การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 18 มีนาคม 2010.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    อนุโมทนา ครับ ในข้อที่แนะนำ
    ที่ผมยกว่า ท่านผู้รู้ ถึงกล่าวกันว่า "นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป"
    เจตนาสื่อถึง ผู้ที่หลุดพ้นแล้วเช่นกัน หาได้กล่าวถึงตนเอง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2010
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขออภัย ผมมาอัพเดทเจตนาที่ชี้ ในส่วน ปล. ภายหลัง

    ทีนี้ ก็เลือกเอาว่า จะฝาดฝัน อย่างมีวินัยยิ่ง หรือ เผลอแล้วรู้

    จะอย่างไหน ก็ได้เนื้อหาเหมือนกัน คือ ปรากฏแล้วก็ตามรู้
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อยากจะรู้ว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เป็นอย่างไร

    จับอานาปานสติ ให้ดี ทำทัสนะมองให้เห็น ว่า จิตตามลมเข้า จิตตามลมออก

    ตอนที่ไม่เข้าไม่ออก จะเห็นความไม่มีอะไร

    ดูให้ดีตรงนี้ จะเห็น แม้เลือนลาง ก็พอคลับคล้ายคลับคลา พอจะให้เกิดทัสนะได้บ้าง
     
  4. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    จุดที่เห็นว่าไม่มีอะไร ดูให้ดีเลยครับตรงนั้น เลือนลางนั้นแหละใช่ เพราะ
    เห็นตรงนั้นแล้วคิดว่าเห็นทุกขนี่ โดนหลอก โดนจิตพรหมธรรมดาๆหลอก
    เอา เห็นได้อย่างมากก็ไปติดในโอภาส

    ถ้าจะให้คลับคล้ายคลับคลากว่านั้น ก็กลับมาดูกายก่อน ดูไปให้เห็น
    เวทนาเสียก่อน ดูไปให้เห็นตัณหาเสียก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ว่าเห็น
    ทุกข์หรือไม่เห็นทุกข์

    ไม่งั้น จะคิดว่า เห็นอุปทานขันธ์แล้ว จะเผลอไปสร้างคำสอนแบบ ธรรมภูติ
    แบบกบฏศาสนา ดูยังไม่ถึงตัณหาเลย จะละอุปทาน เข้านิโรธนเสียแล้ว จะ
    เผลอทำกรรมฐานเพื่อกระโดดเกาะอาการของจิตเท่านั้น

    ภาวนาไปติดแค่โอภาสแล้วคิดว่าเป็นจิตบริสุทธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขอยกคำสอนของหลวงพ่อพุธ มาแสดงดังนี้

    ต่อไปเป็นการเรียบเรียงใหม่

    เมื่อจิตเข้าถึงสมาธิหลุดออกไปจากกาย ไม่เกาะเกี่ยวกาย ตรงนี้เรียกว่ามัน
    หมดเจตนา เพราะเมื่อไหร่มีกาย(กายลม-อาณาปานสติ ก็ลึกถึง ลมปราณ
    ไม่ใช่ แค่ลมหายใจ)ก็เรียกว่ายังมีเจตนา

    จิตเมื่อทิ้งกาย หมดเจตนาแล้ว หากมันไปสว่างว่างๆ ไม่เคลื่อนไปไหนเลย
    มีแต่ความสว่าง ก็ความสว่างนั้นนั่นแหละคือตัวความคิด คือ ทิฏฐิ ที่จิตกำลัง
    พิจารณาอยู่ หรือคิดอยู่ ก็ให้ดูไปตามนั้นสำหรับคนทำได้ ก็จะเห็นเองว่านั่น
    จิตยังคิดอยู่ จิตหยุดคิดไม่มี แต่ที่เห็นว่าหยุดคิดเพราะไม่รู้ว่าความสว่างนั้น
    ความว่างนั่นคือตัวคิด เลยคิดว่า หยุดคิดมี!

    บางคนไม่ได้ใช้คิดในรูปความสว่างนั้น แต่เป็นความคิดที่ไหลไปเอง โดยที่
    เราไม่ได้เจตนาจะคิด แบบนี้ก็เรียกว่าเราหยุดคิด เพราะจิตเป็นผู้เห็นจิตกำลัง
    ทำการคิด

    ตรงเห็นจิตสว่างๆเนิ่นนานนิ่งอยู่ หรือ จะเห็นจิตมันกำลังคิดอยู่ ตรงนี้ให้
    เริ่มเรียกว่า จิตมีวิตก วิจาร

    คนภาวนาไม่เป็น จะคิดว่า วิตก วิจาร อยู่ตั้งแต่ตอนต้นๆที่ทำสมาธิ แต่จริงๆ
    แล้ว วิตก วิจาร ตรงนี้เป็นการเจริญปัญญาวิปัสสนา เกิดขึ้น ณ จิตมีสัมมาสมาธิ

    วิตก วิจาร ที่เกิดขึ้นตรงขั้นนี้ จึงเรียกว่า ลำดับของการมีองค์สมาธิ แล้วเรียก
    สภาวะที่เป็นบาทวิปัสสนานี้ว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งแตกต่างจาก สมาธิพื้นบ้าน สมาธิ
    ชาวบ้าน(ฌาณ) ที่เขาทำกัน (แต่อธิบายด้วยการปรากฏ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
    เหมือนกัน) และต้องอบรมจิตอย่างดีเท่านั้น จึงจะเห็นสภาวะนี้ ไม่ใช่อบรมนิดๆหน่อยๆ
    แล้วบอกว่า มีสัมมาสมาธิแล้ว

    ปล. ความข้างต้นเป็นกรณีนักภาวนาที่ใช้ สมถะ นำหน้า วิปัสสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    ท่านเล่าปัง :

    1 .
    จุดที่เห็นว่าไม่มีอะไร ดูให้ดีเลยครับตรงนั้น เลือนลางนั้นแหละใช่ เพราะ
    เห็นตรงนั้นแล้วคิดว่าเห็นทุกขนี่ โดนหลอก โดนจิตพรหมธรรมดาๆหลอก
    เอา เห็นได้อย่างมากก็ไปติดในโอภาส

    ถ้าจะให้คลับคล้ายคลับคลากว่านั้น ก็กลับมาดูกายก่อน ดูไปให้เห็น
    เวทนาเสียก่อน ดูไปให้เห็นตัณหาเสียก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ว่าเห็น
    ทุกข์หรือไม่เห็นทุกข์

    ไม่งั้น จะคิดว่า เห็นอุปทานขันธ์แล้ว จะเผลอไปสร้างคำสอนแบบ ธรรมภูติ
    แบบกบฏศาสนา ดูยังไม่ถึงตัณหาเลย จะละอุปทาน เข้านิโรธนเสียแล้ว จะ
    เผลอทำกรรมฐานเพื่อกระโดดเกาะอาการของจิตเท่านั้น

    ภาวนาไปติดแค่โอภาสแล้วคิดว่าเป็นจิตบริสุทธิ

    ----------------------------------------------

    2.
    เมื่อจิตเข้าถึงสมาธิหลุดออกไปจากกาย ไม่เกาะเกี่ยวกาย ตรงนี้เรียกว่ามัน
    หมดเจตนา เพราะเมื่อไหร่มีกาย(กายลม-อาณาปานสติ ก็ลึกถึง ลมปราณ
    ไม่ใช่ แค่ลมหายใจ)ก็เรียกว่ายังมีเจตนา

    จิตเมื่อทิ้งกาย หมดเจตนาแล้ว หากมันไปสว่างว่างๆ ไม่เคลื่อนไปไหนเลย
    มีแต่ความสว่าง ก็ความสว่างนั้นนั่นแหละคือตัวความคิด คือ ทิฏฐิ ที่จิตกำลัง
    พิจารณาอยู่ หรือคิดอยู่ ก็ให้ดูไปตามนั้นสำหรับคนทำได้ ก็จะเห็นเองว่านั่น
    จิตยังคิดอยู่ จิตหยุดคิดไม่มี แต่ที่เห็นว่าหยุดคิดเพราะไม่รู้ว่าความสว่างนั้น
    ความว่างนั่นคือตัวคิด เลยคิดว่า หยุดคิดมี!

    บางคนไม่ได้ใช้คิดในรูปความสว่างนั้น แต่เป็นความคิดที่ไหลไปเอง โดยที่
    เราไม่ได้เจตนาจะคิด แบบนี้ก็เรียกว่าเราหยุดคิด เพราะจิตเป็นผู้เห็นจิตกำลัง
    ทำการคิด

    ตรงเห็นจิตสว่างๆเนิ่นนานนิ่งอยู่ หรือ จะเห็นจิตมันกำลังคิดอยู่ ตรงนี้ให้
    เริ่มเรียกว่า จิตมีวิตก วิจาร

    คนภาวนาไม่เป็น จะคิดว่า วิตก วิจาร อยู่ตั้งแต่ตอนต้นๆที่ทำสมาธิ แต่จริงๆ
    แล้ว วิตก วิจาร ตรงนี้เป็นการเจริญปัญญาวิปัสสนา เกิดขึ้น ณ จิตมีสัมมาสมาธิ

    วิตก วิจาร ที่เกิดขึ้นตรงขั้นนี้ จึงเรียกว่า ลำดับของการมีองค์สมาธิ แล้วเรียก
    สภาวะที่เป็นบาทวิปัสสนานี้ว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งแตกต่างจาก สมาธิพื้นบ้าน สมาธิ
    ชาวบ้าน(ฌาณ) ที่เขาทำกัน (แต่อธิบายด้วยการปรากฏ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
    เหมือนกัน) และต้องอบรมจิตอย่างดีเท่านั้น จึงจะเห็นสภาวะนี้ ไม่ใช่อบรมนิดๆหน่อยๆ
    แล้วบอกว่า มีสัมมาสมาธิแล้ว

    ปล. ความข้างต้นเป็นกรณีนักภาวนาที่ใช้ สมถะ นำหน้า วิปัสสนา

    -------------------------------------------------------


    - ขออณุญาติ สนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะ

    ผมไม่ค่อยเข้าใจนะครับที่คุณกล่าวมายืดยาวด้วยโวหารและสำนวนหมายความว่าอย่างไร .....
    เท่าที่จับใจความได้ด้วยปัญญาอันน้อยนิด ถ้าประเด็นที่ผมยกมาผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วย ประมวลความว่า ต้องการสื่อว่า

    1. ท่านนิวรณ์เห็นอุปทานละเอียดชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว และ
    เห็นชัดแล้วถึง อุปทานและขันธ์ อาการของจิต เข้าถึงฐีติจิต เข้าใจชัดในอริยสัจ และ จึงกล่าวสรุปทางเดินของท่านอื่นๆเสีย

    2. จิตหยุดคิดไม่มี

    ซึ่งในจุดนี้ผมเองก็มีทิฐิและความเห็นที่ต่างอยู่ ในหลายๆจุด "ซึ่งกล่าวมามิได้มีเจตนาประมาทต่อธรรมที่ท่านนิวรณ์แนะนำ
    แต่เห็นถึงข้อดีต่างๆที่ท่านกรุณาแนะนำทำให้ได้ยกข้อธรรมที่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนำไปพิจารณาต่อไป"

    และขออูญาติ ขอชี้บางจุดท่านนิวรณ์สักนิด ขออย่าประมาทในธรรม ส่วนตัวผมเองก็รับสิ่งที่ท่านนิวรณ์ยกมาไปพิจารณาเพื่อปัญญาล่วงทุกข์ต่อไป

    ขออณุญาติจบการสนทนา และนำข้อธรรมที่ท่านยกมาไปพิจารณาก่อน ....
    โมทนา สาธุธรรม


    <a href ="http://www.buddhabucha.net/" target='_blank'><img src = "http://img651.imageshack.us/img651/112/bggko.jpg" alt="คลิก เข้าชมเว็บพุทธบูชา" />
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2010
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ถ้าจะให้ดี ก็ต้องฟังหลวงพ่อพุธกล่าว ก็จะฟังได้ง่ายกว่า คือ มีศรัทธาช่วย

    แต่ถ้าจะดูว่า ตะกี้ผมพูดอะไร

    ก็ย้อนไปที่ เคยได้ยินไหมที่ เขาพูดกันว่า จะวิปัสสนาต้องได้ฌาณ4

    ก็อธิบายข้างบนนั่นแหละ คือ ผู้ที่ได้ฌาณ4 แล้วเขาก็วิปัสสนา แต่กว่า
    จะเป็นแบบนั้น ก็ต้องฝึกอบรมสติให้เกิด คือ ถอยลงมาแล้วมาดูกาย
    ดูจิต พอฝึกสติได้ดี ได้มาก ตอนที่จิตหลุดออกไปดวงเดียว จิตจะมี
    สติประกอบด้วย มีสติสัมปยุตอยู่ จึงเกิดการวิปัสสนา ณ จุดนั้นได้

    นี่คือพวกได้ วสีทำฌาณ4 ได้ ไม่ใช่นั่งแปะก่อนแล้วเข้าฌาณได้
    แต่หมายถึงน้อมนึกเมื่อไหร่จิตไหลเข้าฌาณทันที แบบนี้ก็จะฝึกกัน
    ตามที่บรรยายไป

    ถ้าทำฌาณ4 ไม่ได้หละ จะไม่ตายไปก่อนหรือ

    ดังนั้น

    เราๆ ทั้งหลายร้อยละร้อย ไม่ได้ภาวนาแบบมีคนมีฌาณภาวนากัน

    แต่เป็นพวกที่มีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้าเสียส่วนใหญ่ หรือ เป็นพวก
    ติดโอภาส(อุตโมภาควิมุตติ)

    ส่วนพวกเจริญควบนั้น พวกนี้คือพวกที่มีวาสนามาก่อนเก่ามาเยอะมาก

    ก็ลองรับฟังดูนะ แต่จะให้ดีก็อย่างว่าแหละ ลองฟังหลวงพ่อพุธดู
    ขอฟังได้ที่ไหน คงไม่ต้องแจ้งเนาะ

    การภาวนานั้น มีหลายซับหลายซ้อน และ มีหลายแบบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    รู้สึกว่าสองผู้ยิ่งใหญ่จะพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย
     
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าเข้าจนถึงที่สุดเมื่อถึงเวลาออกแล้วเราไม่ยอมให้ออกละครับ หน่วงไว้จนเกิดทุกข์เวทนา แล้วจึงปล่อยลมหายใจออกมาจากนั้นพิจารณาสภาวะว่าแตกต่างกันไหม หรือปล่อยลมหายใจออกจนถึงที่สุดและที่สุดหน่วงไปแล้วจากนั้นจึงหายใจเข้า จะเห็นทุกขเวทนาไหม และพอหายใจปกติแล้ว สภาวะทั้งสองเปรียบเทียบกันแล้วมีความแตกต่าง แบบนี้จะเห็นทุกข์ได้ชัดเจนกว่าไหมครับ และการเห็นทุกขเวทนาอันเป็นอาการของจิต นั้นก็จำเป็นต้องอาศัยกำลังสติที่คอยกำหนดว่า ตอนไหนทุกข์เกิดตอนไหนทุกข์ดับ เมื่อเห็นสภาวะนั้นๆแล้วก็พิจารณาต่อไป แบบนี้ได้ไหมครับ เพราะแบบตอนระหว่างหรือช่วงรอยต่อของการหายใจนั้น ถ้าเฉยๆผมเห็นว่ามันไม่มีอะไร มันไม่มีทั้งทุกข์และไม่มีทั้งสุขครับ
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ข้อความสีแดงนั้นเป็นคำกล่าวโดยนัยของคุณพี่หรือของหลวงพ่อพุธครับ
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ผมตอบคำถาม แล้วคุณจะรับฟังไหมหละ ถ้ารับฟัง คำถามก็คงไม่ต้องถาม
    แต่ที่ถามนี้เพราะอะไรผมก็ไม่รู้ใจคุณได้ แต่ถ้าคุณจะไม่ถามคุณก็คงรับฟังไปแล้ว ผม
    ก็พูดๆไปตามนั้น คุณจะรับ จะฟัง หรือไม่ก็เรื่องของคุณหละครับ แต่คุณจะ
    รับฟังผมหรือไม่ฟัง คุณก็เลือกได้ เลือกเป็นไม่ใช่เหรอครับว่าจะเลือกฟังจาก
    ใครตามที่ได้กล่าวอ้างอิงไว้ให้แล้ว ชื่อบุคคลก็อ้างอิงแล้ว แหล่งข้อมูลก็
    มีในบางกระทู้เขาชี้ไว้ให้แล้ว ใส่พานไว้ให้แล้ว แต่คุณจะไม่สนใจข้อมูลอ้าง
    อิงแต่สนใจมาที่การพูดกับคนที่คุณไม่มีทางรับฟังมันก็เรื่องของคุณหละครับ

    ผมเฉยๆนะเรื่องนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  12. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    การเกิด เป็นทุกข์ เกิดแล้วมีสังขารจึงเป็นทุกข์ มีสังขารจึงมีทุกข์เวทนา มีความแก่ มีความป่วย มีความตาย คือทุกข์

    ย้อนกลับไปที่การเกิดอะไรเกิด สังขารเกิด หรือทุกข์เกิด....
    ทุกข์เท่านั้นที่เกิด....
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับผมก็ถามไปเพื่อยืนยันว่านั่นเป็นนัยที่พี่พูดหรือหลวงพ่อพูดเท่านั้นครับ ไม่ได้ว่าอะไรครับ ผมเคยบอกแล้วไงครับว่ามันต้องมีแบบนั้นอยู่บ้างแหละเช่นกันครับ ไม่มากก็น้อยแต่ควรจะมีเท่านั้นครับ
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณจะว่าหรือไม่ว่า มันไม่ใช่เรื่องอะไรของผมเลยครับที่จะไปรู้ว่าคุณจะมาว่าหรือไม่ว่าผมด้วยเรื่องอะไร หากคุณจะไม่ว่าผมก็เชื่อว่านั้นเป็นเพราะคุณได้ไปฟังหลวงพ่อพุธกล่าวว่ามาอย่างไรแล้วถ้วนแล้วครบตัวอักษรแล้ว แล้วก็คงรู้เองแหละครับว่าคุณจะต้องมากล่าวว่า หรือไม่ว่าอะไรแบบนี้อีกหรือเปล่า แต่ทีคุณยังมากล่าวว่าหรือไม่ว่านี่ก็เพราะคุณยังไม่ได้ไปฟังไปสอบสวนด้วยตัวเองโดยการฟังหลวงพ่อพุธว่าไว้อย่างไรไงครับคุณถึงได้ไม่สิ้นสงสัยแล้วก็ต้องออกมากล่าวว่าหรือไม่ว่าอยู่แบบนี้ มันก็เป็นเรื่องของคุณล้วนๆครับที่คุณจะทำอะไรเองไม่ใช่มาอาศัยเพียงสิ่งที่เห็นคนอื่นเข้าว่าหลวงพ่อพุธว่าอย่างไร เพราะหากคุณไปฟังหลวงพ่อพุธด้วยตัวเองแล้วก็คงไม่ต้องออกมาว่าใครต่อใครเลย

    บอกตรงๆนะครับ ใจผมไม่ได้สั่นไหวอะไรเลยที่คุณเข้ามาว่าหรือไม่ว่า เพราะผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องของคุณที่จะปฏิบัติด้วยตัวเอง ค้นคว้ารับฟังด้วยตัวเอง หรือลำพังแต่อาศัยมาดูคนอื่นพูดแล้วมานั่งคิดว่าเขาพูดตรงหรือไม่ตรง

    แล้วการที่ผมพูดบอกกับคุณนี้ผมก็นิ่งสนิทครับ ไม่มีอะไรให้สั่นไหวเลย แต่อะไรหรือใครที่สั่นไหวนี่คุณก็ต้องรู้ของคุณเองแล้วหละครับ ว่าจะเอาแต่ดูคำพูดคนอื่นหรือจะไปฟังด้วยตัวเอง
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เปล่าครับไม่มีอะไรจริงๆ ผมถามไปเพื่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ไม่ไหวติงก็ดีแล้วครับ ไม่ไหวหวั่นก็ดีแล้วครับ ดีแล้วก็ทำไปครับ ไม่ดีค่อยพิจารณาครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    จะมีหรือไมมีอะไรจริงๆหรือไม่จิง คุณถามไปเพื่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น เท่านั้นมันเท่าไหน มันมีหรือไม่มี ตกลงมันจริงหรือไม่จริง จะเท่านั้น เท่าไหน ถือว่ามีจริงหรือไม่มีจิงมันก็เรื่องของคุณเท่านั้นแหละครับที่รู้ตัวคุณเอง ผมจะไหวติงหรือไม่ไว้ไหวติงมันไม่ใช่เรืองอะไรของคุนที่จะต้องมาชมเลยครับ เพราะผมจะไหวติงหรือไม่ไหวติงผมก็รู้อยู่ของผม ผมจะทำไปหรือไม่ทำไปผมก็รู้ตัวของผมอยู่เช่นกัน ส่วนคุณจะทามหรือไม่ทำจะต้องให้ใครมาชม มาเตือนคุณมันก็เรื่องของคุณครับ ดีหรือไม่ดีผมก็ไม่สนหรอกครับเพราะมันเป็นเรื่องของคุณลวนๆครับ ทุกคนมีหน้าที่ดูของตัวเองของใครของมันไม่จำเปนเลยครับที่จะต้องมาชม มามีอะไรเท่านั้นเท่านี้ จริงหรือไม่จริงกับไอ้ที่ว่าเท่านั้นเทานี้
     
  17. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมหมายถึงพิจารณาจากการปฏิบัติของตนเองครับไม่ได้หมายถึงพิจารณาจากคำพูดของใครครับ คือ อย่างนี้นะครับ ก็เอาสิ่งได้ฟังมาทั้งหมดนั้นมาพิจารณาลงที่ตนเองครับ ว่ามันเป็นไปแบบไหนสิ่งต่างๆครับ ไม่ได้มีเรื่องอื่นครับ คือ พิจารณาที่ตนเองนั่นแหละครับ ไม่ได้พิจารณาใครครับ ถ้าผิดถ้าไม่ดีตนเองนั่นแหละครับจะต้องแก้เองก่อน เหมือนที่พี่พูดบ่อยๆรึเปล่า และไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่านั้น ใจก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นครับ หากอ่านแล้วขัดเคืองใจผมเองต้องขออภัยในการใช้คำพูดหรือข้อความทำให้พี่รู้สึก ไม่สบายใจครับขอบคุณในการตักเตือนครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นครับ
     
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    หลวงพ่อพุธกล่าวไว้ว่า หากเคยได้ฌาน 4 แล้ว ยังจำทางเข้าไม่ได้
    ถือว่าไม่ได้

    แต่ถ้าทำจนเป็นวสีแล้ว ถือว่าได้ ฌาน 4 แล้ว เขาก็วิปัสนาของเขาเอง




    หลบภัย say ..
    แต่ว่า หากเราปฏิบัติจริง เราจะไม่สงสัยตรงนี้ เพราะ............เราเห็นเองตามที่ครูอาจารย์บอก และไม่ว่า ใครจะพูด ก็ตาม เราจะรู้ด้วยตัวเอง ว่า ใช่หรือไม่ใช่..แค่นั้นเอง
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    การที่คุณต้องการมากล่าวใครพูดอะไรแล้วทำหรือไม่อย่างไร เตือนตนก่อนหรือไม่ เตือนตนก่อนหรือยัง เท่านั้น คุณจะพูดเพียงแค่นั้น พูดแค่นี้อยู่เท่านั้น พูดอยู่อย่างนั้นเพียงเท่านี้ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น พูดแล้วก็ต้องมาสงสัยผมว่าผมเคืองใจหรือเปล่าอยูอย่างนั้น แล้วก็ต้องมาออกปากขอโทษผมอยู่เท่านี้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น คือทำแล้วก็ต้องมาคอยขอโทษขอโพยอยู่อย่างนั้นเพียงเท่านี้ผมก็ไม่รู้หลอกครับว่าคุณจะทำเท่านั้นเพียงเท่านี้ไปทำไม มันเรื่องของคูเองแหละครับที่จะเตือนตัวเองก่อนจะได้ไม่ต้องมาคอยขทโทษใครเท่านั้นเท่านี้ เพราะหากคุณระมัดระวังคำพูดก่อนที่จะทำ หรือทำอย่างดีแล้วก็คงรู้ว่าไม่ต้องพูด คุณจะเห็นสิ่งนี้หรือไม่อย่างไรมันเรื่องของคุณที่จะเตือยนตัวเองหละครับที่จะไปพูดไปก่อนที่จะทำได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างงั้นมันก็ต้องมาสาระวนกับการพูดออกไปแล้วก็ต้องมาขอโทศขอโพยตามหลัง ร้อนใจที่จะต้องออกปากขอโทษขอโพยภายหลังแล้วก็มาบอกว่าไม่สั่นไหวอะไรเลย เพราะมาจะมาแสดงพูดๆๆเพียงเท่านี้
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จะไม่ร้อนได้ยังไงจะหลอกตนเองว่าไม่ร้อนได้ยังไง ผมไม่ใช่พวกชอบหลอกตัวเองนะครับ จะได้บอกว่าเวลาโกรธรักษาหน้าว่าไม่โกรธ ผมคงทำไม่ได้ครับ มันถือว่าเป็นการโกหกผมยอมรับว่าร้อนใจกลัวว่า คุณพี่จะถือโกรธกับสิ่งที่กล่าวไป เพราะบางครั้งสิ่งที่กล่าวไปแม้จะเล็กน้อยสำหรับบางคนแต่อาจจะไม่เล็กน้อยสำหรับบางคน เพราะคนแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม การที่ขอโทษก็ขอโทษตามลักษณะโดยธรรมเนียมเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าผิดเพราะถามสิ่งต่างๆเหล่านั้น แต่หากว่าผู้ตอบจะมองว่าผิดก็สุดแล้วแต่ครับ เพราะผู้ตอบย่อมรู้ดีกว่าใครว่ารู้สึกอย่างไร ดังเช่นที่พี่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งผมยอมรับว่าร้อนตัวกลัวว่าคำพูดจะพาให้คิดปรุงแต่งไปไกลอีกเท่านั้นแหละครับ ที่บอกว่าเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...