11111111111111* 11111111111111* แบ่งให้บูชาพระเครื่องหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(ฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พรแม่ศรี, 13 พฤษภาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    111111111111111111111111111111111111111111
    ราตรีสวัสดิ์ทุก ๆ ท่านเลยนะครับ:cool:
     
  2. ลูกคนที่ 62

    ลูกคนที่ 62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +21,538
    อืม..ราตรีสวัสดิ์ครับผม
     
  3. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    สวยจัง กราบ กราบ กราบ

    อ้าว...ราตรีสวัสดิ์กันหมดเลย ^-^
     
  4. Pjmmc22

    Pjmmc22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,645
    นำมาให้ชม
    สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก 5 นิ้ว (รุ่นแรก) ปี 3535
    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    จองบูชาครับท่านพี่ อยากได้ อยากได้ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    ตอนนี้เหลือองค์เดียวจริง ๆ รอ ๆ หน่อยนะครับเดี๋ยวจะดู ๆ ให้นะครับ
     
  6. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ทศ..และพี่น้องทุกท่าน (kiss)
     
  7. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    สวัสดีคุณพัณณ์และเพื่อน ๆ นะครับ
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  8. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    11111111111111111111111111111111111111111111111111
    เดี๋ยวมาจ้า
     
  9. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    วันนี้วันพระ มีเรื่องราวของพระมหาเถระท่านหนึ่งมาฝากพี่น้องเจ้าค่ะ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในพระธรรม นะเจ้าคะ
     
  10. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    <CENTER>พระนันทเถระ </CENTER><CENTER>เอตทัคคะในทางผู้สำรวมอินทรีย์</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>
    [​IMG]


    <TBODY></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>
    </CENTER>



    พระนันทศากยะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านาง เป็นพุทธอนุชาร่วมพระบิดาเดียวกัน เมื่ออยู่ในครรภ์พระมารดา บรรดาพระประยูรญาติปรารถนาจะได้เห็น ต่างก็มีความปีติเย็นดีร่าเริงบันเทิงใจ เมื่อประสูติออกมาจึงขนานนามว่า " นันทกุมาร" เมื่อเข้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชา บำเพ็ญเพียร ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณแล้ว เสด็จจาริกทรงเทศนาโปรดพุทธเวไนย์ โดยลำดับ จนบรรลุถึงกรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระพุทธบิดาตรัสใช้กาฬยีอำมาตย์ ผู้เป็นอำมาตย์คนสุดท้ายของทั้งหมด ๑ ๐ คน เพื่อไปกราบทูลพระบรมศาสดา และนำเสด็จสู่เมืองกบิลพัสดุ์

    พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สองหมื่นรูปเป็นยศบริวาร เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ทรงจาริกมาตามมรรควันละหนึ่งโยชน์ ทรงใช้เวลาเสด็จพระพุทธดำเนิน ๖๐ วัน จึงเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ แล้วทรงกระทำฝนโบกขรพรรษ คือฝนดุจน้ำที่ตกลงในบัว และมีสีแดงดังสีเท้านกพิราบ ฝนชนิดนี้ใครปรารถนาให้เปียกจึงเปียก ถ้าไม้ปรารถนาให้เปียก็้ไม่เปียก แล้วทรงแสดงมหาเวสสันดรชาดกในสมาคมแห่งพระประยูรญาติ

    รุ่งเช้าขึ้นพระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ทรงเทศนาโปรดพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชให้สำเร็จพระโสดาปัตติผล แล้วเสด็จเข้าไปเสวยภัตตาหารในพระราชนิเวศพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระดำรัสกราทูลอาราธนาของพระพุทธบิดา

    วันที่ ๒ พระบรมศาสดาเสด็จไปรับภัตตาหารในพระราชวัง พอทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงเทศนาโปรดพระนางมหาปชาบดีโคตมีให้บรรลุพระโสดาปัตติผล และพระพุทธบิดาให้บรรลุพระสกทาคามีผล วันที่ ๓ พระบรมศาสดาทรงเทศนามหาธรรมปาลชาดกโปรดพุทธบิดาให้สำเร็จพระอนาคามีผล และทรงเทศนากินนรีชาดกโปรดพระนางพิมพาหรือพระนางโสธราให้สำเร็จพระโสดาปัตติผล รุ่งขึ้นวันที่ ๔ พระบรมศาสดาเสด็จไปขึ้นปราสาทใหม่และงานอภิกเษกสมรสของนันทราชกุมารกับนางชนปทกัลยาณี (หรือนางรูปนันทา)
    <TBODY></TBODY>​


    </TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0><CENTER>
    อุ้มบาตรตามเสด็จ​


    </CENTER><CENTER><TBODY></TBODY></CENTER></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>
    [​IMG]


    <TBODY></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>


    ครั้นเสด็จภัตกิจแล้ว พระพุทธองค์ประทานบาตรส่งให้นันทกุมารถือไว้ตรัสมงคลกถาพระประยูรญาติในสมาคมนั้นโดยสมควรแล้ว เสด็จลุกจากอาสนา เสด็จลงจากนิวาสสถานโดยมิได้รับบาตรคืนจากนันทกุมาร ส่วนนันทกุมารเองก็ไม่กล้ากราบทูลเตือนให้ทรงรับบาตรคืน ด้วยความเคารพในพระเชษฐาเป็นอย่างยิ่ง ได้ถือบาตรตามเสด็จลงมาโดยมิได้ตรัสอะไร ได้แต่นึกอยู่ในใจว่า พระองค์คงจะรับบาตรคืนเมื่อถึงพื้นล่าง

    เมื่อพระองค์ไม่ทรงรับบาตร ก็คิดต่อไปว่า เมื่อถึงพระลานก็คงจะรับ แต่พระพุทธองค์ก็มิทรงรับ จึงดำริต่อไปว่าเมื่อเสด็จถึงประตูพระราชวังก็คงจะทรงรับ ครั้นเห็นว่าไม่ทรงรับก็ถือบาตรตามเสด็จไปเรื่อย ๆ แล้วก็ดำริในใจว่า ถึงตรงนั้นก็คงจะทรงรับ ถึงตรงนี้ก็คงจะทรงรับ แต่พระพุทธองค์ก็มิทรงรับบาตรคืนเลย ส่วนนางชนปทกัลยาณี เมื่อได้ทราบจากนางสนมว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพานันทกุมารไปด้วยก็ตกพระทัย รีบตามเสด็จไปโดยเร็วแล้วร้องทูลว่า " ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระองค์รีบเสด็จ กลับโดยด่วน "


    <TBODY></TBODY>​


    </TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0><CENTER>
    จำใจบวช ​



    นันทราชกุมาร ได้สดับเสียงของนางแล้วประหนึ่งว่า เสียงนั้นเข้าไปขวางอยู่ในหฤทัย ให้รู้สึกปั่นป่วนอยากหวนกลับ แต่ก็กลับไม่ได้ ด้วยมีความเคารพในพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ต้องฝื่นทนพระทัยถือบาตรตามเสด็จจนถึงนิโครธาราม เมื่อเสด็จถึงพระคันธกุฎี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับบาตรคืน แล้วตรัสแก่นันทกุมารว่า " นันทะ เธอจงบรรพชาเถิด" สำหรับนันทกุมารนั้น เรื่องการบวชไม่มีอยู่ในความคิดเลยแม้สักนิดหนึ่ง ภายในดวงจิดคิดถึงแต่ถ้อยคำและพระพักตร์ของพระนางชนปทกัลยาณี ที่มาร้องสั่งเตือนให้รีบเสด็จกลับ แต่เพระความเคารพยำเกรงในพระเชษฐาเป็นยิ่งนักไม่สามารถจะขัดพระบัญชาได้ จึงจำใจรับพระพุทธฎีกา บวชในวันนั้น พระนันทะ นับตั้งบวชแล้ว ในดวงจิตคิดคำนึงถึงแต่นางชนปทกัลยาณีเจ้าสาวของตนที่เพิ่งจะแต่งงานกัน แล้วก็ต้องจำพรากจากกันด้วยความเคารพในพระศาสดา ไม่มีแก่ใจที่จะประพฤติพรตพรหมจรรย์ มีแต่ความกระสันที่จะลาสิกขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ได้แต่เล่าความในใจนั้นให้เพื่อนสหธรรมิกด้วยกันฟัง
    </CENTER>


    <TBODY></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>

    <TBODY></TBODY>

    </TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0>


    เปรียบอดีตเจ้าสาวเหมือนลิงแก่

    [​IMG]


    พระบรมศาสดา ทรงทราบความในใจของท่านพระนันทะแล้ว ทรงดำริว่า " นันทะกำลังมีใจมัวเมายิ่งนัก ไม่อาจระงับความทุรนทุรายในใจของเธอเสีย ทรงดำริเช่นนี้แล้วจึงตรัสว่า " ดูก่อนนันทะ เธอมาไปกับตถาคต ตถาคตจะพาเธอไปเที่ยวในสรวงสวรรค ์"

    พระนันทะกราบทูลถามว่า " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปสวรรค์ได้อย่างไร เพราะสวรรค์เป็นสถานที่ที่ผู้มีฤทธิ์จะพึงไปเท่านั้นมิใช่หรือ พระเจ้าข้า"

    พระบรมศาดาตรัสแนกวิถีทางที่จะไปสู่สวรรค์ว่า " ดูก่อนนันทะ เธอจงนึกในใจแต่เพียงอย่างเดียวว่าจะไปสวรรค์เท่านั้นแหละ เธอก็จะได้ไป "

    พระพุทธองค์ทรงพาพระนันทะเที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก่อน เพื่อให้พระนันทะได้เห็นสตรีที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน ตั้งต้นแต่ให้เห็นสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุด โดยให้เห็นนางลิงแก่ที่หูแหว่งจมูกโหว่ และหางขาดนั่งอยู่บนตอไม้ดำเป็นตอตะโก จนกระทั้งให้ได้เห็นนางเทพอัปสรบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ที่สวยโสภายิ่งนักจนหาที่สุดมิได้ ทำให้เกิดความกระสันอยากจะได้นางเทพอัปสรเหล่านั้นมาเป็นคู่ครอง พระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิตของท่าน จึงตรัสถามว่า " นันทะ เธอมีความคิดเห็นอย่างไร ระหว่างนางเทพอัปสร เหล่านี้ กับนางชนปทกัลยาณี เจ้าสาวของเธอ ? "

    " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นว่า นางชนปทกัลยาณีนั้นเปรี่ยบเสมือนนางลิงแก่ที่นั่งบนตอไม้ จะนำมาเปรียบเทียบกับนางเทพอัปสรเหล่านี้มิได้เลย พระเจ้าข้า "


    พระบรมศาดา ทรงรับรองว่า ถ้าเธอตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์แล้ว เธอก็จะได้นางเทพอัปสรเหล่านั้นตามต้องการ

    ตั้งแต่นั้นมาพระนันทะได้ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อหวังจะได้นางเทพอัปสรตามที่พระบรมศาสดา ทรงรับรองไว้ พระบรมศาสดา จึงตรัสสั่งพระภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลายจงพากันไปกล่าวในที่อยู่ของนันทะว่า " ได้ยินข่าวว่า ภิกษุรูปหนึ่งตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม เพราะความอยากได้นางอัปสร โดยขอร้องให้พระผู้มีพระภาตคเจ้าทรงเป็นผู้รับรอง"
    เพื่อนภิกษุทั้ง รับพระพุทธบัญชาแล้วพากันไปกล่าวเปรย ๆ ขึ้นในสำนักของพระนันทะว่า ได้ยินข่าวว่า พระนันทะ บวชเพราะรับจ้างบ้าง พระนันทะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อหวังจะได้นางเทพอัปสรบ้าง "

    พระนันทะได้ฟังถ้อยคำของพระภิกษุเหล่านั้น ที่พากันมากล่าวเป็นทำนองเย้ยหยันดังนี้ พลันนึกเฉลี่ยวใจว่า " พระภิกษุเหล่านี้ คงไม่ได้พูดหมายถึงผู้อื่น คงพูดหมายถึงตัวเราเป็นแน่แม้ การกระทำของเราไม้สมควรทีเดียว"

    พระนันทะเกิดความละอายใจไม่กล้าเข้าสมาคมกับเพื่อนพระภิกษุด้วยกันและเกิดความคิดขึ้นมาว่า



    " ความรักไม่มีที่สิ้นสุด ความรักทำให้เกิดความทุกข์และความเศร้าโศกเสียใจไม่มีที่สิ้นสุด "


    อนึ่ง สตรีที่มีความงามนั้นไม่มีที่สิ้นสุด คนใหม่ย่อมดูงามกว่าคนเก่า คนนั้นก็ดูสวยดี แต่คนนี้ก็งามกว่า จึงเป็นสิ่งที่หาที่สุดมิได้ "

    ท่านจึงตัดสินใจปลีกตัวออกจากหมู่ภิกษุตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์อุตสาหะเจริญสมาธิกรรมฐาน ตั้งจิตไว้โดยไม่ประมาท ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระขีณาสพในพระพุทธศาสนา จากนั้นท่านได้กลับมากราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบว่า


    " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจอันใดที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาจะช่วยสงเคราะห์ให้ได้นางฟ้านั้น กิจอันนั้นข้าพระองค์เปลื้องปลดจนหมดสิ้นสมประสงค์แล้ว พระเจ้าข้า "


    พระบรมศาสดา ตรัสอนุโมทนาและตรัสธรรมกถาว่า


    " อันเปลือกตมคือกามคุณ และเสี้ยนหนามคือกองกิเลส คือกามได้แล้ว ผู้นั้นบรรลุความสิ้นไปแห่งโมหะ ( คือความหลง , โง่ ) อันบุคคลใดกำจัดทำลายได้แล้ว บุคคลนั้น ชื่อว่า มีใจไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์ทั้งปวง "

    อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนภิกษุถามท่านว่า " เมื่อก่อนนี้ ท่านพูดว่ามีจิตปรารถนาจะสึก มาบัดนี้ ท่านยังปรารถนาอย่างนั้นอยู่หรือไม่ ? "


    ท่านตอบว่า " ไม่มีความปรารถนาอย่างนั้นอยู่อีกแล้ว "


    ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนแล้ว ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า


    " พระนันทะพูดไม่เป็นความจริง พระเจ้าข้า "

    พระบรมศาดา ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า ๑ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนนี้ อัตภาพของพระนันทะเปรียบเสมือนเรือนที่มุงหลังคาไม่ดี ฝนตกลงมาย่อมรั่วรดได้ แต่บัดนี้ เธอได้สำเร็จกิจแห่งบรรพชิดแล้วจึงเปรียบเสมือนเรือนที่มุงหลังคาดีแล้ว ฝนตกลงมาย่อมไม่อาจรั่วรดได้ฉันใด จิตที่บุคคลเจริญสมาธิภาวนาดีแล้ว กิเลสราคะทั้งหลายย่อมย่ำยีไม่ได้ ฉันนั้น "


    <TBODY></TBODY>


    </TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0><CENTER>
    อดีดชาติ​


    วันต่อมา พระภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในธรรมสภาว่า " ท่านทั้งหลายขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นอจัฉริยบุคคลทุกพระองค์ ท่านพระนันทะเดิมทีท่านอยากสึก เพราะรักนางชนปทกัลยาณี แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำได้ ด้วยวิธีทรงนำเอานางอัปสรมาเป็นเครื่องล่อ"

    พระบรมศาสดาได้เสด็จมาตรัสถามว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน" พอทรงทราบเรื่องจาการกราบทูลของพระภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเช่นนี้ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ถึงในอดีดชาติตถาคตก็เคยแนะนำนันทะได้ด้วยใช้มาตุความเล้าโลมมาเแล้วเหมือกัน " พระบรมศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระนันทเถระว่า

    ในอดีตกาลอันล่วงแล้วมา ครั้งรัชสมัยของพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี


    มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า " กัปปะ " อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสีนั้น กัปปพาณิชมีลาตัวหนึ่งเพื่อไว้ใช้บรรทุกต่าง ( ต่างก็คือภาชนะสานสำหรับบรรทุกสิ่งของ มีคานพาดไว้บนหลังสัตว์พาหนะ) และลาตัวนั้นของเขาเดินทางได้วันละ ๗ โยชน์

    คราวหนึ่ง กัปปพาณิชได้บรรทุกสินค้าใส่ต่างให้ลานั้นนำไปขายที่เมืองตักกสิลา พอไปถึงที่พักจึงปล่อยลาให้เที่ยวไปพักผ่อนจนกว่าจะจำหน่ายสินค้าหมด

    ลาของเขาเดินเที่ยวไปที่หลังคูเมือง ได้เห็นนางลาตัวหนึ่งจึงเข้าไปหานางลาตัวนั้นปราศรัยไต่ถามลาของกัปปพาณิชขึ้นก่อนว่า " ท่านมาจากไหนเล่า"
    ลาผู้ " ฉันมาจากกรุงพาราณสี"
    นางลา " ท่านมาด้วยการงานอะไร"
    ลาผู้ " ฉันมาด้วยการค้าขายของพ่อค้า"

    นางลา " ท่านนำของหนักมาได้ด้วยอะไร"

    ลาผู้ " ฉันนำของหนักมาได้ด้วยต่าง"

    นางลา " เมื่อท่านนำของหนักถึงเพียงนั้นมา แล้วท่านเดินทางได้วันละเท่าไหร่"

    ลาผู้ " ได้วันละ ๗ โยชน์"
    นางลา " เมื่อท่านเดินทางไกลและนำของหนักถึงเพียงนั้น และไปถึงสถานที่ที่นั้น ๆ แล้ว มีใครนวดเท้านวดหลังให้บ้างไหม " นางลาเอ่ยถามเช่นนี้ก็ด้วยมีความรักลาของกัปปพาณิชนั้นเอง
    ลาผู้ได้ตอบนางลาไปตามจริงไปว่า ( ซึ่งความจริงแล้วสัตว์ไม่มีผู้นวดให้) "ไม่มีเลย"

    นางลา จึงฉอเลอะอ้อนออดถามว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านคงลำบากมากซินะ"

    ลาผู้เมื่อได้ยินนางลาถามและแสดงความเห็นใจดังนี้ จึงเกิดติดใจในถ่อยคำนั้น

    ฝ่ายกัปปพาณิชส่งสินค้าหมดแล้วก็กลับไปหาลาของตน แล้วเอ่ยกับลาว่า " ลูกเอ๋ยเรากลับไปกันเถอะ "

    ลาตอบเขาว่า " นายท่านไปก่อนเถอะ ข้าพเจ้ายังไม่ไปหรอก "

    กัปปพาณิชฟังคำตอบของลานั้นแล้วใหเผิดสังเกต จึงได้พูดจาอ้อนวอนลาของเขาต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะลาไม่ยอมกระทำตามจึงฉุกคิดขึ้นได้ว่า " เราจะขู่ลาตัวนี้ให้กลับให้จงไ ด้" แล้วเขาได้กล่าวกับลานั้นว่า " ถ้าหากเจ้าไม่ไป เราจะกระทำปฏักที่มีหนามแหลมยาวถึง ๑๖ นิ้วไว้ทิ่มแทงร่างกายของเจ้า "

    เมื่อลาได้ฟังแล้วจึงตอบกัปปพาณิชว่า " ถ้าท่านจะกระทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะแก้เผ็ดท่าน เวลาท่านทิ่มแทงข้าพเจ้าด้วยปฏักที่มีหนามแหลมยาวนั้น ข้าพระเจ้าก็จะยันเท้าข้างหน้าให้แน่น และยกเท้าข้างหลังขึ้นก็จะทำให้สิ่งของ ของท่านตกแตกกระจัดกระจาย"

    กัปปพาณิชเมื่อได้ฟังคำตอบของลาแล้วก็ครุ่นคิดว่า " เหตุใดหนอ ลาตัวนี้จึงดื้อดึงพูดจากับเราอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย" เขาได้เหลี่ยวมองดูรอบๆ ตัว ก็ได้เห็นนางลาตัวนั้น จึงคิดทบทวนดูว่า ลาของเราคงได้รับการเสี้ยมสอนจากนางลาตัวนี้แน่นอน เขาจึงคิดอุบายแล้วกล่าวกับลาของเขาว่า " เราจะนำนางลาสาว มี เท้า ๔ มีหน้าดุจสังข์ งามทั่วสรรพางค์กาย มาให้เป็นภรรยาของเจ้า"
    ฝ่ายลาฟังคำนั้นแล้วก็รู้สึกดีใจ จึงกล่าวว่า " ถ้าท่านจะกระทำให้แก่ข้าพเจ้าได้เช่นนั้นจริง ๆ ข้าพเจ้าจักเดินทางให้เร็วยิ่งขึ้นถึงวันละ ๑๔ โยชน์เลยท่าน"

    กัปปพาณิชพิจรณาเห็นว่าลาของเขาพร้อมที่จะกระทำตามคำของตนแล้ว จึงกล่าวชักชวนว่า " เมื่อตกลงอย่างนั้นก็จงไปกันเถอะ" แล้วก็พาลากลับที่อยู่ของตน

    ลาก็เฝ้าคอยว่าเมื่อไรนายของตนจะนำนางลาสาวมาให้จนล่วงเลยเวลาไปได้ ๒ -๓ วัน นายของตนก็ยังเงียบเฉยอยู่ยังไม่ยอมกระทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ จึงพูดทวงกับนายกัปปพาณิชขึ้นว่า " ท่านได้บอกไว้ว่าจะหาภรรยามาให้แก่ข้าพเจ้ามิใช่หรือ"

    กัปปพาณิชก็ตอบรับว่า " ใช่แล้ว เราไม่กระทำให้เสียคำพูดของเรา เราจะหาภรรยามาให้เจ้า แต่ว่าเราจะให้อาหารแก่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนภรรยาของเจ้าจะมีกินหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่รับรู้ด้วย ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้า และเมื่อเจ้าอยู่ร่วมกันแล้วก็จะเกิดลูกออกมา อาหารจะมีพอแก่ลูกของเจ้าหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าจะต้องจัดหาเอาเองนะ" เมื่อกัปปพาณิชพูดกับลาอย่างนี้ ทำให้ลานั้นหมดหวัง เลยเลิกคิดที่จะได้นางลาอีกต่อไป ครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกอดีตนิทานชาดกจบลงและมีทรงดำรัสตรัสว่า "

    ภิกษุทั้งหลาย นางลาตัวนั้นได้มาเกิดเป็นนางชนปทกัลยาณี ลาผู้ได้เกิดเป็นพระนันทะ ส่วนกัปปพาณิชได้แก่ตถาคตเอง พระนันทะ ตถาคตเคยล่อด้วยมาตุคามและแนะนำมาแล้วอย่างนี้ "
    </CENTER>


    <TBODY></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" border=0><CENTER>
    ได้รับยกย่องในทางสำรวมอินทรีย์ ​



    </CENTER>
    พระนันทะเถระ เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าท่านเป็นผู้สำรวมระวังอินทรีทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มิให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ระวังไม่ให้กิเลสครอบงำใจ ในเวลารับรู้อารมณ์ทางอินทรีย์ทั้ง ๖ มิให้ตกอยู่ในอำนาจโลกธรรม ด้วยเหตุนี้

    พระนันทเถระมีร่างกายต่ำกว่าพระบรมศาสดา ๔ นิ้ว ท่านมีรูปร่างงดงามละม้ายคล้ายพระบรมศาสดา ทั้งท่านสามารถใช้จีวรได้เท่ากับจีวรของพระบรมศาสดา ครั้งหนึ่งพระภิกษุทั้งหลายเห็นท่านเดินมาแต่ไกล จึงพากันลุกจากอาสนะ ( ลุกรับ ) ด้วยสำคัญว่า พระบรมศาสดาเสด็จมา ต่อเมื่อท่านเข้ามาใกล้จึงจำได้ว่า มิใช่พระบรมศาสดา แต่เป็นพระนันทเถระนั้นเอง ท่านจึงได้ยกย่อมจากพระบรมศาสดาในตำแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้สำรวมอินทรีย์ ท่านพระนันทเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระพุทธศาสนาอยุ่ พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.......










    <TBODY></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  11. nong_cm

    nong_cm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    721
    ค่าพลัง:
    +4,975
    อนุโมทนา สำหรับธรรมะดีดีค่ะน้องพัณ:cool:
    "ความรักไม่มีที่สิ้นสุด ความรักทำให้เกิดความทุกข์และความเศร้าโศกเสียใจไม่มีที่สิ้นสุด "
    อนึ่ง สตรีที่มีความงามนั้นไม่มีที่สิ้นสุด คนใหม่ย่อมดูงามกว่าคนเก่า คนนั้นก็ดูสวยดี แต่คนนี้ก็งามกว่า จึงเป็นสิ่งที่หาที่สุดมิได้ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  12. ลูกคนที่ 62

    ลูกคนที่ 62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +21,538
    ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม
     
  13. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    อิ น ท รี ย สั ง ว ร

    อินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์ คือการสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ สำรวมอย่างไร ขอให้เรามาดูอย่างนี้

    คนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ ๖ ทาง คือ

    ๑. ตา
    ๒. หู
    ๓. จมูก
    ๔. ลิ้น
    ๕. กาย
    ๖. ใจ

    เหมือนกับบ้านก็มีประตูหน้าต่าง เป็นทางติดต่อกับภายนอก

    คนเราก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ ๖ ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอก ที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก ๖ ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก ๖ ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก ๖ ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง ๖ นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง ๖ นี้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง ๖ ไว้ ดังนี้

    ๑. ตาคนเรานี้เหมือนงู งูไม่ชอบที่เรียบๆ แต่ชอบที่ที่ลึกลับซับซ้อน ตาคนเราก็เหมือนกัน ไม่ชอบดูอะไรเรียบๆ ชอบดูสิ่งที่มีลวดลายวิจิตรสวยงาม ยิ่งสิ่งที่เขาปกปิดไว้ละก็ยิ่งชอบดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้ว ไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง

    ๒. หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา

    ๓. จมูกคนเรานี้เหมือนนก คือชอบโผขึ้นไปในอากาศ พอได้กลิ่นอะไรถูกใจหน่อยก็ตามดมทีเดียวว่ามาจากไหน

    ๔. ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้าน คือชอบลิ้มรสอาหาร วันๆ ขอให้ได้กินของอร่อยๆ เถอะ เที่ยวซอกซอนหาอาหารอร่อยๆ กินทั้งวัน ยิ่งเปิบพิสดารละก็ยิ่งชอบนัก

    ๕. กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้

    ๖. ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ

    อินทรียสังวร ที่ว่าสำรวมระวังตัว ก็คือระวังช่องทางทั้ง ๖ นี้ เมื่อรู้ถึงธรรมชาติของมันแล้วก็ต้องคอยระวัง ใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดม อะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่า สวยจริงนะ หล่อจริงนะ อะไรทำนองนี้ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึง เห็นว่าสวยไปทั้งตัว

    อินทรียสังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรียสังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่ เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจ ดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู ฟังในสิ่งไม่ควรฟัง ดมในสิ่งไม่ควรดม ลิ้มรสในสิ่งไม่ควรลิ้ม จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด แม้เราจะมีความตั้งใจรักษาศีล รักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย
     
  14. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    พี่ทศค้า...ได้รับพระแล้วนะเจ้าคะ...สวยงามมากๆๆๆๆเลย ปีติมากมาย

    ขอบพระคุณค่า...โมทนา สาธุค่ะ..(f)
     
  15. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    ขออนุโมทนาธรรมะที่คุณพัณณ์นำมาเผยแพร่ด้วยนะครับ
     
  16. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
     
  17. Pattana

    Pattana ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    12,762
    ค่าพลัง:
    +205,926
    พี่ทศครับ พี่ทศรูปหล่อ พี่ทศพ่อรวย พี่ทศแฟนสวย พี่ทศใจดี พี่ทศช่วยผมหน่อยสิครับ
    เนื่องจากพระในกล่องนี้ยังมีอยู่ไม่ครบ พี่ทศช่วยมอบให้แบบฟรี ๆ หน่อยได้มั๊ยครับ
    สงสารเจ้าของพระเขา อยากให้เขาได้มีเต็มกล่องตามนั้น จึงขอความกรุณาจากพี่ทศ
    ช่วยสละพระให้เขาตามพิมพ์และจำนวนที่ขาดไปด้วยนะครับ นึกว่าสงสารเขาก็แล้วกันนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  18. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    พระคำข้าว รุ่น 2 ปลุกเสก 2 ครั้ง คือ 29 ธ.ค. 2533 และ 28 พ.ค. 2534 สร้าง 5000000 องค์ (p.531#10604) (ราคาเบา ๆ)
    บูชา 190 บาท ค่าส่ง 50 บาท
    โทร 089-4035999
    นายทศพล ศรีสุข ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาบ้านฉาง ออมทรัพย์ 7762142467
    **********ขออภัยครับรายการนี้ให้สิทธิ์คุณfight001ก่อนนะครับ******
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1080246.jpg
      P1080246.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171 KB
      เปิดดู:
      33
    • P1080247.jpg
      P1080247.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  19. พรแม่ศรี

    พรแม่ศรี ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18,789
    ค่าพลัง:
    +55,474
    โอ้..แม่เจ้า อ่า..พระพระเจ้าช่วย
    สุดยอดครับ ท่านผู้ชม คุณลุงพัด เอามาบอกบุญเหรอครับ
    (ping-love(ping-love(ping-love(ping-love(ping-love
     
  20. panchita

    panchita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    15,692
    ค่าพลัง:
    +49,188
    [​IMG]

    สวยงามจริงๆเลยเจ้าค่ะ.. (deejai)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...