รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เมตตาบารมี

    เมตตาบารมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +133
    ขอขอบคุณพี่xorceมากค่ะเป็นไปได้ค่ะที่ว่าวางอารมณ์หนักที่พี่แนะนำดิฉันจะนำไปแก้ไขใหม่ขออนุโมทนาสาธุนะค่ะพี่
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ tinnakornten ครับ

    พี่ xorce ครับ ผมมีปัญหาว่าเวลานั้นสมาธิไปได้สักพัก แล้วหนังตามันจะเปิดเองอะครับพยายามฝืน แล้ว แต่มันจะรี่เล็กๆ ในช่วงที่เราเผลอ หรือต่อคำองค์ภาวนา
    ไม่รู้จะแก้ยังงัยครับ รบกวนนิดนึงครับ

    ให้เราทำใจสบายๆครับ อย่าบีบคั้นร่างกายมากไป
    การหลับตาก็ให้เราหลับตาสบายๆ
    เวลาที่เรานอน เรามีอาการแบบนี้ไหมครับ
    ก็ไม่มีครับ
    แล้วตอนที่เรานั่งทำไมจึงเกิดอาการแบบนี้ครับ
    จริงๆก็เพราะ เวลานั่ง อารมณ์เราหนักไปครับ
    ส่วนตอนนอนใจเราสบาย ก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    จริงๆ การทำสมาธิ ไม่ใช่การรักษา กาย ให้นั่งตรง ให้หลับตาปี๋ครับ
    สมาธิจริงๆ อยู่ที่ใจ ให้เราประคองใจ รักษาที่ใจ
    หลับตา ลืมตา ยืน เดิน นั่ง นอน เคยมีพระสุปฏิปันโณบางองค์บอกว่า ตีลังกาก็เข้าฌาณได้ ท่านลองทำมาแล้ว
    ดังนั้นเราจะลืมตา หลับตาก็ทำสมาธิได้ครับ

    แล้วเราก็มาดูว่า อารมณ์ของสมาธิ ในขั้นสมถะ ที่เราต้องการคืออะไร
    ไม่ใช่ นั่งตัวตรง ไม่ใช่การหลับตา ไม่ใช่การนั่งขัดสมาธิ ขาซ้ายทับขาขวา
    ไม่ใช่การเอามือสองข้างวางทับกัน ไม่ใช่แสงสว่าง ไม่ใช่การทนกับอาการเมื่อย

    สมาธิในขั้นสมถะ ที่เราปรารถนา ก็คือ ฌาณ4 อารมณ์ของฌาณ4 คือ อารมณ์ เบา สบาย
    ชุ่มเย็น จิตโล่ง โปร่ง ลมหายใจดับ จิตหยุดนิ่ง ประคองอยู่ในความสบาย
    ถ้าจิตของเราประคองอยู่ในอารมณ์สบายจากสมาธิได้
    จะหลับตา ลืมตา เรียน ทำงาน ตีลังกา วิ่งออกกำลังกาย ก็ถือเป็นสมาธิ เป็นการฝึกสมาธิทั้งหมด

    สมาธิอยู่ที่ใจ รักษาที่ใจ ประคองที่ใจ เข้าถึงด้วยใจ ส่วนร่างกายไม่ต้องสนใจมันเลยครับ

    ดังนั้นจะไม่มีข้ออ้าง ในการที่จะไม่ฝึกสมาธิ เพราะว่าเราทำได้ตลอดเวลา
    อยู่ที่เราจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ

    ในครั้งแรกที่จะให้ได้สมาธิ เราต้องอยู่ในอิริยาบถที่สบายก่อน นอนก็ได้ นั่งบนเก้าอี้
    นั่งพิงโซฟานุ่มๆก็ได้ ให้กาบสบาย พอกายสบายจิตก็เป็นสมาธิได้โดยง่าย
    ลองพิจารณาครับว่า
    บุคคลสองบุคคล บุคคลแรก นั่งบนพื้นไม้แข็ง นั่งเครียด หลังตรง ขัดสมาธิเพชรเต็มที่ ถูกต้องตามหลักการทุกอย่าง
    แต่ปรากฏว่าเครียดไป นั่งแล้ว ไม่ได้สมาธิ ได้ตัวเครียด ตัวเมื่อย ตัวปวดศรีษะ ได้อารมณ์หนักแทน ความสบายใจจากสมาธิไม่เกิด

    กับอีกบุคคลหนึ่ง นั่งเอนหลัง บนโซฟานุ่มๆ สบายๆ แล้วก็จับลมหายใจด้วยใจสบาย
    จนลมหายใจมีความลื่นไหล เบาสบาย ใจก็มีความสบายมากขึ้นๆ จนลมหายใจดับ
    แล้วประคองใจให้มีความสุข จากความสบาย จากการได้พักจิต พักผ่อนจากการคิดเอาไว้ได้

    ใครจะได้บุญมากกว่ากัน แล้วถ้าเกิดตายขึ้นมาตอนนั้น ใครจะไปสูงกว่ากัน

    แต่ถ้าเราได้สมาธิแล้ว ปักหมุดเอาไว้แล้ว เข้าออกได้คล่องแคล่ว
    จะนั่งบนพื้นอะไร อยู่ในอิริยาบถไหน ก็ทำจิตให้อยู่ในอารมณ์สบายได้

    ลองนำไปพิจารณา และปรับอารมณ์ดูครับ
    นอนสบายๆ แล้วปฏิบัติก็ได้ครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งอารมณ์สบายที่เกิดจากสมาธิ ได้โดยง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ฝึกกสินแล้วหลับไปมีมั๊ยคับ

    ฝึกอะไรก็หลับได้หมดครับ
    แต่ถ้าเรารุ้สึกว่า เมื่อสติของเรากลับมาแล้ว
    จิตเรายังประคองอยู่ในอารมณ์เดิม เช่น พุทโธ จนหลับ ตื่นมาก็พุทโธต่อ ทรงภาพพระจนหลับ ตื่นมาก็ทรงภาพพระต่อ
    จับลมหายใจจนหลับ พอตื่นมาก็จับลมต่อจากเดิม หรือแผ่เมตตาจนหลับ ตื่นมาก็แผ่เมตตาต่อ
    แบบนี้ ถือว่าเราหลับไปกี่ขั่วโมง เท่ากับเราทรงสมาธิเอาไว้นานเท่านันครับ
    ถ้าหลับ8ชั่วโมง ก็เท่ากับ ทำสมาธิต่อเนื่อง8ชั่วโมง
    การหากินกับอิริยาบถนอนยังทำได้มากกว่านี้

    ถ้าก่อนนอนเราตั้งใจว่า หากเราตายระหว่างที่เราหลับไปนี้ เราจะไปยังพระนพพานเพียงจุดเดียว
    เสร็จแล้วเราก็เจริญวิปัสสนา พิจารณาตัดสังโยชน์ให้หมด
    แล้วตั้งกำลังใจว่า
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานเข้าสู่ยังสภาวะแห่งพระนิพพานแบบใด
    เมื่อตายแล้วข้าพเจ้าจะขอติดตามพระพุทธองค์เข้าสู่ยังสภาวะแห่งพระนิพพานแบบเดียวกันกับพระองค์ด้วยเทอญ

    ถ้าได้มโนก็เอาจิตขึ้นไปไว้ข้างบนเลย

    ถ้าเราตายในคืนนั้นขึ้นมา ก็ถึงพระนิพพานเลยครับ

    <!-- google_ad_section_end -->ไม่ยากมากแค่เราตั้งใจให้เด็ดเดี่ยวก็เท่านั้นเอง
    ขอให้ทุกๆคนที่ได้อ่านข้อความนี้แล้ว ตั้งกำลังใจให้แน่วแน่ว่าจะติดตามพระพุทธองค์แบบนี้ เอาไว้ทุกๆวัน ทุกๆคืน ทุกๆขณะจิต
    แล้วทุกๆท่านจะไม่คลาดจากพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน
     
  4. tinnakornten

    tinnakornten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +494
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
     
  5. ลุงแก่แล้ว

    ลุงแก่แล้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +29
    ไม่เห็นตอบลุงเลย งั้นไม่นั่งแล้ว

    อูย...ปวดหลัง
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Sangtean ครับ

    ทำไมเวลานั่งสมาธิจะรู้สึกว่าตึงๆ มึนๆระหว่างคิ้วคะ คือจะพยายามวางอารมณ์ใจสบาย ดูลมหายใจภาวนา พุท โธ ควรจะทำอย่างไรคะ

    บางครั้งลมหายใจติดขัด ก็เป็นผลให้อารมณ์หนักได้ครับ
    ก่อนที่เราจะภาวนาก็ให้เรา
    หายใจเข้าลึกๆ สูดลมหายใจเต็มปอด
    ให้ใจของเรารู้สึกเบาสบาย ปลอดโปร่งเหมือนกับอยู่ในทุ่งโล่งกว้าง

    เสร็จแล้ว กักลมหายใจเอาไว้เบาๆ
    แล้วภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ซ้ำไปซ้ำมา ประมาณ10วินาที หรือจนเรากักลมหายใจไม่ไหว
    แล้วก็หายใจออกช้าๆ ทำใจให้รู้สึกเบาๆ สบายๆ
    ทำซ้ำ10ครั้ง
    เน้นที่อารมณ์ปลอดโปร่งโล่งสบาย
    พอทำซ้ำครบสิบครั้งแล้ว

    หลักการในการแก้อารมณ์หนักทั้งหมด
    คือต้องทำให้ ลมหายใจราบรื่น กายเกิดความสบาย นั่งบนเก้าอี้ก็ได้ เพื่อให้ใจเกิดความสบายครับ

    เวลาดูลมหายใจ ก็ต้องดูสบายๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
    ยังมีอาการว่าเราเอาจิตไปจับที่ลมหายใจ หนักเกินไปครับ
    ต้องให้ใจจับลมหายใจด้วยอารมณ์ที่เบากว่านี้ครับ

    ให้ใจลมหายใจเบาๆ สบายๆ สัมผัสอาการพริ้วไหว ความเนียนนุ่ม ลื่นไหลของลมหายใจ
    สัมผัสถึงความต่อเนื่องของลมหายใจที่ไหลเข้าและออก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ให้ใจของเราลื่นไหล เบาสบาย ไปกับลมหายใจ

    ต้องสัมผัสให้ถึงความเย็น กับความลื่นไหล ต่อเนื่องของลมหายใจครับ
    ใจจึงจะเกิดความสบาย

    ขอให้เข้าถึงซึ่งอารมณ์ใจที่เบาสบายมีจิตตั้งมั่นประคองอยู่ในอารมณ์สบาย
    ได้โดยฉับพลันทันใด ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ลุงแก่แล้ว ครับ

    นั่งไปนานๆแล้ว รู้สึกเบาๆว่างๆเหมือนก้นไม่ติดพื้น มันคืออะไรครับ
    แต่วันหลังมันไม่เป็นแล้ว ตอนรู้สึกแบบนั้นมันโล่งสบายดี อยากเป็นแบบนั้นอีก ทำไงครับ

    ขอโทษด้วยครับ ที่ตอบช้า
    เป็นฌาณละเอียดครับ<!-- google_ad_section_end --> พอจิตเข้าเป็นฌาณละเอียดแล้ว จิตจะแยกกับกาย
    จิตจะดิ่งลึกสงบนิ่งอยู่ในกาย จนรู้สึกว่า ตัวของเราเบาๆ ไม่สัมผัสถึงประสาทรับรู้ของกาย

    ถ้าเราเข้าได้อีกครั้ง เราต้องจดจำอารมณ์นั้นให้ได้ แล้วอธิษฐานปักหมุดว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์ สมาธิที่เบาสบาย มีความสุข ชุ่มเย็น ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    ส่วนการที่เราจะเข้าอารมณ์นี้ ให้ได้อีกครั้งนึงนั้น
    ให้เราตั้งจิต ถึงพระ เสร็จแล้วก็ ตั้งกำลังใจว่า
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าเมตตาสงเคราะห์ ให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งอารมณ์สมาธิเดิมของข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    แล้วเราก็ภาวนาทำใจสบายๆ ตามเดิม
    จิตจะค่อยๆดิ่ง เข้าสู่อารมณ์สบายตามเดิมเองครับ

    เราต้องฝึกประคองอารมณ์นี้ให้อยู่กับเราให้ได้ตลอดเวลาครับ
    ลืมตา หลับตา ต้องให้ได้ตลอด แล้วเราจะไม่เสื่อมจากอารมณ์ของสมาธิครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่ง อารมณ์สบายจากสมาธิ ที่ได้สัมผัสแล้ว ได้โดยฉับพลันทันใด และประคองเอาไว้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436
    เราอยากทำสมาธิแต่ไม่กล้าทำคนเดียวอ่ะค่ะ กลัวจะเป็นอะไรไป เราเคยทำสมัยเรียนมัธยม มีพระอาจารย์สอนให้ แต่พอเรากลับมาทำที่บ้าน คุณยายเราเห็น แกห้ามไม่ให้เราทำคนเดียวอ่ะค่ะ เราเลยไม่กล้าทำคนเดียวอีกเลย นอกจากนั่งสมาธิแบบปกติภาวนาพุท โธ ธรรมดา 5 - 10 นาที เท่านั้น ไม่ค่อยได้ทำหรอกค่ะ ส่วนมากถ้าไม่สบายใจหรือว่าเครียด ถึงจะทำ ตอนนี้มีท่านผู้หนึ่งบอกให้เราทำสมาธิปฏิบัติวิปัสนา เราอยากทำตามคำแนะนำของท่านน่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่กล้าทำคนเดียว อยากได้คำแนะนำค่ะ

    ปล. ตอนที่ฝึกกับพระอาจารย์ รู้สึกว่าพระอาจารย์ให้เพ่งกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราถูกเรียกให้ไปฝึกที่หอประชุม มีคนถูกคัดไปประมาณ 10 คน ท่านบอกว่า เด็กพวกนี้ถ้าฝึกต่อก็จะเหาะได้ (อิทธิฤทธิ์) ประมาณนั้น ตอนนั้นอยากเหาะได้อ่ะ เลยมาฝึกเองที่บ้านแต่โดนห้าม....
     
  9. จัมโบ้

    จัมโบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +334
    หนูนั่งสมาธิแบบทำใจให้สงบค่ะ สักพักจะสัมพัสได้ถึงการเต้นของเส้นชีพจรหรือเส้นอะไรไม่รู้ค่ะที่ข้างหูและย้ายมาที่บนหัวค่ะ นั่งครั้งละ15-30นาที่แล้วแต่เวลาที่อำนวยค่ะ แบบนี้
    เป็นอย่างไงค่ะขอคำแนะนำด้วยค่ะ
     
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
  11. Sangtean

    Sangtean เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +156
    ตอนนี้การแก้อาการปวดมึนระหว่างคิ้ว แก้ได้แล้วนะคะ ก้คือการดูลมหายที่สบาย วางอารมณ์ใจสบาย และเปลี่ยนจากนั่งบนพื้นมานั่งบนเก้าอี้ ก็รู้สึกดีมากขึ้น เข้าสมาธิได้เร็ว เมื่อรู้สึกสบายมากขึ้นสงบมากขึ้นก็จะอธิฐานเอาไว้ ให้เข้าถึงสมาธิที่สงบ เบาสบาย ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ
    ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน และแผ่เมตตาให้ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณ แผ่ให้ไกลเท่าที่จะไกลได้ ก่อนแผ่เมตตาก็อาราธนาพระบารมีของสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์พระสาวกทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกองค์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ และเจ้าบุญนายคุณทุกท่าน ขอบารมีของท่านมาสถิต ณ เศียรเกล้า ช่วยให้การแผ่เมตตาให่สรรพสัตว์ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพทุกภูมิ ยิ่งทำให้มีอารมณ์ใจที่สบายยิ่งขึ้น ก็อธิษฐานปัหมุดเอาไว้ แล้วต่อจากนั้นเหมือนจิตจะหลุดออกจากกายเนื้อ มีแสงวาบมาที่ตัวเหมือนอะไรจะดีดออกจากตัวเรา ดิฉันก็ดึงเอาไว้ไม่ให้ออก ดึงอยู่สักพักก็พยายามออกจากสมาธิ บอกเลยว่ากลัวเหมือนกันไม่รู้ว่าออกไปแล้วจะเป็นยังไง
    ขอความแนะนำหน่อยนะคะว่าต่อจากนี้ดิฉันควรจะทำอย่างไร ถึงจะก้าวผ่านจุดนี้ได้ ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยนะคะ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ เด็กหัวจุก ครับ

    เราอยากทำสมาธิแต่ไม่กล้าทำคนเดียวอ่ะค่ะ กลัวจะเป็นอะไรไป เราเคยทำสมัยเรียนมัธยม มีพระอาจารย์สอนให้ แต่พอเรากลับมาทำที่บ้าน คุณยายเราเห็น แกห้ามไม่ให้เราทำคนเดียวอ่ะค่ะ เราเลยไม่กล้าทำคนเดียวอีกเลย นอกจากนั่งสมาธิแบบปกติภาวนาพุท โธ ธรรมดา 5 - 10 นาที เท่านั้น ไม่ค่อยได้ทำหรอกค่ะ ส่วนมากถ้าไม่สบายใจหรือว่าเครียด ถึงจะทำ ตอนนี้มีท่านผู้หนึ่งบอกให้เราทำสมาธิปฏิบัติวิปัสนา เราอยากทำตามคำแนะนำของท่านน่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่กล้าทำคนเดียว อยากได้คำแนะนำค่ะ

    ปล. ตอนที่ฝึกกับพระอาจารย์ รู้สึกว่าพระอาจารย์ให้เพ่งกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราถูกเรียกให้ไปฝึกที่หอประชุม มีคนถูกคัดไปประมาณ 10 คน ท่านบอกว่า เด็กพวกนี้ถ้าฝึกต่อก็จะเหาะได้ (อิทธิฤทธิ์) ประมาณนั้น ตอนนั้นอยากเหาะได้อ่ะ เลยมาฝึกเองที่บ้านแต่โดนห้าม....<!-- google_ad_section_end -->

    เดี้ยวก็เหาะได้ ฝึกเถอะครับ ให้หมดทั้งสิบกองแหละ แต่อย่าให้ใครรู้ครับ
    ฝึกยังไงไม่ให้ใครรู้ ลืมตาฝึกครับ แค่เราลืมตาฝึก
    แล้วก็ทำเอาไว้ตลอดเวลา ตลอดทั้งวัน ก็ไม่มีใครรู้แล้วครับ
    หรือไม่เราก็นอนแกล้งทำเป็นหลับ แล้วฝึกเอาก็ได้ครับ
    อย่าไปนั่งขัดสมาธิหลับตาให้คนเขารู้กันครับ ต้องทำตัวธรรมดาๆเข้าไว้

    ก่อนอื่น การฝึกสมาธิ มีหลักๆ สองส่วน สมถะ กับ วิปัสสนา
    สมถะ คือความสงบ จุดที่เราต้องการคือ อย่างต่ำ ฌาณ4
    ฌาณ4นี้ เราจะทำกันได้ง่ายๆ 2วิธี
    1.จับลมหายใจ
    2.จับภาพกสิณ

    พอได้ฌาณ4แล้ว ลมหายใจดับ จิตนิ่ง ใจเบาสบาย ชุ่มเย็น หยุดคิด ได้พักผ่อนจากความสบายของใจ
    เราค่อยต่อด้วยวิปัสสนา
    ซึ่งเป็นการพิจารณาตัดสังโยชน์ จนจิตมีอารมณ์ ที่เบา วางได้ซึ่งความทุกข์
    เป็นอารมณ์ที่วางจริงๆครับ อุปมาเหมือนเรามีความเครียดมาก เราจะกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
    วิปัสสนาก็คือการคลายมือที่เรากำไว้จนแน่นออก
    แต่เป็นอาการของใจ เป็นอารมณ์ใจที่คลายออก วางลงได้ ซึ่งความทุกข์

    ตอนนี้เรามาเน้นทำฌาณ4 ให้ได้ก่อนครับ
    เอาฌาณ4จากกสิณก็แล้วกันครับ น่าจะถูกใจมากกว่า
    เอากสิณภาพพระไปก่อนนะครับ ได้กสิณภาพพระ ก็ได้ทุกอย่างครับ

    ขอแนะนำให้เราลองปฏิบัติแบบลืมตาเลยครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขณะที่เรากำลังอ่านข้อความนี้ ให้เรานึกตามเลยครับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ให้เราจินตนาการ นึกถึงภาพของลูกบอลสีแดง กลมๆ<o:p></o:p>
    ได้ไหมครับภาพของลูกบอลกลมๆสีแดง<o:p></o:p>
    ลืมตานะคัรบ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เสร็จแล้วนึกภาพต่อว่าลูกบอลกลมสีแดงนี้<o:p></o:p>
    ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาว<o:p></o:p>
    จนกลายเป็นลูกบอลกลม สีขาวทั้งลูก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จากนั้นให้นึกภาพต่อว่าลูกบอลสีขาวนี้ ค่อยๆใสขึ้นๆ<o:p></o:p>
    ใสขึ้นๆ จนกลายเป็นเนื้อแก้วทั้งลูก<o:p></o:p>
    กลายเป็นลูกแก้ว เนื้อใสทั้งลูก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ให้นึกภาพต่อว่ามีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากลูกแก้วนี้ มีประกายระยิบระยับออกมาจากลูกแก้ว<o:p></o:p>
    แสงสว่าง และประกายระยิบระยับมากขึ้นๆ <o:p></o:p>
    จนลูกแก้วนี้กลายเป็นเนื้อเพชรทั้งลูก<o:p></o:p>
    เป็นลูกเพชรใสสว่าง มีประกายระยิบระยับทั้งลูก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เสร็จแล้วให้เรานึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราเคารพมาองค์หนึ่ง<o:p></o:p>
    จากนั้นนึกภาพว่าพระพุทธรูปนี้<o:p></o:p>
    เปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรใสสว่าง เปล่งประกายระยิบระยับทั้งองค์<o:p></o:p>
    เป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรทั้งองค์<o:p></o:p>
    มีความใสสว่างงดงามถึงที่สุด<o:p></o:p>
    ทุกส่วนของพระพุทธรูปเป็นเนื้อเพชรทั้งหมด <o:p></o:p>
    มีแสงสว่างพวยพุ่งออกมา เป็นประกายระยิบระยับทั้งองค์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จากนั้นให้เรานึกต่อว่า<o:p></o:p>
    มีภาพพระพุทธรูปเป็นเพชรนี้<o:p></o:p>
    ลอยอยู่เหนือศรีษะของเราองค์หนึ่ง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มีองค์ที่สอง อยู่ในสมอง ขนานกับระหว่างคิ้วของเรา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มีองค์ที่สาม อยู่ในอกของเรา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จากนั้นนึกให้เห็นภาพพระพุทธรูปทั้งสามองค์ พร้อมๆกัน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระพุทธรูปเป็นเพชร ทั้งสามฐานนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ออกช้าๆ สามครั้ง<o:p></o:p>
    ครั้งที่1 เข้า พุท ออก โธ<o:p></o:p>
    ครั้งที่2 เข้า ธัม ออก โม<o:p></o:p>
    ครั้งที่3 เข้า สัง ออก โฆ<o:p></o:p>
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขั้นตอนทั้งหมด ขอให้เราลืมตาทำ และใช้จินตนาการ จินตภาพของเราครับ

    คราวนี้เราก็ฝึกทรงภาพพระเอาไว้ตลอดเวลา ลืมตา หลับตา เรียนหนังสือ ทำงาน ทำข้อสอบ ทรงภาพพระให้ได้ตลอดครับ

    ขอให้จิตไม่คลาดจาก พุทธานุสติ มีภาพพระประจำใจอยู่เสมอ ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  13. เด็กหัวจุก

    เด็กหัวจุก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +1,436

    ขอบพระคุณมาก ๆ เลยค่ะ จะพยายามปฏิบัติตามค่ะ
     
  14. เมตตาบารมี

    เมตตาบารมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +133
    อนุโมทนาสาธุนะค่ะพี่xorce มีเรื่องรบกวนสอบถามพี่อีกแล้วค่ะพอดีอยากถามเคล็ดลับในการฝึกญาณ8ค่ะ ไปฝึก3รอบแล้วภาพที่ได้ไม่ตรงความเป็นจริงเวลาครูถามทำอย่างไรดีค่ะพี่มีเคล็ดลับอะไรที่สามารถที่จะดูภาพได้ตามความเป็นจริงบ้างยอมรับว่าเวลาจิตนิ่งตอบได้ตอนแรกพอถามไปเรื่อยๆชักไม่แน่ใจแล้วค่ะ รบกวนขอสอบถามพี่หน่อยนะค่ะเห็นรุ่นพี่ตอบได้เกือบทุกข้อจะฝึกอย่างไรดีค่ะขอบคุณมากค่ะพี่
     
  15. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ท่าน xorce เปรียบได้เหมือนต้นไม้ใหญ่ มีร่มเงา ผู้คนได้พึ่งพา น่านับถือยิ่งแล้ว...ฮ่า ๆ ๆ
     
  16. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มารอฟังด้วยคนนะครับ และเป็นกำลังใจให้นะครับ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ จัมโบ้ ครับ

    หนูนั่งสมาธิแบบทำใจให้สงบค่ะ สักพักจะสัมพัสได้ถึงการเต้นของเส้นชีพจรหรือเส้นอะไรไม่รู้ค่ะที่ข้างหูและย้ายมาที่บนหัวค่ะ นั่งครั้งละ15-30นาที่แล้วแต่เวลาที่อำนวยค่ะ แบบนี้
    เป็นอย่างไงค่ะขอคำแนะนำด้วยค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    เมื่อจิตเราสงบ ก็จะสามารถสัมผัสถึงอาการเต้นของชีพจรได้ครับ
    แต่ว่าถ้าเราจับตรงจุดนี้อย่างเดียว ยังถือว่าจิตยังเกาะกับร่างกายอยู่ครับ
    ซึ่งไปเรื่อยๆ จะทำให้อารมณ์หนักได้
    แล้วจะทำให้เราเข้าไม่ถึง อารมณ์สบาย อารมณ์สุข สงบของสมาธิ

    ให้เราลองหันมาจับลมหายใจ ด้วยอารมณ์สบาย
    จนใจของเราเกิดความสบาย สัมผัสกับอารมณ์สบาย แล้วก็ประคองอารมณ์สบายเอาไว้ครับ
    จะสัมผัส จะได้ยินเสียงชีพจร ก็ไม่ต้องสนใจครับ เน้นไปที่อารมณ์สบายที่เกิดขึ้นครับ

    ลองปรับดูครับ
    เวลาทำสมาธินะครับ อย่านั่ง แล้วจับที่อารมณ์นิ่งเลยครับ มักจะยากเกินไป
    ควรที่จะเริ่มจากการจับลมหายใจก่อน จนลมหายใจเกิดความลื่นไหล เบาสบายใจ
    จนจิตเกิดความสุข สบายจากการจับลมหายใจ
    จนกระทั่งลมหายใจ เบาสบาย ช้าลงๆ เบาลงๆ จนหยุดไปคล้ายกับไม่หายใจ
    ตอนนี้จะเหลือแต่อารมณ์สบายที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา
    จะเย็นๆ เบาๆ สบายๆ จิตหยุดนิ่ง ไม่คิด ลมหายใจหยุด เหลือแต่ความสบายใจ

    พอได้แล้วก็ให้เราอธิษฐานปักหมุดไว้ด้วยนะครับ
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่ง อารมณ์เบาสบายที่เกิดขึ้นจากสมาธิ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐาย้ำไปสามครั้ง

    แล้วก็ฝึกประคองอารมณ์สบายเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา
    เป็นการฝึกอยู่ตลอดเวลา ฝึกโดยไร้รูปแบบ
    นึกได้เมื่อไหร่ก็ทำครับ หลับตา ลืมตาทำได้ตลอด
    ถ้าเราประคองใจให้สบายเอาไว้ตลอด
    เท่ากับวันนึง เราฝึกสมาธิอยู่ 8ชั่วโมงขึ้นไป บางท่านก็ทำได้24ชั่วโมง
    คิดเอาว่า บุคคลนึง ฝึกวันละ ชั่วโมง ติดต่อกันมา10ปี
    เราฝึกวันละ24ชั่วโมง แค่ปีเดียว ชั่วโมงบินเราก็แซงเขาแล้วครับ

    ดังนั้นขอให้ลองฝึกทำให้ได้ในทุกๆอิริยาบถกันทุกๆคนครับ

    ขอให้ทุกๆดวงจิต สามารถประคองรักษาความงดงาม ความเบิกบาน การตื่นขึ้นจากภายในจิตใจ ได้ตลอดไปทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Sangtean ครับ

    ตอนนี้การแก้อาการปวดมึนระหว่างคิ้ว แก้ได้แล้วนะคะ ก้คือการดูลมหายที่สบาย วางอารมณ์ใจสบาย และเปลี่ยนจากนั่งบนพื้นมานั่งบนเก้าอี้ ก็รู้สึกดีมากขึ้น เข้าสมาธิได้เร็ว เมื่อรู้สึกสบายมากขึ้นสงบมากขึ้นก็จะอธิฐานเอาไว้ ให้เข้าถึงสมาธิที่สงบ เบาสบาย ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ
    ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน และแผ่เมตตาให้ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณ แผ่ให้ไกลเท่าที่จะไกลได้ ก่อนแผ่เมตตาก็อาราธนาพระบารมีของสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์พระสาวกทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกองค์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ และเจ้าบุญนายคุณทุกท่าน ขอบารมีของท่านมาสถิต ณ เศียรเกล้า ช่วยให้การแผ่เมตตาให่สรรพสัตว์ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพทุกภูมิ ยิ่งทำให้มีอารมณ์ใจที่สบายยิ่งขึ้น ก็อธิษฐานปัหมุดเอาไว้

    สาธุครับ วางอารมณ์ถูกแล้วครับ

    แล้วต่อจากนั้นเหมือนจิตจะหลุดออกจากกายเนื้อ มีแสงวาบมาที่ตัวเหมือนอะไรจะดีดออกจากตัวเรา ดิฉันก็ดึงเอาไว้ไม่ให้ออก ดึงอยู่สักพักก็พยายามออกจากสมาธิ บอกเลยว่ากลัวเหมือนกันไม่รู้ว่าออกไปแล้วจะเป็นยังไง
    ขอความแนะนำหน่อยนะคะว่าต่อจากนี้ดิฉันควรจะทำอย่างไร ถึงจะก้าวผ่านจุดนี้ได้ ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยนะคะ<!-- google_ad_section_end -->

    ต้องไม่กลัวครับ แล้วเราต้องมาดูครับว่ากลัวเพราะอะไร
    แล้วก็แก้ที่ปมที่เรากลัวครับ
    เช่น ถ้ากลัวว่าจะกลับไม่ได้ ผมก็ขอยืนยันว่า ออกไปให้ได้ยากกว่าหลายเท่าครับ
    กลับนี่แค่เราคิดว่าจะกลับ ก็เรียบร้อยครับ กลับถึงเลย หรือพอถึงรุ่งเช้าก็จะกลับเอง

    หรือ กลัวเพราะไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน พอเราออกมาแล้ว
    บอกได้เลยว่า อยู่กับพระแน่นอนครับ ออกมาได้ด้วยบารมีพระ ออกมาถึงก็ต้องอยุ่กับพระครับ
    พระท่านคุ้มครอง ปลอดภัย ไม่มีอะไรทำอันตรายเราได้ครับ

    และอาการที่กลัวก็เป็นอวิชชาตัวนึง
    การที่เราจะออกมาได้ จิตจะต้องตัดร่างกายได้ชั่วขณะ
    จิตต้องมีอารมณ์คล้ายพระอริยเจ้าชั่วขณะก็ว่าได้
    ผู้ที่ถอดจิตได้คล่อง ก็ต้องอารมณ์คล้ายๆเฉียดๆความเป็นพระอริยเจ้าอยู่เสมอครับ
    ใจของเราจะต้องรู้สึกสบาย รู้สึกมีความสุข
    วินาทีที่จิตมีความสุขที่สุด สบาย เบาที่สุด
    จิตถึงจะแยกจากกายเนื้อครับ
    ดังนั้นก็ต้องมาเน้นที่อารมณ์สบาย อารมณ์สุขจากสมาธิ และอย่าให้เกิดความกลัวครับ
    ต้องคิดว่า พระท่านคุ้มครองเราอยู่ ยังไงก็ปลอดภัยครับ
    ถ้าจิตกลัวปุ้ป หรือเรารั้งตัวเองเอาไว้ ก็จะไม่ไปไหนครับ
    การกลัวก็คือการรั้งตัวเอง อุปมาเหมือนเราเอามือเกาะประตูห้องแน่น ไม่ยอมปล่อย
    แล้วเราจะเดินออกจากห้อง มันก็เดินออกไปไม่ได้
    ต้องปล่อยมือที่เราเกาะ เรารั้ง เราหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ให้คลายออกครับ

    การถอดจิตนะครับ ถ้าจะไม่ออก ก็เพราะว่าเราไม่อยากออกเองครับ
    ถ้าเราอยากออกเดี้ยวก็ออกมาได้ครับ
    แล้วพอออกมาได้ซักครั้ง จะไม่อยากกลับเลยครับ
    แต่ว่าพอถึงตอนเช้าจะกลับเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราจะรู้สึกเสียดายครับ
    ไม่น่าหมดเวลาเลย อะไรแบบนั้น

    ลองวางอารมณ์ใหม่ดูครับ

    พอออกมาได้แล้วอย่าลืมอธิษฐานปักหมุดเอาไว้ด้วยครับ
    ขอให้จิตของข้าพเจ้าสามารถออกมาด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า ได้แบบนี้ ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ทุกภพชาติไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง

    เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวได้เลยครับ

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งมโนมยิทธิเต็มกำลังนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ต้องการตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ เมตตาบารมี ครับ

    อนุโมทนาสาธุนะค่ะพี่xorce มีเรื่องรบกวนสอบถามพี่อีกแล้วค่ะพอดีอยากถามเคล็ดลับในการฝึกญาณ8ค่ะ ไปฝึก3รอบแล้วภาพที่ได้ไม่ตรงความเป็นจริงเวลาครูถามทำอย่างไรดีค่ะพี่มีเคล็ดลับอะไรที่สามารถที่จะดูภาพได้ตามความเป็นจริงบ้างยอมรับว่าเวลาจิตนิ่งตอบได้ตอนแรกพอถามไปเรื่อยๆชักไม่แน่ใจแล้วค่ะ รบกวนขอสอบถามพี่หน่อยนะค่ะเห็นรุ่นพี่ตอบได้เกือบทุกข้อจะฝึกอย่างไรดีค่ะขอบคุณมากค่ะพี่

    1.ขอบารมีพระเสมอ ต้องตั้งจิตขอบารมีพระทุกครั้ง แล้วจะชัดเจนแจ่มใสครับ
    บางครั้งเราเผลอใช้กำลังตัวเองก็เลยไม่ชัดครับ
    2.ใจของเราต้องเบาสบายครับ ตอนแรกๆใจเบาสบาย พอไปเรื่อยๆ มันมีผิดบ้าง
    คราวนี้ใจเราเริ่มไม่สบายแล้ว อารมณ์เริ่มหนัก มันก็เลยผิดต่อเนื่องครับ
    เราต้องทำใจของเราให้อยู่ในอารมณ์เบา สบาย เอาไว้ให้ได้ตลอดครับ
    ผิดก็ช่างมัน ห้ามติดใจ วางอารมณ์ใหม่ให้เบาครับ
    3.ใช้จิตของเราตาม ต้องเอาจิตของเราดูตามเหตุการณ์ที่ได้ฟัง แล้วจะเห็นภาพตามนั้น
    4.ควรจะให้กายสบาย เมื่อยก็หาที่พิง หรือขยับขา
    เพราะอาการปวดเวทนาทางกาย จะทำให้เรามองไม่เห็นภาพ
    5. ความชัด ขั้นอยู่กับ สมถะ และวิปัสสนา

    สมถะ ต้องทำให้ได้สามอารมณ์
    1.ลมสบาย จับลมหายใจ จนลมหายใจหยุดไป เหลือแต่ความเบาสบาย ชุ่มเย็น จิตหยุดคิด
    2.เมตตา พรหมวิหาร4 จิตแผ่ออก ชุ่มเย็น แย้มยิ้ม เบิกบาน ตื่นขึ้น งดงามจากภายใน
    3.กสิณ ภาพกสิณชัดเจน เห็นเป็นเพชรประกายพรึก ภาพพระวิสุทธิเทพต้องชัดเจนเห็นรายละเอียดเป็นเพชรหมด

    วิปัสสนา ก็พิจารณาในสักกายทิษฐิ ต่อไปนี้เป็นอย่างย่อสามข้อ
    1.ร่างกายของทุกคนมีความตาย เป็นของแน่นอน เราอาจจะตายได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา
    จิตของเราจะไม่เกาะ ไม่ติดในร่างกายจนเกินไป ไม่ประมาทต่อความตาย เร่งความดีอยู่เสมอ
    2.ร่างกายของทุกคนมีความสกปรก เสมอกัน มีปอด ตับ ไต ลำไส้น้ำเลือด น้ำเหลือง สมอง อุจจาระ ปัสสาวะ
    เราจะมีอารมณ์ที่เห็นธรรมดาของความสกปรกในร่างกาย ไม่ปรารถนาในร่างกายของตัวเรา และบุคคลอื่น
    3.ถ้าตายตอนนี้ อบายภูมิเราไม่ไป เพราะมีแต่ความทุกข์ มนุษย์ก็มีแต่ความทุกข์เราก็จะไม่เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาก็ยังทุกข์ พรหมก็ยังทุกข์
    ตายเมื่อไหร่เราจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น ที่อื่นเราไม่ไป
    พระวิสุทธิเทพทั้งหลาย ทรงประทับอยู่ที่ใด ตายแล้วเราจะไปที่นั่นเพียงจุดเดียว

    6.ทรงอารมณ์พระนิพพานให้ได้ รวมถึงอารมณ์เมตตาควบอารมณ์พระนิพาน
    คือแผ่เมตตาจากพระนิพพาน เป็นรัศมีเพชรส่องสว่างไปทุกๆภพภูมิ
    ปรารถนาให้ทุกๆดวงจิต มีพระนิพพานเป็นที่สุด ได้โดยเร็ว

    ถ้าจิตทรงอยู่ในอารมณ์พระนิพพาน ญาณจะเห็นชัดเจนทั้งหมด
    จิตห่างจากพระนิพพานเท่าไหร่ ก็จะมัวเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
    ดังนั้นต้องประคองใจให้อยู่ข้างบนไปพร้อมๆกันด้วยครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งความแจ่มใสแห่งญาณทัศนะกันทุกๆดวงจิต ด้วยบารมีแห่งพระพุทธเจ้า อันหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2009
  20. Sangtean

    Sangtean เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +156
    ขออนุโมทนาบุญค่ะ คำแนะนำจะนำไปปฎิบัติค่ะ ติดขัดตรงไหนจะขอคำแนะนำอีกทีนะคะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...