การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 18 มีนาคม 2010.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เป็นเพียงการเพิ่มเติมเท่านั้นครับ ตามทัสนะ
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ท่านพี่ธรรมภูต ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว
    วันก่อนโทรไปเจอพี่ธรรมะสวนังเป็นคนรับสาย

    บอกว่าท่านพี่ขึ้น ห้องปฏิบัติไปแล้ว
    น้องก็ได้แต่ รู้สึกๆดีกับสิ่งที่พี่ทำก็ได้แต่อนุโมทนาอย่างยิ่ง

    แต่ถ้าเราไม่ยึด จะเอาอะไรเป็นผิดเป็นถูก
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ถึงโอโต้ซังและ โอก้าซัง
    ลูกหลบภัย อนุญาติท่านทั้งสองกล่าวต่อไปนี้นะคะ


    คำว่าวิปสสนานั้นคือปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
    รู้เห็นอย่างไรจึงเรียกว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง?การวิปัสนาคือ รู้แล้วหลังการพิจารณา และรู้ได้ถูกต้องต้องสภาพจริงๆ อย่าถามหลบภัยอีกนะ ว่าอะไรที่ถูกรู้
    แหะๆ พูดกันไว้ก่อน

    ต้องรู้เห็นว่าอุปกิเลสทั้งหลายในโลกนี้ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นใช่มั้ย?หลบภัยคิดว่าควรรู้อุปกิเลสของตัวเอง ชัดดีกว่า ไปรู้ทั้งโลก เห็นตนก็เห็นทั้งโลก
    เมื่อรู้ว่าไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ต้องปล่อยวางให้ได้ด้วยใช่มั้ย?ก็หากเรารู้ตามความเป็นจริงแล้ว หลบภัยก็ไม่หลงไปยึดแล้ว เพราะการไปยึดก็ต้อง
    ใช้แรงทิฐิตนยึด หลบภัยเหนื่อย ปล่อยวางสบายกว่าเยอะเนอะโอโต้ซัง
    เมื่อรู้ว่าไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้ว แต่ยังปล่อยวางได้ไม่เด็ดขาดหละ?
    ตอบเหมือนข้อเมื้อกี้ที่ผ่านมา พวกที่ปล่อยวางไม่เด็ดขาด คือ พวกไม่รู้จริงไงคะ
    หรือยังปล่อยวางไม่ได้เลยหละ? หรือปล่อยวางได้บ้าง ไม่ได้บ้างหละ?
    เป็นพวกที่สับสน เอาแน่นอนไม่ได้ รู้ทุกอย่างแต่ละไม่ได้
    แบบนี้ยังจะเรียกว่าหลักแม่นอีกหรือ หลักแม่นต้องปล่อยได้ทันทีใช่มั้ย?
    หลักแม่นคือการศึกษา และเราไม่ยึดวิธีการตัวไหนเพื่อที่จะไปรู้ และเมื่อรู้แล้ว
    ก็ต้องปล่อยวางได้ ละ ได้
    คุณหลบภัยก็ลองทบทวนดูสิว่า จริงมั้ย รู้อะไรแล้วทำยังไม่ได้ จะเรียกว่ารู้ได้เต็มปากมั้ย?รู้แต่ละไม่ได้ไงคะ เพราะยังละสักยทิฐิไม่ได้ กำลังสติไม่เข้มแข็งพอ
    วิป้สสนานั้นมีหลายระดับ จะเรียกว่าวิปัสสนาได้เต็มปากนั้นต้องระดับฌาน๔เท่านั้น...อันนี้ลูกหลบภัย ขออนุญาติไม่เห็นด้วย กับโอโต้ซัง

    จาก ลูกหลบภัย
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    วิปัสสนา ไม่จำเป็นต้องฌาณ 4 ก็ได้

    วิปัสสนา ให้ดี เริ่มที่ ฌาณ 1 คือ รู้ผลของสมาธิที่ตนกระทำ ว่า สุข ปีติ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับ เรื่องราวภายนอกนั้น อยู่ที่ใจ เป็นอย่างไร
    จิตจะปราศจากนิวรณ์ อันจะสามารถทำให้ เราสามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้

    ทั้งนี้ จะฝึกแต่ อุปจาระสมาธิ ก็ได้ ขณิกะ สมาธิ ก็ได้ แต่ถ้าไปเจอ สิ่งยั่วเย้า จิตก็ไม่สามารถประคองสติไว้ได้ เพราะกำลังสมาธิ นั้นอ่อนเกินไป ไม่สามารถต้านทาน กิเลส ที่มีกำลังมากได้

    ดังนั้นควรจะต้อง มี ฌาณ เป็นบาท เพราะเปรียบดัง คนจะรู้ทุกข์ รู้สุข แต่ไม่เคยศึกษาว่า สุขที่ปราณีต ด้วย ฌาณนั้นเป็นอย่างไร เราก็ไม่มีหลัก และ ฌาณนี้แหละ จะทำให้จิตมีความตั้งมั่นสูง ไม่เคลื่อนคล้อยไปตามอำนาจกิเลส อันมีอยู่ทุกหนระแหง
     
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ปุจฉา

    ฌานเกิดได้ เฉพาะสมาธิในรูปแบบ ใช่ หรือไม่ เพราะอะไร
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ข้อนี้ จะตอบไม่ได้เลย หากไม่นิยามคำว่า สมาธิในรูปแบบ ก่อน

    คำว่า สมาธิในรูปแบบ ของ หลบภัย คืออะไร

    แต่จะอธิบายให้ฟังก่อนว่า สมาธิ ที่เรามีอยู่ หรือ ที่หลายๆ คนเข้าใจว่า สมาธิที่ไม่เป็นรูปแบบนั้น แท้จริง เป็นเพียง ขณิกะสมาธิ หรือ อุปจาระสมาธิ ซึ่งที่มนุษย์ มีได้ ก็เพราะว่า มาจากกุศล ที่อยู่ในจิตของมนุษย์ แต่ ต้องเข้าใจว่า มนุษย์ไม่ได้มีเพียง กุศลในจิต

    มนุษย์ มีอกุศลในจิต และ มนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียว มนุษย์ปนอยู่กับ มนุษย์อีกหลายๆ คนที่มีอกุศลจิตมาก และ น้อย คละเคล้ากันไป ซึ่งด้วยเหตุผลนี้แหละ ทำให้เราไม่สามารถจะดำรง ความเป็นสมาธิ อยู่ยาวนานได้ เพราะเราต้องปฏิสัมพันธ์

    เมื่อ เรายอมรับว่า อกุศลในจิตเกิดได้ ก็แน่นอนว่า ยิ่งเราขาดการ ฝึกจิตให้มี สมาธิ และ ศีล อำนาจแห่งอกุศลและ กิเลส ก็จะค่อยๆ ดึงเราลงไป หรือ เรียกว่า อกุศลมีกำลังมากยิ่งขึ้น ตามอายุ

    ดังนั้น พระศาสดา ครูบาอาจารย์ ท่านได้เห็น ฤทธิเดชของกิเลส แล้วว่า เก่งกาจเพียงใด

    ท่านก็ สอนให้เราได้ ฝึก สมาธิ หรือ ทางที่เป็นกุศล ( ทางฉลาด) เช่น บริกรรมพุทโธ หรือ กสิณ หรืออะไรต่างๆ ก็เพื่อ ให้เรานั้น มีหลัก ให้ใจ ว่าอย่า่งน้อย เราจะมีหลังพิงฝาได้ ไม่ใช่ ยืนอยู่ท่ามกลาง ความเคว้งคว้าง กลางทะเลทราย ไม่มีที่ให้หลบ ให้ร่ม

    ก็ ย้อนกลับมาว่า สมาธิเกิดแต่เฉพาะในรูปแบบหรือไม่ จึงตอบว่า ถ้าสมาธิในรูปแบบ หมายถึงที่ครูบาอาจารย์สอนมา ตอบว่า สมาธิที่ถูกต้อง มั่นคง และ แน่นหนา จะต้องฝึกตามรูปแบบ เว้นแต่ คนที่มีบุญญาธิการ จะกระโดดไปถึง วิปัสสนาได้ทันที แต่นั่นก็คือ คนที่มีอินทรีย์กล้าแล้ว ฝึกมาดีแล้ว

    การฝึกสมาธิ คือ การดำเนินการที่ฉลาด
    อย่าประมาท ว่า ไม่ต้องทำ หรือ สมาธินอกรูปแบบสามารถเกิดเองได้
     
  7. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุโมทนา ค่ะลุงขันธ์

    คำสมาธิเต็มรูปแบบ ของหลบภัย คือการตั้งท่า ฌานคือการเพ่ง ถึงได้มีกรรมฐาน 40 กอง
    อันนี้คือ ความหมายของคำว่า สมาธิเต็มรูปแบบ
    ตรงนี้ ที่หลบภัย ถามว่า ถ้าไม่เพ่งตามนี้ล่ะ จะได้ฌานไหม อะไรคือ ตัวแปรที่สำคัญ

    ตรงนี้หลบภัยอยากแลกเปลี่ยน หลบภัยเห็นความสำคัญของกำลังสติ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    การเจริญ สติ และ สมาธิ ให้ทำควบคู่กันไป
    เพราะว่า สมาธิ อบรมปัญญา สติปัีญญา อบรมสมาธิ
    ทัสนะ ต่างๆ คือ ปัญญา ก็ต้องเกิดจากสมาธิ ที่มีกำลังดี

    ให้เราสังเกตุดูว่า วันใดที่จิตใจเราปลอดโปร่ง เบิกบาน เราก็มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวชัดเจน
    วันไหนที่เราไม่เบิกบาน สิ่งต่างๆ รอบตัวก็ อึมครึม

    แล้วเราก็จะไม่มี สติปัญญา สมาธิ แทงไปถึง ทัสนะที่บริสุทธิ์ได้ หากว่าเราไม่ฝึกสมาธิ และ สติยิ่งๆ ขึ้นไป

    กำลังแห่งสติ จะเข้มข้น มากขึ้นตามลำดับ หากว่า เราฝึกมันมาดี

    เราจะมีสติไว แม้ว่า จิตเคลื่อนไปในภวังค์นิดเดียวเราก็เห็น แล้วเราจะรู้ตามความเป็นจริงได้ทุกจุด ของจิต

    คนเรา มีจิตอยู่ในภวังค์ ไม่ค่อยจะเห็นกัน มันไหลไปคล้อยไป ไม่รู้ตัว

    แม้ การดูจิตตามไป ก็ตามไปด้วยความคล้อยไป ตามไป จึงต้องเห็น อาการจิตตั้งมั่นก่อน จึงจะ ทวนกระแสได้
     
  9. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ปกติ หลบภัยจะเจริญสติ และสติปัสฐาน 4 และทำสามาธิ และ
    ผลปรากฏว่า สิ่งที่ช่วยให้หลบภัยมีสติที่สุด คือ การทำสติปัสฐาน 4
    แต่ไม่เคยทิ้งสมาธิ สมาธิของหลบภัย ทำเพื่อให้มันมีกำลัง
    เพื่อสงเสริมสติ เอามาเจริญสติ เพื่อให้บริกรรม การยืน เดิน นอน นั่ง หรือการเคลื่อนไหวต่างๆ ให้จิตเกาะไว้ ให้แน่น รู้ลมหายใจเข้าออก พยายามไม่ให้จิต ออกนอนกบริเวณที่กล่าวมา แต่ว่า สติมันจะคม มากขึ้น หลบภัยทำแบบนี้ ทำให้ธรรมมารมณ์แทรกได้ยากขึ้นนิดหนึ่ง แต่ว่ายังอีกไกล หลบภัยเลยทำไปเรื่อยๆ ค่ะ
     
  10. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    สิ่งต่างๆมันเป็นเหตุของกันและกัน เหมือนนาม-รูป เหมือนปฏิจสมุปบาท

    ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็หนุนกัน ตามลำดับ สติ ส่งเสริมสมาธิ สมาธิ เกิดความสงบ ความสงบเป็นเหตุเกิดของปัญญา

    ท่านว่าถ้าเคยผ่านญาณ16มาแล้วก็จะเห็นความสัมพันของสิ่งต่าง ทั้งเรื่องของโลก เรื่องของธรรม ได้ชัด เหมือนที่เข้าใจในความสัมพันของปฏิจสมุปบาท....

    สติเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อความสงบ ความสงบเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อพิจารณาธรรม

    แต่ปัญหาคือคนที่ทำสมาธิมักคิดว่าทำ สมาธิเพื่อความสงบ ความสงบเพื่อความสงบ ความสงบเพื่อความสงบ หรือเพื่อสุข เพื่อพักผ่อน
    ไม่ใช่ว่าสงบแล้วไม่เกิดปัญญา แต่สงบแล้ว ไม่พิจารณา เหมือนคนติดสมาธินั่นหละ

    หรือบางทีพอทำสมาธิแล้วก็รอให้มันเกิดวิปัสนาเอง ก็ว่ากันไป . . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2010
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ปัญหาของการ ทำสมาธิ ของนักปฏิบัติ คือ ทำสมาธิแล้วไม่ได้ผล ทำสมาธิแล้วหลับ
    ทำสมาธิแล้วยิ่งฟุ้งหนักกว่าเดิม ทำสมาธิแล้วเบลอ

    ก็สิ่งเหล่านี้ อุปมาว่า ลิงตัวหนึ่งปล่อยให้มันวิ่งเล่นจนเพลิน แล้วจู่ๆ จะไปจับมันให้อยู่หมัดทีเดียว มันก็ยิ่งแยกเขี้่ยว กัดเราเอาได้

    ศีล จึงเป็นที่ตั้ง อนุสสติ เป็นเครื่องตะล่อมจิต ค่อยๆ ฝึกจิตด้วย การค่อยๆ ตะล่อม

    ไม่ใช่ด้วยการไปบู่มบ่าม ครูบาอาจารย์ท่านจึงหาหนทาง เช่น หาสถานที่สัปปายะ( สบาย)

    หาอาหารที่สัปปายะ แล้ว ให้ ลดมานะ ด้วยการ นอบน้อม ด้วยการไม่อหังการ มานะ

    นี่ล้วนแล้วแต่เป็น กุศโลบาย ( วิธีฉลาด) ให้เราได้มีจิต ที่อ่อนลง ฝึกได้ง่าย

    ก็จิตของคนเราเป็นดังลิงมากี่กัป นี่ดูเอาแล้วกันว่า มันฝึกยากกันจนขนาดนี้

    จิตที่ ดำเนินมาในทางฉลาดแล้ว จะค่อยๆ ประณีต อ่อนตัว ฝึกได้ง่าย

    ก็ย้อนมาดูว่า พวกที่ หลวงตาท่านไล่ไปไม่สอน หรือ มีหลายคนที่ฝึกไม่ได้ ก็เพราะว่า เอาความดื้อด้านเข้ามาฝึก เอาความอวดดีอวดรู้ มาฝึก มันก็ฝึกยากเพราะ นั่นมันก็คือ ลิงป่า ทั้งตัว แถมยังแยกเขี้่ยวยิงฟัน จะกัดอีก แล้วจะไปฝึกได้อย่างไร

    ดังนั้น เราเป็นคน เราต้องทำตัวให้พร้อมในทุกๆ ด้าน อยู่ง่าย กินง่าย ฝึกง่าย แล้วดำเนินไปตาม ทาง จะสำเร็จธรรม แน่นอน
     
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุสัยที่ไม่ดี ชาวพุทธไม่ควรสะสม ให้อภัย ใส่ใจตัวเอง ด้วยสติ เพียรละ
    เพื่อไม่ให้ล่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2010
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สมาธิเต็มรูปแบบควรจะเป็นวิปัสสนาสมาธินะ สมาธิไม่ต้องเ่พ่งแบบอาปาก็มี สมาธิกับฌาน ฌานในแบบที่เข้าใจกันว่าจะต้องทือนิ่ง มันก็ไม่สามารถเป็นสมาธิ เรียกสมาธิได้เต็มร้อย

    คนที่ไม่ชอบทำสมาธิ ถ้าไปตั้งความหวังว่าจะทำปัญญาอย่างเดียว เจริญสติในชีวิตประจำวันแบบฟูลไทม์ ร้อยทั้งร้อยไม่ทันการปรุงแต่งหรอกครับ ขนาดทำสมาธิกันแข็ง ๆ ยังมีน้อยคนเลย ที่จะสามารถวิปัสสนาได้ตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หลงยึดจับเป็นตัวเป็นตน โดยที่ไม่รู้ตน แถมหลงตนว่าไม่ได้ยึดเสียอีก ปรุงโลภ ปรุงหลง ย้อนทับกันไปทับกันมาจนหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เรียกอีกอย่างว่าเวียนว่ายตายเกิดกันทั้งที่หลงอยู่นั่นแหล่ะ
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สาธุ พี่จินนี่ ที่มาแลกเปลี่ยน
    หลบภัย มีความเห็นว่า สมาธิ เพื่อให้เกิดสติ สติทำให้เกิดปัญญา
    และปัญญา เพื่อมาพิจารณาและเข้าใจทุกข์ เมือรู้ทุกข์ ก็หมดทุกข์
    การปฏิบัติแบบไหน หลบภัยว่า ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ฝึก
    การปรุงโลก ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เพียร แบบเพียรที่ไม่ปัญญาเพราะสติไม่ได้มี

    เลยเกิดหลงปรุงแต่ง แต่ว่า ถ้ามีสติจริง จะรู้ทัน ภวตัณหา และ วิภวตัณหา
    พี่จินนี่ว่าไงคะ
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    วิธีแก้แบบที่คุณขันธ์กล่าวมาก็ดี ผมมีอีกวิธีก็คือ ใส่โยนิโสลงไปในสมาธินั่นด้วย

    เวลาที่มีอาการดังกล่าว เราต้องพยายามตั้งสติในสมาธิให้ได้ ไม่ใช่เพ่งกดลงไปแบบฌาน แต่เป็นการระลึกรู้ว่านิวรณ์ที่รบกวนเรามันคือตัวอะไร ซึ่งตรงนี้ศึกษากว้าง ๆ ไม่ต้องลึกมันก็แค่ห้าตัว เมื่อเรารู้ เราก็จะเห็นว่ามันเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต แล้วทีนี้ก็ค่อยสลัดมันออกไป ตรงนี้เรียกว่าเราดูนิวรณ์ ถ้าละ ปัดเป่าจนนิวรณ์ไม่เกิด สมาธิกำลังดี ได้อุปจาระ ก็มองอะไรชัดขึ้นเยอะ ที่นี้เป็นธรรมดาที่จะหันไปจดจ่อกับอย่างอื่นแทน อาจจะเป็นลม กาย หรือสิ่งที่เกิด สิ่งที่ดับภายใน

    การปฎิบัติธรรม ไม่ควรละเลย ไม่ควรประมาท ปริยัติก็ควรเติมเสมอ สมาธิก็เป็นสิ่งที่ควรเจริญ อย่าให้ขาด ถ้าพร่อง แสดงว่าประมาทแล้ว
     
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าคุยเป็นทางกว้าง ๆ เบื้องปลาย รวม ๆ ไปถึงปัญญา พี่ก็ไม่รู้จะคุยอย่างไร เพราะมันจะเป็นโลกีย์วิสัย แบบไม่มีถูกไม่มีผิด ขึ้นบันได ก็คือขึ้นบันได จะขั้นที่ 1 ขั้นที่ 12 ขั้นที่ 91 มันก็คือขึ้นบันได

    ลองไปทำดูก่อน แล้วเอาสภาวะมาคุย คงได้สนทนากัน
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถาดทองลอยทวนน้ำ ทวนได้ยังไง ทำไมถึงทวนน้ำได้ ทีนี้ตอนที่พระศาสดาฉันท์ข้าวมถุปายาส เสร็จแล้วพระองค์ทรงลอยถาดทอง จากนั้นพระองค์ทำอะไรต่อ อย่ามานอกรอยให้มาก เพราะเดินนอกรอยมากๆแล้วโดยมากจะหลงทาง ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งหลงทางไปไกล ครับ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สาธุ จินนี่ พูดถูกต้อง
     
  19. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สาธุ ค่ะ ตรงนี้หลบภัย เอาสภาวะมาคุยค่ะ การรู้ทันอาการยินดี และ ยินร้าย
    ยังอยู่ในโลกีวิสัยค่ะ และทำให้เราสามารถระงับได้ ไม่ได้เอาเบี่ยงปลาย
    มาสนทนา อ่า ถูกค่ะไม่มีถูก และไม่มีผิด เป็นข้อแลกเปลี่ยน
    จากการฝึกฝนของหลบภัยเอง พูดได้เต็มปาก และสัจจะค่ะ
    อ่าก็ได้ค่ะ คงได้สนทนา สาธุ
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขออนุญาติที่จำเป็นต้องอ้างอิงวาทะ เพื่อที่จะประหยัดคำพูด และชี้ไปใน
    จุดที่เห็นต่าง

    โดยเฉพาะ ความสงบเป็นเหตให้เกิดปัญญา นั้น ก็ถ้ามันเป็นจริง ทำไมถึง
    พูดในตอนท้ายหละว่า "พอสงบแล้วอย่าลืมพิจารณา" นั่นก็แปลว่า ความ
    สงบไม่ใช่เหตุให้เกิดปัญญาแต่อย่างใด การพิจารณาต่างหากที่ทำให้เกิด
    ปัญญา และเป็น สติปัฏฐาน ก็ตอนพิจารณาตอนนี้แหละ จึงเรียกว่า ยก เรียก
    ว่ายกขึ้นอีกชั้น ถ้าพูดลอยๆว่า ความสงบทำให้เกิดปัญญา ก็จะเกยตื้นทันที
    แต่ถ้าพูดว่า สงบแล้วต้องรีบพิจารณา แบบนี้ถึงเรียกว่า เริ่มออกเจริญสติก้าว
    แรก ถ้าสงบแล้วไม่ออกพิจารณานั่นคือ ยังวิปัสสนาไม่เป็น

    ทีนี้ คนที่ไม่ใช่คนภาคกลาง ตอนที่พิจารณา ให้พิจารณาอะไร พระอาจารย์
    สงบบอกว่า คนภาคกลางต้องดูจิต* แต่ถ้าเป็นคนภาคอื่นๆ ก็ให้พิจารณาดูกาย
    มาทำกายคตา แล้วถ้าใครเลือกพิจารณาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะไม่มีวัน
    ไปรู้เรื่องของคนอื่นที่เขาพิจารณาอย่างอื่นได้ ถ้าคนใดพิจารณาทั้งสองอย่าง
    ได้ทั้งคู่แล้วทำทั้งคู่ ก็จะเป็นพวกอุภโตภาควิมุตติ** แต่ถ้าผู้ใดดูเวทนา
    พิจารณาเวทนาด้วย แบบนี้ก็จะได้แบบหลวงตาบ้านตาด หลวงพ่อสงบพูด
    แค่นี้

    แต่ถ้าเป็นหลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง ท่านสอนดูธรรมด้วย สงบแล้วก็ออกพิจารณา
    ธรรมด้วย พวกนี้ก็จะเป็นพวกพิเศษ มีธรรมฤทธิมาก

    ก็จะเห็นว่า คนที่ใช้ความสงบ ใช้เงินเป็น ไม่ใช่มีเงินเต็มกระเป๋าแต่เทไปข้าง
    เดียว มันก็จะไม่รู้ว่า คนอื่นเขาพูดอะไร*** สอนอะไร หากคนอื่น เขาเทเงินใน
    กระเป๋าไปลงทุนในสิ่งที่มันสูงกว่า ความสูงกว่านั้นเป็นไปโดยธาตุ โดยข้อ
    เท็จจริงของคนๆนั้น ไม่ใช่โดยปากพาพูดไป เพราะพวกปากพาพูดไปเวลา
    เจอของจริงเขาพูดมันน่าอายแต่คนพูดย่อมไม่รู้ แล้วคนที่ไม่รู้นี่ก็จะยิ่งไป
    ต่อว่าหาว่าคนที่รู้โดยธาตุ โดยข้อเท็จจริงทำมาจริงว่า พูดเพื่อให้ดูสูงกว่าไป
    งั้นๆ


    ประโยคนี้ แบ่งออกมาเพราะว่า มันเข้าเค้า โดยเฉพาะสีแดงนั่น ใช่เลย
    คือ มันเห็นด้วย ไม่ค้าน ถ้าไม่พิจารณานี่ก็เสร็จ เพราะวิปัสสนาหาก
    ไม่ยก ไม่ทำ จะมีฌาณแค่ไหนก็เรียกว่าขาดสติ ขี้เกียจ เหมือนกันหมด
    นั่นแหละ

    *********************

    หมายเหตุ

    * สนทนาธรรมกับแม่ชีที่หัวหิน พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต หน้า 17
    ** สนทนาธรรมกับแม่ชีที่หัวหิน พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต หน้า 20
    *** สนทนาธรรมกับแม่ชีที่หัวหิน พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต หน้า 21

    อ้างอิง : http://www.sa-ngob.com/media/pdf/y45/08/p14-08-45am.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...