การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 18 มีนาคม 2010.

  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คัททูลสูตรที่ ๒ สรุป

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้ที่สุด เบื้องต้น เบื้องปลายรู้ไม่ได้แล้ว
    ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏแก่ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
    มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
    ท่องเที่ยวไปมาอยู่


    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
    ย่อมตามเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่า
    นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

    ปุถุชนนั้น ถ้าแม้เดิน ยืน นั่ง นอน
    เขาก็ย่อมเดิน ยืน นั่ง นอนใกล้ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้นั้นเอง

    เธอทั้งหลาย พึงพิจารณาจิตของตน เนืองๆ ว่า
    จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะสิ้นกาลนาน


    ***

    สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง
    สัตว์ทั้งหลาย
    ย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว


    จิตนั้นแหละ วิจิตรกว่าภาพนิทรรศการแม้นั้น
    จิตนั่นแหละ วิจิตรกว่าสัตว์ดิรัจฉานแม้เหล่านั้น

    เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตน เนืองๆ ว่า
    จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน

    ***

    ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
    เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นแหละให้เกิด

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา


    ไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวตนของเรา

    พวกเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของเรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนของเรา


    อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของเรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
    เพราะคลายกำหนัด
    จิตย่อมหลุดพ้นจากการถือมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    (smile) เพราะจิตรู้อยู่ เห็นอยู่ ว่า
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของเรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง
    สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว

    เธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า
    จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน

    *

    สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ
    การชำระจิตให้บริสุทธิ์ นี้คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ^
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จึงทรงสอนให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์
    โดยการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง


    (smile)
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    (มหาสติปัฏฐานสูตร)
    เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา
    โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อฏฺฐงฺคมาย
    ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย
    ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
    เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
    เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร
    เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
    เพื่อบรรลุญายธรรม
    เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
    ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔

    สตฺตานํ วิสุทฺธิยา = เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
    เนื่องจาก
    สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง
    สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว
    ^
    พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติทางจิต
    ให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสต่างๆอย่างสิ้นเชิง

    จิตสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ(จิตสิ้นตัณหา)
    จิตจะได้ไม่เศร้าหมองด้วยราคะ โทสะ โมหะ อีกต่อไป
    หลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชาอย่างสิ้นเชิง


    (smile)
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    จิต นั้น เหมือน ภาชนะ เหมือนถ้วย

    ที่ เติมอะไรเข้าไปก็ เป็นสิ่งนั้น

    เวลา เรากินข้าว เราไม่ได้มองจานหรอก แต่ เรามองว่า อะไรอยู่ในจาน

    ทีนี้ เวลาเรามีอารมณ์ อย่างไร ก็เท่ากับ กับข้าวที่อยู่ในจานนั้นแหละ

    เวลา เราเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ก็เปลี่ยนแต่กับข้าวในจาน

    แต่ มันก็มีจานนี้อยู่ เป็นของตน


    มี พระอรหันต์ ท่านหนึ่ง พระพุทธเจ้า บอกให้ บริกรรมคำว่า รโชหรณัง แล้วเอามือลูบผ้าขาว พอลูบไปลูบมา ผ้าก็เปื้อน ท่านก็บรรลุธรรม เพราะเห็นตามความเป็นจริง
    คือ จิตเดิมนั้น ผ่องใส แต่กิเลสจรมา จึงทำให้หมองหม่น

    แต่ทีนี้ จุดสุดท้าย ที่เป็น นิพพาน นั้น ก็ไม่สามารถบอกได้

    แต่บอกได้ว่า ตราบใด ที่ยังไม่เข้านิพพาน จิตนั้นเป็นของตนเสมอ

    ดังนั้น ท่านทั้งหลาย ก็อย่าทิ้งจิตของตน จิตของตนนี้แหละ ฝึกให้ดี

    จะทำให้เรา มีแนวจับ ไปจนกว่าจะเข้าึถึงที่สุด ดับทุกข์ สิ้นเชิง
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    จะว่า ไม่เป็นของตนได้อย่างไร หรือ จะว่า ไม่มีบุคคลเราเขา

    ก็ให้ดู นางฟ้า ที่ พระโมคคัลลานะ ไปถามบนสวรรค์ ว่า อดีตเธอทำอะไรไว้ จึงได้มีวิมาน มีบริวาร มีรัศมีแบบนี้

    หรือ พระศาสดา กล่าวถึง อดีตชาติของท่าน ก็หมายความว่า

    จิตนี้ แหละ ที่ เวียนว่ายตายเกิดมา เป็น เอนกอนันต์ ไม่ได้สูญ ไม่ได้ฉิบหายไป

    ไม่ใช่ ว่า สืบเนื่อง กัน

    การสืบเนื่อง คือ เรื่องสมมติ แต่ ตัวรับเรื่องราวนั้น แหละ คือ จิต
     
  6. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    ภพ ภูมิมีจริง โลกหน้ามีจริง ไม่ไช่สวรรค์ ในอก นรก ในใจ

    อันนี้ต้องคุยกันไห้ชัดนะครับ ไม่ไช่มีเหตุปัจจัย ไห้เป็น หรือพลังงาน

    ท่ไม่มีวันสลาย หรือหมดไป หรือพลังงาน ไม่มีวันสูญสลาย แต่เปลี่ยนรูปไปเท่าทนนั้น

    สวรรค์ก็คือโลกอีกโลกหนึ่ง

    โลกมนุษ์ก็โลกหนึ่ง

    นรกก็โลกหนึ่ง

    แค่นี้ง่ายๆ

    ไช่ไหมครับ
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอาอย่างนี้นะครับ
    ที่ต้องทำลายจิต เพราะจิตนี่
    เป็นจิตอวิชชา
    อย่าเข้าใจว่า จิตเป็นบอร์ด อวิชชา เป็น post-it
    เอา post-it มาแปะที่บอร์ด แล้วจะเป็นจิตอวิชชา
    ไม่ใช่นะครับ
    จิตกับอวิชชาคืออันเดียวกันเลย เป็นเนื้อเดียวกันเลย
    เพราะฉนั้นจะทำลายอวิชชาได้ ก็ต้องทำลายจิต
    นี่ถูกต้อง

    ทีนี้เมื่อจิตเป็นจิตบริสุทธิ์แล้ว ปราศจากอวิชชา
    ก็คือ นิพพาน

    แต่จิตก็เป็นจิตวันยังค่ำ
    เพียงแต่ว่าเป็นจิตที่มีอวิชชาหรือไม่เท่านั้น

    จิตก็ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน
    จิตก็คือจิต

    หลวงตาท่านกล่าวว่า
    จิต นี่ เป็น ธรรมธาตุ แล้ว นี่ชัดเจนที่สุด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

    PANTIP.COM : Y9043740
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    PANTIP.COM : Y9040485
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อวิชชา คือ ความที่จิตไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
    จิตไม่รู้ว่าการที่ตนไปยึดถือขันธ์ ๕ ทำให้ตนเป็นทุกข์...ไม่รู้จักทุกข์
    จิตไม่รู้ว่า เมื่อตนไปยึดถือขันธ์ ๕ แล้ว ทุกข์ไม่เกิดขึ้นเป็นไม่มี...ไม่รู้จักสมุทัย
    จิตไม่รู้ว่าการที่ตนปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ได้ ทำให้ตนไม่ทุกข์...ไม่รู้จักนิโรธ
    จิตไม่รู้ว่าการปฏิบัติอริยมรรค ๘ เป็นวิธีที่ตนจะปล่อยวางขันธ์ ๕ ได้...ไม่รู้จักมรรค

    เมื่อปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จ เกิดวิชชาขึ้นที่จิตแทนที่อวิชชา
    คือ จิตรู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง

    จิตรู้ว่าการที่ตนไปยึดถือขันธ์ ๕ ทำให้ตนเป็นทุกข์...รู้จักทุกข์
    จิตรู้ว่า เมื่อตนไปยึดถือขันธ์ ๕ แล้ว ทุกข์ไม่เกิดขึ้นเป็นไม่มี...รู้จักสมุทัย
    จิตรู้ว่าการที่ตนปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ได้ ทำให้ตนไม่ทุกข์...รู้จักนิโรธ
    จิตรู้ว่าการปฏิบัติอริยมรรค ๘ เป็นวิธีที่ตนจะปล่อยวางขันธ์ ๕ ได้...รู้จักมรรค

    (smile)
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

    ขอให้อ่านให้ดี อย่าหลงประเด็นไขว้เขวตามคำสอนกบฏ

    - ข้อสังเกตุ ตัดเรื่อง ตัณหา ออกไปจากเนื้อหา หลักคำสอน ในส่วนของ สมุหทัย
    เพื่อให้สอดคล้องลำพังลงที่การทำฌาณสมาธิละวางขันธ์ ก็คิดว่า พอแล้ว


    - "จิตรู้ว่าการปฏิบัติอริยมรรค ๘ เป็นวิธีที่ตนจะปล่อยวางขันธ์ ๕ ได้" ประโยคนี้แม้
    จะดูไร้ที่ผิด แต่ มีคำว่า "ตนจะ" ตรงนี้เป็นการแทรกความกำกวมเข้ามา หากฟัง
    สายพระป่า ตรงนี้จะชี้ชัดว่า หากยังมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ปล่อย นั่นคือ ติดตาย
    ติดอยู่ที่ตอ ได้แค่จินตมัยยปัญญา และเป็นจินตมัยยปัญญาที่ไม่มีวันให้ภาวมัยยปัญญาที่แท้ได้เลย


    PANTIP.COM : Y9045116
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  12. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ใช่ดูจิตไม่ผิด

    แต่จะดูจิตได้ต้องมีสติสัมปชัญญะใช่มั้ย
    สติต้องสืบเนื่องเป็นสายน้ำ

    ไม่ใช่ เกิด ดับ เป็นหยดน้ำ

    นี่ปัญหาอยู่ตรงนี้
    ผิด ก็ ผิดตรงนี้

    เอ้ามีอะไรค้านให้ัว่ามา
    ช่วงนี้งานเยอะมีเวลาไม่มากนัก....
     
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918


    คำสอนหลางตามหาบัว สอนชัดว่า ผู้รู้ มีเสื่อม มีเจริญ เกิดดับ

    และให้ดูที่ตรงนี้ การเห็นการเจริญ และ เสื่อมของผู้รู้ คือ การดูจิต

    ส่วนไอ้ที่คุณพูดว่า ดูจิตต้องมีสติเป็นสายน้ำ นั่นมันขึ้นพื้นฐาน เด็กเขาหัดดู
    หรือ....คนที่ภาวนาไม่เป็น แต่คิดว่า ภาวนาเป็น

    ทำไม ผู้รู้มีเสื่อม มีเจริญ เพราะ...

    ความอ้างอิง ก็โพสให้อ่านแล้ว ใน #69

    ดังนั้น คุณก็พิจารณาเอาจากคำสอนของหลวงตาท่านเอาเองเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อย่าเอาธรรมขององค์ท่านมาอ้างเพื่อประโยชน์ตน

    ยกมาให้หมด ว่าอยู่กัณฑ์ไหนวันไหน
    ท่านมีบันทึกไว้หมดล่ะกัณฑ์เทศน์หลวงตา

    เอ้าหาแหล่งอ้างอิงมา
    เสื่อม เจริญ ไม่ใช่ เกิด ดับ
     
  15. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ธัมมะในลิขิต ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ฉบับที่ 27


    อาการของจิตทุกอาการที่เกิดขึ้น ต้องดับและแปรปรวน อย่าตื่นเงาของจิต ตัวเองจะเดือดร้อน ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอเป็นทางที่ถูกแล้ว ความเสื่อมความเจริญเป็นอาการของโลก ให้รู้เท่าผู้รู้ว่าเสื่อมหรือเจริญนี่แหละเป็นธรรมที่คงที่ ความรับรู้ทุกขณะนี้แลเป็นธรรมยั่งยืน เรานักปฏิบัติอย่าหลงตามอาการของความเสื่อม ความเจริญ จงรู้ตามอาการ จึงจัดว่าเป็นผู้ฉลาดในธรรม

    ดวงไฟยังมี ดอกแสงควันไฟต้องแสดงความเกิดความดับของดวงไฟเป็นธรรมดา
    จิตยังมีอาการเกิดๆ ดับๆ ซึ่งเกิดจากดวงจิต ต้องมีเช่นเดียวกัน ข้อสำคัญอย่าหลงตาม เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงรู้ตาม เผลอหรือไม่เผลอ จงตามรู้ทุกอาการ จึงจัดว่านักค้นคว้าความรู้เท่าในอาการเกิดๆ ดับๆ ของสิ่งเหล่านี้ ด้วยปัญญาเสมอไป นั่นแลจัดว่าเป็นผู้รู้เท่าทันโลกและเรียนโลกจบ จึงจะพบของจริง

    -----------------
    จงรู้ตามอาการ

    จิตยังมีอาการเกิดๆ ดับๆ ซึ่งเกิดจากดวงจิต

    จงตามรู้ทุกอาการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เน้นตัวใหญ่ แล้วไง มีตรงไหนบอกว่า ทำผิด หรือ ห้ามดูไหมหละ

    ให้ตามรู้ถูกไหม เคารพคำสอนหรือเปล่าหละ หากเคารพคำสอน
    ก็ หัดตามรู้ตามดูอาการบ้าง

    ท่านชี้ว่า มันจะมีดับ มีแปรปรวน นั้น ก็ให้ดูตัวนี้ แล้วอย่าไปตกใจ
    กับอาการแปรปรวนจนเลิกดู จนไม่กล้าดู ไม่กล้าตามรู้

    อ่านให้ดีๆนะ ว่าท่านสอนให้ กล้าตามรู้ตามดู ไม่ใช่ ห้ามไปดูมัน

    คนละเรื่อง!!!!
     
  17. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอานะฟังนะ
    ที่เกิดดับ คือ อาการของจิต เช่น สุข ก็ดับ ทุกข์ ก็ดับ
    ท่านไม่ได้ว่าจิตเกิด ดับนะ อย่ามั่ว

    จิตเจริญหรือเสื่อม
    ถ้าในวงนักปฏิบัติจะรู้ดี
    ส่วนคุณนักจำมาเล่า...
    ไม่มีทางรู้ได้

    จิตเจริญ ตัวอย่างเช่น จิตเข้าสมาธิได้เป็น เอกคตารมณ์ ทุกครั้งที่ต้องการ
    ส่วจิตเสื่อมนี่ อาจจะเข้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หรือเข้าไม่ได้เลย
    นี่นักปฏิบัติ เป็นแบบนี้

    ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ ฌาณ เสื่อมนั่นล่ะ

    เอ้ามีอะไรค้านให้ว่ามา...
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อ่านภาษาไทยออกไหมหละ ชี้ให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ที่มาที่ไป ที่อ้างอิง

    ก็ตามสืบค้นไปตามนั้นสิพี่
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เอ้า ก็นั่นแหละ เห็นอาการของจิต แล้วคิดว่า รู้เห็นการเกิดดับของจิต

    ก็นั่นแหละ อาการตกใจในการเห็น การเกิดดับ แปรปรวน แล้วเลิกตามรู้
    ตามดูเสียกลางคัน

    มันยังมีสิ่งให้รู้มากกว่านั้น ไม่ใช่รู้แค่นั้นแล้วคิดว่ารู้ นั่นแหละเรียกว่า
    หลงรู้อาการของจิต ไม่ใช่รู้ไปที่จิต

    ภาวนายังไม่เป็นเลยนะนั่น
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เรื่องไม่สูญก็เรื่องหนึ่งและเรื่องความยึดมั่นถือมั่นก็เรื่องหนึ่ง ยังจะเอามาปะปนกันได้เอาเข้าไป นะสิ่งที่ควรแยกพิจารณากับไม่แยกสิ่งไม่ควรแยกพิจารณากลับไปแยก ความเสื่อมและความเจริญนั่นก็คือความไม่เที่ยง จะมองว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ได้ แต่ต้องพิจารณาให้เห็นว่ามันไม่เที่ยงให้ได้เช่นกัน และมันคนละเรื่องกับการเสวยเมื่อไม่หมดเหตุไม่หมดกรรม ดังนั้นจิตจึงไม่ได้สูญ แต่จะเกิดปฏิสนธิจิตปฏิสนธิวิญญาณไปเรื่อยๆหากยังไม่หมดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย พระสัทธรรมนี้พระศาสดาและพระขีณาสพท่านสอนเอาไว้ไม่ใช่หรือจะไปมองว่าจิตนี้สวยงาม เราเป็นผู้เสวยอารมณ์นั่นอารมรณ์นี่ มันก็เท่ากับว่าสร้างกับดักให้กับตนเองดีๆนี่เอง ก็ตามที่หลวงตากล่าวนั่นแหละ เรื่องดูจิตผมว่าหากสติไม่ถึงพร้อมหมดสิทธิ์เห็นอะไรทั้งสิ้นกิเลสตัวเล็กตัวใหญ่ก็ไม่มีวันเห็นเพราะถูกกลืนไปกับตัณหาทั้งหลายก่อนที่จะเห็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีสติสัมปยุตอย่างยิ่งยวด จึงจะเป็นผลและเกิดผลที่เป็นไปตามพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นเมื่อนั้นก็ละได้และจะไม่มีวันกลับคืนมาอีกเลยในสิ่งที่ละแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...