสำหรับตัวเราเองมากว่า
    เพราะความห่วง คือความกลัวที่จะถูกพรากจากสิ่งที่รักไป (ซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง) ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้ไปทำให้คนอื่นเกิดทุกข์นี่ครับ
     
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ความตายไม่มี และไม่มีอะไรตาย สิ่งที่้เราเรียกว่าตายเป็นเพียงการปรับตัวและเปลี่ยนสภาพของธาตุ4คือ ดิน น้ำ ลม ไฟกับวิญญาณธาตุเท่านั้นตามธรรมดาของร่างกายเป็นทุกข์และอยู่ได้ยาก ต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เราเห็นกันทุกคนแต่มีน้อยที่ใส่ใจ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ได้รับอิสรภาพตามลำดับเป็นอิสระทั้งกายและใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่อง..วิมุติ..ความหลุดพ้นแท้จริงแล้วก็คืออิสรภาพนั่นเอง อิสรภาพทางจิตวิญญาณ

    เพราะฉะนั้นความตายไม่มี มีแต่เพียงการปรับสภาวะของธาตุขันธ์เท่านั้นเอง เหมือนกับตะวันออกตะวันตกไม่มี มีเพียงการเคลื่อนไหวหมันตัว(วัฏฏะ)ของลูกโลกเมื่อมองจากจุดที่อยู่เหนือโลก(โลกุตระ)หรือนอกโลกเราคือมองจากความเป็นจริงมิใช่มองจากสิ่งที่เราเห็นด้วยตา เช่น มุมมองจากยานอวกาศ เราก็จะเห็นเพียงลูกโลกดวงกลมๆ ไม่มีที่ใดบอกว่าตะวันออกด้านนี้ ตะวันตกด้านโน้น ทุกอย่างเป็นวงโคจรการทำงานตามธรรมชาติในระบบสุริยจักรวาล

    เมื่อมองจากสภาวะที่เป็นจริงของชีวิตในมุมที่เป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นการทำงานตามระบบของธรรมชาติเท่านั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเป็นเพียงวงจรการเดินทาง (สังสารวัฏ)ของชีวิต เหมือนเราเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แล้วเดินทางไปสู่การอัสดง นั่นเป็นการมองตามที่ตาเห็นเท่านั้น อีกมิติหนึ่งของชีวิตก็เช่นกันเมื่อธาตุ4 ขันธ์5แยกกันตามธรรมชาติเราร้องไห้เสียใจเพราะมองว่าเป็นการตาย มองเห็นเหมือนอาทิตย์อัสดง แต่อาจจะมีมิติหนึ่งทีี่กำลังหัวเราะดีใจรับชีวิตใหม่ เหมือนกับคนอีกฟากหนึ่งกำลังรอให้พระอาทิตย์อุทัยแสงในมุมของตน

    นี่คือสิ่งที่พิจารณาตามความจริง ทั้งระบบของสุริยจักรวาลและระบบของชีวิตซึ่งชีวิตเองเป็นเพียงเศษธุลีของสุริยจักรวาลเท่านั้น การเข้าใจระบบการทำงานของธรรมชาติต้องเท้าเปล่าสัมผัสดิน ต้องทำใจให้เหนืออารมณ์ มองโลกตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจธรรมชาติก็จะเข้าใจสัจธรรม และกล้าเผชิญความจริงของชีวิตเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาคราวที่ทุกข์สัมผัสใจ

    โอกาสตรงนี้ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะหรือฐานะใด เพียงแต่ใครจะเริ่มต้นเรียนรู้ก่อนใครเ่ท่านั้นอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...